คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3
บทที่ 3
กลางดึกในคืนหนึ่งหลังจากผ่านไปสองเดือน
ทิวทัศน์ยามราตรีในคืนนี้งดงามมาก แต่ลู่ฉินสวยบาดตาบาดใจยิ่งกว่า ผิวขาวนวลของเธอสดใสเปล่งปลั่ง ใบหน้าสะสวยพริ้มเพรา ทรวดทรงองค์เอวอ้อนแอ้น หญิงสาวดูงามลึกลับน่าลุ่มหลงมากยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์
หลังจากดื่มเหล้าเข้าไปหลายแก้ว ชายหนุ่มก็มองเธอด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนา
ลู่ฉินอยากให้เขากล้ารุกต่อไปอีกขั้น จึงไม่แสดงท่าทางเย็นชาถือตัวแบบสาวสวยจอมหยิ่ง และพยายามไม่ทำตัวเหมือนดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมจนคนที่ตามจีบเธอเข็ดขยาดไปตามๆ กัน
หญิงสาวรู้ดีว่าในสายตาคนภายนอก เธอเป็นสาวสวยขนานแท้ ขณะเดียวกันเธอก็รู้ว่าความดุของเธอทำให้คนกลัวลนลาน
ผู้ชายที่กล้าจีบเธอล้วนแล้วแต่จะต้องมีดีพอตัว และในตอนนี้บนหน้าของผู้ชายที่มีดีพอตัวคนนี้มีคำว่า ‘อยากงาบเธอ’ โชว์หราอยู่
เธอไม่ว่าอะไรเมื่อชายหนุ่มเอามือมากอดเอวเธอไว้หลวมๆ ปากเล็กน่าจูบสีแดงสดสวยหวานเย้ายวนใจหยักยิ้มน้อยๆ ยื่นให้ชายหนุ่ม ส่งผลให้อีกฝ่ายมีกำลังใจขึ้นอีกมากโข
ลมหายใจของชายหนุ่มซึ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ บอกเจตนาชัดว่าต้องการจูบเธอ หญิงสาวจึงหลับตาลงช้าๆ เพื่อเปิดทางสะดวกให้อีกฝ่ายได้ฉวยโอกาสเต็มที่ เฝ้ารอริมฝีปากอุ่นร้อนของเขาแนบบน...
หญิงสาวรออยู่เป็นนาน ระยะใกล้แค่นี้น่าจะถึงได้แล้วมั้ง เจ้าหมอนี่ทำอะไรอยู่กันแน่นะ อยากจะจูบก็กล้าๆ หน่อย ยังจะมัวรีรออะไรอยู่อีก
ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวจึงลืมตาขึ้นแล้วมองผู้ชายตรงหน้าอย่างสงสัย เธอสังเกตเห็นว่าเขานิ่งแข็งอยู่ในท่าเดิมโดยไม่ขยับตัวสักนิดราวกับว่ากลายเป็นหุ่นไปแล้ว
เธอแบมือออกโบกไปโบกมาตรงหน้าเขา นอกจากชายหนุ่มจะไม่มีการตอบสนองแล้วยังไม่กะพริบตาเลยสักครั้ง เขาหยุดอยู่กับที่อย่างนั้นเหมือนเวลาในส่วนของเขาหยุดเดิน ส่งผลให้เขานิ่งเป็นหุ่น
“ผมจะไม่ยอมให้ผู้ชายหน้าไหนแตะต้องแฟนของผม”
เสียงทุ้มต่ำดังใกล้ๆ หูเธอ และมีแขนข้างหนึ่งโอบรอบเอวเล็กคอดกิ่วของเธอจากด้านหลัง
เธอถูกพันธนาการอยู่ในอ้อมอกอ่อนโยนแต่แข็งแกร่งอย่างอุกอาจ ลมหายใจรินรดตรงข้างหูพาให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะ เขาปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีใครรู้และลึกลับดุจม่านราตรีคลี่คลุม
“ฉันไม่ใช่แฟนของคุณสักหน่อย” หญิงสาวโต้กลับ เธอน่าจะคิดได้แต่แรกแล้วว่าเป็นฝีมือของเขา
เจสันเป็นหนุ่มชาวอังกฤษที่มีนัยน์ตาสีฟ้าสดใสและพูดภาษาจีนได้คล่องปรื๋อ ใบหน้าหล่อเข้มคมคาย เสน่ห์แรง เป็นสุภาพบุรุษ ทั้งยังอ่อนโยนและมีเงินทองมากมาย ถือได้ว่าเป็นผู้ชายในอุดมคติของสาวๆ ทั้งหลาย แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นแวมไพร์ที่อยู่มานานสามร้อยกว่าปี และยังเป็นแฟนเก่าของเธอด้วย
เจสันไม่โกรธที่เธอปฏิเสธ ตรงกันข้าม เขากลับยิ้มออกมาพลางสูดกลิ่นจากเรือนผมของเธอเบาๆ และกอดร่างแบบบางอ่อนนุ่มเพื่อสัมผัสเลือดอุ่นๆ ที่ไหลเวียนอยู่ใต้ผิวหนัง
