คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
แวมไพร์ละลายใจ
ตำนาน
‘ผีดิบ’ ไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้นมาลอยๆ หรอกนะ
ในปี ค.ศ. 1271 มาร์โค โปโลซึ่งมีอายุเพียงสิบเจ็ดปีกับพ่อและอาของเขาได้ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก
ช่วงเวลานั้นชาวตะวันตกพากันเล่าลือถึงโลกฝั่งตะวันออกว่าเป็นดินแดนลึกลับอาถรรพ์ และมีภูตผีปีศาจอาศัยอยู่มากมายเหลือคณานับ
อันที่จริงแล้วภูตผีปีศาจตัวจริงไม่ได้อยู่ทางฝั่งตะวันออกหรอก แต่อยู่ในกลุ่มนักเดินทางสำรวจของมาร์โค โปโลนี่แหละ พวกเขาคุมตัวผีดูดเลือดสี่ตนซึ่งเป็นอมตะและถูกทางโบสถ์ใช้คาถาสะกดเอาไว้ ลอบเข้าสู่อาณาจักรมองโกล โดยตั้งใจจะนำวิญญาณชั่วร้ายที่พระเจ้าไม่ยอมรับไว้เหล่านี้มาโยนทิ้งตามยถากรรม
แต่ใครจะคาดคิดว่าในเสี้ยววินาทีที่พวกเขาทั้งคณะย่างเท้าเข้าสู่แผ่นดินตะวันออก คาถาก็เสื่อมลงทันที
ร่างของผีดูดเลือดชายหญิงแสนงดงามซึ่งแข็งซีดอยู่ก็คืนสู่สภาพเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาอีกครั้งในทันควัน เมื่อทั้งสี่ตนลืมตาอันเย้ายวนใจขึ้น แล้วก็กางปีกสง่างามบินหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ก่อนที่คณะของมาร์โค โปโลจะทันได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเสียอีก
นับจากนั้นเป็นต้นมาพวกเขาเริ่มขยายตัวแตกกิ่งก้านสาขาในดินแดนตะวันออกโดยอาศัยมนตร์เสน่ห์ที่ไม่มีใครต้านทานได้ จนก่อกำเนิดเป็น ‘เผ่าพันธุ์ลึกลับ’ ขึ้นมา
หลังจากนั้นมาร์โค โปโลซึ่งเสร็จสิ้นภารกิจทิ้งผีแล้วอาศัยอยู่ในประเทศจีนนานยี่สิบกว่าปีก็เคยได้เจอะเจอกับมนตราที่ทำให้ผู้คนลุ่มหลงหัวปักหัวปำของ ‘ผีดิบ’ กลุ่มนี้มาแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยถึงเป็นนัยๆ ไว้ในคำบอกเล่าของตัวเองซึ่งได้กลายมาเป็น ‘บันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล’ ทั้งสี่เล่มนั่นเอง
น่าเสียดายที่ไม่มีใครสังเกตถึงเรื่องนี้ ทุกคนจำได้แต่ว่ามาร์โค โปโลเอาเส้นสปาเกตตี้กลับจากเมืองจีน แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าซอสสปาเกตตี้ที่ใส่กระเทียมกลิ่นฉุนกึกนั้น จริงๆ แล้วมีที่มาจากการที่เขาต้องคอยระวังพวกผีดูดเลือดต่างหาก...
ดังนั้น ‘ผีดิบ’ ไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้นมาลอยๆ เลย
ไม่เชื่อใช่ไหมล่ะ
งั้นคุณต้องติดตามอ่านต่อไป!
ฮ่าๆๆ...
บทที่ 1
“สาวคนนั้นเป็นของดี”
จงอี้หลุนเล็งไปที่หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งปะปนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายด้วยสายตาคมกริบและแม่นยำ
ดวงตาเขาเป็นสีดำราวกับนิล มันดำสนิทเหมือนท้องฟ้าในค่ำคืนที่ไร้ดวงดาวแต่งแต้ม และดูกระด้างเย็นชายิ่งนัก แต่มันจะส่งประกายวาววับขึ้นมาทันทีที่มองเห็นเหยื่อ
เรียวปากบางสวยดูเจ้าอารมณ์ของเขาก็ไม่ค่อยมีรอยยิ้มให้เห็นนัก ซึ่งแตกต่างจากเจสันเพลย์บอยตัวฉกาจที่ชอบโปรยยิ้มละลายใจสาวๆ โดยสิ้นเชิง อี้หลุนมีรัศมีบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวที่ทำให้คนอื่นไม่กล้าเฉียดกราย อีกทั้งเขาเองก็ไม่ชอบให้อาหารวิ่งเข้ามาประเคนถึงปากเช่นกัน ไม่ยกเว้นแม้แต่ในเวลาที่เขาหิวโซ
ชายหนุ่มรักสันโดษ และชอบขีดเส้นแยกตัวเองจากคนอื่น อย่างไรก็ดี การที่เขาดูเฉยเมยเย็นชาขนาดนั้นเป็นเพราะว่าเขาไม่นึกอยากได้อะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อมีใครมากระตุ้นให้เขาเกิดความอยากขึ้นมาล่ะก็ จะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปทันที
เจสันซึ่งอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเขาพูดก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจเต็มที่
“ไหนๆ” เจสันมองตามสายตาของอี้หลุนไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพื่อค้นหา ‘ของดี’ ที่นานๆ ทีคู่หูจะหลุดปากชมออกมา
งานนี้เป็นปาร์ตี้สุดฮิปที่คนมีเงินจัดขึ้นเพื่อสังสรรค์รื่นเริงกัน สถานที่จัดงานหรูหราอลังการเต็มไปด้วยของแบรนด์เนม อัญมณี โคมไฟระย้า รวมถึง ‘อาหาร’ ที่แต่งตัวทันสมัยและใส่เครื่องประดับเพชรพลอยวูบวาบละลานตา
ในยุคที่ชายหญิงเท่าเทียมกันนี้ สาวสวยจึงไม่ใช่ดาวเด่นของงานอีกต่อไป มีบางครั้งหนุ่มหล่อยังได้รับความนิยมมากกว่าสาวสวยเสียอีก อย่างเช่นอี้หลุนหนุ่มหล่อเข้มแบบเย็นชาและเจสันหนุ่มหล่อเท่แบบอบอุ่น
อี้หลุนมีหน้าตาแบบพวกลูกครึ่ง ผมสีดำ จมูกโด่งเป็นสัน รูปหน้าคมคายราวกับแกะสลัก ประกอบกับร่างกายที่สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบสองเซนติเมตร ทำให้เขาหล่อกระชากใจอย่างแรงเลยทีเดียว
ส่วนเจสันกลับเป็นหนุ่มฝรั่งแท้ๆ ผมสีทองตาสีฟ้า มีอารมณ์ขันแตกต่างจากอี้หลุนที่เป็นคนเก็บความรู้สึก นัยน์ตาสีฟ้าของเขาเหมือนจะปล่อยกระแสไฟได้ไม่มีวันหมด และไม่มีเวลาไหนเลยที่มุมปากเขาจะไม่ประดับรอยยิ้มน้อยๆ เซ็กซี่น่าหลงใหล
พวกเขาสองคนยังโสด ฐานะดี มีหน้ามีตา และเป็นแวมไพร์ที่มีชีวิตยืนยาวนานกว่าสามร้อยปี ปัจจุบันอาศัยอยู่ในไต้หวัน และมีอาชีพบังหน้าเป็น...หมอศัลยกรรมกับหมอนิติเวช
เวลาที่พวกคนสองคนยืนอยู่ด้วยกันจะดูโดดเด่นยิ่งกว่าพวกดาราและนายแบบเสียอีก มันเป็นคุณลักษณะของพวกแวมไพร์ที่คล้ายๆ กับพวกสัตว์และแมลงที่เปลี่ยนสีให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมเพื่อความอยู่รอด
ความหล่อ ชื่อเสียงและฐานะคือคุณสมบัติสำคัญสามประการซึ่งเป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลกวัตถุนิยมเสมอ
สำหรับพวกเขาแล้ว การมีรูปร่างหน้าตาดึงดูดใจผู้คนได้เป็นหนึ่งในคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่กรุยทางให้พวกเขาเข้าสู่สังคมมนุษย์ และล่อ ‘อาหาร’ ให้มาติดกับได้ง่ายดาย
พวกเขาพินิจพิจารณาเลือก ‘อาหาร’ ในงานปาร์ตี้ เช่นเดียวกับที่พวกเขาก็เป็น ‘อาหาร’ ให้คนอื่นสอดส่ายสายตามองหาอยู่เหมือนกัน
สาวสังคมชั้นสูงที่ชอบวางมาดเป็นนางพญา ดูภายนอกเหมือนรักนวลสงวนตัวพวกนั้นไม่สามารถตบตาพวกเขาได้เลย พวกเขามองแค่แวบเดียวก็เห็นว่าในแววตาของผู้หญิงพวกนั้นมีความปรารถนาซ่อนเร้นอยู่ และมันร้อนแรงเกินสีหน้าท่าทางแบบกุลสตรีของพวกเธอมากนัก
และความโลภกับตัณหาก็เป็นจุดเด่นของมนุษย์ที่แวมไพร์ชอบมากที่สุดพอดี อีกทั้งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขาอยู่รอดมาได้หลายร้อยปีโดยไม่หายสาบสูญไป
เจสันมองกลุ่มหญิงสาวที่แต่งตัวงดงามเฉิดฉาย และนึกเดาว่าคนไหนคือ ‘ของดี’ ที่อี้หลุนหมายตาอยู่
“นายหมายถึงสาวชุดเปลือยหลัง หรือว่าคนที่ใส่บราคัพเอฟ”
ในความคิดของเจสัน ของดีคือหน้าสวย หุ่นเซ็กซี่ ผู้หญิงอย่างนี้ถึงจะมีรสชาติถึงใจ
“คนที่ใส่ชุดขาว”
เจสันรีบมองหาทันที และพบ ‘อาหาร’ ใส่ชุดราตรีสีขาวเงินสามคนอย่างรวดเร็ว
“คนไหนล่ะ ซ้าย กลาง หรือขวา” ผู้หญิงสามคนนั้นมีดีคนละแบบ ไม่ว่าคนไหนก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวทั้งนั้น
“ฉันพูดถึงพนักงานเสิร์ฟ”
“หา?”
