คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4
บทที่ 4
ลู่ฉินยืนอยู่นอกห้องทำงานของหัวหน้า บ.ก. เคาะประตูสองครั้ง
“เข้ามาสิ”
เธอเปิดประตูเดินเข้าไปหลังจากได้รับอนุญาตแล้ว จากนั้นก็ปิดประตู เธอรู้สึกถึงบรรยากาศตึงเครียดในห้องทำงานได้ทันที
ผู้หญิงที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานเป็นหัวหน้า บ.ก. ของหนังสือพิมพ์ไชน่าเกต เธอเป็นผู้หญิงทำงานที่ดูน่าเกรงขาม แม้จะอายุสี่สิบกว่าแล้วแต่ยังคงสวยไม่สร่าง ท่าทางฉลาดหลักแหลม มีความสามารถและประสบการณ์สูง เธอชื่อว่าเคออินอิน
บนโต๊ะของอินอินมีหนังสือพิมพ์หลายฉบับวางไว้ ต้นฉบับข่าวที่รอตรวจแก้อยู่ รวมถึงตุ๊กตาตัวหนึ่งที่มีเข็มปักจนเต็มและมีตัวอักษรสามตัวเขียนว่า ‘หานจงเฉิง’ ชื่อนี้เป็นชื่อที่คุ้นเคยกันดี เพราะเขาเป็นหัวหน้า บ.ก. ของหนังสือพิมพ์คู่ปรับตลอดกาลนั่นเอง
ลู่ฉินเดินมาถึงหน้าโต๊ะทำงาน
“มีอะไร” อินอินถามเสียงเครียด แค่สามคำสั้นๆ นี้หญิงสาวก็ได้กลิ่นชนวนระเบิดแล้ว ไซมอนพูดถูกว่าอีกฝ่ายกำลังอารมณ์เสียสุดขีด
ลู่ฉินมองสำรวจใบหน้าบูดบึ้งของหัวหน้า บ.ก. แล้วไม่รู้สึกกลัวจนตัวสั่นงันงก เธอเพียงแต่พูดเตือนสติหัวหน้าอย่างใจเย็น
“ทำหน้าบูดก็เหมือนการตด ตัวเองไม่ได้เหม็นคนเดียว แต่คนอื่นก็เหม็นด้วยนะ”
อินอินเงยหน้าขึ้น สายตาเหมือนอยากจะฆ่าคน
“เธอพูดอะไร”
“ฉันพูดว่าพี่ทำหน้าบูดมาก” ลู่ฉินตอบด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน
อินอินลุกพรวดขึ้นมาเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องทำงาน จากนั้นก็เดินมาตรงหน้าหญิงสาวด้วยสีหน้าโกรธจัด ก่อนจะถลึงตามองอย่างดุดัน
“เธอรู้มั้ยว่าไอ้สารเลวนั่นทำอะไร”
“ก็แค่แย่งตัวนักข่าวไปคนเดียวเอง”
“เขาจงใจทำแบบนี้!”
“ธุรกิจหนังสือพิมพ์แข่งขันกันดุเดือด เรื่องแย่งคนมีให้เห็นบ่อยๆ”
“เขาจะหาเรื่องฉัน!”
“นั่นแสดงว่าเขาเห็นพี่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว”
“เขาตั้งใจหยามน้ำหน้าฉัน ยั่วโมโหฉัน หัวเราะเยาะฉัน ฉันจะจ้างคนไปเก็บเขาซะ!”
“พี่จ้างคนไปเก็บเขา ลูกชายของพี่ก็ไม่มีพ่อน่ะสิ”
“ฉันไม่สน ฉันจะฆ่าเขา ถึงเขาจะเป็นพ่อของแจ๊ค ฉันก็จะจ้างคนไปเก็บเขาอยู่ดี!” อินอินกระแทกเท้าเดินวนรอบห้องทำงานอย่างสติแตกอีกครั้ง สองมือกำแน่นขณะด่าไปด้วย
ในที่ทำงาน อินอินเป็นหัวหน้า บ.ก. ของสำนักงานหนังสือพิมพ์และเป็นเจ้านายของเธอ แต่ในทางสายเลือดแล้วอินอินเป็นพี่สาวคนละพ่อของเธอ
ในตอนนี้พี่สาวของเธอกำลังโกรธจนหน้ามืดถึงขนาดประกาศก้องว่าจะฆ่าหานจงเฉิง หัวหน้า บ.ก. ของหนังสือพิมพ์คู่ปรับตัวเอ้และสามีเก่าให้ได้
อินอินกับจงเฉิงเป็นคู่กัดซึ่งเป็นที่รู้จักกันไปทั้งวงการข่าว ลู่ฉินเห็นพวกเขาต่อสู้ฟาดฟันกันแบบนี้มาจนชินตาและไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกมานานแล้ว เธอย่อมรู้ว่าพี่สาวพูดไปด้วยความโมโห จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด
“ครั้งที่แล้วพี่แย่งสปอนเซอร์เขามารายหนึ่ง ครั้งนี้เขาแย่งนักข่าวพี่ไปคนหนึ่ง จะว่าไปแล้วพี่ได้กำไรมากกว่า ไม่เสียเปรียบเขาหรอก”
อินอินหันหน้ามาจ้องน้องสาว “งั้นเหรอ?”