เธอสงบนิ่งมาก ไม่มีอาการตื่นเต้นลนลาน ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาเป็นแวมไพร์ แต่เธอกลับไม่กลัวเขาสักนิดซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาชอบ
เธอเป็นคนหน้าตาสวย ดูลึกลับแบบสาวงามชาวตะวันออก นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาชอบอีกเช่นกัน แต่สิ่งที่เขารักที่สุดในตัวผู้หญิงคนนี้ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง เมื่อเดือนที่แล้วเธอเพิ่งจะบอกเลิกกับเขา
“คุณบอกเลิกผมเพราะผู้ชายคนนี้เหรอ”
“พูดให้ถูกหน่อย เพราะคุณเป็นแวมไพร์ต่างหากฉันถึงได้ขอเลิกกับคุณ ปล่อยฉันนะ” เธอเอ่ยเตือนเขาด้วยท่าทางเอาเรื่อง “ถ้าคุณกล้ากัดฉัน ฉันไม่ปล่อยคุณไว้แน่”
เจสันมองเธอด้วยสายตาชื่นชมอย่างยิ่งยวด
“รู้มั้ย ท่าทางตอนคุณโกรธน่ารักจริงๆ”
เขารักเธอตรงจุดนี้ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงตกใจร้องไห้ไปแล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้ยังคงใจเย็นมาก แถมยังกล้าต่อต้านเขาด้วย
“เพราะคุณยังไม่เคยเห็นท่าทางเวลาฉันวีนแตกน่ะสิ ถ้าฉันโมโหขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ ไม่มีใครเอาอยู่ทั้งนั้น”
“คุณเก่งกล้าขนาดนี้ผมจะกล้ากัดคุณได้ไง วันนั้นคุณต่างหากที่กัดผมจนเจ็บแทบแย่ ทำกันได้ลงคอจริงๆ เลยนะ”
“สมน้ำหน้า ใครใช้ให้คุณเป็นแวมไพร์ล่ะ”
เขาส่ายหัวพลางทำหน้าใสซื่อ “ใจร้ายจัง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นน่าสงสารเลย”
เธอเคยเห็นพวกผู้ชายหน้าด้านมาแล้ว แต่แวมไพร์หน้าหนาแถมยังขี้อ้อนแบบนี้เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
“นี่แฟนใหม่ของคุณเหรอ”
“ไม่เกี่ยวกับคุณ รีบปล่อยฉันนะ”
น่าเจ็บใจจริงๆ ไม่ว่าจะดิ้นยังไงก็ดึงแขนที่รัดเธอแน่นไม่ออกสักที เขาทำท่าเหมือนกับว่าพวกเขาสองคนยังเป็นคู่รักหวานซึ้งกันอยู่ แม้เขาจะเป็นแวมไพร์ แต่เธอรู้แก่ใจดีว่าผู้ชายแบบนี้เป็นสเป็กที่เธอชอบ เพียงแต่เธอไม่อยากจะยอมรับเท่านั้นเอง
“ต้องเกี่ยวสิ ผมเป็นแฟนของคุณนะ”
“แฟนเก่าต่างหาก” เธอบอกอย่างชัดเจน “พวกเราเป็นอดีตไปแล้ว คนข้างๆ นี่ต่างหากถึงจะเป็นคนปัจจุบัน”
เธอชี้นิ้วไปที่ผู้ชายซึ่งถูกเขาสะกดจิตไว้จนตัวแข็งเป็นหุ่น
ดวงตาของเจสันทอประกายเจ้าเล่ห์ขึ้นมาวูบหนึ่ง “เขาไม่คู่ควรกับคุณ”
“คู่ควรหรือเปล่าฉันเป็นคนตัดสินเอง เลิกสะกดจิตเขาได้แล้ว”
เธอรู้ว่าเจสันเป็นคนสะกดจิตชายหนุ่ม และมีแต่เขาเท่านั้นที่มีความสามารถทำได้
“เลิกสะกดจิตแล้วให้เขาจูบคุณน่ะเหรอ ไม่มีทางหรอก”
หลังจากที่เขาได้ลิ้มรสกลีบปากหอมหวานมีเสน่ห์นี้แล้วจะทนยอมให้คนอื่นมาแย่งสิทธิ์ของเขาไปได้ยังไง มือหนาใหญ่ประคองดวงหน้าเล็กแค่ฝ่ามือให้ดวงตาสุกใสดื้อรั้นมองเขา แล้วเอ่ยเตือนสติเธออย่างชัดถ้อยชัดคำ
“คุณไม่ได้รักเขาสักหน่อย”
หัวใจของลู่ฉินกระตุกวูบ แต่ยังทำปากแข็งพูดย้อนเขา “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่รักเขา”
“ตอนที่เขาจะจูบคุณ หัวใจของคุณเต้นเป็นปกติ ความดันเลือดไม่สูงขึ้น ไม่ได้รู้สึกใจเต้นระทึกเหมือนผู้หญิงที่กำลังมีความรักเลยสักนิด คุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลย ไม่เหมือนตอนที่ผมจูบคุณ...”
