คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1
บ่ายวันศุกร์ ห้างสรรพสินค้าสปริง มอลล์ยังคงมีลูกค้าแวะเวียนมาใช้บริการไม่ขาดสาย รถเบนซ์สีเข้มขรึมคันหนึ่งแล่นปราดมาจอดเทียบหน้าประตูโอ่โถงอย่างเหมาะเจาะไม่ขาดไม่เกินสักเซนติเมตรเดียว
ยังไม่ทันที่คนขับจะเปิดประตูให้ ชายหนุ่มร่างกำยำในชุดสูทสีดำเรียบกริบก็ก้าวลงมาจากรถเสียก่อน การปรากฏตัวของเขาดึงดูดสายตาจากผู้คนที่เดินจับจ่ายซื้อของอยู่รอบๆ ทันที
ชายคนนั้นใช่ว่าจะหล่อเหลาชนิดหาไม่ได้อีกแล้วในโลก ทว่าใบหน้าคมเข้มและแววตาดุดันนั้นกลับดึงดูดสายตายิ่งกว่า
“ท่านประธานครับ ไม่ทราบจะใช้รถอีกครั้งกี่โมงครับ” คนขับรถหลบไปยืนด้านข้างอย่างเคารพนบนอบ
ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือเรือนบางแวบหนึ่งแล้วตอบว่า “ฉันจะออกจากงานประมาณสี่โมงครึ่ง”
คนขับรถรีบผงกศีรษะรับ ปกติแล้วท่านประธานบอกว่าเวลาไหนก็เวลานั้น น้อยครั้งมากที่จะผิดไปจากนั้น
ว่าแล้วชายผู้นั้นก็หันหลังเดินเข้าห้างชุนเทียนไปโดยไม่ชายตามองคนขับรถอีกเลย
วันนี้บลูสกาย ออโต้ บริษัทในเครือเซเลเบรท เบลซ กรุ๊ปจัดงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ แม้จะไม่ใช่วันหยุด แต่ลานกิจกรรมบนชั้นหกกลับคลาคล่ำไปด้วยสื่อมวลชนและคนทั่วไป ทันทีที่หยวนอวี้ย่างเท้าออกจากลิฟต์ เจ้าหน้าที่ตาไวในงานก็วิ่งรี่มาขอความช่วยเหลือทันที
“ท่านประธานครับ เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยครับ” หลี่หย่งซ่าน รองผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์วิ่งมาเร็วจี๋ เหงื่อไหลโทรมกาย
หยวนอวี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าสถานการณ์ขณะนี้ย่อมไม่ใช่แค่ ‘นิดหน่อย’ ไม่อย่างนั้นรองผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของตนคงไม่เหงื่อกาฬแตกพลั่กเช่นนี้
“อย่าเพิ่งแตกตื่น ตามฉันมา” หยวนอวี้ยกมือกดไหล่ลูกน้องเพียงครู่เดียวก็ขับไล่ความสบสนอลหม่านในจิตใจหลี่หย่งซ่านออกไปได้ได้ไม่น้อย
หลี่หย่งซ่านเดินตามย่างก้าวอันมั่นคงของเจ้านายไปยังห้องเตรียมงานด้านใน พลางสูดหายใจลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ ไม่เป็นไรแล้ว เจ้านายมาจัดการด้วยตัวเองแล้ว ต่อให้เกิดเรื่องหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา
พวกเขาก้าวเข้าห้องเตรียมงาน ทันทีที่ประตูปิดลง...
“ข้างนอกมีนักข่าวมากมาย ไม่ว่าจะเกิดเรื่องรุนแรงขนาดไหนก็ห้ามทำท่าแตกตื่น ถ้านายจัดการไม่ได้ ก็รีบแจ้งผู้จัดการหยวนซะ” น้ำเสียงของหยวนอวี้ยังคงเรียบนิ่ง กระนั้นรัศมีน่าเกรงขามก็ยังทำให้หลี่หย่งซ่านเหงื่อตก
“ครับ ผมแตกตื่นเกินไป” หลี่หย่งซ่านเงยหน้ามองนายของตน ความศรัทธาฉายออกทางแววตาอย่างไม่อาจปกปิด แรงเลื่อมใสที่มีต่อประธานหยวนทำให้เขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้ามาทำงานในบลูสกาย ออโต้ ดังนั้นเขาจึงหวังให้ตัวเองทำผลงานได้ดีกว่านี้สักนิด
“เอาล่ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น อีกชั่วโมงเดียวงานเปิดตัวก็จะเริ่มแล้ว หยวนฉีล่ะ” หยวนฉีคือผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ น้องสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวของหยวนอวี้นั่นเอง
“ท่านประธานครับ ผู้จัดการหยวนหายไปแล้วครับ เมื่อสักครู่เธอโทรมาบอกผมว่าเธอขึ้นเครื่องบินแล้ว ทั้งยังบอกด้วยว่า...ทุกอย่าง...ทุกอย่างยกให้...ยกให้ผมดูแล” พูดไปพูดมาเสียงก็เริ่มสั่นขึ้นมาอีก ยกให้เขาดูแลอย่างนั้นหรือ ผู้จัดการคงไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ หรอกใช่ไหม เขาเพิ่งมาทำงานที่บลูสกาย ออโต้แค่สามเดือนเท่านั้น ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยนี่นา!