“พี่ลองคิดดูนะ พี่แย่งโฆษณาเจ้าใหญ่ที่สุดของเขามา ทำให้บัญชีของเขาขาดทุนไปไม่น้อย เทียบกันแล้วถูกแย่งนักข่าวไปคนเดียวไม่ทำให้พี่เสียรายได้สักหน่อย อย่างมากก็หาเอาใหม่ก็ได้นี่”
คำพูดนี้ถูกหูอินอินพอควร จึงช่วยคลายความโกรธในใจเธอลงไปได้ไม่น้อย สิ่งที่เธอต้องการคือการเอาชนะ และพอได้ยินลู่ฉินแจกแจงให้ฟังแล้ว สีหน้าแค้นเคืองในตอนแรกก็กลายเป็นยิ้มอย่างลำพองใจในที่สุด
“เธอพูดถูก ครั้งหน้าฉันเจอเขาจะพูดแบบนี้เพื่อยั่วโมโหเขา กะอีแค่แย่งนักข่าวไปได้คนเดียวจะดีอกดีใจอะไรนักหนา เอาเป็นว่าฉันจะใช้ความสวยของฉันแย่งสปอนเซอร์ของเขามาให้หมดเลย คิกๆๆ”
แค่นี้ก็ดีใจแล้ว?
เท่าที่เห็น พี่สาวกับพี่เขยของเธอทำตัวเหมือนเด็กๆ เลย
พออินอินหายโกรธไปบ้างแล้ว อารมณ์ก็ดีขึ้นมาก จึงนึกได้ว่าน้องสาวมีธุระมาหา
“จริงสิ เธอมาหาฉันมีเรื่องอะไร”
ลู่ฉินยื่นจดหมายส่งให้ พออินอินรับมาและเปิดอ่านก็ย่นหัวคิ้วขึ้นทันที
“นี่มันจดหมายขู่นี่”
“ฉันมาทำงานตอนเช้าก็เห็นมันวางอยู่บนโต๊ะแล้ว”
“เป็นการแกล้งกันหรือเปล่า”
“ฉันว่านะ มันอาจจะเกี่ยวกับคดีคอร์รัปชันที่ฉันกำลังตามอยู่ นี่เป็นฉบับที่สามแล้ว”
“ฉบับที่สาม? แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้” อินอินมีสีหน้าตกใจก่อนจะตำหนิน้องสาวที่ปิดบังเธอเรื่องนี้
“อาชีพนักข่าวถูกข่มขู่เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ตอนแรกฉันก็ไม่ได้ใส่ใจหรอก แต่ครั้งนี้เล่นส่งมาให้ถึงโต๊ะทำงานเลย ฉันถึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องบอกให้พี่รู้แล้ว”
อินอินครุ่นคิดแล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“รู้แล้ว ฉันจะสั่งให้คนไปตรวจกล้องวงจรปิดดูว่าใครส่งจดหมายฉบับนี้มา”
“งั้นก็รบกวนพี่ด้วยนะ แค่นี้แหละ”
ลู่ฉินหมุนตัวจะเดินออกไป แต่ถูกอินอินเรียกเอาไว้
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งไป”
“หัวหน้า บ.ก. ยังมีอะไรจะสั่งอีกคะ”
“ในห้องนี้มีเราแค่สองคน เวลาไม่มีคนอื่นเรียกฉันว่าพี่ก็ได้” อินอินพูดเสียงอ่อนโยน แม้พวกเธอจะเป็นลูกคนละพ่อและไม่ได้โตขึ้นมาในบ้านเดียวกัน แต่อินอินกลับชื่นชมน้องสาวคนนี้มาก ปกติต่อหน้าคนภายนอกเธอจะดูเป็นคนแกร่งกล้าเฉียบคม แต่เวลาอยู่กับน้องสาว ท่าทีก็จะอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว เก็บด้านที่แข็งกระด้างไว้และแสดงความห่วงใยที่พี่สาวมีให้น้องสาว
“ได้ พี่มีอะไรจะสั่งอีกเหรอ”
อินอินฉีกยิ้ม “พักนี้เธอกับเขาเป็นไงบ้าง”
“ใคร”
“ก็เจสันแฟนของเธอไงล่ะ”
“เลิกกันแล้ว”
“อะไรนะ! เธอเลิกกับเขาแล้วเหรอ”
ลู่ฉินมองพี่สาวอย่างเหลือเชื่อ “พี่จะตื่นเต้นไปทำไม”
“เธอทิ้งเขาได้ยังไง”
“ทำไมจะไม่ได้”
“ไม่ได้แน่นอน!” ถ้าจะเอาเหตุผล อินอินสามารถร่ายยาวออกมาได้เป็นสิบข้อ “เขาหน้าตาหล่อ นิสัยดี พูดจีนชัดแจ๋ว เก่งรอบตัว ขี้เล่นน่ารัก มีความสามารถ แถมยังรวย ที่สำคัญที่สุดคือเขาเป็นสุภาพบุรุษมาก รู้จักเปิดประตูให้ผู้หญิง ช่างเอาใจ อะไรๆ ก็เลดี้เฟิร์ส ผู้ชายแบบนี้แทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่เธอดันทิ้งเขาซะได้!”
