ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1
บทที่ 1
สถานพยาบาลเอกชนอันแสนสงบ ณ ชานกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ลึกเข้าไปในส่วนที่พักด้านในมีระเบียงทางเดินทอดยาวกับลานสวนกว้างขวาง ตกแต่งด้วยสะพานข้ามลำธารสายน้อยตามสไตล์สวนญี่ปุ่น ที่แห่งนี้คือสถานพยาบาลที่มีชื่อเสียง เพียบพร้อมด้วยบริการครบครัน ผู้ป่วยทุกคนล้วนมีผู้ดูแลพิเศษส่วนตัว สิ่งแวดล้อมที่สวยงามตระการตาและคุณภาพชีวิตของที่นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะมีปัญญามาใช้บริการได้เลย
อย่างไรก็แล้วแต่ โม่อันถีก็อาศัยอยู่ที่นี่มาเดือนกว่าแล้ว และเขาก็อยู่อย่างสุขเกษมเปรมปรีดิ์มากจริงๆ เสียด้วย เขาเสพสุขช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแบบโกล์ดการ์ดที่หย่งเต๋อผู้เป็นเจ้านายให้มา รูดปรื๊ดๆ ชนิดที่ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องตาเหลือกลมจุกอกเวลาเห็นยอดบิลล์
พูดถึงหย่งเต๋อเจ้านายของโม่อันถี ถือเป็นบุคคลสำคัญระดับตำนานแห่งโลกธุรกิจของไต้หวัน เพราะเขาคือประธานบริษัท ‘เดอะ แกรนด์ กรุ๊ป’ ส่วนโม่อันถีนั้นเป็นพ่อบ้านของบ้านตระกูลหย่งมาหลายปี แต่กลับถูกหย่งเต๋อตะคอกใส่ทุกวัน แถมยังถูกคุณหนูหย่งซินลูกสาวของหย่งเต๋อกลั่นแกล้งตลอดเวลา มันก็สมควรแล้วที่เขาจะได้รับค่าชดเชยบ้าง! ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงอาศัยช่วงลาหยุดยาวครั้งนี้กอบโกยความสุขจากการบริการชั้นเลิศของสถานพยาบาลที่มีค่าห้องแพงหูฉี่นี้อย่างเต็มที่ที่สุด
แน่นอนว่า การมาญี่ปุ่นครั้งนี้ของโม่อันถียังมีจุดประสงค์อื่นด้วย...
ชุดกิโมโนผ้าไหมส่งเสียงพึ่บพั่บๆ ตามการเคลื่อนไหวเร็วรี่ของผู้สวมใส่ สตรีวัยกลางคนหน้ากลมแป้นเดินผ่านระเบียงมาพลางหันกลับไปมองตรงหัวเลี้ยวด้านหลังเป็นระยะๆ สองขาซอยก้าวเร็วจี๋จนเท้าที่สวมถุงเท้าอยู่แทบพันกัน
เธอเลื่อนประตูกระดาษสาเปิดออกพลันกดเสียงกระซิบรายงานด้วยอาการร้อนรน “รีบเตรียมตัวเถอะค่ะ คุณโม่อิงกำลังจะมาแล้วนะคะ”
เดิมทีผู้ที่อยู่ในห้องสวมชุดคลุมอาบน้ำกำลังนอนฟุบเล่นเพลินๆ อยู่ข้างเตียง พอได้ยินดังนั้นก็กระวีกระวาดพลิกตัวขึ้นมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มบนที่นอนทันที แม้ในเวลารีบรนโม่อันถีก็ไม่ลืมคว้ากล้องส่องทางไกลเข้ามาเก็บซ่อนไว้ด้วย เสร็จแล้วเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปรับสีหน้าอารมณ์ให้เป็นปกติ
หลังจากนั้น...โม่อันถีก็เริ่มร้องโอดโอยเหมือนคนกำลังใกล้ตาย
ประตูกระดาษสาถูกเลื่อนเปิดอีกครั้ง เห็นร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ผมยาวดำสนิทผูกเป็นทรงหางม้า ใบหน้าหมดจดเปี่ยมความห้าวหาญปรากฏชัด ใต้คิ้วเรียวยาวคือดวงตากลมโตกระจ่างใส แววตาสงบนิ่งและเยือกเย็นราวกับว่าสามารถมองเห็นเข้าไปถึงข้างในของทุกสิ่งทุกอย่าง
เรือนร่างซึ่งสวมใส่ชุดสูทสีครามกรมท่าค่อนข้างผอมบาง มือที่ถือหมวกทั้งคู่ก็เรียวเล็กจนน่าแปลกใจ
เมื่อชายชราบนเตียงแอบชำเลืองมอง เสียงโอดครวญครั้งนี้ก็กลับสมจริงขึ้นมาทันใด “เราแต่งตัวแบบนี้อีกแล้วเหรอ คิดจะให้พ่อนอนตายตาไม่หลับใช่ไหม”
ใบหน้าหมดจดของโม่อิงเผยรอยยิ้มขึ้นแวบหนึ่ง แต่แล้วก็หายวับไปเหมือนที่เห็นอยู่เมื่อกี้แค่ตาฝาดไปเอง ร่างสูงโปร่งก้าวเข้ามานั่งขัดสมาธิพลางยื่นหมวกให้สตรีวัยกลางคนรับไป
“ที่โรงเรียนกำลังคัดเลือกตัวละครพอดีน่ะฮะ” เสียงแหบพร่าของโม่อิงคล้ายกับถูกทรมานมาอย่างหนัก
