คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2
วันต่อมา เซียงเสี่ยวไห่คิดแผนจัดการกับหยวนอวี้ไว้เต็มหัว
แผนที่หนึ่ง ทำทีเป็นรถน้ำต้นไม้แล้วใช้สายยางฉีดน้ำใส่รถเบนซ์คันสวยให้แฉะไปทั้งคัน แผนที่สอง พอนายนั่นลงจากรถมาเอาเรื่อง เธอก็จะ ‘แสร้งทำไม่ตั้งใจ’ ฉีดน้ำใส่เขาจนเปียกปอนเป็นลูกหมาตกน้ำต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน
เมื่อจินตนาการถึงหน้าตาหยวนอวี้เวลาฉุนขาด เสี่ยวไห่ก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
หลังกินอาหารเช้าที่เสี่ยวอวี๋บรรจงปรุงให้จนอิ่ม เสี่ยวไห่ก็เดินเข้าร้านไปด้วยความเบิกบาน กะว่าจะดื่มชาผ่อนคลายอารมณ์ก่อนถึงเวลารับแขกที่นัดไว้เช้านี้
แขกของเธอเช้านี้เป็นเจ้าของบริษัทใหญ่โต หากคุยธุรกิจสำเร็จเธอคงได้รับกำไรอย่างงาม
“เสี่ยวอวี๋ วันนี้ขอชาเถี่ยกวนอิน*นะ...” เสี่ยวไห่พูดพลางก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถง แต่กลับต้องสะดุ้งเมื่อเห็นว่าใครนั่งรออยู่ “คุณมาอยู่นี่ได้ยังไง”
น้ำเสียงออกจะแหลมไปสักนิด แต่จะโทษเธอก็ไม่ถูก เพราะขณะนี้คนที่เธอวางแผนรับมือกำลังนั่งอารมณ์ดีอยู่บนเก้าอี้ไม้แดงในร้าน หยวนอวี้หันไปส่งยิ้มบางๆ ให้เสี่ยวอวี๋ผู้ยืนละล้าละลังอยู่ด้านข้าง “ผมได้กลิ่นกาแฟ รบกวนช่วยชงให้ถ้วยนึงสิครับ ไม่ใส่น้ำตาลกับครีมเทียมนะ”
“เสี่ยวอวี๋ นายนี่เข้ามาได้ยังไง เธอเปิดประตูให้เขาเข้ามาเหรอ” หยวนอวี้ไม่ยอมตอบ เสี่ยวไห่เลยได้แต่ถามคนของตนแทน
เสี่ยวอวี๋กลัวจนถอยกรูด
“คุณหนูขา คือเขาบอกว่าวันนี้มาเป็นแขก...” คุณหยวนคนนี้มีอำนาจลึกลับบางอย่างที่ทำให้คนอื่นต้องทำตามคำสั่งโดยอัตโนมัติ แน่ละ สาวน้อยรู้ดีว่าประโยคนี้พูดให้คุณหนูได้ยินไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเสี่ยวไห่คงยิ่งอาละวาด
“เอาเถอะ กลับเข้าไปได้แล้ว!” เสี่ยวไห่รู้ว่าไม่ควรพาลโกรธเด็กในบ้าน เสี่ยวอวี๋เป็นเด็กขี้กลัว หากเดาไม่ผิด ป่านนี้คงรีบกลับไปเทกาแฟมาให้แล้ว “คุณหยวนคะ เมื่อวานคุณจอดรถตรงข้ามบ้านฉัน ฉันเอาผิดคุณไม่ได้ วันนี้คุณพาตัวเองมาถึงที่ จะมาโทษว่าฉันกล่าวหาคุณบุกรุกที่ส่วนบุคคลไม่ได้นะคะ”
“ที่ส่วนบุคคล? ที่นี่ไม่ใช่โรงรับจำนำหรอกเหรอ วันนี้ผมมาหาคุณเพื่อเจรจาธุรกิจนะ” หยวนอวี้สอบถามเรียบร้อยแล้ว โรงจำนำแห่งนี้ไม่เหมือนโรงจำนำปรกติทั่วไปที่ลูกค้าเพียงแค่นำของมาจำนำแลกเงินเพียงเท่านั้น
พูดง่ายๆ ก็คือสถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยน มีหญิงประหลาดชื่อเซียงเสี่ยวไห่คนนี้เป็นสื่อกลาง ขอเพียงลูกค้ายอมจ่ายราคาก็จะได้รับในสิ่งที่ตนต้องการ
แน่นอนว่าสิ่งที่นำมาแลกเปลี่ยนนั้นอาจเป็นของที่จับต้องได้หรือไม่ก็ได้ เซียงเสี่ยวไห่คนนี้กว้างขวางมาก รู้จักคนทุกระดับทุกประเภท จึงสามารถขอความช่วยเหลือจากคนได้ถูกที่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น หากมีคนหนึ่งมาเสนอจำนำความสามารถในการตามหาคน เพื่อแลกกับเครื่องเพชร ส่วนอีกคนนำอัญมณีมีค่ามาจำนำ แลกกับการตามหาบุตรที่สาบสูญไปนานหลายปี เซียงเสี่ยวไห่ก็จะทำตัวเป็นสื่อกลาง รับงานทั้งสองฝ่าย แล้วกินกำไรจากเงินค่าจ้าง
หากไม่คบหาสมาคมคนประหลาดทุกประเภท เธอจะทำธุรกิจนี้ได้อย่างไร
แน่นอน ภายในร้านยังทำธุรกิจมากมายหลากหลายอย่าง เช่น ซื้อขายของโบราณและอัญมณี กระทั่งเป็นนายหน้าหาสินค้าให้ตามใบสั่ง
“เราสองคนทำธุรกิจอะไรร่วมกันได้หรือคะ ประธานบริษัทใหญ่โตอย่างคุณมีอะไรที่ต้องการแล้วไม่ได้บ้าง ถึงต้องมาขอให้ฉันช่วย?” เสี่ยวไห่นั่งหน้าบูดลงข้างตัวหยวนอวี้ ลืมไปแล้วว่าเดิมทีต้องการไล่เขาไปให้พ้น
“มีแน่นอน” เขายิ้มมีเลศนัย “คุณควรจะรู้นะว่าผมต้องการอะไร สำหรับเรื่องราคา คุณตั้งมาได้เลย!” หากเงินช่วยแก้ปัญหาได้ เขาก็ยอมที่จะใช้มันเพื่อไม่ให้เสียเวลาทำงานไปมากกว่านี้
ว่ากันตามตรงแล้ว หยวนอวี้ไม่มีเวลาตามตอแยเธออีก งานการในบริษัทกองสุมจนทำไม่ทัน เดิมทีเขาก็ต้องสะสางงานจนดึกดื่นอยู่แล้ว
เซียงเสี่ยวไห่อ้าปากแล้วก็หุบลงอีกครั้ง “คุณหยวนควรจะรู้นะคะว่าความน่าเชื่อถือสำคัญแค่ไหนในการทำการค้า ทำไมฉันจะต้องยอมเสียเครดิตเพื่อทำธุรกิจกับคุณด้วย ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจะยอมละเมิดสัญญาเพื่อร่วมมือกับคุณ”
หากหยวนฉีได้เห็นโฉมหน้านักธุรกิจเหลี่ยมจัดของพี่ชายแล้วไม่รู้ว่าจะคิดยังไงนะ มิน่าล่ะถึงยืนยันขอความช่วยเหลือจากคนกลางอย่างเธอ ดูท่าผู้ชายคนนี้คงรับมือยากจริงๆ
“ทำธุรกิจก็ต้องแสวงหากำไร การแสวงหากำไรสูงสุดเป็นสัญชาติญาณของพ่อค้าไม่ใช่หรือไง” หยวนอวี้ไม่เชื่อว่าตนจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ “แน่นอนว่าครั้งนี้คุณจะได้ผลพลอยได้อีกด้วย อย่างน้อยคุณก็ไม่ต้องเห็นผมมาตามตอแยคุณทุกวันอีก” เขาเตือนเธอ สีหน้าเรียบนิ่ง
เซียงเสี่ยวไห่ขยับปากพึมพำเบาๆ
“คุณว่าอะไรนะ ผมฟังไม่ถนัด คุณพูดว่า ‘เพื่อเห็นแก่ความจริงใจของคุณ ฉันตกลง’ หรือเปล่า” หยวนอวี้ยิ้มไปทั้งหน้า
เซียงเสี่ยวไห่หรี่ตา “เชื่อฉันเถอะ คุณไม่อยากรู้ว่าเมื่อกี้ฉันพูดอะไรหรอก”