พอได้ยินว่าเธอเลิกกับเขาแล้ว พี่สาวเธอคนนี้ทำท่าจะเป็นจะตายเสียยิ่งกว่าเธออีก เหมือนว่าการทิ้งเจสันเป็นความผิดมหันต์อย่างนั้นเลย
“เราเลิกกันไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรสักหน่อย”
“ล้อเล่นน่า เรื่องนี้ร้ายแรงมากเลยนะ รู้หรือเปล่าว่าเธอมีแฟนดีเลิศประเสริฐศรีขนาดไหน ถ้าฉันเด็กกว่านี้สักสิบปีต้องตามจีบเขาก่อนแน่”
อินอินพอใจชายหนุ่มผมสีทองตาสีฟ้าที่คบอยู่กับน้องสาวมาก แถมยังหวังให้น้องสาวแต่งงานกับเขา จึงไม่นึกว่าจะได้ยินว่าพวกเขาเลิกกันแล้ว แถมน้องสาวยังทำท่าเป็นทองไม่รู้ร้อนอีก
ลู่ฉินคาดไม่ถึงว่าพี่สาวจะมีปฏิกิริยารุนแรงแบบนี้ ไม่เพียงแต่เริ่มเทศนาความผิดของเธอ ยังจะให้เธอง้อเขาด้วย
จะให้เธอคืนดีกับเจสันเนี่ยนะ? อย่ามาล้อเล่นน่า
เมื่อเห็นพี่สาวไม่ยอมเข้าใจและไม่สามารถอธิบายเหตุผลที่แท้จริงได้ วิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือรับคำพอให้พ้นๆ ตัวไปก่อน
“รู้แล้วน่า รอให้มีโอกาสแล้วฉันค่อยไปหาเขา”
“จะรออะไรอีก ต้องรีบไปเลยนะ เกิดเขาถูกผู้หญิงคนอื่นคว้าไปจะทำยังไง เธอนี่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองโชคดีเลยจริงๆ ผู้ชายดีพร้อมแบบนี้ยังจะเรื่องมากอีก ถ้าฉันได้เจอผู้ชายดีๆ ขนาดนี้คงแต่งงานกับเขาภายในสามวันไปแล้ว จะได้ไม่ต้องไปเจอกับไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่น...”
เสียงปืนใหญ่ดังตูมๆๆ ปากกระบอกปืนที่ควรเล็งไปที่พี่เขยในตอนแรกกลับหันมากระหน่ำยิงใส่เธอ
หนวกหูชะมัด ลู่ฉินอุดหูที่ใกล้จะหนวกแล้วรับปากส่งๆ
“เอาน่าๆ รู้แล้ว ฉันจะออกไปหาข่าวแล้ว คราวหน้าค่อยคุยกันใหม่”
เธอรีบออกจากห้องทำงานไปหาหลุมหลบภัยโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของพี่สาว
ในหนึ่งวันนักข่าวทำงานมากกว่าสิบสองชั่วโมงขึ้นไปถือเป็นเรื่องปกติ และยังต้องสแตนด์บายรอแทบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อีกทั้งเพื่อให้ได้ข่าวแล้ว เวลาส่วนใหญ่จึงเป็นการออกไปทำความรู้จักคนให้มากๆ และเข้าร่วมกิจกรรมงานเลี้ยงทุกประเภทซึ่งเป็นหนึ่งในการปูทางที่สำคัญของนักข่าว
ในงานเลี้ยงสังสรรค์จะมีนักธุรกิจมากมายมารวมตัวกัน และมีการเชิญนักข่าวกับสื่อมวลชนมาไม่น้อย
ในงานนี้ลู่ฉินเป็นดอกไม้ท่ามกลางหมู่แมลงเลยทีเดียว เพราะงานเลี้ยงประเภทที่มีแขกร่วมงานส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ความสาวและความสวยของเธอจะได้รับความสนใจจากนักธุรกิจและนักการเมืองอย่างง่ายดาย จึงมีคนแวะเวียนเข้ามาทักทายเธออยู่ตลอดจนต้องคอยยื่นนามบัตรส่งให้มือเป็นระวิง เพื่อทำความรู้จักและผูกสัมพันธ์เอาไว้ และแน่นอนว่ามีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่แสดงความสนใจเธออย่างออกนอกหน้า
สำหรับเรื่องนี้ เธอรู้จักใช้ข้อได้เปรียบของตัวเองให้เป็นประโยชน์ นอกจากหาข่าวและสร้างเส้นสายแล้ว ถ้ามีผู้ชายที่พอใช้ได้เธอก็รับไว้พิจารณาเหมือนกัน
ขณะที่หญิงสาวกำลังพูดคุยหยอกล้อกับผู้ชายทั้งกลุ่ม ก็มีเสียงนุ่มนวลชวนฝันเรียกชื่อเล่นของเธออย่างสนิทสนมดังมาจากข้างหลัง
“ฉิน”
จนถึงขณะนี้คนที่เรียกชื่อเธอแบบนี้ได้มีเพียงคนเดียว
เธอมองไปด้านข้างแล้วรู้สึกประหลาดใจ เพราะคนที่มาคือเจสันนั่นเอง และเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นก็ดูโดดเด่นเหนือผู้ชายคนอื่นเสมอ
หากเริ่มต้นจากความสูง หนุ่มฝรั่งอย่างเขาเกิดมาก็ได้เปรียบหนุ่มเอเชียในเรื่องนี้อยู่แล้ว บวกกับเป็นคนหน้าตาดี รวมถึงชุดสูทและนาฬิกาฝังเพชรที่บอกราคาแพงระยับ แค่มาดของเขาก็เอาชนะผู้ชายทุกคนได้อย่างราบคาบ