สตรีวัยกลางคนนึกสนใจใคร่รู้จึงเงยหน้าขึ้นแอบมองโม่อิงบ้าง
“พ่อไม่สนว่าโรงเรียนเราจะคัดเลือกบ้าบออะไร ถ้าต่อไปแต่งตัวไม่รู้เพศแบบนี้มาอีกก็ไม่ต้องมาเหยียบห้องพ่อ” โม่อันถีหน้าตาบึ้งตึง หงุดหงิดจนพลิกตัวหนีทั้งยังดึงผ้าห่มมาคลุมมิด
โม่อิงขมวดคิ้วมุ่นท่าทางเหนื่อยหน่ายใจพอดู
“คนป่วยมักจะเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ ยังไงก็ตามใจท่านหน่อยเถอะนะคะ” สตรีวัยกลางคนกระซิบบอกก่อนจะขอตัวออกไปอย่างนิ่มนวลให้ทั้งสองคนได้อยู่กันตามลำพัง เธอค้อมคำนับถอยออกจากห้องไปก็จริงแต่กลับยังแอบเงี่ยหูฟังอยู่นอกประตูกระดาษสาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
โม่อิงแค่แต่งตัวเลียนแบบผู้ชาย แต่ความจริงแล้วเธอเป็นหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ
โม่อันถีหันหน้ากลับมาอีกครั้งสีหน้าหมองหม่นระคนไม่พอใจ “พ่อไม่เห็นดีเห็นงามให้เราไปเรียนวิทยาลัยการละครอะไรนั่นอยู่แล้ว นี่ยังเลือกเรียนแต่บทไม่ใช่เพศของตัวเองอีก เด็กสาวหน้าตาสวยๆ ไปแต่งตัวเป็นผู้ชายมันถูกต้องแล้วเหรอ พ่อไม่อยากให้ลูกสาวคนเดียวไปทำตัวเป็นผู้ชาย พ่ออยากให้ลูกสาวของพ่อน่ารักอ่อนหวาน แล้วก็เลือกแต่งงานกับผู้ชายดีๆ มีหลานตาให้พ่ออุ้ม!”
ใบหน้าเรียบเฉยของโม่อิงทอประกายอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง เธอในตอนนี้ดูเป็นหญิงสาวกับเขาบ้างแล้ว พอมองคู่กับเครื่องแต่งกายเลยทำให้เธอมีทั้งความเข้มแข็งห้าวหาญและความอ่อนหวานนุ่มนวลอยู่ในคนคนเดียว เหมือนกับที่สาวๆ ในญี่ปุ่นตอนนี้กำลังนิยมแต่งตัวลุยๆ ดูทะมัดทะแมงเลย
“พ่อก็รู้นี่คะว่าหนูอยากแสดงละครกับคณะ ‘ทาคาระซึกะ*’” เธอพูดเสียงใสแจ๋ว นิ้วขาวเรียวพันปลายผมของตัวเองเล่น
“พ่อไม่ชอบ ถ้าให้พ่ออนุญาตเราแต่งเป็นผู้ชายไปเล่นงิ้วแบบนั้น ก็สู้ให้พ่อกระโดดตึกฆ่าตัวตายไปเลยดีกว่า!” ชายชราเอ็ดตะโรจ้องมองลูกสาวเขม็ง
“ละครเวทีค่ะพ่อ” เธอขี้เกียจจะอธิบายแล้วจริงๆ
อันที่จริงพ่อของเธอก็ชอบดูงิ้วนะ แถมชอบเรื่องมหรสพร้องรำมากด้วย ข้อนี้เธอรู้ดี เพียงแต่พ่อห่วงที่เธอทุ่มเทกายใจให้กับงานแสดงมากเกินไปจนลืมสนใจสิ่งที่ลูกผู้หญิงคนหนึ่งควรจะไขว่คว้า
“เสี่ยวอิง ลูกทำแบบนี้ไม่ถูกนะ เกิดเป็นลูกผู้หญิงทำยังไงก็เป็นผู้ชายไม่ได้หรอก ลูกแต่งตัวแบบนี้มีแต่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าลูกเป็นกระเทยไม่ก็เป็นทอมเป็นดี้เท่านั้น” คนเป็นพ่อมองลูกสาวอย่างไม่สบายใจพลางถามด้วยความวิตก “ลูกไม่ได้เป็นใช่ไหม”
โม่อิงไม่รู้จะอธิบายยังไงได้แต่ส่ายหน้าเซ็ง
“ไปลาออกซะ พ่อไม่อยากให้ลูกเรียนต่อแล้ว” คนเป็นพ่อได้ทีรุกคืบใหญ่ เขายื่นมือออกมาจากผ้าห่ม แต่ก็พบว่ากล้องส่องทางไกลเกือบจะโผล่แพลมออกมาด้านนอกแล้วเลยลนลานม้วนปลายผ้ามาซุกปิดมันไว้
สมัยทำงานเป็นพ่อบ้านอยู่ที่ไต้หวัน เขาติดนิสัยแอบฟังแอบดูสังเกตการณ์จนเคยชิน พอมาอยู่ญี่ปุ่นนิสัยนี้ก็ยังแก้ไม่หาย ถ้าไม่เพราะจะจัดการเรื่องสำคัญให้ลูกสาวสุดที่รักล่ะก็ ป่านนี้เขาก็คงยังแอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเจ้านายอยู่ที่บ้านตระกูลหย่งสบายใจเฉิบนั่นแหละ
“ทำไม่ได้หรอกค่ะ” โม่อิงไม่คิดทบทวนเลยแม้แต่นิดเดียว
โม่อันถีมองดูลูกสาวนิ่งนาน หน้าของเธอถอดแบบมาจากภรรยาเขาไม่ผิดเพี้ยน ยิ่งนึกถึงความดื้อรั้นของภรรยาที่ด่วนจากไปเมื่อหลายปีก่อนก็ยิ่งสะท้อนใจ...โม่อันถีเบะปากเบ้ ในที่สุดก็งัดไม้ตายออกมา