หยวนอวี้อารมณ์ดี ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“เชิญคุณกลับไปเถอะค่ะ ร้านเล็กๆ ของเราคงต้อนรับคนใหญ่โตอย่างคุณไม่ไหวหรอก ธุรกิจคราวนี้ฉันไม่ตกลง กรุณาเลิกก่อกวนเสียที” ระหว่างที่พูดเสี่ยวไห่เหลือบไปเห็นเสี่ยวอวี๋ยกกาแฟออกมาจริงๆ จึงหันไปค้อนขวับ
เสี่ยวอวี๋ได้แต่มองตอบอย่างจนใจ พอวางถ้วยกาแฟลงหน้าหยวนอวี้ปุ๊บก็เผ่นหายไปทันที
“กาแฟมาแล้ว ดื่มให้เสร็จๆ แล้วรีบกลับไปเลยนะคะ” พูดจบก็เหลือบมองนาฬิกาโบราณบนผนัง ถึงเวลานัดเถ้าแก่เจ้าแล้ว “เสี่ยวอวี๋ ชงชาจินซวน*หนึ่งกา เตรียมขนมแกล้มชาด้วย”
ฝ่ายหยวนอวี้นั้นกลับมีท่าทีสบายๆ เปิดกระเป๋าหยิบเอกสารออกมาจำนวนหนึ่ง จิบกาแฟไปพลาง สะสางงานไปด้วย
“คุณทำอะไรน่ะ คุณหยวนอวี้ คิดว่าที่นี่เป็นห้องทำงานของคุณหรือไงคะ รีบกลับไปเดี๋ยวนี้เลย ฉันยังมีงานต้องทำ” เสี่ยวไห่ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี การรับมือคนดื้อด้านไม่ยินดียินร้ายอะไรเลยแบบนี้เป็นเรื่องยากสำหรับเธอ เพราะไม่ว่าจะกระตุ้นอย่างไรก็ไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ต้องการสักที
“ถ้าธุรกิจคราวนี้ตกลงไม่สำเร็จ ผมก็จะไม่กลับ” หยวนอวี้ดื่มกาแฟอึกหนึ่ง “รสชาติไม่เลว แต่ชาจินซวนผมก็ดื่มได้นะ” เขาพูดอย่างกับว่าเธอชงชาไว้ต้อนรับเขาอย่างนั้นแหละ
เซียงเสี่ยวไห่จวนจะหมดความอดทนอยู่รอมร่อ เถ้าแก่เจ้าเดินเข้าประตูใหญ่มาแล้ว “คุณเลิกก่อกวนสักที แขกของฉันมาแล้ว”
“ถ้าไม่อยากให้ผมทำเสียเรื่อง ง่ายนิดเดียว ตอบรับคำขอของผม” หยวนอวี้ยักไหล่
“ถ้าคุณไม่ยอมไปจริงๆ ก็เชิญไปรอด้านในก่อน รอฉันคุยงานเสร็จแล้วค่อยว่ากัน” เสี่ยวไห่รีบหันกลับไปสั่งเด็กรับใช้ “เสี่ยวอวี๋ พาคุณหยวนไปพักด้านในก่อน”
เสี่ยวอวี๋ปรากฏตัวขึ้นทันที จัดแจงช่วยหยวนอวี้ถือถ้วยกาแฟ “คุณหยวนคะ เชิญทางนี้ค่ะ”
หยวนอวี้มองหน้าเสี่ยวไห่ชั่วอึดใจ เป็นสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย จากนั้นจึงเดินตามเสี่ยวอวี๋เข้าไปห้องด้านใน
เมื่อเห็นเสี่ยวอวี๋คอยรับใช้หยวนอวี้อย่างขยันขันแข็งก็ได้แต่บ่นพึมพำ “ตกลงเป็นลูกจ้างใครกันแน่นะ”
แน่นอนว่าเธอไม่มีโอกาสบ่นมากกว่านั้น แขกมาถึงที่แล้ว เสี่ยวไห่หมุนตัวกลับไปต้อนรับ
หนึ่งชั่วโมงถัดมา เธอถึงได้ส่งเถ้าแก่เจ้ากลับ คุยธุระคราวนี้ใช้เวลานานกว่าปกติเพราะหญิงสาวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทว่าสุดท้ายก็ตกลงกันเรียบร้อย คราวนี้เธอไม่จำเป็นต้องรับงานไปอีกครึ่งค่อนเดือนเลยทีเดียว
เสี่ยวไห่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หมุนตัวเดินขึ้นบันไดไปโดยไม่เข้าไปจัดการตัวปัญหาอย่างหยวนอวี้ต่อ เธอรู้ดีว่าตอนนี้พูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์
หญิงสาวกลับห้องไปหยิบกระเป๋า ตั้งใจจะหลบออกจากบ้านไปช้อปปิ้งดูหนัง ปล่อยให้หยวนอวี้รอเก้ออยู่ที่นี่
เดินลงบันไดอย่างเงียบเชียบที่สุด ตัดผ่านห้องโถงก้าวออกจากร้าน จวนเจียนจะหลุดพ้นนายตังเมนั่น อยู่แล้ว ใครจะคิดว่าจะหมุนตัวไปชนกำแพงที่ทั้งแข็งทั้งหนาเข้าอย่างจัง
“คุณหนูเซียงจะไปไหนครับ ผมไปส่งได้นะ” เสียงทุ้มต่ำเจือความขบขันดังขึ้นจากด้านบนศีรษะ
เสี่ยวไห่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของหยวนอวี้อย่างโกรธจัด
“คุณจะตามตื๊อฉันไม่ยอมไปผุดไปเกิดถึงเมื่อไหร่” เธอไม่ได้ส่งเสียงเลยสักนิดเดียว ทำไมเขาถึงมาขวางไว้ทันได้นะ
“ถ้าผมเป็นผี งั้นคุณก็คงเป็นแมวขโมยที่ชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ สินะ” หยวนอวี้ก้มมองดูเธอด้วยสายตาเหมือนเพิ่งจับขโมยได้ “ถ้าผมไม่เห็นเสี่ยวอวี๋ออกไปเก็บถ้วยชา ก็คงไม่รู้ว่าคุณคิดจะปล่อยให้ลูกค้ารอเก้อ นี่เป็นวิธีรับแขกของคุณหรือไง ถ้าเรื่องแพร่ออกไปคงเสียชื่อแย่”
“คุณ...” เสี่ยวไห่กัดฟันกรอด เอาเถอะ โมโหไปก็เปลืองพลังงานเปล่า “ฉันจะเข้าไทเป ช่วยไปส่งด้วย” พูดจบก็เดินนำเขาไปที่รถ
หยวนอวี้เดินตามเธอไป ผู้หญิงคนนี้เวลาโกรธดูตลกดี แบบนี้เขายิ่งอยากแกล้งให้เธอโกรธเข้าไปใหญ่
หยวนอวี้คิดว่าตนใกล้จัดการกับเซียงเสี่ยวไห่สำเร็จเต็มทีแล้ว
หลายวันมานี้ขอเพียงมีเวลาว่างเขาจะต้องมาเฝ้าเธอ ต่อให้เสี่ยวไห่มีแขกอยู่ในร้าน เขาก็จะทำงานอยู่ใกล้ๆ อย่างสบายอารมณ์ บางครั้งยังแอบขโมยใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายสืบค้นข้อมูลด้วย
แน่นอนว่าเซียงเสี่ยวไห่ฉุนจนแทบเต้น แต่ก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ หากไม่ยอมเจรจากันดีๆ ก็ต้องทนเห็นเขาบุกรุกโรงจำนำของเธอต่อไป
อีกวันสองวันเท่านั้นแหละ หยวนอวี้วางแผนจะเฝ้าตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พอเธอทนไม่ไหวจนสติแตกก็ต้องคายความลับเรื่องหยวนฉีออกมาเอง
เมื่อคิดว่าอีกไม่นานเรื่องก็จะจบ เขากลับรู้สึกใจหายขึ้นมาเสียอย่างนั้น เอ หรือว่าเขาจะเบี่ยงเบนเป็นพวกชอบความรุนแรงกันนะ
หยวนอวี้ชะลอความเร็วรถเพื่อเตรียมจอดใกล้โรงจำนำ สายตาเหลือบเห็นเซียงเสี่ยวไห่แต่งตัวสวยงาม ถือกระเป๋าผ้าปักเดินออกมา เปิดประตูรถเก๋งส่วนตัวแล้วก้าวเข้าไปนั่ง
“จะไปไหนนะ แต่งตัวแบบนี้คงไม่ใช่ไปดูหนังหรอกมั้ง” ครั้งหนึ่งเขาเคยขับรถสะกดรอยตามเธอไป เธอไปดูหนังเขาก็นั่งรออยู่หน้าประตูโรงหนัง ซ้ำยังถือเอกสารไปอ่านด้วย