มือใหญ่ซึ่งตอนแรกลูบใบหน้าของเธออยู่เลื่อนมาวางทาบบนหน้าอกซ้าย เสียงทุ้มต่ำหวานจับใจยิ่งขึ้น
“ตรงนี้ของคุณเต้นเร็วกว่าปกติ”
“เปล่าเลย” เธอพูดเสียงเย็นชา
นัยน์ตาสีฟ้าลึกล้ำดุจทะเลเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง หน้ากากของสาวสวยเย็นชาคนนี้สามารถหลอกคนอื่นได้แต่หลอกเขาไม่ได้หรอก มุมปากบางเฉียบโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มท้าทาย
“งั้นเหรอ จะลองดูมั้ยล่ะ”
พอหญิงสาวจับได้ว่าเขามีเจตนาไม่บริสุทธิ์ก็ร้องลั่น
“ฉันไม่...”
เธอพูดออกมาได้เพียงแค่นี้ ปากนุ่มๆ ที่ไม่ยอมรับความจริงก็ถูกประกบจูบอย่างดูดดื่ม กลีบปากที่อ้าออกเปิดโอกาสให้เขากลืนเสียงร้องตกใจของเธอเอาไว้
พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้ลงมือทำเลยยังจะดีซะกว่า เพราะชายหนุ่มไม่คิดจะพูดให้เสียเวลาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาเพียงอยากทบทวนความทรงจำกับความหอมหวานของริมฝีปากแดงเรื่อนี้
ลิ้นร้อนแทรกเข้าไปกระหวัดเกี่ยวลิ้นเล็กนุ่มนิ่มอย่างอ่อนโยนและเอาแต่ใจ ปากและลิ้นที่ประกบบดเบียดกันเป็นเหมือนความรู้สึกของคนทั้งสองที่พัวพันลึกซึ้งจนแยกไม่ออก
เหมือนอย่างที่เขาพูดไว้ ไม่ว่าเธอจะยอมรับหรือไม่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหัวใจของเธอเต้นระรัว เลือดสูบฉีดแรงขึ้น นี่ไม่ใช่จูบแรกของเธอแต่กลับเป็นจูบยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา
เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ไม่กลัวเธอ ไม่หวาดหวั่นกับคำพูดเหน็บแนมถากถางและท่าทางเย็นชาร้ายกาจของเธอ บางครั้งเวลาที่เธอพูดจาโผงผางเขายังหัวเราะชอบใจด้วยซ้ำ ส่วนความใจกล้าหน้าด้านของเขานอกจากเธอจะไม่รังเกียจแล้วยังออกจะชอบมากๆ เสียด้วยซ้ำ ไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ประเภทที่อยากจีบแต่ใจไม่กล้าพอ แค่จะจับมือก็ลังเลอยู่นานสองนาน พอเธอส่งยิ้มให้กำลังใจเป็นใบเบิกทาง อีกฝ่ายก็ยังคิดแล้วคิดอีกกว่าจะรวบรวมความกล้าทำอะไรสักที
หญิงสาวโดนเขาจูบจนอารมณ์กระเจิดกระเจิง ไม่สามารถปฏิเสธสัมผัสของเขาที่รุกล้ำเข้ามาอย่างได้ใจจนถึงลำคออันอ่อนไหว ชวนให้รู้สึกชาๆ คันๆ และร้อนรุ่มไปหมดทั้งตัว
ว้าว ลีลาการจูบของเขาเยี่ยมยอดเหลือเกิน ความใจกล้าและสายตาที่มองมาอย่างไม่เคยปิดบังความกระหายอยากในตัวเธอเลยนั้นช่างต่างจากผู้ชายเอเชียที่ชอบเก็บความรู้สึกและหัวโบราณนัก
นอกจากเธอจะชอบจูบของเจสันแล้ว เธอยังชอบอารมณ์ขันของเขา และยิ่งชอบที่เขาเป็นคนเปิดเผยใจกล้า ไม่ยึกยักท่ามาก ทั้งยังพร้อมเป็นฝ่ายรุกเสมอ
เขาดีพร้อมทั้งรูปร่างและหน้าตา นับเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์สุดเท่คนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ทำไมผู้ชายที่ดีเลิศแบบนี้ต้องมาเป็นแวมไพร์ด้วยนะ
ไม่ได้! ยังไงเธอก็รับไม่ได้
หญิงสาวเรียกสติคืนมาได้ก่อนจะปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มไปมากกว่านี้ และพบว่าเขารุกรานมาถึงหน้าอกของเธอแล้ว เธอเลยผลักหัวที่กำลังซุกไซ้อยู่ตรงร่องอกออกไปอย่างแรง
“หยุดเลยนะ อย่ามาแตะต้องตัวฉัน”
เจสันที่กำลังจูบอย่างดุเดือดเมามันท้วงขึ้นอย่างอารมณ์ค้าง
“ทำไมล่ะ คุณก็ชอบมากเลยชัดๆ”
“ฉันไม่ได้ชอบนะ!”