ขณะที่เจสันนิ่งอึ้งอยู่ อี้หลุนก็เดินไปหาเป้าหมาย...ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆ ผูกผมหางม้า และสวมเครื่องแบบสีขาวของพนักงานเสิร์ฟ
เจียงมี่หยาถือถาดซึ่งมีแก้วทรงสูงบรรจุเหล้าค็อกเทลหอมหวานไว้เกือบเต็มวางอยู่บนนั้น แสงไฟส่องล้อแก้วเหล้าพาให้เครื่องดื่มในนั้นระยิบระยับจับตามากขึ้น
ใบหน้าเธอประดับรอยยิ้มน้อยๆ ขณะเดินสวนไปมากลางฝูงคนอย่างขยันขันแข็ง แม้จะเจอกับพวกคุณหนูลูกเศรษฐีที่ชอบวางมาดใหญ่โต เธอก็ยังคงก้มตัวพินอบพิเทาราวกับคนรับใช้
นี่คืองาน ปกติเธอเป็นคนที่ชอบทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดอยู่แล้ว อีกทั้งพนักงานเสิร์ฟในงานปาร์ตี้ได้ค่าแรงรายชั่วโมงสูงมาก และไม่ใช่ว่าทุกคนจะมาเป็นพนักงานเสิร์ฟในงานนี้ได้ เธอต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างหนักกว่าจะผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวดจนได้งานพิเศษชิ้นนี้มา
หญิงสาวเรียนอยู่คณะบริหารจัดการอาหารและเครื่องดื่มในมหาวิทยาลัย พอจบแล้วก็ได้ทำงานที่ตัวเองรักในแวดวงธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เธอโชคดีมีคนรู้จักช่วยแนะนำให้เข้ามาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในงานปาร์ตี้ฮิปๆ นี้ได้ ซึ่งเป็นโอกาสให้เธอได้เข้าสู่วงสังคมชั้นสูงเพื่อเปิดหูเปิดตาและเรียนรู้
ในงานปาร์ตี้หรูหราแบบนี้จะเข้มงวดกวดขันเรื่องการทำงานไม่ให้ผิดพลาดเด็ดขาด เธอบอกตัวเองว่าจะต้องระมัดระวังมากๆ แต่บางครั้งแม้จะระวังตัวอย่างดีแล้วก็ใช่ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นไม่ได้
สิ่งที่พนักงานเสิร์ฟกลัวที่สุดก็คือถูกแขกชน
เพล้ง!
ตอนที่เสียงแก้วทรงสูงแตกดังกังวานขึ้น เธอก็รู้ว่าตัวเองจบเห่แล้ว!
“อะไรกันเนี่ย!”
และสิ่งที่พนักงานเสิร์ฟกลัวรองลงมาคือ ทั้งๆ ที่แขกเป็นคนเดินเข้ามาชนเองก็ยังปากแข็งไม่ยอมรับ แล้วโยนความผิดให้คนอื่น
“เธอทำงานประสาอะไร โอ๊ย...ชุดฉัน นี่มันแบบใหม่ล่าสุดของแชแนลเลยนะยะ ตาบอดหรือไง!”
“ขอโทษค่ะๆ”
แขกเป็นฝ่ายถูกเสมอ ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องเอ่ยขอโทษก่อน หญิงสาวสะกดความรู้สึกเจ็บแปลบบนมือ เพราะตอนที่ชนเมื่อกี้นี้เศษกระจกบาดถูกนิ้ว แม้แผลจะไม่ลึกนัก แต่ก็มีเลือดไหลออกมาเป็นหยดๆ
ผู้จัดการงานปาร์ตี้รีบปรี่เข้ามาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นจำนวนแก้วที่แตกตรงหน้าก็ถลึงตามองมี่หยาอย่างตำหนิติเตียนก่อนโดยไม่ถามสักคำ หญิงสาวแอบโอดครวญอยู่ในใจว่าหนนี้เธอต้องแย่แน่ๆ แล้ว
สาวลูกเศรษฐีอับอายที่เห็นสภาพตัวเองเปรอะเปื้อนเลอะเทอะ จึงไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ แค่นี้
“ยัยนี่เป็นคนชนฉัน พวกคุณจะชดใช้ยังไง!”
อะไรนะ
มี่หยาอึ้งสนิท นี่มันโกหกกันหน้าด้านๆ เลย! ให้ฟ้าผ่าตายสิ ตอนนั้นเธอยืนอยู่เฉยๆ แต่ผู้หญิงคนนี้ต่างหากเป็นฝ่ายที่เดินไม่มองทางเลยเข้ามาชนเธอเอง
ผู้จัดการงานปาร์ตี้รีบพูดขึ้น “ขอโทษนะครับคุณไป๋ เราจะไปเตรียมชุดมาให้คุณเปลี่ยนทันที และเอาชุดนี้ไปส่งซักให้สะอาดเลยครับ”
ด้วยความเย่อหยิ่งและถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กทำให้ลูกเศรษฐีคนนั้นยังคงไม่ยอมเลิกรา แค่เอาชุดไปส่งซักให้ยังไม่ทำให้หายขุ่นเคืองได้ เธอจึงชี้หน้ามี่หยา และออกคำสั่งอย่างถือดี
“ชุดนี้แสนห้า เธอต้องชดใช้ให้ฉัน”
“แสนห้า?”