เมื่อเสี่ยวไห่เดินออกมาหลังหนังจบยังส่งยิ้มเยาะหยันว่าคนบ้างานอย่างเขาช่างโง่งมเหลือเกิน อันที่จริงเขาก็ไม่ต้องการให้เป็นแบบนี้ เธอเองนั่นแหละทำให้เขาหมดสิทธิ์นั่งทำงานสบายๆ ในออฟฟิศ
หยวนอวี้ขับรถตามเซียงเสี่ยวไห่ไปห่างๆ โดยอัตโนมัติ หญิงประหลาดเจ้าของโรงจำนำขับรถเข้าเมืองไทเปอย่างสบายอารมณ์ ไม่เร่งไม่ร้อน แม้จะต้องเจอกับการจราจรที่ติดขัด เธอก็ดูเหมือนไม่ใส่ใจ
ขับตามไปเรื่อยๆ เขาก็เริ่มเอะใจ แต่กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าเธอขับรถเข้าไปยังที่จอดรถใต้ดินของอาคารสำนักงานเซเลเบรท เบลซ กรุ๊ปเสียแล้ว
“แม่คนนี้จะทำอะไรของเขานะ” ผู้หญิงคนนี้จะมาไม้ไหนกันแน่ หวังว่าคงไม่ล่อให้ขับตามมาที่บริษัทเพราะรู้ว่าตนสะกดรอยตามมาหรอกนะ
เซียงเสี่ยวไห่จอดรถบนที่จอดรถส่วนตัวของหยวนฉี เดินนวยนาดลงจากรถแล้วขึ้นลิฟต์ไป
อาคารขนาดใหญ่หลังนี้เป็นทรัพย์สินของเซเลเบรท เบลซ กรุ๊ป บริษัทในเครือทั้งห้าบริษัทตั้งสำนักงานอยู่ในอาคารนี้ ส่วนบริษัทลูกที่เหลือกระจายตัวอยู่ตามอาคารสำนักงานอื่นๆ ส่วนที่จอดรถมีไว้สำหรับผู้บริหารระดับผู้จัดการขึ้นไปเท่านั้น แล้วยัยนี่ถึงขนาดจอดรถบนที่ของหยวนฉีเลยรึ
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าเธอกำลังเล่นตลกอะไรอยู่ เขาจึงไม่เข้าไปห้าม ลิฟต์ตัวที่หญิงสาวขึ้นจะจอดที่ชั้นหนึ่ง จากนั้นจะต้องเปลี่ยนโดยสารลิฟต์อีกตัวขึ้นไปยังชั้นต่างๆ ของอาคาร เหตุที่ออกแบบไว้เช่นนั้นก็เพื่อสะดวกแก่การที่ยามรักษาความปลอดภัยจะคัดกรองผู้มาเยือนออกจากพนักงานของบริษัท
หยวนอวี้ขึ้นลิฟต์อีกตัวหนึ่ง เมื่อถึงชั้นหนึ่งก็ทันเห็นเสี่ยวไห่ส่งยิ้มหวานให้ยามพอดี ทักทายพอเป็นพิธีเธอก็เดินนวยนาดเข้าอาคารเซเลเบรท เบลซ กรุ๊ปไป
หยวนอวี้เห็นดังนั้นก็โมโหจนสติแทบขาดผึง สาวเท้าเข้าไปถามยามว่า “เมื่อกี้ทำไมถึงยอมให้หล่อนเข้าไป ฮึ” ระบบรักษาความปลอดภัยของบริษัทย่อหย่อนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ยามรักษาความปลอดภัยคนนี้ทำงานมาตั้งแต่สมัยที่บิดาของหยวนอวี้กุมบังเหียนเซเลเบรท เบลซ กรุ๊ป พ่อของเขาผูกพันกับลุงหลินคนนี้พอสมควร ดังนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้วัยของแกจะไม่เหมาะทำงานรักษาความปลอดภัยอีกต่อไป เขาก็ไม่ได้บังคับให้ออกหรือโยกย้ายให้ไปทำตำแหน่งอื่น เห็นทีคราวนี้คงต้องพิจารณาใหม่เสียแล้ว
“อ้าว ท่านประธาน มาทำงานแล้วหรือครับ” ลุงยามผู้อาวุโสดูเหมือนจะไม่ทันสังเกตสีหน้าเจ้านาย เขาเอ่ยต้อนรับอย่างอารมณ์ดี “ท่านประธานหลักแหลมจริงๆ ครับที่เลือกเสี่ยวไห่มาทำงานประชาสัมพันธ์ เสี่ยวไห่เป็นเด็กสาวที่เยี่ยมยอดมากนะครับ!”
“ลุงรุ้จักเซียงเสี่ยวไห่ด้วยเหรอ” คราวนี้หยวนอวี้กลับเป็นฝ่ายตกใจเสียเอง ทำไมลุงหลินถึงรู้จักผู้หญิงคนนั้นได้เล่า สองคนนี้ดูยังไงก็ไม่น่าโคจรมาเจอกันได้
“ใช่ครับ แต่ก่อนนี้เธอมาหาคุณเสี่ยวฉี สองคนสนิทกันมาก อายุก็รุ่นราวคราวเดียวกัน เวลาสองสาวยืนอยู่ด้วยกันสวยน่าดูชมเลยล่ะครับ” ลุงหลินยิ้มตาหยี
ให้ตายเถอะ ที่แท้เซียงเสี่ยวไห่รู้จักเสี่ยวฉีตั้งนานแล้ว
“เมื่อกี้ลุงบอกว่าผู้หญิงคนนั้นจะมาทำงานฝ่ายประชาสัมพันธ์เหรอ ใครบอกลุงน่ะ” ตกลงยังมีใครสมคบกับเซียงเสี่ยวไห่อีกบ้างกันแน่ เธอถึงได้เดินนวยนาดเข้าไปในบริษัท แถมยังได้รับการต้อนรับอย่างดีแบบนั้น
น้ำเสียงดุดันของหยวนอวี้ทำให้ลุงหลินรู้สึกประหลาดใจ ชายชราเบิกตาโตด้วยความงุนงง “ไม่ใช่คำสั่งของท่านประธานเองหรอกหรือครับ”
ชายหนุ่มรู้ดีว่าถามต่อไปก็ไร้ประโยชน์ จึงหันหลังวิ่งเข้าไปหาเซียงเสี่ยวไห่ที่ยืนรอลิฟต์อยู่
“มานี่เดี๋ยวนี้เลย!” ว่าแล้วก็คว้าแขนอีกฝ่ายไว้แน่น ลากเธอหลบไปด้านข้าง
“โอ๊ย!” เซียงเสี่ยวไห่ถูกกระชากจากด้านหลังก็ร้องเสียงหลง
เสียงร้องของเธอทำให้พนักงานบางคนในโถงหันมามอง
“ให้ตายสิ” หยวนอวี้นึกอยากบีบคอเธอให้ตายนัก แต่ที่นี่พยานรู้เห็นเยอะเกินไป ไม่เหมาะแก่การฆาตกรรม “ตามฉันมา” เขาลากเธอเดินต่ออย่างไม่ปรานีปราศรัย
เสี่ยวไห่รู้สึกอึดอัดกับสายตาที่มองมา แต่แขนเธอถูกเขาล็อกไว้แน่นจึงไปไหนไม่รอด ทว่าเธอจะยอมเสียหน้าต่อหน้าเพื่อนร่วมงานในอนาคตได้อย่างไรกัน
“ท่านประธานคะ เบาๆ หน่อยค่ะ” หญิงสาวพูดเสียงกระเง้ากระงอดอ่อนหวาน ปล่อยตัวตามแรงฉุดดึงด้วยท่าทางเกรงกลัวในอำนาจ ขณะเดียวกันแขนที่ถูกล็อกไว้ก็กลับหมุนพลิกเปลี่ยนองศาแล้วใช้สองมือเล็กๆ แสนอ่อนนุ่มเกาะแขนของหยวนอวี้ไว้
มองเผินๆ ดูเหมือนว่าเขากำลังควงแขนอยู่กับเธอยังไงยังงั้น ท่าทีสนิทสนมกันเกินจะบรรยาย
เซียงเสี่ยวไห่หันไปยิ้มเขินให้ทุกคน ราวกับสะท้านอายที่มีคนเห็นท่าทางกระหนุงกระหนิงของตนกับหยวนอวี้
ผู้คนรอบข้างหลบสายตาให้อย่างรู้งาน ทว่าใบหน้าของแต่ละคนต่างก็ผุดรอยยิ้มมีเลศนัย ใจร้อนรนอยากกระจายข่าวแทบไม่ไหวแล้ว
แน่นอนว่าการกระทำของเธอย่อมไม่พ้นสายตาของหยวนอวี้ไปได้ เมื่อลิฟต์มาถึง เขาก็ลากเธอเข้าไปในลิฟต์อย่างไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อย ต่อให้เขาไม่ออกแรงลาก เสี่ยวไห่เกาะแขนอยู่แบบนั้น เดินปกติเธอก็คงลอยติดตัวเขาไปด้วยอยู่ดี
ทันทีที่ทั้งสองเข้าไปในลิฟต์ คนอื่นๆ ที่รอลิฟต์อยู่ต่างก็หลบสายตาโดยพร้อมเพรียงกัน ราวกับว่าทุกๆ คนไม่ได้กำลังรอลิฟต์อยู่อย่างนั้น