ถึงตีให้ตายเธอก็ไม่ยอมรับ
“โกหก ผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นของคุณ แล้วก็รู้สึกได้ว่าเลือดในตัวคุณสูบฉีดไหลเวียนเร็วขึ้น ฉิน คุณชอบผมชัดๆ ทำไมต้องปฏิเสธผมด้วย”
ใช่แล้ว เธอชอบเขามาก จนกระทั่งถึงตอนนี้ในบรรดาผู้ชายที่เธอเคยคบหามา คนที่ทำให้เธอจิตใจปั่นป่วนมากที่สุดก็คือเขา
“เพราะคุณเป็นแวมไพร์”
“แต่ผมไม่ทำร้ายคุณหรอก”
“แต่ฉันไม่อยากเป็นแฟนของคุณอยู่ดี ไม่ว่าฉันจะรักหรือไม่รักผู้ชายคนนี้ อย่างน้อยที่สุดเขาก็เป็นคนปกติ ไม่มีเขี้ยวงอกออกมาตอนกลางดึก”
“เรื่องนั้นง่ายมาก ผมรับปากคุณได้เลยว่าจะพยายามไม่ให้คุณเห็นร่างเดิมของผม”
“นั่นไม่ใช่ประเด็น ฉันอยากคบกับผู้ชายธรรมดาๆ ไม่อยากมีแฟนที่สะกดจิตคนอื่นได้”
“ผมไม่สะกดจิตคุณหรอก”
“ใครจะไปรู้ล่ะ”
“ผมสาบานกับคุณก็ได้”
“คุณสาบานไปก็ไม่มีประโยชน์ มันเปลี่ยนแปลงความจริงที่คุณเป็นแวมไพร์ไม่ได้ ฉันไม่อยากคบกับแวมไพร์”
แม้เธอจะชอบเขา แต่สมองบอกเธอให้หยุดชอบเขา
ใบหน้าหล่อเหลาละห้อยลงทันที “ที่แท้คุณก็เป็นพวกเหยียดชาติพันธุ์”
“นี่ ขอทีเถอะ ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย คุณไม่ต้องทำเป็นน่าสงสารเลย!”
เขาแกล้งทำหน้าเศร้าจนเธอทั้งโกรธทั้งขำ
เธอใจแข็งขนาดนี้ แถมยังไม่ยอมให้เขาจูบอีก ชายหนุ่มเลยได้แต่แอบถอนหายใจ ตอนแรกเขานึกว่าจะจูบให้เธอเคลิ้มตามเพื่อหลอกล่อให้เธอยอมรับเขาสักหน่อย เฮ้อ พอไม่ใช้วิธีสะกดจิต เรื่องมันก็ยากขึ้นจริงๆ แล้วเขาก็ดันสะกดจิตเธอไม่ได้ซะด้วย
“แล้วเขาล่ะ? คุณไม่ยอมให้ผมแตะต้องตัวคุณ แต่กลับยอมให้ผู้ชายที่คุณไม่รักเลยสักนิดแตะต้องได้งั้นเหรอ”
“ใครบอกว่าฉันไม่รักเขา” เธอเพิ่งพูดจบก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าตัวเองพลาดไปแล้ว เพราะยังไงเจสันก็จับความรู้สึกจริงๆ ของเธอได้จากการเต้นของหัวใจและการสูบฉีดเลือด เธอเลยพูดแก้เป็นว่า “ฉันชื่นชมที่เขาเป็นคนซื่อๆ ไม่ได้หรือไง”
คำพูดนี้กลับทำให้เขาหัวเราะคิกออกมาราวกับว่าเธอพูดเรื่องตลกมาก
ลู่ฉินท้วงขึ้นมาอย่างไม่ยอมแพ้ “คุณหัวเราะทำไม”
“บอกตามตรง ไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนซื่อสักนิด”
“หมายความว่าไง”
“เขาพนันกับผู้ชายคนอื่นว่าคืนนี้จะได้นอนกับคุณหรือเปล่า”
ลู่ฉินถลึงตามองเจสันอย่างไม่เชื่อ “โกหก”
“ผมไม่ต้องใช้ลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้หลอกคุณหรอก คุณก็รู้ความสามารถของผมดีอยู่แล้ว ถ้าผมอยากได้ตัวคุณน่ะง่ายแค่พลิกฝ่ามือ เพียงแต่ผมไม่ได้ทำเท่านั้นเอง”
ลู่ฉินจ้องนัยน์ตาสีฟ้าเข้มดุจทะเลลึกคู่นั้น ในใจรู้ดีว่าเจสันอาจไม่ใช่คนที่อยู่ในกรอบของสังคม แต่เขาไม่ใช่คนต่ำทรามเด็ดขาด เขาพูดไม่ผิดว่าถ้าเขาอยากได้ตัวเธอจริงๆ เธอก็หนีไม่พ้น
ในใจเธอกรุ่นโกรธขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“ใครใช้ให้คุณวุ่นวายไปสืบ!”