มี่หยาใจหายวาบ ไม่จริงมั้ง ทำไมถึงกล้าเรียกค่าเสียหายแบบขูดเลือดขูดเนื้อขนาดนี้ออกมาได้ไม่อายปาก
เรื่องแบบนี้ยอมกันไม่ได้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเห็นแขกเป็นพระเจ้าอีกแล้ว ต่อให้ฝ่ายนั้นเป็นสาวผู้ดีมีสกุลใหญ่โตมาจากไหนก็จะมาวางอำนาจบาตรใหญ่แบบนี้ไม่ได้! คนเราต้องมีเหตุผลกันบ้างสิ เห็นทีว่าเธอจะไม่แก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้แล้ว
“คุณ...” ขณะที่หญิงสาวกำลังจะเอ่ยปากพูด จู่ๆ ก็มีมือใหญ่มาคว้าข้อมือเธอไว้แล้วยกขึ้นสูง
มี่หยานิ่งงันพลางมองไปด้านข้างอย่างประหลาดใจ จึงเห็นผู้ชายแปลกหน้าซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนถือวิสาสะจับข้อมือเธอไว้ แล้วยังจ้องนิ้วมือที่มีแผลอีก
“คุณเป็นแผลแล้ว”
เธอรู้ว่านิ้วของตัวเองโดนบาด แล้วยังไงล่ะ เธอจะกระอักเลือดตายเพราะค่าชดใช้แสนห้านั่นอยู่แล้ว
หญิงสาวยังไม่ทันตั้งตัวติด วินาทีถัดมาชายคนนี้ก็ทำบางอย่างที่ส่งผลให้ลูกตาเธอแทบถลนออกจากเบ้า...
เขาอมนิ้วชี้ที่เป็นแผลของเธอเข้าปาก ‘ตัวเอง’ ต่อหน้าทุกคน
การแสดงความสนิทสนมอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้เป็นเหตุให้คนในงานพากันตะลึงงัน แถมยังมีผู้หญิงบางคนอุทานเสียงหลงออกมาด้วย ส่วนมี่หยาเองก็ตกใจจนพูดไม่ออกเมื่อเจอเรื่องไม่คาดคิดแบบนี้
เขาเป็นผู้ชายที่รูปหล่อมากคนหนึ่ง ตัวสูงใหญ่ เท่ และหน้าตาแบบลูกครึ่ง ผู้ชายแบบนี้ดูดนิ้วให้เธอโดยไม่สนใจสายตาผู้คน
ในงานปาร์ตี้ของวงสังคมชั้นสูง ใครๆ ก็รู้ว่าอี้หลุนเป็นหนุ่มโสดเนื้อหอมที่บรรดาสาวๆ ลูกเศรษฐีแอบหมายปองอยู่ เขาทั้งหล่อทั้งรวย หนำซ้ำยังเป็นหมอผ่าตัดที่ทุกคนให้ความเคารพนับถือ ชายหนุ่มมีคุณสมบัติพร้อมทุกอย่างที่ผู้หญิงใฝ่ฝันถึง แต่เขาเป็นคนลึกลับเก็บตัว และไม่เคยเข้าหาผู้หญิงก่อนเลย
รอบตัวเขาเหมือนมีม่านบางๆ ที่มองไม่เห็นขวางกั้นไว้ไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้ จนแม้แต่พวกผู้หญิงที่คลั่งไคล้เขาจะเป็นจะตายยังเกิดความรู้สึกเกรงๆ แต่ก็เป็นเพราะความลึกลับเย็นชาอีกเช่นกันที่ชวนให้สาวๆ พากันหลงเสน่ห์เขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
แต่ตอนนี้ผู้ชายคนนี้กำลังเลียแผลให้เธออยู่ มันช่างเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจครั้งยิ่งใหญ่ขนาดไหนกันล่ะเนี่ย! แถมยังทำให้ผู้หญิงทั้งงานอิจฉาตาร้อนไปตามๆ กัน
หากเป็นผู้หญิงทั่วไปคงไม่ปฏิเสธโอกาสงามๆ ที่ลอยมาหาเด็ดขาด ทว่าเธอเป็นข้อยกเว้นที่ว่านั่นพอดี
เธอรีบดึงนิ้วชี้ออกจากปากเขาราวกับถูกไฟลวก พร้อมกับรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
ผู้ชายคนนี้เป็นอะไร ท่าจะสมองไม่ปกติซะแล้ว!