ในเมื่อไม่มีใครก้าวตามเข้ามา สองคนจึงโดยสารลิฟต์ขึ้นไปยังห้องทำงานชั้นบนสุดเพียงลำพัง
หยวนอวี้หน้าตาถมึงทึง ริมฝีปากเม้มแน่น
เสี่ยวไห่ลอบสังเกตอีกฝ่ายแล้วคลายมือออก ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นจะต้อง ‘เกาะ’ ตัวเขาแล้ว ชายหนุ่มก้าวออกจากลิฟต์ เธอก็เดินตามออกมาอย่างว่าง่าย ซ้ำยังยิ้มเจื่อนให้เลขาฯ ที่มองมาด้วยสีหน้างงงวยอีกด้วย
“คุณรู้ไหมว่าผมต้องอดกลั้นขนาดไหน กว่าจะล้มเลิกความตั้งใจบีบคอคุณสำเร็จ” เขาหมุนตัวช้าๆ ก้มหน้ามองเธอด้วยสายตาเย็นเยียบ
ปกติแล้วหากใครได้เห็นสีหน้าเช่นนั้นล้วนแต่ต้องกลัวจนเข่าอ่อน ทว่าเซียงเสี่ยวไห่คนนี้กลับยักไหล่ด้วยท่วงท่าแช่มช้อย แบมือสองข้างอย่างไม่ยี่หระ “แล้วใครใช้ให้คุณตามเซ้าซี้ฉันอยู่ทุกวันไม่ทราบ”
“ใครเซ้าซี้ใครกันแน่ ผมจำไม่เห็นได้เลยว่าเชิญคุณมาทำงานที่บริษัทตั้งแต่เมื่อไหร่ แบบนี้ใครกันแน่เป็นแขกไม่ได้รับเชิญ” หยวนอวี้ยังคงจ้องมองหญิงสาวด้วยสายตาหยามเหยียด
“ถ้าคุณไม่ขับรถตามฉัน จะเห็นฉันเข้ามาในบริษัทหรือคะ อย่าบอกนะว่าเบนซ์ที่ขับตามหลังมาไม่ใช่รถคุณ” เสี่ยวไห่จ้องตอบด้วยแววตาเย้ยหยันไม่แพ้กัน ฮึ คิดว่าตัวเองสูงส่งนักหรือไงยะถึงได้มองกดคนอื่นด้วยสายตาแบบนั้น
“ผมเคยพูดไปแล้ว แค่คุณบอกว่าหยวนฉีอยู่ไหน รับประกันได้เลยว่าชาตินี้ผมเลิกยุ่งกับคุณแน่” หยวนอวี้ขมวดคิ้วแน่น น้ำเสียงรำคาญเต็มแก่
ท่าทีตัดรอนของชายหนุ่มทำให้เสี่ยวไห่เจ็บแปลบในหัวใจ แต่เธอไม่ใส่ใจจะค้นลึกลงไปถึงสาเหตุของความเจ็บปวดนั้น เธอไม่ใช่คนที่จะยอมให้ตบโดยไม่โต้ตอบ แม้ยามทำธุรกิจเธอจะไหวพริบเป็นเลิศ เล่ห์เหลี่ยมที่แพรวพราวสามารถมัดใจคู่ค้าได้อยู่หมัด แต่ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ลูกค้าของเธอนี่
“อะไรกัน แบบนี้ไม่ได้นะ คุณมาหาฉันทุกวัน หาว่าฉันทำให้คุณต้องเสียผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ไป นานวันเข้าฉันก็เริ่มเห็นใจ รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมต่อคุณเลย ถึงได้หาทางชดเชยให้ไงคะ” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มหยาดเยิ้ม
“หืมม์?” หยวนอวี้เลิกคิ้วสูง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคารม
“คุณเสียผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ไป ฉันก็มาทำแทนให้ไง ดูสิคะ แค่นี้คุณก็ไม่เสียหายอะไรแล้ว” เธอหัวเราะ “หลายวันนี้ฉันมาทำความคุ้นเคยกับสถานที่ทำงาน ลุงหลินพาฉันเดินชมรอบๆ บริษัทด้วย ฉันเองก็เริ่มรู้จักคนที่นี่บ้างแล้ว วางใจเถอะค่ะ อีกไม่นานฉันก็จะปรับตัวได้”
อันที่จริงเธอประกาศตัวแล้วด้วยซ้ำว่าเป็นผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์คนใหม่ที่ประธานหยวนเพิ่งแต่งตั้ง ด้วยเหตุที่ข้างกายเธอมีคนในพามา ฝ่ายหยวนอวี้นั้นหลายวันนี้ก็ไม่ได้เข้าบริษัท จึงไม่มีใครคิดตรวจสอบความถูกต้องกับเจ้าตัวก่อน
“นี่คุณล้อเล่นหรือเปล่า?!” คราวนี้เขาถึงกับคำรามออกมา “คุณคิดว่าผมจะตอบตกลงคุณหรือไง อย่างผมนี่นะจะคิดเอาลูกเสือลูกจระเข้มาเลี้ยงให้เป็นภัยกับบริษัท”
“อย่าพูดอย่างนี้สิคะ จะดีจะชั่วยังไงฉันก็ทำการค้ามาไม่น้อยนะ วิธีทำธุรกิจส่วนใหญ่ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ ฉันมั่นใจว่าจะทำหน้าที่นี้ได้ดีเชียวล่ะ” เสี่ยวไห่คาดไว้ก่อนแล้วว่าเขาต้องโมโหจนตัวสั่น
หยวนอวี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อเห็นรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจนั้น แปลกเหลือเกิน เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะต้องมาข้องเกี่ยวกับผู้หญิงพิลึกคนนี้ เห็นท่าเรื่องยุ่งคงไม่จบง่ายๆ แน่
“ไม่ต้องพูดมากแล้ว กลับไปซะ ผมไม่รับปากคุณแน่” เขาปฏิเสธไปตรงๆ ขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายเถียงกับเธอแล้ว
“อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจสิคะ” เสี่ยวไห่ตอบเยือกเย็น ก้มมองนาฬิกาข้อมือพลางว่า “ใกล้จะถึงเวลาแล้วล่ะค่ะ รออีกนิดนะ”
“ใกล้จะถึงเวลาอะไร” ชายหนุ่มถามอย่างระแวดระวัง หวั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรคาดไม่ถึงอีก
ถ้าให้คนอย่างเซียงเสี่ยวไห่เป็นผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ เขาคงต้องระวังตัวแจทุกครั้งที่เจรจาธุรกิจ เพราะไม่รู้ว่าเธอจะก่อเรื่องก่อราวขึ้นมาเมื่อไหร่ อีกอย่างหนึ่ง ดูการแต่งตัวของเธอสิ วันๆ ใส่แต่กี่เพ้า สวมรองเท้าส้นเข็ม สะพายกระเป๋าผ้าปักลาย ดูอย่างไรก็คนว่างงานเดินช้อปปิ้งแก้เหงาชัดๆ
ทำงานหรือ น้อยๆ หน่อยเถอะ!
“รออีกเดี๋ยวคุณก็จะทราบเองค่ะ” เสี่ยวไห่พูดไม่ทันจบ โทรศัพท์บนโต๊ะหยวนอวี้ก็ดังขึ้น
โทรศัพท์เครื่องนั้นเป็นเบอร์ตรงถึงเขา มีเพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นที่จะโทรมา
เขามองหน้าเธอ เอื้อมมือไปรับสาย “สวัสดีครับ ผมหยวนอวี้”
เสียงที่ตอบกลับมาจากปลายสายทำเอาหยวนอวี้ถึงกับตัวแข็ง
“พี่ใหญ่!”
“เสี่ยวฉี?!” เขามองเซียงเสี่ยวไห่ด้วยสายตางุนงง เธอยิ้มตอบน้อยๆ “เธออยู่ที่ไหน รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงแทบตาย เธอ...”