“ผมไม่ได้สืบนะ ผมแค่บังเอิญได้ยินเท่านั้นเอง แล้วผมยังได้กลิ่นผู้หญิงอีกคนหนึ่งบนตัวเขาด้วย กลิ่นยังใหม่ๆ อยู่เลย แสดงว่าเขาเพิ่งอยู่กับผู้หญิงอื่นก่อนจะมาหาคุณ”
หญิงสาวทั้งตกใจทั้งโมโห เธอตกใจที่ได้ยินคำพูดนี้และโมโหที่ตัวเองเชื่อว่าเขาพูดเรื่องจริง และยิ่งโมโหที่เขายุ่งไม่เข้าเรื่อง เขาเล่นรู้ทันไปหมดซะทุกเรื่องแบบนี้แล้วเธอจะหาแฟนได้ยังไง
“ถึงจะจริงมันก็เป็นเรื่องของฉัน ปล่อยนะ!”
“ฉิน” เขาเรียกเธออย่างอ่อนหวาน
“ถ้ายังไม่ปล่อยอีก ฉันจะกัดคุณล่ะนะ!”
เธอดิ้นขัดขืนอย่างเดือดดาล หน้าแดงก่ำไปหมดด้วยความโมโห สายตาเกรี้ยวกราดเหมือนจะมีไฟปะทุออกมา เธอเตรียมลับเขี้ยวรอไว้แล้ว
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องกัดแล้ว ถึงแม่สาวตัวน้อยของเขาจะไม่มีเขี้ยวแหลมคมแบบแวมไพร์ แต่เธอกัดคนอื่นได้ชนิดไม่ปรานีปราศรัย และหนนี้เธอโกรธแล้วจริงๆ
เขารีบปล่อยเธออย่างรู้สถานการณ์ดี
“ได้ๆ อย่าโกรธนะ ผมปล่อยคุณก็หมดเรื่อง”
เขารู้จักดูสีหน้าว่าควรหยุดล้อเล่นกับเธอเมื่อไหร่ ไม่ว่าแม่สาวตัวน้อยจะดุขนาดไหน เขาก็ยังคงความเป็นสุภาพบุรุษเอาไว้และส่งรอยยิ้มน่าหลงใหลที่สุดให้เธอเสมอ เขายิ่งยิ้มมีเสน่ห์เย้ายวนใจ เธอก็ยิ่งฉุนกึก
“รีบไปให้พ้นๆ เลยนะ! ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณ!”
“ได้ ผมไปก็ได้ ไม่ต้องโมโห โอเค?”
แม้เขาจะยอมกลับแต่โดยดี แต่ก่อนไปจู่ๆ เขากลับยื่นหน้าเข้ามาประทับจูบบนปากเธอเป็นกู๊ดบายคิสโดยไม่ให้ตั้งตัวเลยสักนิด
เขาถอยตัวออกห่างอย่างว่องไวก่อนจะโดนฝ่ามือเธอตบเข้าให้ จากนั้นก็โค้งตัวบอกลาอย่างสุภาพแล้วจึงเหาะออกไปทางหน้าต่างหายตัวไปในแสงจันทร์
ลู่ฉินวิ่งถลาไปที่หน้าต่าง มองไปยังทิศทางที่เจสันหายไปและกระทืบเท้าอย่างแค้นใจ
แวมไพร์เฮงซวย! ชอบฉวยโอกาสกับเธออยู่เรื่อย
“เจ็บใจจริงๆ”
เธอกุมริมฝีปากแดงที่ถูกเขาจูบจนบวมเจ่อ ไอร้อนจากกายเขาที่หลงเหลืออยู่ยังคงทำให้เธอหายใจไม่เป็นจังหวะและใจเต้นไม่เป็นส่ำเหมือนเดิม อีตาแวมไพร์ตัวแสบ ชอบมาจูบจนเธอใจอ่อนอยู่เรื่อย เธอน่าจะเอากระเทียมยัดปากเขาไปเลยจริงๆ
เธอลูบกลีบปากบวมเป่ง ถึงจะโมโหเขา แต่เธอรู้ดีแก่ใจว่าความจริงแล้วเธอโมโหตัวเองที่ห้ามใจไว้ไม่อยู่ต่างหาก แค่จูบเดียวก็ทำเอาเธอหัวหมุนติ้วจนไม่สามารถปฏิเสธเขาได้เลย
ปกติเธอจัดการปัญหาได้อย่างเฉียบขาดฉับไวเสมอ แต่พอมาเจอเขา เธอก็กลายเป็นคนหัวช้า ไม่มีความเข้มแข็งเอาซะเลยจริงๆ
“เอ๊ะ? เกิดอะไรขึ้น” ผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟาลูบหน้าผากเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝัน “แปลกจัง ทำไมผมมึนๆ หัว”
ชายคนนั้นดูงุนงง เขานึกสงสัยขึ้นมาตงิดๆ เพราะจำได้ว่าตัวเองกำลังจะจูบลู่ฉิน แล้วพอนึกถึงลู่ฉินขึ้นมาได้ เธอก็หายตัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้
เขาเงยหน้าขึ้น นั่นไง นางฟ้าของเขายืนอยู่ตรงหน้าต่างนั่นเอง
เธอยืนหันข้างให้ อกเป็นอก เอวเป็นเอว โค้งเว้าได้สัดส่วน ดูยังไงก็สวยชวนให้ใจแกว่ง เขาจึงไม่สนใจว่าจากที่อยู่ตรงโซฟาดีๆ ทำไมเธอถึงไปอยู่ตรงนั้นได้