พอเจสันเข้ามาร่วมวง ในตอนแรกลู่ฉินยังแกล้งตีหน้ากลมกลืนไปได้ แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ผู้ชายที่เดิมกำลังคุยอยู่กับเธอดีๆ ถึงได้อ้างว่าติดธุระแล้วขอตัวออกไปทีละคนๆ จนสุดท้ายเหลือแค่เธอกับเจสัน
เธอหุบยิ้มแล้วจ้องหน้าเขา
“คุณไล่คนอื่นไปหมดแล้ว”
“งั้นเหรอ” เจสันทำหน้าแปลกใจ
“คุณจะมาก็มาสิ ทำไมต้องจงใจแกล้งทำสนิทสนมกับฉันต่อหน้าคนอื่นด้วย”
“ผมทำอย่างนั้นด้วยเหรอ” เขาทำหน้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นมากยิ่งขึ้น
“ทำไมจะไม่ทำ มือคุณทำอะไรอยู่ วางตรงไหนไม่วาง ทำไมถึงต้องมาวางบนไหล่ฉันด้วย”
“อา ขอโทษที” เขารีบเอามือออกก่อนจะยิ้มประจบ “ผมลืมตัวไปหน่อยเลยเอามือไปวางบนไหล่คุณตามความเคยชิน”
เธอเหล่ตามองเขาพลางนึกสงสัยว่าเขาต้องตั้งใจแน่ๆ ตอนแรกมีผู้ชายเข้ามาพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะกับเธอเป็นโขยง พอเจสันมาถึงก็เอามือโอบไหล่เธอไว้ ทำให้ผู้ชายพวกนั้นเข้าใจผิดคิดว่าเธอมีเจ้าของแล้ว จึงเป็นเหตุให้เธอเสียโอกาสไปเลย
“กลางวันแสกๆ ไม่รู้จักอยู่ในโลงศพของคุณ ออกมาที่นี่ทำไม”
“วันนี้ฟ้าครึ้ม ผมเลยคึกคักกระฉับกระเฉงดี เลยอยู่โต้ดึกได้”
สำหรับคนปกติทั่วไปแล้ว เวลาไม่นอนทั้งคืนเรียกว่าโต้รุ่ง แต่เมื่อแวมไพร์ไม่นอนตอนกลางวันก็ควรเรียกว่าโต้ดึก
คงไม่ใช่ว่าเขาอยากตามเธอมา เลยฝืนตัวเองให้ปรากฏตัวตอนกลางวันหรอกมั้ง แต่พอดูเขาให้ดีแล้ว หน้าของเขาซีดไปหน่อย ไม่สดชื่นแจ่มใสเหมือนตอนกลางคืน พาลให้เธออดเป็นห่วงไม่ได้
“คุณไม่เป็นไรนะ คุณดูท่าทางไม่ค่อยดีเลย ถึงจะอยู่ข้างใน แต่ยังไงก็ยังกลางวันอยู่ คงจะมีผลกับคุณบ้าง”
นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายวับ ฉายแววยิ้มน้อยๆ
“ทำให้คุณเป็นห่วงได้ ต่อให้มีผลก็ถือว่าคุ้มค่า”
“อย่ามาลามปาม ฉันไม่ได้เป็นห่วงสักหน่อย ฉันเป็นแค่เพื่อนของคุณนะ”
“แต่ผมอยากเป็นแฟนของคุณมากกว่า”
“เป็นไปไม่ได้”
“ไม่เป็นไร ถ้าเป็นคุณ ความอดทนของผมมีไม่จำกัด”
เธอถลึงตามองเขา ทั้งๆ ที่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ปากหวานและหน้าด้านหน้าทน แต่เธอโกรธเขาไม่ลงจริงๆ สักที
ไม่ได้นะลู่ฉิน อย่าถลำตัวลงไป ทันทีที่ตกหลุมรักเขา เธอก็จะถอนตัวไม่ขึ้น สติสัมปชัญญะเตือนเธอไม่ให้หลงผิดชั่ววูบ เธอจะต้องตั้งใจหาแฟนใหม่ให้ได้
แต่ไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหน พอมีผู้ชายเข้าใกล้เธอ เจสันก็จะปรากฏตัวขึ้นในเวลานั้นพอดีและวางท่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเธอ เป็นเหตุให้ดอกรักไม่ทันจะบานก็ต้องเหี่ยวเฉาไป
เธอโกรธจนอดหมุนตัวไปถลึงตาใส่เขาไม่ได้
“ขอร้อง อยู่ห่างๆ ฉันหน่อย อย่ามายืนอยู่ข้างฉัน”
“ทำไมล่ะ”
เธอมองซ้ายมองขวา จากนั้นกัดฟันพูดเสียงเบา “คนอื่นจะนึกว่าคุณเป็นแฟนของฉันน่ะสิ”
ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับ “งั้นก็ดีมากเลย”
ดีนักนะ เขายังทำเป็นหลงระเริงดีใจอยู่ได้ เจตนาจะหาเรื่องเธอนี่นา
“อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะว่าคุณตั้งใจยืนอยู่ข้างๆ ฉันเพื่อทำให้คนอื่นนึกว่าคุณเป็นแฟนของฉันยังไม่พอ ดึกๆ ดื่นๆ คุณยังแอบไปที่บ้านฉันจนถูกเพื่อนบ้านเห็นเข้า แล้วพวกปากหอยปากปูก็เอาไปบอกต่อๆ กันจนคิดกันไปหมดแล้วว่าฉันอยู่กับผู้ชาย”
“ไม่เป็นไร ผมยินดีรับผิดชอบ” เขาพูดพลางเอามือโอบไหล่เธออย่างแนบเนียน
“รับผิดชอบบ้าบอน่ะสิ นี่มันยุคไหนแล้ว ใครอยากให้คุณมารับผิดชอบกัน!”