“พี่ใหญ่คะ ขอโทษนะ ฉันผิดเองที่ทิ้งงานไปโดยไม่บอกล่วงหน้า ตอนนี้ฉันอยู่สเปนค่ะ สบายดี ตอนนี้เรียนวาดรูปสนุกมาก ได้อะไรเยอะแยะเลย...”
“เดี๋ยวนะ เสี่ยวฉี เธออยู่ส่วนไหนของสเปน เดี๋ยวพี่ส่งคนไปรับ” เขาพูดตัดบทน้องสาว
“กลับไปได้ยังไงคะ ฉันเพิ่งจะมาเอง หลักสูตรนี้อย่างน้อยก็ต้องเรียนหนึ่งปี แล้วยังต้องไปฝึกงานที่สตูดิโอวาดภาพอีกหนึ่งปีด้วยนะ พี่ใหญ่ ไม่ต้องห่วงเรื่องงานนะคะ ฉันหาผู้ช่วยมือหนึ่งให้แล้วไง เรื่องประชาสัมพันธ์เนี่ยเสี่ยวไห่เก่งกว่าฉันเยอะแยะ พี่ได้เพชรเม็ดงามมาไว้ในมือแล้วรู้ไหม”
น้ำเสียงของน้องสาวสดใสรื่นเริง หยวนอวี้คลายใจลงไม่น้อย
“เพชรเหรอ พี่ว่าพลาสติกมากกว่า” หยวนอวี้บ่นพึมพำ รู้สึกว่าคนที่ถูกพาดพิงจะส่งสายตาค้อนควักมาให้
เขาหันหลังทำทีไม่มองเสี่ยวไห่ แต่เธอก็ยังจงใจยื่นหน้ามาใกล้ แสดงชัดว่าคอยเพ่งเล็งเขาอยู่ อย่าได้พูดอะไรเกินเลยเชียวนะ
“พี่ใหญ่ ฉันอยู่ที่นี่มีความสุขมาก เสี่ยวไห่ช่วยจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยเลย ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรแม้แต่นิดเดียว อยู่ที่นี่มีเพื่อนคอยดูแลด้วยซ้ำ พี่ต้องดีกับเสี่ยวไห่ให้มากๆ นะคะ อย่าทำหน้าตาหน้ากลัวเวลาพูดกับเธอนะ” หยวนฉีกำชับกำชาอย่างกับยายแก่ขี้บ่น
หยวนอวี้ได้แต่กลอกตาอย่างจนใจ “หยวนฉี ตกลงน้องจะไม่กลับมาใช่ไหม”
แล้วเขาจะอธิบายกับคุณพ่อคุณแม่ที่อเมริกาว่าอย่างไรเล่า เขาไม่กล้าเล่าเรื่องน้องหนีไปให้พวกท่านรู้ด้วยซ้ำ
“พอเรียนจบฉันก็จะกลับค่ะ พี่ใหญ่ ฉันรู้ว่าพี่คงไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงทำแบบนี้ บางทีพี่อาจคิดว่าฉันบ้าไปแล้ว แต่ฉันอยากไล่ตามความฝันของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยๆ หวังว่าพี่จะสนับสนุนนะคะ พี่ใหญ่ ฉันมีพี่อยู่แค่คนเดียว เรื่องเท่านี้ตามใจฉันหน่อยเถอะนะ” น้ำเสียงของหยวนฉีเว้าวอนน่าสงสาร
น้ำเสียงนั้นทำหยวนอวี้ใจอ่อน
“พี่รักเธอหรอกนะถึงไม่อยากให้ไปอยู่ไกลๆ อยู่ที่นั่นพี่ดูแลเธอไม่ได้ ถ้ารู้แบบนี้แต่แรกพี่ให้น้องไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่อเมริกาเสียยังดีกว่า” ต้องโทษที่เขาเอาแต่ทำงาน ไม่มีเวลาเอาใจใส่น้องมากนัก
“พี่ใหญ่ ฉันไม่ได้อยากไปอเมริกาเสียหน่อย รอฉันเรียนจบก็จะกลับไปอยู่กับพี่อยู่ดีนั่นแหละ ขอแค่พี่สนับสนุนการตัดสินใจของฉันก็พอ อีกเรื่องหนึ่ง เสี่ยวไห่เป็นคนดีใช่ไหมล่ะ เธอแก่กว่าฉันปีเดียว เหมาะกับตำแหน่งคุณนายท่านประธานมากๆ เลยนะคะ”
หยวนอวี้หันไปมองเซียงเสี่ยวไห่ เจ้าตัวจ้องตอบกลับมาด้วยสายตาไม่รู้อีโหน่อีเหน่
เมื่อคิดตามคำพูดของเสี่ยวฉี เขาก็รู้สึกตัวร้อนขึ้นมาตงิดๆ
เสี่ยวไห่เห็นอีกฝ่ายหน้าแดง ก็นึกว่าหยวนฉีพูดจายั่วโมโหพี่ชายเข้าให้แล้ว หารู้ไม่ว่าชายหนุ่มกำลังเขินจัด
“เธออย่ามายุ่งน่า” เขาพูดเสียงดังกว่าเดิม
หยวนฉีที่ปลายสายหัวเราะออกมาเบาๆ
“เอาเถอะ ต่อไปต้องโทรมาทุกอาทิตย์นะ ไม่อย่างนั้นพี่จะส่งคนไปรับเธอกลับมา” หยวนอวี้เองก็รู้ว่าน้องตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ในเมื่อไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้เปลี่ยนใจ ก็คงทำได้เพียงดูแลความปลอดภัยของน้องอยู่ห่างๆ เท่านั้น
“เสี่ยวฉีรับคำสั่งพี่ใหญ่ค่ะ งั้นน้องวางสายก่อนนะคะ แล้วคุยกัน”
เขาวางหูโทรศัพท์ลงช้าๆ หันหลังกลับไปเอ่ยกับเซียงเสี่ยวไห่ว่า “เอาล่ะ คราวนี้ก็ถึงเวลาคุยเรื่องคุณสักทีนะ”
บทที่ 3
“ฉันก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ เรื่องค่าจ้างคิดเท่าเงินเดือนของเสี่ยวฉีก็ได้ แต่ถ้าคุณอยากให้มากกว่านั้นฉันก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะ”
เซียงเสี่ยวไห่นั่งแปะอยู่ที่โต๊ะทำงานประธานบริษัทอย่างสบายอารมณ์ บั้นท้ายน้อยๆ ที่ห่อหุ้มด้วยกี่เพ้าสีเขียวครึ้มกดทับไปบนกองเอกสารอันมโหฬาร ส่วนหยวนอวี้นั่งเดือดปุดอยู่ฝั่งตรงข้าม
“เชิญคุณกลับไปได้แล้ว อ้อ คราวที่แล้วตอนคุณไล่ผมคุณให้ผมดื่มกาแฟก่อน ดีละ เพื่อให้ยุติธรรมทั้งสองฝ่าย ผมเลี้ยงกาแฟคุณถ้วยหนึ่ง” สีหน้าหยวนอวี้สดชื่นเสียราวกับว่าการหลุดพ้นจากหญิงสาวเป็นเรื่องน่ายินดีควรแก่การจุดประทัดเฉลิมฉลอง “เลขาฯ เซียว ช่วยยกกาแฟมาถ้วยหนึ่งซิ”
นายคนนี้ยั่วโมโหเก่งนักนะ! สีหน้าระรื่นตอนสั่งเลขาฯ ผ่านโทรศัพท์สายในทำเอาเสี่ยวไห่แทบจะร้องกรี๊ดออกมา
“ในเมื่อคุณเต็มใจเลี้ยงขนาดนี้ ฉันคงต้องดื่มสักถ้วยแล้วล่ะค่ะ” แล้วพอพรุ่งนี้ค่อยเริ่มทำงานไงคะ เธอแอบคิดในใจ
ภายในห้องทำงานของเขามีชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้จริงอยู่ชุดหนึ่ง โต๊ะทรงกลมแมตช์กับเก้าอี้ตัวหนาดูแข็งแรง เหมาะจะใช้คุยเรื่องงานกับลูกน้องที่เข้ามาขอคำปรึกษา
เสี่ยวไห่เดินไปตรงหน้าโต๊ะเก้าอี้ชุดนั้นแล้วดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง “เก้าอี้ตัวนี้นั่งไม่สบายเลย หวังว่าคุณคงไม่จัดเก้าอี้แบบนี้ไว้ในออฟฟิศฉันหรอกนะคะ”
เธอวิพากษ์วิจารณ์เฟอร์นิเจอร์ไปสักพักก็ถือโอกาสวางกระเป๋าผ้าปักไว้บนโต๊ะไม้ด้วยเลย ข้าวของเครื่องใช้ของเธอไม่เหมาะกับห้องทำงานอันแสนจะเย็นชาสักนิด
“คุณหมายความว่ายังไง” หยวนอวี้คำรามเสียงต่ำ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะหันมาเผชิญหน้า จึงจำต้องเป็นฝ่ายเดินเข้าไปใกล้ “เมื่อกี้คุณตกลงแล้วว่าจะไป คิดกลับคำหรือยังไง”
“ฉันตกลงว่าจะดื่มกาแฟก่อนกลับ ในเมื่อตั้งแต่พรุ่งนี้ฉันต้องใช้ชีวิตแบบเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นแล้ว วันนี้ยังไงคงต้องเที่ยวเล่นให้ทั่วๆ สักหน่อย น่าแปลกจริง ทำไมเลขาฯ เซียวชงกาแฟนานจัง” เสี่ยวไห่ยังไม่ลืมกาแฟถ้วยนั้น
“ผมบอกแล้วว่าจะไม่ยอมให้คุณทำงานที่นี่แน่ ฟังให้ชัดๆ เลยนะ” หยวนอวี้คว้าข้อมือซ้ายของหญิงสาวแล้วดึงจนแทบลุกขึ้นมาทั้งตัว
เขาไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหน ‘พูดไม่รู้เรื่อง’ ขนาดนี้มาก่อน ในเมื่อพูดดีๆ ไม่ชอบก็คงต้องใช้กำลัง
“ว้าย!”