หยวนอวี้ได้ยินดังนั้นก็หรี่ตาลง แววตาเฉียบคมทอประกายแล้ววูบหาย...ชักจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว หยวนฉีไม่เคยผละความรับผิดชอบเช่นนี้มาก่อน จะหายตัวไปในเวลาที่มีกิจกรรมสำคัญขนาดนี้ได้อย่างไร
“ผู้จัดการบอกไม่ให้ท่านประธานเป็นห่วง เธอปลอดภัยดี รายละเอียดทุกอย่างเธอเขียนไว้ในจดหมายแล้ว ตอนบ่ายเมสเซนเจอร์จะเอาจดหมายมาส่งให้ท่านประธานเองครับ” เสียงของหลี่หย่งซ่านแผ่วค่อยลงทุกขณะเมื่อเห็นสีหน้าของประธานบริษัทน่ากลัวขึ้นทุกทีๆ
ชั่วขณะที่หลี่หย่งซ่านคิดว่าท่านประธานจะบันดาลโทสะออกมานั้นเอง หยวนอวี้กลับหลุบตาลง เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แววตาก็ปราศจากความว้าวุ่น เหลือไว้เพียงความมั่นคงแน่วแน่
“ช่วยเอารายละเอียดงานของผู้จัดการหยวนมาให้ฉันที ยังมีอะไรที่ต้องจัดการต่ออีกบ้าง” หยวนอวี้ อยากจะไปตามจับน้องสาวไม่รู้จักคิดกลับบ้านด้วยตัวเองนัก แต่สถานการณ์ตรงหน้าไม่เอื้ออำนวย เขาเอื้อมมือรับรายการสิ่งที่ต้องทำที่หยวนฉีเขียนเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วเริ่มต้นสั่งการ “ตอนนี้นายไปคอนเฟิร์มเรื่องการตกแต่งสถานที่ทั้งหมด พวกนางแบบเดี๋ยวฉันติดต่อเอง แล้วก็...เรียกทุกคนที่พอจะใช้งานได้มาให้หมด ฉันจะสั่งการเอง”
“ครับ ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับท่านประธาน” สายตาสิ้นหวังของหลี่หย่งซ่านเปล่งประกายแห่งความหวัง เมื่อเจ้านายมาก็หมดปัญหา เพียงแค่ก้มหน้าทำตามคำสั่งทุกอย่างก็จะเรียบร้อย
ด้วยเหตุนี้อารมณ์ตกประหม่าเมื่อครู่จึงมลายหายไป เหตุการณ์โกลาหลครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเมื่อหยวนอวี้ออกโรงบัญชาการด้วยตนเอง
งานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของบลูสลาย ออโต้ปิดฉากลงอย่างราบรื่น ทว่าความสำเร็จดังกล่าวไม่อาจบรรเทาโทสะที่สุมใจหยวนอวี้ได้เลย เขาไม่มีกะจิตกะใจแม้จะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมวงการด้วยซ้ำ พองานเลิกก็บึ่งรถกลับบริษัททันที
หลังจากเดินวนไปเวียนมาจนพื้นกระดานห้องทำงานแทบจะทะลุ ในที่สุดเมสเซนเจอร์ก็นำจดหมายจากหยวนฉีมาส่งให้...
ถึงพี่ชายสุดที่รัก
พี่ไม่ต้องเป็นห่วงฉันนะ ฉันปลอดภัยดี แล้วก็ไม่ได้ถูกลักพาตัวด้วย
ฉันแค่รวบรวมความกล้าที่จะไขว่คว้าความใฝ่ฝันได้แล้วก็เท่านั้น ถึงแม้ว่ามาคิดเปลี่ยนสายอาชีพเอาป่านนี้ดูจะช้าไปสักหน่อย แต่ฉันไม่อยากมานึกเสียใจตอนแก่ถึงได้ตัดสินใจจากไป เมื่อพี่ได้รับจดหมายฉบับนี้ ฉันคงจะอยู่ยุโรปแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ แล้วจะโทรศัพท์กลับไปหาเรื่อยๆ
ป.ล. พี่อย่านึกโทษเสี่ยวไห่นะคะ เธอเป็นคนดีมาก หากไม่มีเธอ ฉันคงไม่มีทางทำฝันให้เป็นจริงได้
จากหยวนฉี น้องสาวของพี่
หยวนอวี้ขยำจดหมายจนยู่ยี่ กำหมัดแน่นทุบลงบนโต๊ะไม้ที่ขัดจนขึ้นเงาเพื่อระบายโทสะ
“ใครบังอาจมาปั่นหัวเสี่ยวฉีกันนะ” น้องสาวของเขาเป็นคนหัวอ่อน ทั้งอ่อนโยนน่ารักมาแต่ไหนแต่ไร จะทำเรื่องไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่บอกกล่าวกันสักคำก็ทิ้งจดหมายแล้วหนีออกจากบ้านไปแบบนี้ได้อย่างไร
หยวนอวี้คลี่จดหมายออกมาอ่านอีกครั้ง นิ้วเรียวยาวเคาะแรงๆ ลงบนชื่อคนท้ายจดหมาย นัยน์ตาหรี่เพ่งส่องประกายน่ากลัว
โดยปกติหากสีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแบบนี้ ลูกน้องที่คุ้นเคยจะเผ่นไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ เสียดายที่คนชื่อเสี่ยวไห่คนนี้มองไม่เห็น ไม่อย่างนั้นคงได้ตัวสั่นไปแล้ว การยั่วโทสะหยวนอวี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หรอกนะ