ชายชราพลิกตัวหันหลังมุดหน้าร้องโฮอยู่ใต้ผ้าห่ม
“โธ่ สวรรค์ ฉันทำบาปทำกรรมอะไรไว้! มีลูกสาวกับเขาแค่คนเดียวก็ดันชอบทำตัวเป็นผู้ชาย แต่งชุดสูทบ้าบออะไรก็ไม่รู้...” เขาแหกปากร้องเสียงแสบแก้วหูชนิดปลาคาร์พในสระด้านนอกยังตกใจมุดหัวหนี
“พ่อคะ อย่าทำแบบนี้สิ” โม่อิงถอนหายใจก่อนจะยื่นมือไปเขย่าตัวพ่อ
โม่อันถียังไม่เลิกแสดงละครตบตา “แม่จ๋า! มาดูนี่สิ ลูกของเรากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว พ่อขอโทษนะแม่ที่สอนลูกไม่ดี แล้วแบบนี้พ่อจะมีหน้าไปเจอแม่ได้ยังไง”
“พ่อ” โม่อิงเหลือกตาเซ็งพลางกัดริมฝีปากไม่รู้จะทำยังไงดี
พ่อกับแม่ของเธอสร้างตำนานรักข้ามขอบฟ้าด้วยกัน ฝ่ายพ่อเป็นพ่อบ้านของประธานบริษัท ‘เดอะ แกรนด์ กรุ๊ป’ ของไต้หวัน ส่วนคุณแม่ทานากะ โยโกะเป็นเด็กสาวต่างจังหวัดใสซื่อชาวญี่ปุ่นที่ได้ไปพบกับพ่อบ้านโม่อันถีระหว่างไปเที่ยวไต้หวัน แล้วทั้งสองก็ตกหลุมรักกันจนสานต่อเป็นการครองคู่ หลังจากแต่งงานกันแล้วพวกท่านก็ปักหลักสร้างครอบครัวอยู่ที่ไทเป ครั้นเมื่อแม่โยโกะนึกถึงอนาคตด้านการศึกษาของลูกสาวจึงตัดสินใจย้ายกลับญี่ปุ่นตอนที่จะคลอดโม่อิงนั่นเอง
แต่ด้วยหน้าที่การงานของโม่อันถีซึ่งไม่อาจย้ายตามภรรยาไปได้ เขาจึงกลายเป็นซุปเปอร์แมนคอยบินเทียวไปเทียวมาระหว่างไทเปกับโตเกียวเพื่อเยี่ยมเยียนภรรยาและลูกสาวสุดที่รักเสมอ จนเมื่อหลายปีก่อนภรรยาของเขาจากโลกนี้ไปเพราะอาการเจ็บป่วย เขาจึงคิดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนเพื่อจัดการเรื่องสำคัญในชีวิตอีกครั้ง
โม่อันถีจองห้องพักในสถานพยาบาลเอกชนย่านนอกเมืองแห่งนี้ไว้ ทั้งยังจ้างเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างดี จากนั้นเขาก็ทำทีล้มป่วยเพื่อหลอกโม่อิง กับลูกสาวแสนสวยแต่ดื้อรั้นเป็นที่สุดคนนี้ เขาเตรียมแผนการสุดแยบยลเอาไว้อยู่แล้ว
“ลูกจะไม่เชื่อฟังพ่อสักครั้งเลยเหรอ พ่อรู้ว่าตัวเองไม่มีเวลาได้ใกล้ชิดลูก เอาแต่ทำงานอยู่ที่ไต้หวัน แต่พ่อก็พยายามเต็มที่แล้วนะ คนเป็นพ่อบ้านไม่มีวันหยุดพักผ่อนกับเขาเลย วันวันได้แต่รองรับอารมณ์พวกเจ้านาย แม้แต่คุณหนูตัวกระเปี๊ยกยังรังแกคนแก่ๆ อย่างพ่อได้ ลูกไม่รู้หรอกว่าคนบ้านนั้นเขาใจร้ายกันแค่ไหน” โม่อันถีปาดน้ำหูน้ำตาพลางนึกชมฝีมือการแสดงของตัวเองในใจ นี่ถ้าคนตระกูลหย่งมาได้ยินคำใส่ร้ายของเขาละก็คงโกรธจนน้ำลายฟูมปากแน่
“พ่อคะ หนูไม่เคยโทษพ่อเลยนะคะ” โม่อิงลูบหลังลูบไหล่พ่อ
“ยังจะบอกว่าไม่อีก เวลาเรามาเยี่ยมพ่อก็แต่งตัวแบบนี้ทุกครั้งเหมือนจงใจจะให้พ่อบ้าตาย อยากให้พ่อไปอยู่กับแม่ที่ปรโลกไวๆ ใช่ไหม” โม่อันถีหน้าแดงก่ำคล้ายกับคนโกรธจนหายใจไม่ออก แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากำลังกลั้นหัวเราะแทบเป็นแทบตายอยู่ต่างหาก
“แต่จะให้หนูละทิ้งความฝันของตัวเอง หนูก็ทำไม่ได้หรอกนะคะ” โม่อิงเสียงอ่อนลง เธอพยายามเกลี้ยกล่อมพ่อ “พ่อไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ที่หนูทำมันก็แค่การแสดง พอแสดงจบหนูก็เป็นผู้หญิงเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ ไม่เคยทำตัวเหลวไหลเลย”
“พ่อไม่เชื่อ” โม่อันถีปฏิเสธความฝันของลูกสาวก่อนจะซุกหน้าเข้าไปใต้ผ้าห่มต่อ