แรงดึงทำให้ร่างของเธอกระแทกเข้ากับตัวเขาอย่างจัง เสี่ยวไห่ใช้มือขวายันหน้าอกหยวนอวี้ตามสัญชาตญาณ พลันฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จึงผุดขึ้นที่ริมฝีปาก เธอเริ่มใช้มือขวาลูบไล้ทรวงอกภายใต้เสื้อเชิ้ตของชายหนุ่ม
หน้าอกของเขาแน่นแข็งมาก มองเผินๆ ไม่ยักรู้ว่านายนี่ก็รักษาหุ่นกับเขาเหมือนกัน มีกล้ามเสียด้วย!
เสี่ยวไห่จ้องมองเขาด้วยสายตาหลงใหล “ที่จริงฉันไม่เป็นผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็ได้นะคะ เป็นคุณนายท่านประธานก็คงไม่เลว จะลองพิจารณาดูไหมล่ะ” พูดพลางลูบไล้อีกฝ่ายไปพลาง
หยวนอวี้ก้มหน้ามองดูเธอ รู้ดีว่าหญิงสาวจงใจยั่วโทสะ ไม้นี้ตอนอยู่ข้างล่างเคยใช้ไปแล้ว คิดว่าจะใช้ได้ผลเหมือนเดิมอีกหรือ
เขาเองก็ไม่ใช่ไก่อ่อนไร้เดียงสาสักหน่อย
“เรื่องผู้หญิงไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมหรอก” ว่าพลางเอื้อมมือกระหวัดเอวอีกฝ่ายไว้แล้วดันตัวเธอเข้ามาเบียดกับตัวเขา
เมื่อร่างแบบบางเบียดเข้ากับร่างกำยำร้อนระอุ เซียงเสี่ยวไห่ก็หัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ
ชั่ววูบนั้นความตระหนกที่ฉายออกมาทางแววตาของหญิงสาว ทำให้หยวนอวี้นึกอยากกอดจูบเธออย่างเร่าร้อนขึ้นมา เผื่อจะช่วยขจัดความอ่อนแอนั้นได้...
หยวนอวี้ตื่นขึ้นจากภวังค์ บังคับตัวเองให้ผลักเธอออกเพราะกลัวว่าหากไม่รีบหักห้ามใจ มโนภาพทุกอย่างอาจกลายเป็นจริงขึ้นมาทั้งหมด
สิ่งที่เขาไม่ต้องการที่สุดคือการยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงประเภทนี้
ชีวิตของเขาเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ มีหลักเกณฑ์และวิธีการดำรงชีวิตอันเคร่งครัด ส่วนเซียงเสี่ยวไห่นั้นแสนจะซับซ้อน ยุ่งเหยิง ไม่เดินหมากตามเกม หากคบกับผู้หญิงแบบเธอชีวิตคงมีแต่เรื่องให้แก้ไขไม่หยุดหย่อน ทุกอย่างจะอยู่เหนือการควบคุม
ไม่ เขารับการเปลี่ยนแปลงชนิดนั้นไม่ไหว
“ว้า น่าเสียดายจัง” ทันทีที่ได้ยินเสียงตัวเองเสี่ยวไห่ก็นึกเสียใจ เพราะเสียงเธอเมื่อครู่เจือความอาวรณ์จริงๆ ตอนที่หยวนอวี้ผลักเธอออก เธอรู้สึกว่างโหวงจนแทบจะเป็นฝ่ายโผเข้าซบเขาเสียเอง
ใช่ว่าเธอเพิ่งออกมาผจญโลกวันสองวันเสียเมื่อไหร่ คนที่มาจีบเสี่ยวไห่มีทุกระดับตั้งแต่คนส่งของ พ่อค้าเร่ยันเจ้าของบริษัทใหญ่โต แต่ไม่เคยมีใครทำอะไรเหนือความคาดหมายขนาดนี้มาก่อน หญิงสาวรับมือคนพวกนั้นได้อย่างสบายๆ ไม่เคยสร้างความบาดหมาง วิธีดำเนินธุรกิจและวิธีใช้ชีวิตของเธอเหมือนกัน นั่นคือคบหาคนมากมายแต่ไม่เคยลึกซึ้ง
แน่นอนหยวนฉีถือเป็นกรณียกเว้น เสี่ยวไห่ชอบหญิงสาวขี้อายน่ารักแบบเธอจึงอดให้ความช่วยเหลือไม่ได้ ว่ากันตามตรงที่เสี่ยวไห่ตกลงธุรกิจกับหยวนฉีไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์แต่เป็นเพราะเห็นใจมากกว่า น่าเสียดายที่หยวนอวี้ไม่รู้เรื่อง วันๆ จึงดีแต่โวยวายกล่าวโทษเธอต่างๆ นานา
สาเหตุที่เธออยากเข้ามาทำงานในเซเลเบรท เบลซ กรุ๊ป นอกจากจะเพื่อประสบการณ์การทำงานที่กว้างขวางขึ้นแล้ว ส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะอยากรู้อยากเห็นด้วย ตั้งแต่รู้จักหยวนอวี้ หญิงสาวก็พบว่าตนเองยอมเสียเวลาและความพยายามมากมายไปกับการยั่วโมโหเขา
ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งได้ไหม
“ดูเหมือนว่าเราจะวนกลับมาที่จุดเริ่มต้นนะ” หยวนอวี้ยกมือนวดขมับ ผู้หญิงคนนี้ทำเขาเปลืองสมองไปมาก “คุณมีเหตุผลยิ่งใหญ่อะไรถึงเชื่อว่าผมจะจ้างคุณทำงาน ต่อให้เสี่ยวฉีไม่อยู่แล้ว ในบริษัทก็ยังมีคนดูแลฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้มากมาย คุณอย่าเสียแรงเปล่าเลย” ในเมื่อไม้แข็งใช้ไม่ได้ผล ก็คงจำเป็นต้องเปลี่ยนท่าทีให้อ่อนลง
“อื้ม แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย สุภาพขึ้นแล้วนี่” เสี่ยวไห่ไขว้มือกอดอกพลางผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ ปิ่นปักผมแกว่งไกวตามแรงขยับ ภาพที่เห็นรบกวนจิตใจหยวนอวี้ไม่น้อย “ในเมื่อคุณอยากรู้ ฉันจะบอกให้เอาบุญก็ได้...”