หนึ่งชั่วโมงให้หลัง หยวนอวี้ไล่ไต่สวนคนรอบตัวหยวนฉีทีละคนจนครบ ในที่สุดก็สืบรู้ข้อมูลของตัวการ ที่แท้ผู้หญิงที่ล่อลวงให้น้องสาวของเขาหนีออกจากบ้านก็เป็นเจ้าของโรงจำนำแห่งหนึ่ง เธอมีชื่อว่าเซียงเสี่ยวไห่
ไม่ว่าคนคนนี้จะมีที่มาอย่างไร เขาจะทำให้เธอสำนึกว่าคิดผิดเสียแล้วที่มาหาเรื่องกับเขา
หยวนอวี้กดโทรศัพท์สายในแล้วสั่งเลขาฯ “ยกเลิกกำหนดการช่วงบ่ายของฉันทั้งหมด”
พูดจบก็ฉวยเสื้อนอกและกุญแจรถออกจากบริษัทไปทันที หนึ่งชั่วโมงถัดมา หลังจากที่หลงทางนับครั้งไม่ถ้วน หยวนอวี้ก็มาถึงโรงรับจำนำเป้าหมาย
มันเป็นเมืองเล็กๆ แถบชานเมืองไทเป เมืองขนาดย่อมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้มีร้านรวงนานาชนิด ทั้งร้านกาแฟ ร้านขนมปัง ร้านชำ ดูเหมือนว่าจะตอบสนองความต้องการพื้นฐานของการดำรงชีวิตได้ครบถ้วน
“ใกล้ๆ ไทเปมีที่แบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย” เขาขมวดคิ้วฉงนพลางก้าวลงจากรถ สายตากวาดมองโรงรับจำนำแปลกๆ แห่งนั้น
สิ่งก่อสร้างหลังนั้นจะว่าเป็นโบราณสถานก็ไม่ผิด รูปแบบอาคารแทบจะเรียกว่ายกมาจากโรงถ่ายละครย้อนยุคเลยก็ว่าได้ มันเป็นตึกสองชั้น หน้าประตูแขวนแผ่นป้ายทำจากไม้หนา ด้านซ้ายเขียนว่า ‘ใครใคร่จำนำทำได้ตามชอบใจ’ ด้านขวาเขียนว่า ‘ใครใคร่หากำไรเชิญทำตามประสงค์’ ส่วนที่พาดขวางอยู่ด้านบนนั้นเขียนไว้ว่า ‘กินเรียบทั้งเล็กใหญ่’
“ฮึ กินเรียบอย่างนั้นเรอะ” หยวนอวี้แค่นหัวเราะเสียงเย็น ยกเท้าถีบประตูไม้สีแดงเปิดออก แล้วเดินเข้าไปโดยไม่รอให้ใครเชื้อเชิญ
เมื่อเดินทะลุลานเล็กเข้าไปยังตัวบ้าน เขาก็ถูกกลิ่นอายโบราณภายในดึงดูดเข้าอย่างจัง หยวนอวี้นึกว่าโรงรับจำนำแห่งนี้จะจำลองของเก่าแต่เพียงภายนอกเท่านั้น ไม่คิดว่ากระทั่งด้านในก็เก่าแก่เหมือนกัน เครื่องเรือนล้วนทำจากไม้แดง บนหิ้งติดกำแพงวางของประดับที่ดูคล้ายของเก่า กลิ่นไม้จันทน์หอมโชยพัดอยู่ในอากาศ ทว่าภายในร้านนั้น...
กลับว่างเปล่าไม่มีใครสักคน
นี่มันร้านอะไรกัน ทำไมถึงเงียบเป็นป่าช้าแบบนี้
หยวนอวี้ย่นคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เขามีงานรัดตัว ไม่ว่างมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ เขาตั้งใจจะหาตัวบงการให้พบเพื่อเตือนหล่อนว่าอย่าริเข้าใกล้หยวนฉีอีก แล้วจึงค่อยส่งคนไปตามตัวน้องสาวกลับมา
“มีใครอยู่ไหม!” ชายหนุ่มจำต้องตะโกนขึ้นในที่สุด
สถานที่แห่งนี้ประหลาดเหลือเกิน หากไม่เป็นเพราะเสี่ยวฉี ชีวิตนี้เขาคงไม่ได้เหยียบเข้ามาที่นี่แน่
หยวนอวี้เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ คิ้วขมวดเข้าหากันอีกครั้ง ทำไมวันนี้อะไรๆ ก็ไม่ราบรื่นนะ!
ขณะลังเลว่าจะเดินเข้าไปดีหรือไม่ ก็มีคนปรากฏตัวขึ้นในที่สุด คนผู้นั้นเดินประคองถ้วยชาร้อนกรุ่นไอออกมาจากห้องด้านในอย่างเชื่องช้า เมื่อมองเห็นเขาเข้าก็ตกใจจนสะดุ้ง ชาในถ้วยเกือบจะกระฉอกออกมา
“นัดไว้หรือเปล่าคะ คุณหนูไม่ได้บอกว่าวันนี้จะมีแขกนี่นา” คนพูดดูอายุน่าจะเพียงแค่สิบแปดปี เป็นเด็กสาววัยละอ่อน ถักผมเปียสองข้างราวกับหลุดมาจากสมัยก่อตั้งสาธารณรัฐยังไงยังงั้น
“นัดเหรอ แหม ใหญ่โตจังนะ” หยวนอวี้อดแค่นหัวเราะไม่ได้ ครั้นแล้วเขาก็จัดแจงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แดงตัวโตทางด้านหนึ่ง ดีที่บ่ายนี้เขายกเลิกกำหนดการทุกอย่างไปแล้วจึงไม่ต้องรีบร้อนสะสางจัดการธุระเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่สุขุมพอจนอาจพาให้เขาเพลี่ยงพล้ำได้