เธอเอาศอกกระทุ้งเข้าไปที่ท้อง เขาเจ็บจนร้องเสียงหลง
“ผมเจ็บนะ”
เธอเอ่ยเสียงเยาะ “อยากหาเรื่องดีนัก ฉันขอเตือนคุณไว้เลย ยืนอยู่ตรงนี้ห้ามขยับไปไหน เดี๋ยวฉันจะไปทางนั้น ห้ามตามมา” เธอสั่งเขาไปพร้อมกับเดินไปอีกทางหนึ่ง
ขณะที่หญิงสาวเดินไปก็หันหลังกลับมาดูเป็นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตามมาอีก ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สังเกตว่าข้างหน้ามีพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งที่ประคองถาดเครื่องดื่มเอาไว้กำลังเดินตรงมาทางเธอ ขณะที่จวนเจียนจะชนกัน พอเธอหันหน้ากลับมาก็ไม่ทันการแล้ว
แย่แล้ว!
เธอใจหายวาบเพราะรู้ว่ายั้งเท้าไว้ไม่ทันแล้ว เสร็จแน่!
แต่ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วินาที ถาดเครื่องดื่มที่ตอนแรกกำลังจะถูกชนกลับเลี้ยวหลบไปต่อหน้าต่อตาเธอ เอ๊ะ? ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ถาดเครื่องดื่มเลี้ยวหลบ แต่เป็นเธอที่เบี่ยงตัวออกด้านข้างต่างหาก
แก้วเหล้าทุกใบบนถาดซึ่งเทไวน์และแชมเปญไว้เกือบเต็มยังคงตั้งอยู่บนนั้นอย่างเป็นปกติเช่นเดิม พนักงานเสิร์ฟถือถาดไว้อย่างมั่นคงโฉบผ่านหน้าเธอไปอย่างปลอดภัยแล้วเดินเข้าไปในกลุ่มคน
“เมื่อกี้หวิดไปแล้วจริงๆ ใช่มั้ยล่ะ”
เสียงคุ้นเคยดังมาจากเหนือศีรษะ ลู่ฉินเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับใบหน้าอมยิ้มของเจสัน
การที่เธอเบี่ยงตัวหลบได้ทันเป็นเพราะเจสันโอบเอวเธอเอาไว้และดึงตัวไปด้านข้าง ทำให้เธอไม่ต้องกลายเป็นตัวตลกกลางงาน
“ถึงคุณไม่ช่วยฉันก็หลบได้เหมือนกัน”
“หึ คุณนี่พูดโกหกได้หน้าตาเฉยเหมือนกันนะ”
“ถ้าฉันเดินชนก็เป็นเพราะคุณ ดังนั้นคุณช่วยฉันไว้ก็สมควรแล้ว ถือเป็นการทำคุณไถ่โทษ”
“นี่เขาเรียกว่าทำดีไม่ได้ดีหรือเปล่านะ”
“ฉันว่าที่คุณช่วยฉันก็เพราะจะฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งฉันมากกว่า รีบปล่อยเลยนะ”
แขนของเขายังโอบอยู่ตรงเอวของเธออยู่ แล้วมีคนเห็นตั้งมากมายแบบนี้อีก คราวนี้เธอจะแก้ตัวยังไงก็คงฟังไม่ขึ้น ส่วนคนที่ไม่รู้จักต้องคิดแน่ว่าเธอมีเจ้าของแล้ว
แล้วเขาก็ช่างมีเรี่ยวแรงเยอะเหลือเกิน เหมือนเอวเธอถูกรัดด้วยปลอกเหล็ก เธอใช้มือทั้งสองข้างก็ยังแงะไม่ออก คนในงานมีมากมายจะอาละวาดก็ไม่ได้ เธอจึงต้องฝืนทนไว้เพื่อรักษาภาพพจน์
แชะ!
เธอตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเสียงอันแสนจะคุ้นเคย เธอช้อนตาขึ้นมองด้านหน้า กล้องตัวหนึ่งส่งเสียงดังแชะใส่เธออีกครั้ง ผู้ชายที่ถือกล้องเอาไว้คือไซมอน เพื่อนร่วมงานของเธอนั่นเอง นอกจากเขาแล้วยังมีนักข่าวของหนังสือพิมพ์และสื่ออื่นๆ อีกด้วย
คราวนี้ทุกคนเลยได้เห็นกันหมดว่าเธอถูกเจสันกอดเอาไว้ เท่ากับเป็นการประกาศว่าเธอกับเจสันมีความสัมพันธ์กันแบบไม่ธรรมดา
ไซมอนยักคิ้วหลิ่วตาให้เธอ สายตาแฝงนัยล้อเลียน
เธอรู้ว่าสายตาแบบนั้นของไซมอนหมายความว่าอะไร เขาต้องคิดแน่ว่าเธอคืนดีกับแฟนเก่าแล้วและกำลังพลอดรักกันอยู่
พลอดรักบ้าบอคอแตกน่ะสิ แล้วทำไมเขาต้องยิ้มกริ่มแบบนั้นด้วย คนที่มาเห็นจะเป็นใครก็ไม่ได้ ดันต้องเป็นไซมอนที่ปากไม่มีหูรูดและชอบซุบซิบนินทาที่สุด
“เพื่อนคุณเหรอ” เจสันถามเบาๆ ที่ข้างหูเธอ
“ไม่รู้จัก”
ผู้ชายที่เธอเพิ่งบอกว่าไม่รู้จักเดินตรงเข้ามาหาและยื่นมือให้เจสัน
“ไฮ หวัดดีครับ ผมไซมอน เป็นเพื่อนร่วมงานของลู่ฉิน”
ลู่ฉินอดกลอกตาขึ้นไม่ได้ เจสันเลิกคิ้วและยื่นมือไปจับกับเขาอย่างเป็นกันเอง
“ผมเจสันครับ เป็นแฟนของฉิน”
เธอถลึงตามองเจสัน เขาพูดบ้าอะไรเนี่ย
ไซมอนหัวเราะคิกคักขณะพูด “ผมรู้ครับ ลู่ฉินมีแฟนเป็นหนุ่มอังกฤษทั้งหล่อทั้งเก่ง พูดจีนได้คล่อง มีใบประกอบโรคศิลป์ และเป็นหมอนิติเวชที่ดังมากๆ”
เจสันคาดไม่ถึง “ฉินเคยพูดถึงผมให้คุณฟังเหรอ”
“เปล่าสักหน่อย” เธอรีบเถียงแทรกขึ้นมาทันทีเพื่อไม่ให้เขาเข้าข้างตัวเองเกินไป
“คุณดังมากในวงการนิติเวช เราเป็นนักข่าวเลยรู้เรื่องพวกนี้ดี”
เจสันพยักหน้าเข้าใจ “แบบนี้นี่เอง ผมนึกว่าฉินเคยพูดถึงผมให้พวกคุณ
เรื่องอะไรต้องมาทำหน้าละห้อยด้วย เดี๋ยวคนนอกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางก็คิดว่าเธอใจดำกับเขาเกินไปหรอก
“ผมก็บอกลู่ฉินไปแล้ว มีแฟนดีขนาดนี้แล้วอย่าปล่อยให้หลุดมือ ตอนที่เขาบอกว่าเลิกกับคุณแล้ว ผมยังต่อว่าเขายกใหญ่เลย”
เจสันแสดงสีหน้าซาบซึ้งใจ “ขอบคุณครับที่ช่วยพูดให้ผม ตอนที่เขาขอแยกทาง ผมเสียใจอยู่นานเลย”
เดี๋ยวก่อน เขาเสียใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เธอจำได้ว่ามีบางคนทำเหมือนไม่สนใจเรื่องที่แยกทางกันสักนิด แถมยังมาแต๊ะอั๋งเธอเหมือนเดิม ตอนดึกยังแอบเข้ามาในบ้านขัดขวางการเดตของเธออีก
“แต่ผมยังไม่ยอมแพ้หรอก ผมจะทำให้เธอเปลี่ยนความคิด และจะพยายามเต็มที่เพื่อชนะใจเธออีกครั้ง”
โกหก! เธอคิดว่าเขาแค่ยังไม่เบื่อเธอต่างหาก เลยจงใจแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเพื่อทำให้เธอขายไม่ออก ไม่มีคนสนใจ และทำให้คนที่ตอนแรกอยากจีบเธอพากันล่าถอยไปกันหมด น่าเจ็บใจจริงๆ
“คุณดีกับลู่ฉินมาก น่าประทับใจจริงๆ”
ตาบ้าไซมอน เกี่ยวอะไรกับนายด้วย มาทำเป็นประทับใจหาสวรรค์วิมานอะไร
“ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะช่วยดูแลลู่ฉินให้ดีๆ ไม่ให้ผู้ชายคนอื่นมาแย่งแฟนคุณได้”
นายเป็นแม่ฉันหรือไง ประสาท!
“งั้นก็รบกวนคุณด้วยนะครับ”
ชายสองคนคุยกันอย่างถูกคอ ไซมอนซึ่งชอบคนหน้าตาดีและเพอร์เฟ็กต์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงรู้สึกชื่นชมเจสันอย่างมาก แถมยังยื่นนามบัตรให้เขาและบอกเจสันให้มาหาเขาได้ถ้ามีอะไรให้ช่วย
เธอรู้ว่าเจสันมีเสน่ห์ดึงดูดใจสาวๆ มาก แต่ไม่นึกว่าเขาจะเป็นที่ชื่นชอบของพวกผู้ชายด้วยเหมือนกัน
“ผมไม่รบกวนคุณสองคนแล้ว วันหลังว่างๆ ค่อยคุยกันนะครับ” ไซมอนเอ่ยขึ้นก่อนขยิบตาให้ลู่ฉินเป็นเชิงบอกให้เธอคว้าโอกาสไว้ให้ดี
ในเมื่อเธอดึงแขนของเจสันไม่ออกและไม่สามารถอาละวาดกลางงานเลี้ยงใหญ่โตได้ เธอเลยเลิกดิ้นรน ทำเหมือนยอมอยู่ในอ้อมแขนของเขาแต่โดยดี
เจสันก็รู้สึกเหมือนกันว่าเธอไม่ได้ดิ้นขัดขืนแล้ว เขาประหลาดใจมากจึงก้มหน้ามองเธอ
“ทำไมจู่ๆ ก็อยู่นิ่งๆ เหมือนลูกแมวเลย”
เธอถอนหายใจ “ฉันจะทำยังไงได้ ใครๆ ก็เห็นหมดแล้วว่าคุณโอบเอวฉันอยู่ ทุกคนคงคิดว่าคุณเป็นแฟนของฉันไปแล้ว ฉันดิ้นไปก็เสียแรงเปล่า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไปเถอะ”
เขาได้ยินแล้วลิงโลดใจ “คุณหมายความว่า...”