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นพอดี เลขาฯ เซียวยกกาแฟเข้ามาเสิร์ฟ นางเป็นหญิงวัยกลางคนอายุเกือบสี่สิบ เคยเป็นเลขาฯ ของบิดาหยวนอวี้มาก่อน เมื่อเขาสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทนางก็ทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัวของเขาต่อไปโดยปริยาย
เลขาฯ เซียวรู้กาลเทศะดี เมื่อเห็นสองคนกำลังคุยธุระกันจึงเพียงแค่พยักหน้าให้เจ้านายแล้วออกจากห้องไป
“ว้าว หอมจัง เลขาฯ เซียวนี่เก่งรอบด้านจริงๆ” เสี่ยวไห่นั่งลงดื่มกาแฟด้วยอารมณ์เบิกบาน
“พูดให้จบสิคุณ ผมไม่มีเวลายุ่งกับคุณทั้งวันหรอกนะ” หยวนอวี้รู้สึกขัดตาขัดใจกับท่าทางสบายอารมณ์ของเธอเหลือเกิน
“อ้าว เหรอคะ หลายวันนี้ฉันเห็นคุณดีแต่วิ่งไปดื่มชาที่ร้านฉัน เลยนึกว่าคุณว่างมากเสียอีก” เสี่ยวไห่เงยหน้ามองอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าสีหน้าไม่สู้จะดีจึงเปลี่ยนใจเลิกยั่วโมโห “คุณรู้ไหมว่าฉันกับหยวนฉีตกลงอะไรกันไว้”
ทันทีที่ได้ยินคำถามหยวนอวี้ก็หน้าเครียดขึ้นมาทันที “อะไร”
เสี่ยวไห่ดื่มกาแฟอึกหนึ่งแล้วจึงกล่าวเนิบๆ “ฉันช่วยเธอจัดการเรื่องเรียนวาดรูปที่สเปนทั้งหมด ค่าเล่าเรียนเอย สมัครเรียนเอย หาที่พักเอย ซ้ำยังหาคนดูแลเธอด้วย ส่วนเธอก็จำนำความสามารถในการทำงานไว้กับฉัน ดังนั้นถ้าฉันทำให้เธอได้เรียนวาดรูปสองปี ก็เท่ากับว่าต่อไปเธอจะต้องมาทำงานให้ฉันสองปี อธิบายแบบนี้เข้าใจไหมคะ”
“สองปีงั้นเหรอ? หยวนฉีบ้าไปแล้วหรือไง นั่นเท่ากับว่าน้องผมจะต้องถูกคุณบงการชีวิตตั้งสองปี ทำไมถึงโง่ขนาดนี้นะ?!” มีแต่คนปัญญาอ่อนเท่านั้นแหละถึงจะเซ็นสัญญาบ้าๆ นี่ หยวนอวี้โมโหจนแทบจะอาละวาด หากตอนนี้หยวนฉียืนอยู่ข้างๆ คงโดนเขาค้อนตาแทบหลุดไปแล้ว
คนอย่างหยวนอวี้คงไม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอทั้งสองคนหรอก ความเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการตกลงซื้อขายครั้งนี้ เสี่ยวไห่พยายามจัดการเรื่องเรียนโดยใช้เงินน้อยที่สุดเพื่อต่อไปเวลาใช้หนี้เสี่ยวฉีจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก
แต่หยวนอวี้กลับมองเรื่องนี้ด้วยสายตาของนักธุรกิจล้วนๆ ถึงได้เห็นว่าหยวนฉีบ้าไปแล้ว
“ก็เพราะแบบนี้แหละ คุณถึงไม่ควรร้ายใส่ฉัน ตอนนี้น้องสาวคุณกินอยู่ด้วยเงินของฉัน คนที่ดูแลเธอก็เป็นคนของฉัน ถ้าคุณรังแกฉัน เสี่ยวฉีอาจจะโดนฉันรังแกต่อก็ได้นะคะ” แม้จะเห็นว่าหยวนอวี้เดือดจัดจนไฟแทบลุก เธอก็ยังโหมสุมเชื้อไฟอย่างไม่กลัวตาย
“เซียง เสี่ยว ไห่!” ชายหนุ่มคำรามเสียงต่ำ “ให้ตายเถอะ เสี่ยวฉีนะเสี่ยวฉี...เรื่องเงินทำไมไม่มาขอพี่...” เขาเดินวนไปวนมาด้วยความร้อนรน กำหมัดแน่นแล้วคลายออกสลับกันไป ไม่รู้ว่าควรจะบีบคอผู้หญิงตรงหน้าให้ตายคามือเสียก่อนแล้วค่อยตามไปจัดการน้องสาวตัวดีที่สเปนหรือไม่
หยวนฉีไม่ยอมขอเงินเขาไปเรียนวาดรูป แต่กลับยอมเจรจาแลกเปลี่ยนบ้าๆ บอๆ กับผู้หญิงคนนี้ ดีนักนะ! เวลานี้น้องสาวเขากินอยู่ด้วยเงินของเซียงเสี่ยวไห่ หากเขาไม่ยอมตกปากรับคำให้เธอมาทำงานที่เซเลเบรท เบลซ กรุ๊ป เสี่ยวฉีอาจถูกทิ้งให้เคว้งคว้างอยู่ในสเปนคนเดียวก็ได้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?!
หยวนฉีนะหยวนฉี รู้ไหมว่าผลของการกระทำครั้งนี้ทำให้พี่ชายต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแค่ไหน
“ว่าแต่...พรุ่งนี้ฉันต้องมาทำงานกี่โมงคะ” เสี่ยวไห่ยกกาแฟขึ้นดื่มโดยไม่ใส่ใจเสียงตะโกนโหวกเหวกของฝ่ายชาย
หยวนอวี้จ้องมองเสี่ยวไห่จากด้านหลัง นึกอยากผลักหญิงสาวให้หน้าทิ่มจมกาแฟตายเสียให้หมดเรื่องหมดราว เสียดายที่ได้แต่คิด ทำจริงไม่ได้ ฮึ่ม มันน่าโมโหนัก!
“พรุ่งนี้เก้าโมงครึ่งมารายงานตัวกับผม” ก่อนวันพรุ่งนี้ เขาจะต้องหาวิธีจัดการเธอให้จงได้
ในที่สุดเสี่ยวไห่ก็ดื่มกาแฟจนหมด เธอยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้มของผู้ชนะ มือคว้ากระเป๋าผ้าปักมาถือไว้ “งั้นฉันไปล่ะนะคะ ท่านประธาน” พูดจบก็โค้งให้หนึ่งทีแล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างสง่างาม
หยวนอวี้กระแทกประตูห้องปิดโดยแรง กัดฟันแน่นเสียจนฟันแทบโยก
หยวนอวี้นำรถเข้าจอดในที่จอดรถส่วนตัว ทันทีที่ดึงเบรกมือจอดรถก็ต้องยกมือขึ้นนวดเฟ้นที่ขมับ เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอน ในสมองมีแต่ใบหน้าจองหองของเซียงเสี่ยวไห่ เล่นเอาวันนี้เขา ‘อารมณ์บูด’ แต่เช้า
“จะปล่อยให้ยัยนั่นได้คุมฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่ได้ ใครจะรู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรอีก” ขณะก้าวเข้าไปในลิฟต์เขายังคงคิดถึงแต่เรื่องนี้ “หรือว่าปล่อยให้นั่งแช่อยู่เฉยๆ จนทนเบื่อไม่ไหวต้องลาออกไปเองดีนะ”
ใครจะรู้ว่านาทีต่อมา การปลอบใจตัวเองของหยวนอวี้ก็ต้องพังครืนลงกับตา คนที่เขาเจอในโถงอาคารต่างก็ชื่นชมผู้จัดการใหม่อย่างเห็นได้ชัด...
“ท่านประธานครับ ผู้จัดการเซียงที่มาใหม่เนี่ยเยี่ยมมากเลยนะครับ เสนอความคิดแต่ละอย่างเฉียบแหลมทั้งนั้น เราคงได้เห็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ทำผลงานใหญ่เร็วๆ นี้แหละครับ” นี่เป็นคำพูดจากปากผู้จัดการฝ่ายขาย
“ท่านประธานครับ ในที่สุดท่านก็หาผู้นำมาให้พวกเราจนได้ ตั้งแต่ผู้จัดการหยวนจากไปฝ่ายประชาสัมพันธ์ของเราก็วุ่นวายไปหมด คราวนี้ค่อยสบายใจหน่อยครับ” นี่เป็นคำพูดของหลี่หย่งซ่านจากฝ่ายประชาสัมพันธ์
“ท่านประธานครับ ได้ยินว่าฝ่ายประชาสัมพันธ์มีผู้จัดการใหม่คนสวยเข้ามา ผมล่ะอยากไปชม...”