“ขืนลูกเป็นแบบนี้ต่อไปสักวันคงได้กลายเป็นพวกวิปริตจริงๆ แน่ อีกหน่อยก็สวมเสื้อโค้ทตัวเดียวไปดักเปิดของลับให้พวกสาวๆ ดูในสวนสาธารณะ...” เขายิ่งพูดก็ยิ่งสนุกปาก แต่พอนึกขึ้นได้ว่าพูดจาเลอะเทอะไปใหญ่ก็รีบหุบปากสงบคำก่อนจะแอบแง้มผ้าห่มขึ้นดูเห็นลูกสาวทำหน้าแปลกๆ อยู่จริงๆ
“แล้วจะให้หนูทำยังไงละคะพ่อถึงจะพอใจ” โม่อิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถามอย่างจนใจเต็มที่ จนแล้วจนรอดเธอก็ต้องยอมแพ้น้ำตาของผู้เป็นพ่อ
คำพูดของเธอราวกับคาถาวิเศษ โม่อันถีหยุดสะอื้นได้ในทันใด ผ้าห่มที่คลุมตัวกลายเป็นผ้าเช็ดหน้าซับคราบน้ำมูกน้ำตาของเขาไปเสียแล้ว
“พ่อก็ไม่ได้จะบังคับจิตใจลูกหรอก เดี๋ยวใครเขาจะหาว่าพ่อเป็นตาแก่หัวรั้นใจร้าย เอาอย่างนี้ละกัน! พวกเรามาเดิมพันกันดีกว่า คนแพ้ต้องทำตามคนชนะห้ามโต้แย้งอะไรทั้งนั้น ดีไหม” โม่อันถีหลอกล่อลูกสาว
“หนูเล่นการพนันไม่เป็น”
“ไม่ใช่การพนัน เราแค่วัดดวงกัน ลูกจะแต่งตัวเป็นผู้ชายก็ได้ แต่ต้องกลับไปอยู่ไต้หวัน ไปทำงานที่สำนักงานนักสืบแห่งหนึ่งที่พ่อรู้จัก แล้วก็พักอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่พ่อกำหนดไว้ให้เป็นเวลาสามเดือน ถ้าภายในสามเดือนนี้เขาจับไม่ได้ว่าเราเป็นผู้หญิง พ่อจะยอมให้ลูกเรียนอย่างที่ใจต้องการ และพ่อก็จะวางมือไม่ตอแยเรื่องอนาคตสุดยอดนักแสดงของลูกอีก” โม่อันถีต้องฝืนตัวเองแทบแย่กว่าจะกลั้นยิ้มเอาไว้ได้
“แล้วถ้าถูกจับได้ล่ะคะ” โม่อิงมองดูท่าทางแปลกๆ ของคนเป็นพ่อก็พานรู้สึกตงิดๆ ใจ แต่ก็ดูไม่ออกอยู่ดีว่าพ่อมีแผนชั่วร้ายอะไร
“ก็เลิกทำตัวเป็นคนผิดเพศแล้วกลับมาเป็นผู้หญิงปกติกับเขาซักที จากนั้นก็ช่วยพ่อหาลูกเขยดีๆ มีหลานตัวเล็กๆ ให้พ่ออุ้มเล่นซักสองสามคน” โม่อันถีมองหน้าลูกสาว ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์
โม่อิงก้มหน้าคิดอยู่พักใหญ่ เธอรู้ดีว่าถ้าไม่ตกลงตามนี้ก็คงต้องทะเลาะกับพ่อไปอีกนาน และก็คงเข้าอีหรอบเดิมคือต้องคอยรับมือกับลูกไม้บีบน้ำตาของพ่ออีก คนจิตใจดีอย่างเธอเป็นห่วงสุขภาพของพ่อที่สุดโดยที่ไม่รู้เลยว่าพ่อรู้จุดอ่อนข้อนี้ของเธอมากกว่าใคร และเขาก็ใช้ไม้นี้เป็นหลุมพรางล่อให้เธอกระโดดลงมาติดกับเองเสียด้วย
“เราตกลงหรือเปล่าล่ะ” โม่อันถีแอบชำเลืองมองโม่อิงด้วยท่าทางเคลิ้มฝันเห็นเธอสวมชุดเจ้าสาวรอไว้เรียบร้อยแล้ว เขาล่ะนับถือสมองของตัวเองจริงๆ เลย เพราะต่อให้โม่อิงจะแสดงละครตบตาเก่งสักแค่ไหน แต่ต่อหน้าผู้ชายคนนั้นแล้ว รับรองได้เลยว่าต้องถูกจับได้ภายในวันสองวันอย่างแน่นอน
แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นพวกเสเพลไปวันๆ สารรูปก็ดูไม่ได้เลยสักนิด แต่สายตาเฉียบแหลมใช้ได้ ไม่มีอะไรจะเล็ดลอดดวงตาเฉียบคมคู่นั้นไปได้หรอก
โม่อันถีวาดวิมานในอากาศไว้เสร็จสรรพโดยลืมสำนวนที่ว่า ‘ฝากเนื้อไว้กับเสือ’ ไปเสียสนิท เห็นทีการส่งลูกสาวไปอยู่กับผู้ชายคนนั้นคงไม่ต่างจากการ ‘ส่งอ้อยเข้าปากช้าง’ เสียแล้ว
โม่อิงถอนหายใจ ดวงตากลมโตยังคงสงบนิ่งแน่วแน่ “ตกลงก็ได้ค่ะ”
แม้แต่สตรีวัยกลางคนด้านนอกประตูกระดาษสายังหลุดยิ้มออกมา แล้วเธอก็รีบยกแขนชุดกิโมโนขึ้นมากัดปิดปากไม่ให้เสียงหัวเราะเล็ดลอดไป
โม่อิงคิดไม่ถึงหรอกว่า การตอบตกลงครั้งนี้จะเป็นการเดิมพันชีวิตทั้งชีวิตของเธอเลยทีเดียว
ณ กรุงไทเป เกาะไต้หวัน
อากาศของเมืองนี้ทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่สะดวก ฝุ่นควันปลิวฟุ้งผสมกับมลพิษนานาชนิดชวนให้คนอึดอัดหายใจไม่ออก ระหว่างทางที่โม่อิงเดินมา เธอต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกไว้ตลอดเวลา