ตั้งแต่เดินทางเข้ามาในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ เขาก็เกิดความรู้สึกรุนแรงว่าคนที่กำลังจะได้พบต้องพิลึกแน่นอน
นี่มันสมัยไหนกันแล้วยังอุตส่าห์เปิดโรงรับจำนำ ไม่เรียกพิลึกแล้วจะเรียกอะไร
พิลึกสิ พิลึกสุดๆ กระทั่งสาวน้อยตรงหน้าก็ประหลาด เขาไม่คิดว่าสาวน้อยคนนี้คือคนที่กำลังตามหา เธอยังเด็กเกินไป แต่เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ คุณหนูเหรอ ยุคนี้ยังมีใครเขาเรียกนายจ้างตัวเองอย่างนั้นอยู่อีกบ้าง
“ผมมาหาเซียงเสี่ยวไห่” ก่อนที่จะได้เจอกับนายจ้างของเด็กสาวตรงหน้า เขาไม่คิดจะอธิบายให้มากความ
“คุณหนูไม่พบแขกที่ไม่ได้นัดล่วงหน้าค่ะ คุณจะลงทะเบียนทิ้งไว้ก่อนก็ได้นะคะ รอฉันแจ้งเวลาไปแล้วค่อย...” ท่าทางมุ่งมั่นของหยวนอวี้ทำเอาคำพูดคำจาของสาวน้อยออกจะเกร็ง เธอไม่กล้าออกปากไล่ตรงๆ
“ผมจะขอพบเซียงเสี่ยวไห่” หยวนอวี้พูดพลางยื่นมือไปรับถ้วยชามาดื่ม ชาผูเอ่อร์*ใส่เก๊กฮวยนี่ รสชาติไม่เลวเสียด้วย
“นี่ ชานี่ไม่ได้ให้คุณนะคะ ของคุณหนูต่างหาก” สาวน้อยซอยเท้าด้วยความร้อนใจ กลัวว่าหากทำงานบกพร่องคุณหนูจะพานไม่พอใจเอา
“งั้นก็ดีเลย” หยวนอวี้ดื่มชาอีกอึกใหญ่ “แบบนี้จะได้ไม่ต้องกลัวว่าคุณจะเอาอะไรก็ไม่รู้มาให้ดื่ม” เขาพูดพลางส่งสายตาเขม่นอย่างมีความนัย
“ทำไมคุณถึง...” สาวน้อยเริ่มร้อนรน ไม่รู้ควรแย่งถ้วยชากลับมาดีหรือไม่ ถ้วยนั่นน่ะใบโปรดคุณหนูเสียด้วย
ระหว่างที่ลังเลอยู่นั้นเอง เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นก็ลอยแว่วมา หยวนอวี้และสาวใช้เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เงาร่างระหงปรากฏขึ้นตรงประตูห้องด้านใน
ชั่ววินาทีนั้นเอง หยวนอวี้รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน เสื้อผ้าที่ผู้หญิงคนนั้นสวมใส่รวมทั้งบรรยากาศโดยรอบทำให้ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกว่าคนที่ไม่เข้าพวกคือตัวเขาเอง ราวกับว่าคนที่หลงยุคมาไม่ใช่คนตรงหน้า แต่เป็นเขาต่างหาก
หญิงสาวคนนั้นรูปร่างปานกลาง แต่รองเท้าส้นสูงบุไหมสีม่วงเข้มที่สวมอยู่ช่วยขับเน้นให้ช่วงขาเรียวยาวยิ่งเรียวเด่น กี่เพ้าสีม่วงเข้ารูปห่อหุ้มเรือนร่างเพรียวบาง มวยผมเกล้าสูงประดับปิ่นปักผมเรียบหรูแฝงกลิ่นอายเก่าแก่โบราณ
สายตาของหยวนอวี้หยุดลงตรงดวงตาคู่สวยที่จ้องมองมาอย่างไม่เกรงใจ ดวงตาชุ่มประกายดังระลอกน้ำในทะเลสาบที่งดงามที่สุด แววตาฉลาดเฉลียวปนเจ้าเล่ห์ทำเอาหยวนอวี้อดลอบมองอีกหลายครั้งไม่ได้
ใต้ดวงตาคือจมูกโด่งเรียวเล็ก เส้นริมฝีปากสวยคมชัด ขับให้เครื่องหน้าคมเข้มชวนมองยิ่งขึ้น
ช่างเป็นดวงหน้าที่เพียงได้มองก็ยากจะลืมเลือนจริงๆ
“ในเมื่อกลัวว่าฉันจะวางยาในน้ำชา คุณหยวนจะมาดื่มชาในร้านเล็กๆ ของฉันทั้งที่งานรัดตัวขนาดนี้ทำไมล่ะคะ” ริมฝีปากของเซียงเสี่ยวไห่เหยียดขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน “เสี่ยวอวี๋ ไม่มีอะไรแล้วล่ะ กลับไปทำงานต่อเถอะจ้ะ” เธอส่งยิ้มให้เด็กสาวที่ยืนเกร็งทำตัวไม่ถูกเป็นเชิงปลอบประโลม
เสี่ยวอวี๋รีบผงกศีรษะรับแล้วผลุบหายเข้าไปในบ้าน
หยวนอวี้ไม่แม้แต่จะเสียแรงมองเด็กสาวที่เดินจากไป เขาจ้องมองหญิงสาวท่าทางประหลาดตรงหน้า “คุณเองน่ะหรือเซียงเสี่ยวไห่ คุณเป็นอะไรกับน้องสาวผมไม่ทราบ”
ในเมื่อเธอรู้ว่าเขาเป็นใคร ก็คงคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าเขาต้องมาหาถึงที่ หรือว่าทุกอย่างนี้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว คนพวกนี้หลอกลวงเสี่ยวฉีหรือเปล่านะ?!