“ความหมายก็คือฉันจนปัญญากับคุณแล้ว”
เธอค่อยๆ เอาหน้าเข้าไปพิงอ้อมอกแข็งแกร่งเหมือนยอมอ่อนข้อและสยบให้กับความดึงดันเอาแต่ใจของเขา
เขาประหลาดใจระคนยินดีที่ลู่ฉินทำตัวออดอ้อนฉอเลาะอย่างที่ไม่เป็นบ่อยนัก แล้วสิ่งที่เธอทำต่อจากนั้นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกปลาบปลื้มใจจนแทบตั้งตัวไม่ติด เพราะเธอเอาริมฝีปากอุ่นๆ ซุกไซ้ที่คอของเขา
“ฉิน?”
เรียวแขนนวลเนียนโอบรอบคอเจสันไว้หลวมๆ เขาทั้งแปลกใจและดีใจ เพราะรับรู้ว่าลิ้นเล็กๆ อ่อนนุ่มกำลังเลียคอเขาเบาๆ ชวนให้สุขสันต์และเบิกบานใจอย่างยิ่ง นัยน์ตาสีฟ้าเข้มจัดขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ให้ตายสิ ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาร้อนรุ่มขึ้นมาได้อย่างง่ายดายจนห้ามใจไว้ไม่อยู่ เหมือนมีกระแสความร้อนวิ่งวนไปทั่วตัว
เขาชอบความดุดันของเธอ ท่าทางเวลาเธอดุเป็นสเป็กแบบที่เขาชอบเลย แต่พอเธอจะทำท่าขี้อ้อนเหมือนสาวน้อยก็ให้รสชาติน่าตื่นตาตื่นใจไปอีกแบบหนึ่ง
เธอเริ่มเป็นฝ่ายรุกกะทันหันแบบนี้ ทำให้เลือดในตัวเขาเดือดพล่าน ปกติเขามักจะเป็นฝ่ายรุกผู้หญิงก่อน แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีบางอย่างที่พิเศษยากจะบรรยายออกมาได้ จูบของเธอทำให้หัวใจที่ตายสนิทของเขากลับมาเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ
การแอบลูบคลำกันกลางที่สาธารณะสร้างความตื่นเต้นได้มาก มือเล็กบอบบางของสาวน้อยในอ้อมอกล้วงเข้าไปในเสื้อนอกของเขาและลูบไล้แผงอกไปมาผ่านเสื้อเชิ้ต
ความใจกล้าของเธอทำให้เลือดของเขาสูบฉีดอย่างแรง มือเล็กนุ่มนิ่มไม่เพียงแต่ลูบไล้แผงอกบึกบึนแข็งแกร่งเท่านั้น ยังหยุดอยู่ตรงยอดอกและจงใจเค้นคลึง ทำให้เขาเริ่มหายใจไม่เป็นจังหวะ
เขารู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ต้องชอบเขา และรู้ว่าภายใต้รูปลักษณ์ที่เย็นชา เธอจะต้องมีความรู้สึกที่เร่าร้อนแน่ๆ
การปลุกความเร่าร้อนของเธอเป็นงานที่เขายินดีทำโดยไม่มีวันเบื่อ
“ฉิน แม่สาวน้อยซุกซน” เขาครางเสียงเบา “ยั่วผมกลางงานเลี้ยงแบบนี้ตั้งใจจะทำให้ผมตื่นเต้นใช่มั้ย”
ดวงหน้าซึ่งซบอยู่บนอกเงยขึ้น ส่งยิ้มออดอ้อนแสนซนให้
“คุณตื่นเต้นแล้วใช่มั้ย”
“ถ้าไม่ได้ใส่เสื้อสูทเอาไว้ คงจะให้ใครเห็นท่อนล่างของผมไม่ได้แน่”
ใบหน้างดงามและรอยยิ้มน่าหลงใหลบนริมฝีปากของเธอสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาสีฟ้าเข้มจัดทอประกายเจิดจ้า และแฝงไว้ด้วยความใคร่รางๆ
“แค่นี้ก็ตื่นเต้นแล้วเหรอ แล้วแบบนี้ล่ะ?”
สิ่งที่หญิงสาวทำต่อไปยิ่งบ้าบิ่นมากขึ้น เธอเอาหน้าซุกไปในอ้อมแขนของเขาแล้วงับปลายยอดอกทั้งๆ ที่มีเสื้อกั้นขวางเอาไว้จนเขาอดสูดหายใจลึกไม่ได้
เขารู้สึกถึงลิ้นอ่อนนุ่มของเธอ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าปลายยอดอกของตัวเองจะอ่อนไหวขนาดนี้ แล้วก็...เจ็บ!!!