ตั้งแต่ลงจากเครื่องบินจนมาถึงห้องชุดของพ่อในคอนโดมิเนียมย่านชุมชน เธอลากสัมภาระไปก็นึกสงสัยไปด้วยว่าการตกลงสัญญาเดิมพันครั้งนี้มันดีจริงหรือไม่ หลังจากเลือกห้องนอนได้ห้องหนึ่งแล้ว เธอก็จัดแจงขนกระเป๋าเดินทางใบยักษ์สองใบไปไว้ในห้องนั้นด้วยตัวเอง การดูแลช่วยเหลือตัวเองมาตลอดหลายปีทำให้เธอคุ้นเคยกับการไม่พึ่งพาคนอื่นไปเสียแล้ว
สภาพห้องที่นี่สะอาดเรียบร้อยมาก แต่ดูเหมือนปกติแล้วไม่ค่อยมีคนมาอยู่มากกว่า เพราะโม่อันถีพักอยู่ในบ้านตระกูลหย่งเสียเป็นส่วนใหญ่ หย่งเต๋อเจ้านายของเขาร่ำรวยล้นฟ้าออกขนาดนั้น ค่าจ้างสำหรับพ่อบ้านประจำตระกูลจึงสูงลิ่วเป็นธรรมดา ไม่แปลกใจเลยที่พ่อของเธอจะมีห้องชุดใหญ่โตโอ่อ่าใจกลางกรุงขนาดนี้ได้
กระเป๋าเดินทางถูกเปิดออก เสื้อผ้าทั้งของผู้ชายและผู้หญิงอัดรวมอยู่ในนั้น เธอหยิบบรรดาถุงขวดเครื่องสำอางรวมถึงวิกผมอย่างดีที่เพิ่งไปเลือกซื้อกับเพื่อนในวิทยาลัยการแสดงก่อนมาไต้หวันครั้งนี้ วิกผมนี้เป็นทรงผมสั้น เธอตั้งใจเอามาใช้ในงานนี้โดยเฉพาะ เพราะถึงแม้ตอนที่เธอรวบผมยาวเป็นทรงหางม้าเดินไปไหนมาไหนก็ไม่เคยมีใครดูออกว่าเธอเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว แต่เธอไม่อยากประมาท ยังไงเสียเธอก็ภาวนาให้สามเดือนต่อจากนี้ผ่านไปด้วยดีเพื่อที่เธอจะได้กลับไปเรียนการแสดงตามความฝันของตัวเองต่อ
โม่อิงเริ่มแต่งหน้าแต่งตัวตรงหน้ากระจก เธอใช้เวลาและความประณีตในการแปลงร่างตัวเองมากกว่าตอนที่ต้องขึ้นแสดงบนเวทีมาก ผมยาวถูกม้วนเก็บไว้ในตาข่ายคลุมผมอย่างรัดกุม แล้ววิกผมสั้นก็ครอบทับเรือนผมอย่างแนบเนียน แน่นอนว่าเธอพันรัดส่วนหน้าอกด้วยแถบผ้าจนราบเรียบก่อนจะสวมเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งคู่กับกางเกงยีนส์ที่ไม่พอดีตัวจนเกินไปนัก เพียงไม่นานเงาสะท้อนในกระจกก็ปรากฏภาพเด็กหนุ่มหน้าใสคนหนึ่งขึ้นมาแทนที่
โม่อิงทำหน้าทะเล้นใส่กระจกอย่างซุกซนแล้วจึงหยิบผ้าพันคอผืนหนึ่งขึ้นมาผูกรอบคอให้ดูเก๋ไก๋ แต่จริงๆ แล้วเพื่อปกปิดส่วนที่ไม่มีลูกกระเดือกยื่นโผล่ออกมา
กำลังจัดแต่งเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางอยู่ดีๆ จู่ๆ เสียงออดก็ดังขึ้น โม่อิงสะดุ้งตกใจตะลีตะลานเก็บซุกเสื้อผ้าของผู้หญิงใส่กระเป๋าตามเดิม ส่วนเครื่องแต่งหน้าทำผมก็กวาดใส่ไว้ในลิ้นชักไปก่อน
เสียงกริ่งออดดังระรัวขึ้นอีก พาให้โม่อิงเหลือกตาเซ็ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนกดเป็นโรคสันนิบาตหรือว่าออดประตูมันเสียกันแน่ ก็เล่นดังติดๆ กันนานเป็นนาทีไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยน่ะสิ เธอรีบวิ่งมาที่ประตู มือก็คอยปิดหูป้องกันเสียงน่ารำคาญ แต่จังหวะที่วิ่งมาก็เตะถูกข้าวของบนพื้นที่เธอยังไม่ทันได้เก็บเข้าที่อย่างจัง เจ็บเสียจนร้องไม่ออก
“รีบร้อนอะไรนักหนา ไม่ได้หูหนวกหรอกน่า หยุดกดได้แล้ว” โม่อิงร้องบอกคนด้านนอกขณะยื่นมือออกไปเปิดประตูแต่ก็ไม่ลืมดัดเสียงให้ใหญ่ทุ้มเหมือนผู้ชาย
ชายหนุ่มอายุราวๆ สามสิบคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอก มือของเขายังแช่ค้างอยู่ตรงออดเจ้ากรรม แม้จะเห็นโม่อิงเปิดประตูรับแล้วก็ไม่มีทีท่าจะเอามือออกมาเลยสักนิด เขาไล่สายตาก้มมองโม่อิง บอกตรงๆ ว่าตอนได้ยินเสียง ’เจ้าหนุ่มนี่’ ตะโกนออกมา ชายหนุ่มก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครครับ” โม่อิงถามอย่างไม่สบอารมณ์นักเมื่อเห็นคนตรงหน้ากวนประสาทใส่ แต่ก็ยังใช้ภาษาสุภาพเอ่ยถามตามมารยาทแบบคนญี่ปุ่น