“คุณหยวนฉีกับฉันรู้จักกันมาพักหนึ่งแล้วค่ะ ฉันกับเธอเพิ่งตกลงธุรกิจอย่างหนึ่งด้วยกัน” เซียงเสี่ยวไห่นั่งลงบนเก้าอี้ไม้แดงตรงข้ามเขา ท่วงท่ายังคงแช่มช้อยน่ามอง
“ธุรกิจ?” หยวนอวี้หรี่ตาครุ่นคิด ไม่ผิดจากที่คาดเลย ผู้หญิงคนนี้มีแผนอยู่ก่อนแล้ว เขาคว้าข้อมือบอบบางขาวผ่องของเธอ พลางถามด้วยน้ำเสียงข่มขวัญว่า “คุณเอาเสี่ยวฉีไปซ่อนไว้ที่ไหน คุณทำอะไรน้องสาวผม!”
“ถ้าฉันทำอะไรไม่ดีกับคุณหยวนฉีจริง แล้วคุณมาทำกิริยาแบบนี้ใส่ฉัน ไม่กลัวว่าฉันจะหุนหันทำอะไรหรือไงคะ” เซียงเสี่ยวไห่อดทนกับความเจ็บปวดที่แล่นปราดจากข้อมือ ไม่แม้แต่จะนิ่วหน้าให้เห็น เสี่ยวฉีเคยเตือนเธอไว้แล้วว่าพี่ชายของเธอน่ากลัวมาก แต่สำหรับเซียงเสี่ยวไห่แล้ว การใช้ไม้แข็งกับเธอไม่มีประโยชน์สักนิด
หยวนอวี้ได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้าง ออกแรงบีบหนักขึ้นอีก แทบจะกระชากตัวเธอมาเขย่าอยู่รอมร่อ ทว่าไม่กี่วินาทีให้หลัง เขาก็สงบลงและคลายมือออก
“ว่ามา คุณต้องการอะไรกันแน่” เขาไม่มองหน้าเธอเพราะกลัวว่าจะหุนหันทำอะไรลงไป ผู้หญิงคนนี้ถนัดยั่วโมโหนักล่ะ
เซียงเสี่ยวไห่แอบนวดเฟ้นข้อมือ “ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากคุณ ไม่ว่าฉันกับน้องสาวคุณได้ตกลงอะไรกันไว้ ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเธอจะเป็นคนจ่ายเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ” เธอจะพูดดีๆ กับเขาก็ย่อมได้ แต่ผู้ชายคนนี้ทำเกินไปแล้ว เซียงเสี่ยวไห่คิดทรมานเขาเล่น คุณหนูอย่างเธอทำการค้าตามอารมณ์ ทำอะไรขึ้นอยู่กับอารมณ์ ในเมื่อชายตรงหน้าทำให้เธอเสียอารมณ์ ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้สมใจง่ายๆ
ว่ากันตามตรงแล้ว ถ้าเขาไม่ทำตัวเป็นปัญหามากนัก เธอออกจะชื่นชมเขาด้วยซ้ำ
แม้จะไม่ใช่ชายหนุ่มรูปงาม แต่หยวนอวี้เป็นคนประเภทที่ใครก็ไม่อาจมองข้ามได้ ชายหนุ่มคนนี้หน้าตาคมคายสมชายชาตรี ดูท่าทางอุปนิสัยก็คงยอมหักไม่ยอมงอเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก ยิ่งกว่านั้นก็คือ ผู้ชายประเภทนี้ดื้อรั้นเป็นที่สุดนั่นละ
หากเสี่ยวไห่ฉลาดพอ ก็ควรจะเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ให้ข้อมูลที่พอจะให้ได้แก่เขา แล้วจึงค่อยติดต่อหยวนฉีให้รีบโทรศัพท์มาอธิบายเรื่องราวต่างๆ เอง เสียแต่ว่า เธอไม่ต้องการให้เขาสบายใจเกินไป เธอล่ะอยากจะเห็นนักว่าผู้ชายประเภทนี้สุดท้ายจะควบคุมตัวเองไม่อยู่จริงๆ หรือไม่ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการที่ลำคอระหงของเธอจะต้องตกอยู่ในอันตราย หญิงสาวก็ยังอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าพ่อคนจริงจังนี่แรงๆ ดูสักที
“คุณ...” หยวนอวี้ไม่เคยคิดอยากหักคอใครมากขนาดนี้มาก่อน เขารู้สึกว่าเลือดทั้งหมดในตัวไหลพลุ่งพล่านไปรวมกันอยู่บนหัว อาการแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาบ่อยๆ เลย “จะบอกให้รู้นะ เรื่องนี้จะทำให้เล็กหรือใหญ่ก็ได้ทั้งนั้น ก่อนอื่นผมต้องมั่นใจก่อนว่าน้องผมปลอดภัย...”