“ชมอะไรไม่ทราบ?!” ชายหนุ่มคำรามตัดบทจนผู้จัดการโชคร้ายคนนั้นหน้าเจื่อน
หยวนอวี้ไม่ว่างพอจะต่อปากต่อคำ เขามีเรื่องด่วนต้องจัดการ เรื่องด่วนที่ว่าก็คือ...หักคอยัยเซียงเสี่ยวไห่ซะ
ให้ตายเถอะ ผู้หญิงคนนี้มือไม้ไวนักนะ บอกอยู่ทนโท่ว่าให้มารายงานตัวตอนเก้าโมงครึ่ง นี่เพิ่งจะเก้าโมงยี่สิบห้านาทีก็เข้าไปก่อกวนในฝ่ายประชาสัมพันธ์เสียแล้ว คงวิ่งไปประกาศตัวว่าเป็นผู้จัดการคนใหม่เอาเองเลยล่ะสิ เรื่องหน้าหนาขนาดนี้คงมีแต่คนประหลาดระดับยัยนั่นเท่านั้นแหละถึงจะทำได้
หยวนอวี้ก้าวฉับๆ ออกจากลิฟต์ชั้นบนสุด ปาดผ่านโต๊ะทำงานของเลขาฯ เซียวตรงเข้าไปยังห้องทำงาน แน่นอน สิ่งแรกที่เขาลงมือทำคือต่อสายถึงฝ่ายประชาสัมพันธ์ “ให้เซียงเสี่ยวไห่มาพบฉันที่ห้องทำงาน”
เขาโมโหจนถึงกับติดต่อไปเองโดยไม่รอให้เลขาฯ เซียวจัดการให้
ฝ่ายเซียงเสี่ยวไห่นั้นอารมณ์ตรงข้ามกับหยวนอวี้ราวหน้ามือเป็นหลังมือ เธอปรากฏกายตรงหน้าเขาด้วยชุดกี่เพ้าสีน้ำเงินลึกล้ำพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านประธาน ได้ยินว่าท่านร้อนใจอยากเจอฉันหรือคะ” ว่าพลางหมุนนาฬิกาทรงกำไลขึ้นมาดูเวลา “เก้าโมงครึ่งพอดิบพอดี ฉันไม่ได้สายนะคะ ทำไมวันนี้ท่านประธานสีหน้าไม่ดีเอาเสียเลยล่ะคะ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อ
หยวนอวี้จ้องอีกฝ่ายตาเขียว “คุณคิดว่ากำลังทำอะไรอยู่ไม่ทราบ ผมบอกให้คุณมารายงานตัวกับผมทันที แล้วนี่คุณไปที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ทำไม”
ให้ตายสิ ยังไม่ทันจะเริ่มทำงานก็สร้างความวุ่นวายให้เขาเสียแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาตอบตกลงให้ยัยคนนี้มาทำงานที่เซเลเบรท เบลซ กรุ๊ปแล้วจริงๆ
“วันนี้ฉันมาเช้าเลยไปทักทายทุกๆ คนเสียหน่อยน่ะค่ะ ไม่เห็นจะผิดตรงไหนนี่คะ” เสี่ยวไห่มองเจ้านายใหม่ด้วยสายตาอ่อนน้อม แต่ในใจนั้นหัวร่อจนงอหาย
ที่จริงเธอเป็นคนขี้เซามาก วันนี้ถึงขนาดต้องกำชับเสี่ยวอวี๋ว่าไม่ว่าจะใช้วิธีไหนต้องทำให้เธอตื่นมาบริษัทแต่เช้าให้ได้ เสี่ยวไห่เองก็พอจะนึกออกว่าเมื่อเริ่มทำงานชีวิตจะลำบากขนาดไหน อย่างน้อยที่สุดการต้องตื่นเช้าก็เป็นเรื่องหนักหนาสำหรับเธอ
เวลาที่เธอทำธุรกิจ หากไม่ใช่งานสำคัญที่น่าสนใจจริงๆ เสี่ยวไห่จะไม่มีวันยอมรับนัดตอนเช้าเป็นอันขาด ปกติแล้วกว่าจะเริ่มทำงานก็หลังสิบโมง ชีวิตของเธอก่อนหน้านี้แสนจะสุขสบาย ต่อไปอย่าหวังเลยว่าจะได้ใช้ชีวิตแบบนั้นอีก แค่เห็นหน้าตาบึ้งตึงของหยวนอวี้ก็รู้แล้ว
“ไม่จำเป็นต้องทักทายหรอก” หยวนอวี้สงบสติอารมณ์ พยายามทำสีหน้าปกติ “ต่อไปคุณทำงานเป็นผู้ช่วยผมในห้องนี้แหละ ผมสั่งให้ทำอะไรคุณทำตามก็พอแล้ว”
คงมีเพียงต้องมัดตัวเธอไว้ในห้องเขาเท่านั้นจึงจะป้องกันไม่ให้เสี่ยวไห่ก่อเรื่องวุ่นวายได้ แบบนี้ทำอะไรจะได้อยู่ในสายตาเขาทั้งหมด
“ทำไมฉันจะต้องเป็นผู้ช่วยคุณด้วยคะ คุณไม่น่าจะต้องการผู้ช่วยนี่” หากจำเป็นต้องมีผู้ช่วยจริง หยวนอวี้คงจะตั้งตำแหน่งนี้นานแล้ว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตำแหน่งผู้ช่วยอะไรนั่นตั้งขึ้นมาลอยๆ เพื่อจัดการกับเธอโดยเฉพาะ
“ตอนนี้ต้องการแล้ว” หยวนอวี้เดินไปหลังโต๊ะแล้วนั่งลงเตรียมลงมือทำงาน นั่นหมายความว่าได้ข้อสรุปเพียงเท่านี้ ไม่เปิดโอกาสให้ต่อรอง “จะทำหรือไม่แล้วแต่คุณ ถ้าคุณไม่อยากทำจะลาออกเสียตอนนี้ก็ได้นะ”
“หยวนอวี้ คุณ...” หญิงสาวโมโหจนตัวสั่น
“อ๊ะอ๊ะ!” เขาส่ายนิ้วชี้เป็นเชิงห้าม “ตอนนี้ผมเป็นเจ้านายคุณนะครับ เรียกชื่อเจ้านายตรงๆ แบบนี้ไม่เหมาะล่ะมั้ง” พูดจบยังส่งยิ้มมุ่งร้ายมาให้
ฮ่าๆ ความรู้สึกเวลาได้เหยียบหล่อนจมดินนี่ช่างวิเศษจริงๆ เมฆหมอกมืดครึ้มที่สุมใจเขาแต่เช้ามลายหายไปหมดสิ้น
เสี่ยวไห่สูดหายใจลึกๆ สองสามที มองหน้าอีกฝ่ายตาเขียว
“ฉันนั่งตรงไหนคะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงจำยอม
“อ้าว” หยวนอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ “นี่ยังไม่ยอมลาออกอีกเหรอ”
เสี่ยวไห่พ่นลมหายใจอย่างฉุนจัด แล้วความโมโหก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหวานเยิ้มในทันใด “ทำไมจะต้องออกด้วยล่ะคะ ในเมื่อท่านประธานชอบฉันถึงขนาดต้องดึงไว้ทำงานใกล้ชิด ฉันก็คงต้องยอมฝืนใจรับใช้อยู่แถวนี้ล่ะค่ะ โอ จริงด้วย ฉันนั่งทำงานในห้องนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะ แบบนี้คุณอยากเห็นหน้าฉันเมื่อไหร่ก็จะได้เห็นทันที”
“ใครอยากเห็นหน้าคุณตลอดเวลาไม่ทราบ” ชายหนุ่มย้อน “ไปนั่งข้างเลขาฯ เซียวโน่น อ๊ะ อย่าดีกว่า เดี๋ยวจะพานทำเลขาฯ ผมเสียคน เลขาฯ ดีๆ ใช่จะฝึกกันง่ายๆ อย่าเสี่ยงดีกว่า”
ดูสิดูพูดเข้า เธอเนี่ยนะจะทำเลขาฯ เซียวเสียคน เซียงเสี่ยวไห่ได้ยินคำพูดเขาอารมณ์ฉุนก็เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นอีก
“รีบๆ คิดหน่อยสิคะ ฉันยืนนานเมื่อยจะแย่แล้ว!” เธอพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“งั้นคุณอยู่กับผมในห้องนี้ก็แล้วกัน” เขาตอบอย่างจนใจ
“โอ๊ย ขอบคุณสวรรค์จริงๆ” เสี่ยวไห่พูดพลางค้อนใส่หยวนอวี้ที่กำลังก้มหน้าทำงาน แล้วจึงเดินกระแทกส้นสูงออกไปหาเลขาฯ เซียว
อยากบีบให้เธอถอยงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!
* ชาเถี่ยกวนอิน เป็นชาขึ้นชื่อของมณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) หนึ่งในชนิดชาอูหลงซึ่งถือเป็นสุดยอดของชาจีน
* ชาจินซวน (จินเซวียน) เป็นชาขึ้นชื่อของไต้หวัน หนึ่งในชนิดชาอูหลงซึ่งถือเป็นสุดยอดของชาจีน
ความคิดเห็น