คิ้วของชายหนุ่มเลิกสูงขึ้นกว่าเก่า แววตาค้นหาเริ่มสำรวจมองโม่อิงตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกับว่าร่างกายบอบบางของ ’เด็กหนุ่ม’ มีปัญหาอะไรบางอย่าง
“นายเป็นพวกต่างด้าวแอบมาอยู่บ้านคนอื่นหรือเปล่าเนี่ย” ชายหนุ่มย้อนเสียงเนือยๆ แตกต่างกับน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจังที่โม่อิงจงใจดัดโดยสิ้นเชิง ขนาดเขาพูดเหมือนคนงัวเงีย เสียงยังฟังดูห้าวทุ้มลุ่มลึกหล่อเท่มากเลยทีเดียว ถ้าจะว่ากันตามตรง เส้นเสียงแบบนี้ชวนให้สาวๆ เคลิบเคลิ้มใหลหลงได้เลยนะเนี่ย
“ไม่ใช่นะ นี่เป็นคอนโดของพ่อผม” โม่อิงส่ายหน้าขี้เกียจจะเสวนาด้วย เห็นอีกฝ่ายเหมือนคนขี้เมาไร้สาระแบบนี้ เธอก็นึกอยากปิดประตูใส่หน้าเลยจริงๆ
“ถ้าไม่ใช่พวกหนีเข้าเมืองมาก็ต้องเป็นพวกระหกระเหินจากบ้านเกิดเมืองนอนไปแล้วเพิ่งได้กลับมาสินะ แล้วก็นะ อย่ามาอาโนอาโนใส่ฉัน ฉันฟังไม่รู้เรื่อง” มุมปากเขากระดกขึ้นด้วยแววเย้ยเยาะทำให้โม่อิงนึกถึงซามุไรพเนจรในนิทานก่อนนอนที่แม่เล่าให้ฟัง
แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผู้ชายที่จู่ๆ ก็โผล่มาคนนี้ท่าทางเหมือนซามุไรจริงๆ มาดเข้มเท่เย็นชา ในความไม่รู้สึกรู้สาเคลือบแฝงเสน่ห์อันตราย จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากคล้ายจะเหยียดยิ้มตลอดเวลา เส้นผมสีดำสนิทดูยุ่งหน่อยๆ ผมด้านหน้าปรกลงมาบดบังดวงตาลึกล้ำคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่คู่นั้น
มุมปากของชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มชัดขึ้นกว่าเก่า ในที่สุดเขาก็ถอนนิ้วออกจากปุ่มออด เหตุผลก็เพราะกดค้างไว้นานปุ่มเลยทำงานหนักจนร้อนจี๋ สภาพแบบนี้บ่งชัดว่าเตรียมเปลี่ยนตัวใหม่ได้เลย
“เจ้าหนูยุ่น มองพอหรือยัง” ชายหนุ่มถามบ้าง
โม่อิงรีบเบือนสายตาหลบ เธอลอกแลกมองทางนั้นทีทางนี้ทีแต่ก็ไม่พ้นร่างกายสูงใหญ่ของอีกฝ่ายเลย
“แล้วตกลงท่านเป็นใครครับ” คราวนี้เธอถามเขาด้วยภาษาจีนกลาง เพราะถ้าเขาไม่เตือนเมื่อกี้ เธอก็ลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองพูดภาษาญี่ปุ่นใส่เขามาตลอด
หญิงสาวใช้ชีวิตอยู่แต่ในญี่ปุ่น ถึงแม่ของเธอจะให้เรียนภาษาจีนตั้งแต่เด็ก ทักษะอ่านเขียนไม่มีปัญหา แต่ทักษะการพูดนั้นยังขาดอยู่มาก จึงไม่สามารถสลับภาษาได้ในทันที ถึงยังไงเวลาคิดเธอก็คิดเป็นภาษาญี่ปุ่นก่อนแล้วถึงค่อยพูดออกมาเป็นภาษาจีน คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะเธอถึงจะปรับตัวได้
โม่อิงคิดหวังในใจว่าขออย่าให้ต้องใช้เวลานานเกินไปเลย
ในภาษาญี่ปุ่นนั้น ผู้ชายกับผู้หญิงมีวิธีการและคำศัพท์ที่ใช้ไม่เหมือนกัน ถ้าจะแยกว่าเป็นสำนวนแบบผู้ชายหรือผู้หญิงนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ภาษาจีนไม่มีการแบ่งแบบนั้น ตอนนี้เธอแต่งตัวเป็นเด็กหนุ่มแล้วแต่ก็ต้องระมัดระวังตัวให้ดีไว้ก่อน
“อ้อ นายพูดภาษาจีนได้ด้วยนี่ ฉันนึกว่าต้องเสียเงินไปจ้างล่ามมาแปลซะแล้ว ไม่งั้นก็ต้องพูดภาษามือกันล่ะคราวนี้” ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องแล้วถือวิสาสะนั่งลงบนโซฟาโดยไม่สนสายตาต่อต้านของ ’เด็กหนุ่ม’ แม้แต่น้อย
หัวคิ้วของโม่อิงขมวดมุ่น ความสังหรณ์ใจไม่ดีจับตัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ตกลง ’ท่าน’ คือ...”