“เรื่องนั้นฉันรับประกันได้ คุณหยวนฉีปลอดภัยดี มีความสุขมากด้วย อย่างน้อยครั้งสุดท้ายที่ฉันเจอเธอ เธอดูตื่นเต้นดีใจมาก” เซียงเสี่ยวไห่อยากยั่วโมโหชายคนนี้ต่อไปเหลือเกิน แต่เห็นเขาหน้าแดงคอแข็งเกร็งแบบนั้นแล้วเธอก็รู้ว่าควรหยุดแค่นี้ก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าเธอไม่ได้ถูกฆาตกรรมโหด ก็คงเป็นเขาที่เส้นเลือดในสมองแตกตายอยู่ในร้านเธอเอง
“ถ้าอย่างนั้นกรุณาบอกผมด้วยว่าตอนนี้หยวนฉีอยู่ที่ไหน ถ้าเธอปลอดภัยกลับมา ผมจะไม่เอาเรื่องคุณก็ได้” หยวนอวี้เกือบจะหมดความอดทนอยู่รอมร่อ ผู้หญิงคนนี้เก่งเรื่องบีบคั้นคนให้เป็นบ้าเหลือเกิน
ในยามจำเป็นหยวนอวี้จะมีความอดทนสูงมาก คุณสมบัติพิเศษนี้ทำให้เขาได้ผลประโยชน์ทางธุรกิจจากงานสำคัญๆ มาแล้วมากมาย ทว่าผู้หญิงคนนี้กลับทลายการควบคุมตนเองของเขาได้ในชั่วพริบตา ตอนนี้ในสมองชายหนุ่มจินตนาการถึงแต่ภาพตนเอื้อมมือไปบีบคอเจ้าหล่อน
“คุณหยวนนี่พูดจาตลกจังเลยนะคะ” เซียงเสี่ยวไห่เม้มปากยิ้ม “สิ่งที่ฉันทำต่อให้ต้องรับผิดชอบ ก็คงไม่ใช่รับผิดชอบต่อคุณหรอกค่ะ นี่ละนะ ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเสี่ยวฉีถึงได้ยืนกรานไม่เล่าแผนการของเธอให้คุณฟัง คนดื้อด้านอย่างคุณไม่มีทางเห็นด้วยกับความคิดของเธอแน่นอน”
ใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายประเภทนี้คงจะลำบากมากแน่ เสี่ยวไห่อดสายหน้าไม่ได้ หยวนอวี้อาจจะเลิศเลอโดดเด่น แต่สำหรับหยวนฉีแล้ว พี่ชายคนนี้คงนำความกดดันมาให้ไม่น้อย
“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงหยวนอวี้เยียบเย็นลงทันใด
แต่ไหนแต่ไรมาเขาดูแลเอาใจใส่น้องสาวคนเดียวคนนี้มาตลอด เสี่ยวฉีเองก็เชื่อฟัง แทบจะไม่ทำให้ต้องเป็นห่วงเลย เขามักวางแผนการณ์ทุกอย่างไว้ให้ครบถ้วนหมด ส่วนน้องเองก็น้อมรับอย่างหน้าชื่นตาบานมาตลอด ไม่ใช่หรือไงกัน
หรือทั้งหมดนี้เขาเข้าใจผิดถนัด จากปากคำของหญิงคนนี้ ดูเหมือนเสี่ยวฉีจะมีเรื่องที่ไม่อาจบอกให้เขารับรู้
“คุณรู้ไหมว่าเสี่ยวฉีอยากทำงานอะไรมากที่สุด” เซียงเสี่ยวไห่เห็นชายตรงหน้าออกอาการเหม่อลอยก็นึกเห็นใจ
เสี้ยววินาทีหนึ่ง หยวนอวี้ดูอ่อนแอลงถนัดใจ เหมือนไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี
เสี้ยววินาทีนั้นเธอคิดอยากยื่นมือออกไปลูบคิ้วที่ขมวดมุ่นนั้นให้คลายออก นึกอยากตบบ่าเขาเบาๆ สักครั้ง แต่แน่นอนเธอไม่ได้ทำ เพราะรู้ดีว่าหากแสดงท่าทีเห็นใจ ปฏิกิริยาของเขาจะทำร้ายจิตใจคนยิ่งกว่าเก่า ผู้ชายคนนี้ไม่ยอมให้ใครมองเห็นความอ่อนแอหรอก
“เสี่ยวฉีทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบลูสกาย ออโต้ สองปีมานี้ผลงานดีมาก” หยวนอวี้มองหน้าเธออย่างระแวดระวัง
เซียงเสี่ยวไห่ถอนหายใจ “ฉันหมายถึงสิ่งที่เธออยากทำค่ะ เธอทำงานอะไรน่ะฉันรู้ดีอยู่แล้ว แต่เสี่ยวฉีอยากเรียนวาดรูปมาตลอด เรื่องแค่นี้คุณไม่รู้หรือไง” ดูเหมือนนายคนนี้จะดื้อด้านกว่าที่คิด
“เรื่องวาดรูปน่ะผมรู้ แต่นั่นก็เป็นแค่งานอดิเรกไม่ใช่เหรอ” หยวนอวี้รู้ดีว่าน้องสาวชอบวาดรูป เขาเองก็ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้หยวนฉีไปเรียนวาดรูปเมื่อว่างจากงาน แต่นั่นก็เป็นแค่ความบันเทิงไม่ใช่หรือ หรือว่า...