เจสันสูดลมหายใจลึกอยู่ดีๆ ก็ต้องสะดุ้งเฮือกขึ้นมา เขาตกจากสวรรค์ลงสู่นรกในฉับพลัน เพราะลู่ฉินกำลังใช้ฟันของแม่เสือกัดปลายยอดอกอ่อนไหวของเขาเอาไว้ แม้เขาจะเป็นแวมไพร์ที่เก่งฉกาจฉกรรจ์ แต่ถูกกัดที่ยอดอกก็ทำให้เจ็บจนหน้ามืดได้
เขาร้องออกมาท่ามกลางผู้คนเต็มห้องไม่ได้ จึงได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ เหงื่อกาฬไหลลงมาจากใบหน้าขาวซีดไม่หยุด
“ที่รัก...อย่ากัดเลยนะ...มันเจ็บมาก...”
ใบหน้าสวยงามซึ่งซุกอยู่บนแผงอกเขาเงยขึ้นมา และทำสีหน้าแบบปีศาจน้อยออกมาแทนที่
“คุณหาเรื่องใส่ตัวเองนะ ใครใช้ให้คุณมาทำฉันเสียเรื่องหมดเลย”
ฮึ ต่อให้เขาเป็นแวมไพร์ เธอก็กัดไม่เลี้ยง
เจสันอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก เพราะยังต้องรักษาภาพพจน์ไว้ต่อหน้าคนอื่น ใบหน้าของเขามีเหงื่อเม็ดโป้งผุดพราย แม้แต่เส้นเลือดก็ปูดโปนออกมาแล้ว ตอนแรกเขากอดเธอไว้ แต่ตอนนี้เธอกลับเป็นฝ่ายกอดเขากลับ ทำให้เขาหนีไปไหนไม่ได้
“ผมกลัวคุณแล้วก็ได้...ที่รัก เลิกกัดได้แล้ว...”
เขาปล่อยมือยอมแพ้ ไม่กอดเอวเธอไว้อีกต่อไป
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วพูดกับเขายิ้มๆ “คุณชอบโอบเอวฉันไม่ใช่เหรอ”
“ไม่โอบแล้ว คุณเป็นอิสระแล้ว”
“คุณชอบตามฉันต้อยๆ ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ตามแล้ว คุณเป็นอิสระแล้ว”
เธอเอียงคอพลางกะพริบตาอย่างไร้เดียงสาไม่มีพิษภัย “จริงนะ?”
“ฟันคุณคมขนาดนี้ ผมจะกล้าตามตื๊อคุณอีกได้ไง ขอแค่คุณอย่ากัดหน้าอกผมหลุดออกมาก็แล้วกัน”
“คุณขอร้องอยู่ใช่มั้ย”
“ใช่”
เธอใช้ความคิด ดวงตาสุกใสกลอกไปมาก่อนจะพยักหน้า
“แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
เธอรู้สึกพึงพอใจแล้วถึงได้ปล่อยเขา
พอเธอปล่อยมือ เจสันก็รีบถอยห่างทันทีพลางนวดหน้าอกที่ถูกกัด
“โอ้โห เจ็บแทบตายเลยจริงๆ”
ลู่ฉินอมยิ้มอย่างมีชัย แล้วหยิบกระดาษทิชชูจากกระเป๋าถือออกมาเช็ดปาก
“ทางที่ดีคุณอย่าตามฉันมาอีก นอกจากคุณอยากลองดีอีกครั้งนะ ที่รัก”
เธอจงใจพูดคำสุดท้ายอย่างหวานจ๋อย ทำให้เจสันไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ได้ๆๆ ผมกลัวคุณแล้วจริงๆ คุณชนะแล้ว”
“เข้าใจก็ดีแล้ว ห้ามตามฉันมาอีกนะ”
ฮึ เธออยากให้เขารู้ว่าอย่ามาตอแยกับเธอให้มากนัก หญิงสาวแน่ใจว่าเขาไม่กล้าตามเธอมาอีก จึงหมุนตัวจะเดินไปอย่างวางใจเต็มที่
“ฉิน”
“มีอะไร”
เธอไม่ได้คิดอะไรมากจึงคาดไม่ถึงว่าเขาจะเล่นไม้นี้ เพราะไม่นึกว่าคนที่เพิ่งโดนสั่งสอนไปหมาดๆ ยังกล้าอาศัยจังหวะที่เธอหันหน้ากลับไปโฉบลงมาที่ปากเธอและขโมยจูบไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
“คุณ...”
เจสันถอยออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่กำปั้นจะเหวี่ยงมาโดน แล้วส่งจูบให้เธอ
“ที่รัก ผมไปก่อนนะ อย่าแอบนอกใจผมล่ะ บาย”
หลังจากเขาขยิบตาให้เธอแล้วก็หายเข้าไปในกลุ่มคน ทิ้งเธอไว้ตามลำพังอยู่ที่เดิม ขณะที่เธอกำลังโมโหจนคิดจะด่ากราดเป็นชุด จู่ๆ ก็เห็นสายตารอบข้างกำลังมองมาที่เธอ
เธอรู้ได้จากสายตาของพวกเขาว่าทุกคนเห็นภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้หมดแล้ว จึงอดโอดครวญอยู่ในใจไม่ได้ว่าเธอหลงกลเจสันอีกแล้ว
เขาเจตนาจูบเธอก่อนที่จะไปเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงของเขา
ความคิดเห็น