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเธอเพื่อสานต่อค่ำคืนอันสวยงาม
“ลู่ฉิน คุณสวยจังเลยครับ”
เธอหันหน้ากลับมา ดวงตางดงามไม่แฝงความรู้สึกใดๆ ไว้ทั้งสิ้นขณะมองรอยยิ้มประจบเอาใจของแฟนหนุ่มคนใหม่
เจสันพูดถูกเรื่องหนึ่ง นั่นคือเธอไม่รู้สึกกระตือรือร้นอะไรสักนิดกับแฟนใหม่คนนี้ ขนาดได้ยินว่าเขาอาจไม่ใช่คนซื่อสัตย์ เธอก็ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
ดวงตาเย็นเยียบของเธอสงบราบเรียบขณะพูดอย่างเฉยชา
“ดึกมากแล้ว คุณควรกลับได้แล้ว”
ชายหนุ่มอึ้งไปโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกประหลาดใจที่จู่ๆ ก็ถูกไล่กลับดื้อๆ เลยนึกว่าตัวเองฟังผิดไป
“คุณอยากให้ผมกลับเหรอ”
“ใช่”
ชายหนุ่มรู้สึกงงๆ แต่แล้วเขาก็อมยิ้มออกมาทันที เพราะนึกในใจว่านี่เป็นวิธีเล่นตัวของเธอ เพราะก่อนหน้านี้เขาเห็นเธอส่งสายตาเชิญชวนมาให้แล้ว
“คุณตัดใจให้ผมกลับไปได้เหรอ”
“ฉันอยากให้คุณกลับไปเดี๋ยวนี้”
ชายหนุ่มส่ายหัวพลางพูดยิ้มๆ “รู้แล้ว คุณล้อผมเล่นล่ะสิ โอ๊ยๆๆ”
ลู่ฉินออกแรงดึงหูเขาอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็ลากไปจนถึงหน้าประตูโดยไม่สนใจเสียงร้องโอดโอย เปิดประตูแล้วไล่ตะเพิดเขาออกไป
“ไปให้พ้นได้แล้ว ไม่ส่งนะ”
ก่อนที่เธอจะปิดประตูลง ชายหนุ่มรีบเข้ามาขวางไว้และถามอย่างไม่ยอมตัดใจ
“ลู่ฉิน เพราะอะไร ผมทำผิดอะไร”
เขาถูกเธอไล่ออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้แล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เนื้อใกล้จะเข้าปากอยู่รอมร่อทำไมถึงหลุดลอยไปได้
ดวงตางดงามหรี่ปรือหวานซึ้ง มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มน่าหลงใหล
“คุณอยากจูบฉันใช่มั้ย”
พอเขาเห็นดวงตาแฝงรอยยิ้มแบบที่ไม่เห็นบ่อยและได้ยินคำถามแฝงเป็นนัยขนาดนี้ ชายหนุ่มรีบพยักหน้าทันที
“อยากครับ”
เขาอยากทำมากกว่านี้อีก ไม่ใช่แค่จูบอย่างเดียวหรอก
เธอยิ้มหวานหยดย้อยมากขึ้นและยังจงใจทำปากยื่นให้ดูเซ็กซี่กว่าเดิม มันยั่วยวนใจจนเขาแทบจะคลั่งตายเลยทีเดียว ใจคอเขาวาบหวิว เลือดในกายฉีดพล่าน หัวหมุนคว้างไปหมด
“จูบฉันแล้วจะได้เงินจากเพื่อนเท่าไหร่”
“หมื่นนึง...”
อา...
ชายหนุ่มอึ้งไป หลังจากรู้ตัวว่าหลุดปากตอบอะไรออกมา หัวใจของเขาก็หล่นไปที่ตาตุ่ม แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ดวงตางดงามคู่นั้นไม่แฝงความร้อนแรงให้เห็นอีก มันกลับไปเย็นเยียบสุดขีดเหมือนภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกใต้เหมือนเดิม
“คุณไสหัวไปได้แล้ว”
เสียงประตูปิดดังปัง ทิ้งให้อีกฝ่ายอยู่นอกประตูอย่างไม่ไยดี
หญิงสาวยืนอยู่หลังบานประตูพลางกระทืบเท้าอย่างขัดอกขัดใจ เธอไม่นึกว่าเจสันจะพูดถูกจริงๆ ที่ว่าแฟนใหม่ของเธอไม่ใช่คนซื่อ เธอเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ สินะ ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจนัก!