เซียงเสี่ยวไห่กลอกตาอย่างไม่เกรงใจ “ไม่ เธออยากวาดรูปเป็นอาชีพเลยต่างหาก”
“ไม่ใช่ว่าใครก็จะเป็นจิตรกรได้” คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันอีกครั้ง
เสี่ยวไห่เอามือกอดอก “นั่นก็ใช่ แต่ถ้าไม่ลองดู จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นไปได้ไหม”
“คุณกำลังหมายความว่า เสี่ยวฉีหนีออกจากบ้านไปเพื่อเป็นจิตรกรงั้นเหรอ ตอนนี้เธออยู่ไหน” หลายปีมานี้เท่าที่หยวนอวี้รู้ เสี่ยวฉีทำงานเก่งคล่องแคล่ว เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งน้องสาวจะทิ้งงานทิ้งการแล้วหนีหายไปเช่นนี้
เสี่ยวฉีคนนี้ไม่ใช่เสี่ยวฉีที่เขารู้จัก ต้องเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ยุแยงแน่นอน
“คุณเลิกถามเรื่องนี้ซักทีเถอะค่ะ ฉันเปิดกิจการโรงรับจำนำ เจรจาต่อรองกันตามสมัครใจ ลูกค้านำสิ่งที่ฉันพึงพอใจมาจำนำ ฉันก็ย่อมจ่ายราคาตามที่ลูกค้าต้องการ เพราะฉะนั้นคุณไปเสียเถอะค่ะ ฉันบอกได้เพียงว่าน้องสาวคุณปลอดภัยดี อีกสักพักเธออาจเป็นฝ่ายติดต่อคุณเองก็ได้” เสี่ยวไห่ว่าพลางลุกขึ้นหมายจะเดินกลับไปข้างใน การต่อกรกับผู้ชายคนนี้ต้องสิ้นเปลืองพลังงานมากจริงๆ
“เดี๋ยว ถ้าคุณไม่บอกผมว่าหยวนฉีอยู่ที่ไหน ผมจะกลับมาอีกแน่” หยวนอวี้สัมผัสได้ว่าน้องสาวคงไม่มีอันตราย แต่เขาไม่คิดจะล้มเลิกแค่นั้น
“ที่นี่เป็นโรงรับจำนำ ถ้าคุณไม่คิดตกลงธุรกิจกับฉัน ก็ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ คุณหยวนคะ ฉันไม่ส่งล่ะนะ เชิญกลับตามสบาย” หญิงสาวพูดทิ้งท้ายพลางเดินตัวปลิวกลับเข้าร้าน ชั่วเวลาไม่กี่วินาทีนั้น เธอรู้สึกได้ชัดเจนว่าเขากำลังจ้องมาด้วยสายตาอันร้อนระอุ
หากเซียงเสี่ยวไห่คิดว่าตนสลัดหยวนอวี้หลุดแล้ว เธอก็คิดผิดถนัด
แสงตะวันสาดลอดกรอบหน้าต่างไม้เข้ามา เสี่ยวไห่ก้าวออกจากห้องน้ำพลางบิดขี้เกียจสุดตัว
“เสี่ยวอวี๋ วันนี้ขอแซนด์วิชไข่กับกาแฟถ้วยนึงนะ” เธอเปิดประตูห้องพลางตะโกนลงไปด้านล่าง
“ได้ค่ะ คุณหนู” เสี่ยวอวี๋ถือตะหลิวเดินออกมาขานรับตรงบันไดชั้นล่าง
“วันนี้จะใส่ชุดอะไรดีน้า อืมม์ ตอนเช้าเรามีนัด ใส่ชุดนี้ดีกว่า” เซียงเสี่ยวไห่เลือกใส่เสื้อไหมพรมเรียบๆ คู่กับกางเกงขาม้า
วันนี้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะคิดว่ากำจัดผีร้ายที่คอยตามตื้อสำเร็จแล้ว ดังนั้นแม้ว่าจะต้องตื่นเช้ากว่าปกติ อารมณ์ก็ยังคงสดใส
งานของเสี่ยวไห่มีความยืดหยุ่นสูงมาก เรียกได้ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ ในเมื่อเธอไม่มีแรงกดดันเรื่องการเงิน ต่อให้ปีครึ่งปีไม่มีงานเลยก็ยังไม่ต้องกลัวอดตาย โรงรับจำนำแห่งนี้หากจะพูดว่าเปิดเพื่อแสวงหากำไรคงไม่ถูกต้องนัก ควรพูดว่าเปิดไว้ให้เธอมีอะไรทำแก้เบื่อมากกว่า
โรงจำนำแห่งนี้ตกทอดมาหลายสิบรุ่นแล้ว แต่ละรุ่นผู้สืบทอดกิจการจะเป็นผู้หญิงเท่านั้น ดีที่เธอเองก็รู้สึกว่าการบริหารโรงจำนำที่ดูเหมือนร้านขายของเก่าแห่งนี้สนุกสนานดีอยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นแล้วหากต้องรับช่วงดูแลอาคารเก่าแก่ ซ้ำยังห้ามขายต่อ บางคนอาจเห็นเป็นเรื่องทรมานทรกรรมก็ได้
แต่งหน้าแต่งตัวเสร็จสรรพ เสี่ยวไห่เดินสะพายกระเป๋าลงมา กะว่าระหว่างรอเสี่ยวอวี๋เตรียมอาหารเช้าจะออกไปรดน้ำต้นไม้ในลานบ้าน รื่นรมย์กับบรรยากาศแห่งการเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่าสักหน่อย
ใครจะนึกว่าพอเปิดประตูเธอก็ต้องยิ้มค้าง ถ้าหูดีอีกสักหน่อยคงได้ยินเสียงรอยยิ้มพิมพ์ใจปริแตกไปแล้ว เซียงเสี่ยวไห่รู้สึกเหมือนเส้นประสาทขึงแน่นจนขาด ‘ผึง’ ออกจากกัน
“พระเจ้า ผีบ้าตนนี้ทำไมถึงดื้อด้านนักนะ สงสัยต้องสาดเกลือไล่ล่ะมั้ง...” หญิงสาวเริ่มปวดหัวตงิดๆ นี่มันกี่วันมาแล้ว นายคนนี้ไม่รู้จักคำว่า ‘รามือ’ หรือไงนะ