แม้เธอจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ยังฝืนทำตัวสงบนิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะตกใจจนอึ้งไป เธอไม่มีทางยอมให้เขาทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้เด็ดขาด
“ขอบคุณค่ะ”
เธอกุมมือเอาไว้โดยไม่รู้ตัว และฝืนยิ้มให้ตามมารยาท พลางคิดอยู่ในใจว่าผู้ชายคนนี้ดูละครมากเกินไปหรือเปล่า ถึงทำมาเป็นสวมบทพระเอกเลียแผลให้เธอ ท่าทางจะเป็นเอามากแฮะ! เธออดขนลุกสะท้านไม่ได้
ผู้ชายตรงหน้าหล่อจนไม่รู้จะหล่อยังไงแล้ว แต่บังเอิญว่าเธอมีภูมิต้านทานหนุ่มหล่อพอดี
หญิงสาวไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เธอไม่ค่อยจะเพ้อฝันถึงหนุ่มหล่อเท่าไหร่ เพราะรู้ตัวว่าเป็นคนหน้าตาธรรมดาๆ และตัวเองอยู่ระดับไหน แต่เหตุผลสำคัญที่สุดคือเธอมีแฟนแล้ว
อี้หลุนมองเธอพลางเผยรอยยิ้มน่าหลงใหลขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่เคยได้เห็นมาเนิ่นนาน ไฟปรารถนาจุดวาบขึ้นรางๆ ในดวงตา สิ่งที่เขาพูดต่อไปยิ่งทำให้คนในงานตะลึงลานขึ้นไปอีก
“ค่าเสียหายทั้งหมดผมจะชดใช้แทนเธอเองครับ”
ไม่ใช่แค่ทุกคนเท่านั้นที่ประหลาดใจ แม้แต่เจสันซึ่งอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกเหมือนกัน เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าที่แท้ผู้หญิงที่อี้หลุนสนใจไม่ใช่สาวสวยหยาดฟ้ามาดิน หรือดาราชื่อดังมาจากไหน แต่เป็นสาวเสิร์ฟรูปร่างหน้าตาธรรมดาคนตรงหน้านี่เอง และแล้วเขาก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดในทันที
มี่หยาไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มกับอัศวินขี่ม้าขาวคนนี้แม้แต่นิดเดียว ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือเธอเชื่อมั่นว่าของฟรีไม่มีในโลก เธอส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้น “อย่าเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย”
ไม่ใช่ญาติโกโหติกากันสักหน่อย จู่ๆ มาบอกว่าจะช่วยเธอชดใช้ค่าเสียหาย จะให้รับของคนอื่นฟรีๆ แบบนี้ เธอไม่เอาด้วยหรอก
“ไม่เป็นไร ผมเต็มใจเองครับ” นัยน์ตาสีดำคู่นั้นที่จับจ้องเธออยู่ทอประกายอ่อนโยนและลึกซึ้งอย่างยิ่ง เขาหันไปเอ่ยกำชับผู้จัดการซึ่งยังไม่หายงงงวยอยู่โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอปฏิเสธ “คุณช่วยสั่งคนมาเก็บกวาดให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้เลย และหาคนมาพาคุณคนนี้ไปเปลี่ยนชุดใหม่ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมรับผิดชอบเอง” จากนั้นดวงตาเขาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว และมีประกายแปลกพิสดารปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ขณะที่พูดกับผู้จัดการและคุณหนูไป๋เหมือนสะกดจิต “อย่าทำให้เธอลำบากใจ”
ผู้จัดการงานปาร์ตี้ซึ่งปกติเป็นคนจุกจิกจู้จี้พยักหน้าอย่างไม่ลังเลทันทีจนน่าอัศจรรย์ใจ แถมเขายังบอกให้เธอกลับไปพักผ่อนได้เลยโดยไม่หักเงินเดือน และจะจ่ายค่าจ้างให้ตามปกติ ส่วนสาวลูกผู้ดีมีเงินที่ถูกตามใจจนเสียคนก็กลายเป็นกุลสตรีอ่อนน้อมถ่อมตนขึ้นมากะทันหัน ไม่เพียงแต่ขอโทษเธอ ยังยอมยุติเรื่องวุ่นวายนี้ลงแต่โดยดี
เรื่องราวทั้งหมดนี้มีแต่เจสันเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากปัญหาคลี่คลายแล้ว อี้หลุนหันหน้ากลับมาเอ่ยยิ้มๆ กับเธอ “ไม่มีอะไรแล้วครับ”
มี่หยาขมวดคิ้วเรียวสวย “ขอบคุณที่ช่วยฉันนะคะ แต่ว่า...คุณไม่น่าต้องจ่ายเงินเลย มันไม่จำเป็นสักหน่อย ฝ่ายนั้นต่างหากที่ไม่มีเหตุผล”
“ผมรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนชนคุณก่อน”
“เอ๊ะ?” เธอทำหน้าคิดไม่ถึง “ที่แท้คุณมองเห็นนี่เอง”
“เห็นชัดเต็มสองตาเลยครับ”
มี่หยาขมวดคิ้วเข้าหากันมากขึ้น และอดที่จะบ่นเขาไม่ได้ “แล้วคุณยังจะชดใช้ให้คุณไป๋อีก เงินแสนห้านั่นอาจเป็นเงินนิดๆ หน่อยๆ สำหรับคุณ แต่ฉันไม่อยากติดหนี้บุญคุณคุณหรอกนะ”
คำพูดนี้ถูกอกถูกใจเขาจนรอยยิ้มที่มุมปากกว้างมากขึ้น
“จริงๆ แล้วถ้าอยากจะตอบแทนบุญคุณผมน่ะง่ายมากเลยครับ”
เธอถามด้วยความอยากรู้ “ตอบแทนยังไงคะ”
เขาโน้มตัวลงมาให้เรียวปากบางเซ็กซี่อยู่ตรงข้างหูเธอ ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ ด้วยเสียงต่ำพร่า...