ขณะที่ลู่ฉินกำลังตีโพยตีพายกับตัวเองด้วยความขุ่นเคืองใจอยู่นั้น เธอไม่ได้สังเกตเห็นนัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายวิบวับคู่หนึ่งท่ามกลางความมืดนอกหน้าต่าง มุมปากบางโค้งขึ้นเผยรอยยิ้มบางๆ
เจสันไม่ได้กลับไป เขาอยู่นอกหน้าต่างตลอดเวลาจนแน่ใจว่ากำจัดคู่แข่งไปได้แล้ว เขาถึงได้อมยิ้มออกมาด้วยความสบายใจ
แสงจันทร์คืนนี้งดงามมาก เขานั่งอยู่บนเสาหินที่ยื่นออกมานอกหน้าต่าง ตัวเบาเหมือนนกนางแอ่น แต่นิ่งสนิทเหมือนภูผา
ปกติในเวลาเช่นนี้เขามักไปตามผับเพื่อหาสาวสวยเซ็กซี่ไปเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์ด้วยกัน แต่ตอนนี้เขาอยากอยู่แต่ตรงนี้เท่านั้นเพื่อมองดูสีหน้าของสาวน้อยคนนี้เงียบๆ
เขาเห็นเธอแอบลูบริมฝีปากและแก้มแดงซ่านเพราะคิดถึงเขาเวลาที่อยู่ตามลำพัง ตอนที่เธอเป็นแบบนี้ช่างมีเสน่ห์น่าหลงใหลเหลือเกิน
มาอีกแล้ว...
ลู่ฉินย่นหัวคิ้วน้อยๆ ตอนเธอมาถึงสำนักงานหนังสือพิมพ์แต่เช้าก็เห็นว่ามีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะของเธอ พอเธอเปิดออกดูก็พบว่าเป็นจดหมายขู่จริงๆ
อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น ระวังจะเดือดร้อน
มันเป็นจดหมายสนเท่ห์ที่ใช้วิธีพิมพ์ข้อความ บนซองไม่มีที่อยู่ของผู้ส่ง ตราประทับไปรษณีย์บอกให้รู้ว่าจดหมายฉบับนี้ส่งมาจากต่างจังหวัด
เดือนนี้เธอได้รับจดหมายขู่แบบนี้มาเป็นฉบับที่สามแล้ว สองฉบับแรกมาจากผิงตงกับฮวาเหลียน จึงเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตั้งใจปิดบังว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เพื่อไม่ให้เธอสืบได้ว่าคนส่งจดหมายเป็นใคร
ในจดหมายเป็นข้อความสั้นๆ แต่ลู่ฉินรู้ว่าจดหมายสนเท่ห์ฉบับนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับคดีคอร์รัปชันที่เธอแอบสืบอยู่ในตอนนี้แน่ เพราะหลังจากที่เธอเริ่มขุดคุ้ยเรื่องนี้เป็นต้นมา เธอก็ได้รับจดหมายสนเท่ห์ข่มขู่
นักข่าวเป็นหัวหอกในการนำเรื่องคนอื่นมาเปิดเผย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกข่มขู่หรือได้รับจดหมายเตือน
“เฮ้! คนสวย ได้จดหมายรักเหรอ”
ลู่ฉินเงยหน้าขึ้นมองไซมอน เพื่อนร่วมงานของเธอซึ่งไว้ผมทรงทันสมัย เขายืนอยู่ตรงแผงกั้นโต๊ะทำงาน ทำหน้ายิ้มแฉ่งมองเธออยู่
“ไม่ใช่จดหมายรัก” เธอพูดเรียบๆ
“แล้วอะไรล่ะ”
“เรื่องส่วนตัว โทษทีนะ บอกไม่ได้”
เธอพับกระดาษจดหมายเก็บคืนใส่ซอง แล้วเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตั้งใจจะแก้ต้นฉบับข่าวที่เขียนเมื่อวานนี้อีกครั้ง
ถ้านึกว่าพวกวิ่งรอกหาข่าวดาราอย่างไซมอนจะยอมสงบปากสงบคำเพียงแค่นี้ ก็คงจะเพ้อฝันเกินไปแล้ว
“ได้ยินว่าคุณเลิกกับแฟนแล้วเหรอ”
ลู่ฉินนิ่งงันไปและย่นหัวคิ้วเข้าหากัน “คุณรู้ได้ยังไง”
“นี่เขาเรียกว่าพรสวรรค์ ไม่ใช่ว่ายอตัวเองหรอกนะ แต่ถ้าที่ไหนมีข่าว แค่ผมดมดูก็รู้แล้ว”