นับแต่วันที่เขาแล่นมาเค้นถามเธอเรื่องหยวนฉีแต่ล้มเหลวกลับไป หยวนอวี้ก็มาปรากฏตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านเธอแต่เช้าตรู่ติดต่อกันหลายวัน แม้เขาจะไม่ปริปากพูดอะไรกับเธอ แต่ท่าทีมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ตราบใดที่เสี่ยวไห่ยังไม่บอกว่าหยวนฉีอยู่ที่ไหน เขาก็คงตามราวีไม่มีวันจบ
“ฉลาดนักนะ คิดจะมาไม้นี้เหรอ!” นานๆ หญิงสาวจะขมวดคิ้วสักครั้งหนึ่ง เธอวางสายยางลงแล้วตรงดิ่งไปอีกฟากถนนทันที
แม้เขาจะไม่มาข้องเกี่ยวอะไรกับเธอโดยตรง แต่การตามรังควานไม่ลดราวาศอกเช่นนี้ทำให้เธอกดดันอยู่ลึกๆ เป็นความกดดันที่น่ารำคาญกว่าเข้ามาเค้นคอถามเสียด้วยซ้ำ
เสี่ยวไห่วิ่งตรงไปยังรถเบนซ์คันงาม ยืนเท้าสะเอวเคาะกระจกรถโดยแรง
หยวนอวี้วางพีดีเอบนมือลงอย่างสบายอารมณ์ ก่อนกดปุ่มเลื่อนกระจกรถลง
“คุณเป็นนักธุรกิจใหญ่ไม่ใช่หรือไง งานยุ่งสายตัวแทบขาดไม่ใช่เหรอ มาโผล่แถวนี้ทั้งวี่ทั้งวันทำอะไรไม่ทราบ นี่เพิ่งจะหกโมงครึ่งเองนะ ไม่หลับไม่นอนหรือไงกัน!” หลายวันก่อนเธอตื่นนอนลงมาเจอเขาตอนแปดโมง ก็ยังว่าช่างปะไร แต่วันนี้อุตส่าห์ตื่นเช้ากว่าเดิม กลับยังเห็นเขามาโผล่อยู่หน้าบ้านตั้งแต่หกโมงครึ่งแล้ว
“คุณก็รู้นี่ว่าผมต้องการอะไร” เขาสืบจากคนรอบกายหยวนฉีจนทั่ว ไม่มีใครรู้ว่าน้องสาวเขาหายไปไหน จึงจำต้องตามตื๊อผู้หญิงคนนี้ต่อไป
เฮอะ คนอย่างหยวนอวี้ไม่ยอมใครอยู่แล้ว คิดว่าจะกำจัดเขาง่ายๆ งั้นเหรอ ชาติหน้าเถอะ!
เซียงเสี่ยวไห่อ้าปากจะพูด แต่ก็ต้องหุบลงด้วยความโมโห “ฉันไม่บอกคุณหรอก อย่าเสียเวลาเปล่าเลย” พูดจบก็หันหลังเดินตึงตังกลับไปด้วยโทสะ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เธอจะแพ้ง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้
คนอย่างเธอทำการค้ามาก็นาน ยังไม่เคยแพ้ใครเลยสักครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“จะบอกอะไรให้นะ ถ้ายังไม่ยอมไป ฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณ” หญิงสาวตะเบ็งเสียงขู่
ทว่าหยวนอวี้กลับเลิกคิ้วตอบคำด้วยสีหน้าขบขัน “ข้อหาอะไรไม่ทราบ ไม่ยักรู้ว่าถนนสายนี้เป็นสมบัติของบ้านคุณ จุดที่ผมจอดรถไม่มีเส้นเหลืองเส้นแดงสักเส้น จะจับข้อหาผิดกฎจราจรยังไม่ได้เลย!”
“คุณ...” เสี่ยวไห่กวาดตามองดู ไม่มีเส้นห้ามจอดอย่างที่เขาบอกจริงๆ ถึงตำรวจมาก็ออกใบสั่งไม่ได้อยู่ดี น่าแค้นใจนัก คอยดูนะพรุ่งนี้เธอจะซื้อสีมาลากเส้นเอง “คุณกำลังก่อกวนฉันนะ”
“ก่อกวนเหรอ ผมชวนคุณเสวนาสักคำรึยัง คุณผู้หญิงครับ เท่าที่จำได้หลายวันมานี้ผมยังไม่ได้เปิดปากพูดอะไรกับคุณเลยนะ มีแต่คุณนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเข้าหาผมเอง” หยวนอวี้เริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว ความโกรธที่อัดในอกมาหลายวันในที่สุดก็ได้โอกาสระบายสักที นึกสะใจจนอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ เลยทีเดียว
“ฉันเนี่ยนะเข้าหาคุณ” เสี่ยวไห่นึกอยากเอานิ้วจิ้มเบ้าตานายนี่นัก คนอย่างเธอเซียงเสี่ยวไห่ถึงกับต้องลดตัวไปเรียกร้องความสนใจจากเพศตรงข้ามตั้งแต่เมื่อไหร่
“คุณจะพูดเสียงดังกว่านี้ก็ได้นะ เพื่อนบ้านจะได้รู้กันทั่วว่าคุณสนใจผม” หยวนอวี้ยิ้มออกมาในที่สุด
เสี่ยวไห่หันมองรอบตัวอย่างเกร็งๆ มีคนรู้จักวิ่งจ๊อกกิ้งผ่านไปจริงด้วย เธอฝืนทักทายเพื่อนบ้านอย่างขัดเขิน เมืองเล็กๆ แห่งนี้ใครต่อใครรู้จักกันหมด ต่อให้ไม่รู้จักชื่อก็ต้องจำหน้าได้หรือเคยพบกันมาก่อน หญิงสาวไม่อยากให้ชื่อเสียงต้องเสื่อมเสีย หากวันหนึ่งมีคนเดินเข้ามาขอจำนำ ‘ความเป็นชาย’ ที่ร้าน เธอคงอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
“ได้! คราวนี้ถือว่าคุณแน่จริง จำเอาไว้เลยนะ” เสี่ยวไห่กัดฟันคำรามเสียงต่ำ หมุนตัวเดินกลับเข้าบ้านไปด้วยความโกรธจัด
ภาพหญิงสาวร่างแบบบางเบื้องหน้าเดินกระฟัดกระเฟียดจากไป ทำให้รอยยิ้มของชายหนุ่มฉีกกว้างยิ่งกว่าเก่า
* ชาผูเอ่อร์ เป็นชาดำขึ้นชื่อของเมืองผูเอ่อร์ในมณฑลอวิ๋นหนัน
ความคิดเห็น