“ก็เป็นแฟนกับผมไง”
คำพูดนี้ทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ เธอแหงนมองดวงตาลึกล้ำยากจะหยั่งถึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ และในขณะเดียวกันนั้นเอง นัยน์ตาเขาทอประกายแปลกพิสดารขึ้นแวบหนึ่งเหมือนจะมองให้ทะลุเข้าไปถึงวิญญาณ
ผู้หญิงคนไหนที่เจอเขาจีบอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้มีน้อยคนนักที่จะไม่หวั่นไหว แม้จะไม่ตอบตกลงแต่ก็ไม่ปฏิเสธทันควัน เพราะถึงยังไงเขาก็มีคุณสมบัติที่ไม่อาจมองข้ามได้เลย
“ขอโทษค่ะ ฉันขอปฏิเสธ”
อี้หลุนอึ้งไปพลางเพ่งมองเธออย่างเหลือเชื่อ “คุณปฏิเสธงั้นเหรอ”
“ฉันมีแฟนแล้วค่ะ”
หญิงสาวตอบด้วยสายตาแน่วแน่ ไม่หวั่นไหวไปกับโอกาสงามๆ ที่ผ่านเข้ามาอย่างไม่คาดคิดนี้เลยสักนิด แม้ว่าผู้ชายตรงหน้าจะหล่อราวกับความฝัน แต่การที่ผู้ชายแบบนี้มาตามจีบยิ่งเป็นความฝันมากกว่า
เธอไม่เคยวาดฝันจะเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ที่กลายเป็นหงส์ เพราะเรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นแต่ในนิทานและละครโทรทัศน์เท่านั้น หนำซ้ำเธอยังมองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสงสัยว่าเขาจะเป็นหัวหน้าแก๊งมิจฉาชีพหรือเปล่า
นอกจากเธอจะไม่รู้สึกตื่นเต้นดีใจแม้แต่นิดเดียวแล้ว ยังหันมาเป็นฝ่ายเอ็ดเขาอีก “คุณรูปหล่อขนาดนี้ จะมีแฟนสักคนง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ทำไมต้องมาล้อกันเล่นด้วย ฉันไม่ใช่คนสวยสักหน่อย ในงานนี้มองไปที่ไหนก็ต้องเจอผู้หญิงที่สวยกว่าฉันเป็นร้อยเท่า แม้แต่คุณนายมีอายุคนนั้นยังสวยกว่าฉันเลย”
“...” เขามองตาค้าง ยังคงรู้สึกเหลือเชื่อ
เธอเอ็ดต่อโดยไม่รอเขาเอ่ยปาก “บางทีคุณอาจแค่รักสนุก หรือไม่ก็พนันกับคนอื่นไว้ แต่เล่นแบบนี้มันไม่สร้างสรรค์เลยนะ ขอโทษที ฉันไม่บ้าจี้ไปกับคุณ
หญิงสาวหันหลังจะเดินไป แต่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็หันกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะพูดเสริมขึ้น “บุญคุณเมื่อกี้นี้ฉันจะจำไว้ในใจ ชาตินี้คงไม่มีปัญญาตอบแทนแล้วล่ะ รอไว้ชาติหน้าค่อยดูอีกทีว่าจะมีโอกาสตอบแทนมั้ยก็แล้วกัน” หลังจากเธอพูดสิ่งที่อยากพูดออกมาอย่างหมดเปลือกแล้วก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่มีเยื่อใยเลยสักนิด ก่อนจะหายเข้าไปในฝูงชน
อี้หลุนมองตามแผ่นหลังของเธอไปโดยไม่มีสีหน้าโกรธเคืองแม้แต่น้อย เขาแค่รู้สึกไม่อยากจะเชื่อเท่านั้น จากนั้นชายหนุ่มก็จมอยู่ในภวังค์ความคิด
“เธอเป็นของดีที่นายหาอยู่เหรอ” เสียงถามของเจสันดังขึ้นข้างหูเบาๆ
ดวงตาของอี้หลุนทอประกายแบบนักล่าขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนสีหน้าจะนิ่งเฉยเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่น้ำเสียงมีความตื่นเต้นเจืออยู่
“ใช่แล้ว”
“ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาจืดๆ รูปร่างก็ธรรมดา ฉันดูไม่ออกว่าเธอมีอะไรพิเศษถึงขนาดเรียกว่าเป็น ‘ของดี’ ได้”
สำหรับคนที่เคยเห็นสาวสวยมาทุกยุคทุกสมัยอย่างเจสันต้องถือว่ามี่หยาเป็นผู้หญิงธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษจริงๆ นอกจากจะไม่เข้าขั้นสาวสวยได้แล้ว ยังไม่ชวนให้เกิดความกระหายอยากลิ้มลองอีกด้วย
อี้หลุนเอาลิ้นเลียริมฝีปากเรียวบางเพื่อหวนนึกถึงรสชาติเมื่อครู่นี้ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำๆ “เลือดเธอเป็นกรุ๊ปอาร์เอชเนกาทีฟ”
นัยน์ตาของเจสันทอประกายราวกับไพลินขึ้นมาแวบหนึ่งในทันใด จากนั้นก็หยักยิ้มอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง
“อย่างงี้นี่เอง”
อาร์เอชเนกาทีฟเป็นกรุ๊ปเลือดหายาก ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าของดีที่อี้หลุนพูดหมายถึงอะไร เพราะเขารู้ว่าคู่หูไวต่อกลิ่นเลือดกรุ๊ปอาร์เอชเนกาทีฟเป็นพิเศษ
“แล้วเธอเป็นสาวพรหมจรรย์ด้วย”
“อะไรนะ”
เจสันตกตะลึงอีกครั้ง เลือดของสาวพรหมจรรย์หรือที่พวกเขาเรียกกันว่าเลือดบริสุทธิ์นั้นมีคุณภาพดี ไม่มีสิ่งปนเปื้อน รสชาติหอมเข้มข้นอร่อยกว่าเลือดของหญิงสาวที่ถูกพรากพรหมจรรย์ ในจำนวนกรุ๊ปเลือดทั้งหมด อาร์เอชเนกาทีฟซึ่งหายากจะมีรสชาติโดดเด่นมากที่สุด ถ้าเทียบกับอาหารของมนุษย์ก็พอๆ กับตับบดฝรั่งเศสชั้นยอด และถ้าเปรียบกับเหล้าไวน์ก็พอๆ กับไวน์โรมาเน กองติชั้นเลิศของเบอร์กันดี
กรุ๊ปเลือดที่มีอยู่น้อยแถมเป็นเลือดบริสุทธิ์นั้นเป็นของมีค่าหายาก มันเป็นของชั้นดีที่ไม่ใช่ว่าใครอยากมีก็จะมีกันได้
“ถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็ เธอน่าจะอายุประมาณยี่สิบห้า”
หนนี้เจสันตะลึงอ้าปากหวอจนขากรรไกรแทบค้าง ในยุคที่เรื่องเพศสัมพันธ์เปิดกว้างแบบนี้ โอกาสที่จะได้เจอผู้หญิงอายุยี่สิบห้าปีขึ้นไปที่ยังเป็นสาวพรหมจรรย์นั้นเหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นคือผู้หญิงอายุระหว่างยี่สิบถึงยี่สิบเจ็ดปีจะมีรสชาติอร่อยที่สุด ไม่จางหรือข้นเกินไป เลือดสดๆ จะมีความเข้มข้นกำลังดี
“นายแน่ใจนะว่าเธอเป็นสาวพรหมจรรย์อายุยี่สิบห้าจริงๆ”
อี้หลุนหลับตาลงเพื่อคิดถึงหยดเลือดที่เขาได้ชิมรสเมื่อครู่นี้ ความหอมเข้มข้นที่ลอยอวลอยู่ในปากเหมือนต้นอ่อนต้นแรกที่แตกหน่อตอนย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิหลังจากความหนาวเหน็บผ่านไป ความหอมนั้นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูในร่างกาย แล้วก็เหมือนน้ำฝนหยดแรกกลางทะเลทรายที่ทำให้ผู้คนดีใจจนเนื้อเต้น
“ไม่ผิดหรอก รสหวานฉ่ำและหอมเข้มข้นจนแทบละลายในปากแบบนั้น ฉันจำได้แม่นเลย” เขาไม่ได้เจอแบบนี้มาร้อยห้าสิบปีแล้ว
เจสันเลียปากและกลืนน้ำลายอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่ เขารู้จักกับอี้หลุนมาสองร้อยกว่าปีจนพอจะรู้ซึ้งว่าในเรื่องอาหารการกิน คู่หูช่างเลือกขนาดที่แทบจะเข้าขั้นหนวดเต่าเขากระต่ายเลยทีเดียว และเขาก็เป็นเช่นเดียวกับพวกนักชิมลิ้นเทวดาที่มักจะมีประสาทรับกลิ่นและรสไวมากที่สุด ดังนั้นเขาเชื่อว่าอี้หลุนเดาไม่ผิดแน่นอน
อย่านึกว่าแวมไพร์จะเหมือนกับที่เห็นตามภาพยนตร์ที่กระหายเลือดจนกัดคนไม่เลือก อันที่จริงแล้วพวกเขามีรสนิยมและละเมียดละไมมาก
อย่างเช่นตัวเขาจะเลือกเฟ้นที่รูปร่างหน้าตาเป็นพิเศษ เหยื่อจะต้องเป็นสาวสวยชวนมอง และยังจะต้องสวยมาตั้งแต่เกิด ไม่ใช่แบบที่มาเสริมแต่งทีหลัง อีกทั้งทรวดทรงองค์เอวต้องอ้อนแอ้น ไม่อ้วนหรือผอมจนเกินไป
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ผู้หญิงที่สวยตามธรรมชาติ เวลากินจะรสชาติดีกว่า
ส่วนเรื่องชนิดของเลือด จะกรุ๊ปไหนก็โอเคทั้งนั้น ขอแค่ไม่ติดเหล้าเมายา ไม่เป็นโรคโน้นโรคนี้ เขาก็กินได้อย่างสำราญใจแล้ว แต่อี้หลุนไม่เหมือนกัน เขารักเดียวใจเดียวกับสาวพรหมจรรย์กรุ๊ปอาร์เอชเนกาทีฟเท่านั้น
“ฉันไม่เข้าใจอยู่อย่าง ในเมื่อเธอเป็นของดีหายากในรอบร้อยปี ทำไมเมื่อกี้นายไม่สะกดจิตเธอเหมือนที่ทำกับสองคนนั้นให้สิ้นๆ เรื่องไปเลย”
เจสันเห็นเหตุการณ์เดินชนกันเมื่อครู่นี้เต็มๆ ตา เพราะนั่นเป็นฝีมือของอี้หลุนเอง เขาจงใจสะกดจิตคุณไป๋ให้ไปชนมี่หยา แต่ในเมื่อคู่หูเขาสร้างโอกาสขึ้นแล้ว ทำไมยังปล่อยให้ปลาใหญ่หลุดมือไปได้
“ฉันลองแล้ว แต่ไม่ได้ผลกับเธอ”
“อะไรนะ นายหมายถึงนายสะกดจิตเธอไม่ได้เหรอ?!”