ชายหนุ่มโบกมือขัดคำถามของ ’เจ้าหนู’ “ฉันไม่ใช่ท่านอะไรทั้งนั้น ฉันชื่อตู้ฟงฉิน เปิดสำนักงานนักสืบหากินไปวันๆ แต่ช่วงนี้ลุงโม่ให้ฉันมาดูแลนาย” เขาแจกแจงท่าทางสบายอารมณ์ ร่างกายสูงใหญ่จมอยู่ในโซฟานุ่มนิ่ม
ไม่! ต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ ต้องไม่ใช่ผู้ชายคนนี้ คนคนนี้อันตรายเกินไปแถมยังอ่านใจยากด้วย! พ่อเธอไม่น่าใจร้ายแบบนี้นี่นา! โม่อิงร้องครวญอยู่ในใจ แต่ภายนอกนั้นกลับยังฉีกยิ้มออกมาได้
แค่มองทะลุเข้าไปในดวงตาสีดำคู่นั้น โม่อิงก็เดาได้แล้วว่าเธออาจจะไม่สามารถปลอมตัวเป็นผู้ชายอยู่กับเขาได้ตลอดรอดฝั่งจนครบสามเดือน พ่อนี่ช่างไม่เห็นแก่ความเป็นพ่อเป็นลูกกันบ้างเลย โยนก้างชิ้นโตมาให้เธอได้!
มิน่าล่ะพ่อถึงรับปากว่าถ้าเขาแพ้พนันจะให้เธอกลับมาแสดงละครต่อได้อย่างมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น เพราะพ่อคาดการณ์ไว้ดีแล้วนี่เองว่าโอกาสที่เธอจะทำสำเร็จนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อยอีก
“ทำไม แค่ได้ยินว่าฉันจะมาดูแลนายก็หน้าซีดเลยเหรอ กลัวว่าฉันจะแกล้งหรือไง” เขายังคงมองมาที่เด็กหนุ่มตัวกระเปี๊ยกคนนี้ นิ้วมือเรียวยาวเคาะแขนโซฟาเป็นจังหวะ “วางใจเถอะน่า ฉันติดหนี้บุญคุณลุงโม่ไว้ตั้งเยอะ การมาดูแลนายแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว”
โม่อิงปิดประตูแล้วเดินกลับมาที่ห้องรับแขก หลังจากสังเกตดูหลายรอบก็ตัดสินใจนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กตัวหนึ่ง ห้องชุดห้องนี้ไม่มีคนอยู่อย่างน้อยๆ ก็เดือนกว่า เธอเองก็เพิ่งกลับมาถึงไต้หวันยังไม่มีเวลาได้ทำความสะอาดเลย
“ฉันชินกับการอยู่คนเดียวมากกว่า ไม่อยากรบกวนคนอื่นหรอก” เธอมองดูโต๊ะที่ว่างเปล่าแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าลืมห่อผงชาเขียวไว้ในห้องเลยลุกพรวดไปหยิบมาชงเป็นชาร้อนสองแก้ว
“ขอบใจ แต่ฉันไม่ชอบชาเขียวสกัด” เขาบอกตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ แต่ก็ส่งรอยยิ้มน่าหลงใหลมาให้ทำเอาเธอโกรธไม่ลง
“ชาเขียวสกัด?” โม่อิงย่นคิ้วไม่เข้าใจ ริมฝีปากจดลงกับขอบถ้วยอุ่นๆ เพื่อลิ้มรสชา ถ้วยชาชุดนี้รวมทั้งผงชา เธอพกมาจากญี่ปุ่น จะมีก็แต่น้ำที่ใช้ชงเท่านั้นที่ไม่ใช่ ทว่ามันก็ทำให้รสชาเปลี่ยนไปได้
“เมล็ดกาแฟเวลาบดเป็นผงแล้วเรียกว่ากาแฟสกัด ใบชาที่บดเป็นผงชงออกมาก็ต้องเป็นชาสกัดไม่ใช่เหรอ” ตู้ฟงฉินสูดชาเข้าไปอึกหนึ่ง รู้สึกไม่คุ้นกับรสชาติเฝื่อนๆ นี้เท่าไหร่
โม่อิงแค่นเสียงฮึเบาๆ สีหน้าไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา เธอพยายามไม่เก็บคำบ่นของคนแปลกหน้าอย่างตู้ฟงฉินมาเป็นอารมณ์
“ฉันรออยู่ที่ออฟฟิศตั้งแต่เช้า นึกว่านายจะโทรให้ฉันไปรับที่สนามบิน ที่ไหนได้ปล่อยให้ฉันรออยู่ตั้งครึ่งค่อนวันจนหยากไย่จะจับอยู่แล้วนายก็ไม่โทรมา ดีนะที่คนดูแลที่นี่โทรไปบอกว่ามีคนมาขอกุญแจไป” ตู้ฟงฉินบ่นพลางเอียงหัวเท้าคางลงบนมือ แววตาที่มองโม่อิงวาวโรจน์
“ผมถนัดไปไหนมาไหนเอง ไม่อยากรบกวนใคร คิดไว้ว่าพรุ่งนี้ค่อยเข้าไปหาคุณ” แม้จะตกเป็นเป้าสายตา แต่ด้วยประสบการณ์การแสดงบนเวทีทำให้เธอยังคงสงบนิ่ง ไม่ออกอาการสั่น
“พ่อนายโทรทางไกลมาสั่งให้ฉันดูแลนายให้ดี นายก็อย่าทำให้ฉันบกพร่องในหน้าที่ก็แล้วกัน”