ไซมอนเป็นนักข่าวสายบันเทิง จึงไวกับเรื่องซุบซิบนินทาเป็นพิเศษ แถมยังชอบพูดจาใส่สีตีไข่และเจ้าสำอางมาก เขาชมตัวเองอย่างลำพองใจและทำตัวจุ้นจ้านปลอบใจเธอ
“คุณไม่ต้องเสียใจไปหรอกนะ ผู้ชายคนต่อไปจะต้องดีกว่านี้”
“ตาข้างไหนของคุณเห็นฉันเสียใจ”
หญิงสาวแอบแปลกใจ เมื่อวานเธอเพิ่งบอกเลิก ทำไมวันนี้ไซมอนถึงรู้เรื่องแล้ว
“พูดจริงๆ นะ ผมรู้สึกเสียดายแทนเลย หนุ่มฝรั่งหล่อๆ นิสัยก็ดี คิดไม่ตกเลยว่าคุณตัดใจบอกเลิกเขาได้ยังไง”
ลู่ฉินอึ้งไปอีกรอบ เธอฟังอยู่ตั้งนาน ที่แท้ไซมอนหมายถึงเจสันนี่เอง ยังมีหน้าชมตัวเองว่ามีพรสวรรค์อีก เธอเลิกกับเจสันไปตั้งสองเดือนแล้ว แต่เธอไม่อยากจะพูดมาก
“ไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย”
“ผมแค่เสียดายแทน ฝรั่งคนนั้นดีทุกอย่าง แถมรวยอีกต่างหาก ระวังจะเสียใจทีหลังนะ”
เชอะ! ถ้าเธอไม่บอกเลิกกับเขา เธอคงต้องเสียใจทีหลังมากกว่า
“ขอบใจที่จุ้นจ้าน”
“ไม่เป็นไร เพื่อคุณแล้ว ผมขอจุ้นจ้านอีกสักเรื่องแล้วกัน ผมมีข่าวเด็ด อยากฟังมั้ย”
“ข่าวอะไร”
ไซมอนลดเสียงให้ต่ำลง ทำท่าลึกลับขณะกระจายข่าวต่อ
“เมื่อคืนหัวหน้า บ.ก. ของเราเดือดจัดเลย”
“หือ?”
“เมื่อคืนหัวหน้า บ.ก. ของเราทะเลาะกับหัวหน้า บ.ก. ของหนังสือพิมพ์ลัคกี้นิวส์ คู่แข่งสำคัญของเรายกใหญ่”
“งั้นเหรอ”
“ลือกันว่าเป็นเพราะทางนั้นมาดึงตัวนักข่าวฝีมือดีไป ตอนแรกนักข่าวคนนั้นรับปากว่าจะมาทำงานกับเราแล้วด้วย”
ลู่ฉินมองหน้าเขาแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง”
“เห็นแก่ที่เราเป็นเพื่อนสนิทกัน ผมถึงได้แอบบอกคุณนะเนี่ย แต่คุณห้ามบอกใครว่าผมเป็นคนพูดล่ะ”
“แปลกจัง ฉันจำได้ว่าในรายชื่อเพื่อนสนิทของฉันไม่มีคนชื่อไซมอนนะ”
“โธ่เอ๊ย เราทำงานด้วยกันมาตั้งสามปีกับอีกสิบห้าวัน กินข้าวด้วยกันบ่อยๆ แล้วยังคุยกันได้ทุกเรื่อง ก็ต้องเป็นเพื่อนสนิทกันสิ” ไซมอนพูดพลางใช้มือจับผมให้เข้าทรง เขาเป็นคนใส่ใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง แต่กลับไม่สนใจน้ำเสียงแดกดันในคำพูดของเธอสักนิด
ลู่ฉินไม่เคยพบเคยเจอคนที่ชอบโอ้อวดตัวเองได้ถึงขนาดนี้เหมือนไซมอนมาก่อน ความมั่นใจในตัวเองบวกความหลงตัวเองทำให้ไม่ว่าเธอจะแอบกัดแอบจิกยังไง ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย จุดนี้ทำให้เธอนึกถึง ‘ปลิงดูดเลือด’ บางตัวขึ้นมาได้ ซึ่งคนคนนั้นก็เป็นพวกที่โอ่ว่าตัวเองสุดยอดเหมือนกัน
“ดังนั้นผมขอเตือนคุณด้วยความหวังดี วันนี้ทางที่ดีอย่าเข้าไปหาหัวหน้า บ.ก. ทีเดียวเชียวนะ เมื่อกี้อากวงเข้าไปในห้องทำงานเขามายังถูกด่าซะเละ โดนสั่งให้ไปหาข่าวมาใหม่ ผมว่านะ เขาซวยเลยโดนหางเลขไป” ไซมอนแอบยิ้มกระหน่ำซ้ำเติม
“ขอบใจนะ” เธอลุกขึ้นยืนแล้วปิดฝาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
“คุณจะแวบแล้วเหรอ” ไซมอนถามยิ้มๆ
“เปล่า จะไปหาหัวหน้า บ.ก.”
“เอ๊ะ?”
พูดจบเธอก็เดินตรงไปที่ห้องทำงานของหัวหน้า บ.ก. โดยไม่สนใจไซมอนที่ทำหน้านิ่งอึ้งไป
ความคิดเห็น