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้อี้หลุนหงุดหงิดและประหลาดใจ
“นายเองก็รู้ว่าเวลาที่พวกเราสะกดจิตมนุษย์จะต้องมีเงื่อนไขบางอย่างถึงจะสำเร็จได้”
เจสันพยักหน้า “เมื่อพวกเขาจิตใจหวั่นไหวเพราะหลงรักพวกเรา จะเป็นโอกาสให้สะกดจิตได้ หรือไม่อย่างนั้นในกรณีที่แย่ที่สุดคือทำให้เกิดความหวาดกลัวหรือเกลียดชัง”
หลายร้อยปีที่ผ่านมาแวมไพร์ทั้งชายและหญิงล้วนใช้ความสวยงามของตัวเองดึงดูดจิตใจมนุษย์เพื่อง่ายต่อการสะกดจิตเหยื่อให้อยู่ในความควบคุม และทำให้พวกเขาอิ่มไปได้หนึ่งมื้อโดยสะดวก
แน่นอนว่ายังมีสถานการณ์อีกแบบหนึ่ง ก็คือเมื่อเจอคนที่เห็นพวกเขาเป็นศัตรู แวมไพร์ก็จะทำให้เหยื่อเกิดความสะพรึงกลัว เป็นผลให้จิตใจอ่อนแอลงจนพวกเขาสะกดจิตสำเร็จได้เหมือนกัน และหลังจากที่อิ่มแล้วพวกเขาก็จะลบความทรงจำของมนุษย์ที่เกี่ยวกับพวกเขาทิ้งไป เพื่อให้แวมไพร์อยู่รอดต่อไปในห่วงโซ่อาหารอย่างปลอดภัย
“เมื่อกี้ฉันขอเธอเป็นแฟน แต่เธอปฏิเสธ”
“นายแน่ใจนะว่าเธอไม่ได้แกล้งทำเป็นเล่นตัว”
“เธอไม่ได้พูดแต่ปากเท่านั้น เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉันเลย”
การปฏิเสธด้วยคำพูดนั้นไม่มีประโยชน์ มันจะต้องเป็นการปฏิเสธออกมาจากใจจริงๆ เพราะถ้าเมื่อใดที่จิตใจหวั่นไหวก็จะกลายเป็นจุดอ่อนให้พวกแวมไพร์ลงมือได้
นึกไม่ถึงว่าแผนอัศวินม้าขาวจะล้มเหลวไม่เป็นท่าเลย
เจสันรู้สึกสนใจขึ้นมาจริงๆ จังๆ แล้ว “ฉันไม่ได้เห็นผู้หญิงที่ไม่หวั่นไหวกับนายมาตั้งนานแล้ว”
เขากับอี้หลุนต่างคนต่างมีเสน่ห์เฉพาะตัว แม้คู่หูเขาจะเย็นชา แต่เขาสามารถดึงดูดใจผู้หญิงได้ไม่น้อยหน้ากันเลย เขาเคยเจอมาแล้วว่าผู้หญิงที่เพิ่งแต่งงานและยังอยู่ในช่วงฮันนีมูนคลั่งไคล้หลงใหลอี้หลุนขนาดไหน ขอแค่เกิดความรู้สึกหวั่นไหวนิดเดียวก็จะเป็นจุดอ่อนให้พวกเขาฉกฉวยโอกาสได้
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นเลสเบี้ยนมั้ง” เจสันเห็นว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูง
“เธอบอกว่ามีแฟนแล้ว”
“ไม่ล่ะมั้ง มีแฟนแล้วแต่ยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่เนี่ยนะ เพื่อนฝูง ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นสาวหัวโบราณคร่ำครึ ก็ต้องเป็นเพราะ ‘ตรงนั้น’ ของแฟนเธอมีปัญหาแล้ว”
“ฉันไม่สนใจว่าจะมีแฟนหรือเปล่า ยังไงฉันก็ต้องได้ตัวเธอ”
อี้หลุนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจแบบนี้มานานแล้ว เขานึกจินตนาการไปถึงความรู้สึกตอนที่หยาดหยดความหวานไหลผ่านลำคอลงสู่กระเพาะอาหารแล้ว มันช่างสุขใจกว่าตอนมีเซ็กซ์กับผู้หญิงเสียอีก
ผู้หญิงคนนี้กระตุ้นความอยากอาหารที่หลับใหลอยู่ในตัวเขามานานกว่าร้อยห้าสิบปี เขาต้องการเธอมาเป็นอาหารของเขาให้ได้!
ความกระหายอยากของนักล่าจุดประกายวาบรางๆ ลึกลงไปในดวงตาดำมืดมิด ในเมื่อเขาล่อลวงเธอไม่สำเร็จ อย่างนั้นก็ต้องบีบเธอให้จนมุมก็แล้วกัน
ความคิดเห็น