สายตาของตู้ฟงฉินยังคงไล่มอง ’เจ้าหนู’ ไม่หยุด คล้ายกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ผมดูแลตัวเองได้” เธอแสร้งทำเป็นดื่มชาเพื่อกลบเกลื่อนอาการมือสั่น ทั้งที่ในตอนนี้ตะกอนชาในถ้วยนั้นกระเพื่อมไหวไม่ต่างจากหัวใจที่เต้นรัวของเธอเลย
ตู้ฟงฉินหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดจี้ใจดำชนิดไม่ปล่อยโอกาสให้เธอหายใจหายคอ “คนดูแลบอกฉันว่า คนที่ขนข้าวของมาขอกุญแจเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง”
ชาร้อนๆ ลวกปากลวกคอโม่อิงทันที เธอเจ็บแสบจนน้ำตาแทบไหลต้องรีบกระพริบตาถี่ๆ เก็บน้ำตากลับเข้าไปข้างใน
“เขาเป็นแฟนผมเอง” โม่อิงโกหกหน้าตาย ในใจนึกด่าตัวเองที่ไม่ปลอมตัวตั้งแต่เหยียบเข้าไต้หวันเสียแต่ทีแรก แต่ใครจะไปคิดเล่าว่าหูตาของตู้เฟิงฉินจะเป็นสับปะรดขนาดนี้ แม้แต่คนดูแลยังเอาเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไปรายงานเขาด้วยเหรอเนี่ย
ตู้ฟงฉินส่ายหน้า ในดวงตาสีดำแสดงความไม่เห็นด้วย “ได้ยินมานานแล้วว่าผู้ชายญี่ปุ่นชอบวางอำนาจถือตัวเองเป็นใหญ่ แต่นายอายุแค่นี้ทำไมถึงได้ติดนิสัยแย่ๆ แบบนี้มาด้วยนะ” ว่าแล้วเขาก็ชะโงกหน้ามองไปทางห้องด้านใน “แล้วแฟนนายล่ะ”
“กลับญี่ปุ่นไปแล้ว” โม่อิงโกหกต่อชนิดไม่อึกอัก เธอวางถ้วยชาลงแต่เผลอวางแรงเกินไป ชาเลยกระเฉาะออกมาเปียกเปื้อนบนโต๊ะ
“นายนี่มันนิสัยแย่เข้าขั้นเลยนะเนี่ย มันน่าดัดนิสัยจริงๆ มาอยู่ไต้หวันแบบนี้เดี๋ยวพี่ช่วยอบรมให้เองไอ้น้อง” ตู้ฟงฉินวาดแผนภารกิจในการขัดเกลานิสัยน้องใหม่อย่างจริงจัง
โม่อิงได้แต่แค่นหัวเราะแกนๆ ไม่ได้ตอบอะไร ทำไมพ่อไม่บอกเธอก่อนนะว่าคนที่จะให้มาอยู่ด้วยนี่จะเป็นพวกพูดเองเออเองฟังอะไรใครไม่เคยเข้าใจกับเขาเลย แค่เพิ่งเจอหน้ากันก็จุ้นจ้านจะให้เธอเปลี่ยนแปลงนู่นนี่แล้ว
“ไม่เป็นไร นิสัยแย่ๆ ของผมไม่ต้องให้คุณมาเหนื่อยยุ่งยากหรอก”
“เฮ้ย ไม่ต้องเกรงใจ ฉันกับพ่อนายเป็นเพื่อนสนิทกัน การดูแลนายไม่ใช่เรื่องลำบากยุ่งยากอะไรเลย ตอนนี้นายอาจจะดูนุ่มนิ่มไปหน่อย แต่อีกไม่กี่ปี พอตัวนายสูงขึ้นอีกนิด โตเต็มตัวกว่านี้หน่อย หน้าตานายตอนนั้นต้องทำให้สาวๆ คลั่งแน่ แล้วผู้หญิงพวกนั้นก็จะเหมืองแมลงที่เห็นน้ำผึ้ง มารุมตอมนายหึ่งๆๆ เลยล่ะ”
ตู้ฟงฉินใช้ความไวปานสายฟ้าแลบคว้าคางของโม่อิงเข้ามาดูหน้าใกล้ๆ อย่างละเอียด “แต่จะว่าไป หน้าตานายนี่หน่อมแน้มกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลย ตอนที่พ่อนายแนะนำมา ฉันยังคิดว่านายจะสูงล่ำกว่านี้ซะอีก หรือว่าอาหารการกินที่ญี่ปุ่นมันทำให้หุ่นนายแคระแกรนแบบนี้วะ”
โม่อิงปัดมือเขาออกแล้วรีบหลบหน้าให้พ้นจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แก้มที่ถูกนิ้วใหญ่บีบเมื่อกี้เป็นรอยแดงหน่อยๆ
“ผมก็แค่โตช้ากว่าคนอื่นเท่านั้นเอง”
“ไม่เป็นไร ที่ไต้หวันมีของกินอร่อยๆ เพียบ แบบที่เป็นยาบำรุงก็มี นายไม่ต้องห่วงเลยว่าจะไม่สูงขึ้น ถ้าอยู่ที่นี่นานๆ หน่อยฉันรับรองได้เลยว่า ตอนกลับไปญี่ปุ่นนายจะล่ำบึ้กจนพ่อนายจำไม่ได้เลย” ตู้ฟงฉินมองดูหุ่นแบบบางของโม่อิงแล้วก็พูดอย่างมั่นอกมั่นใจเต็มที่
ครั้งแรกที่เห็นเด็กหนุ่มคนนี้ ตู้ฟงฉินประหลาดใจมากจริงๆ เพราะจากที่โม่อันถีเล่ามา เขานึกว่าคนที่จะมาช่วยเขาสืบคดีนั้นจะเป็นคนหนุ่มฉลาดหลักแหลมร่างกายบึกบึนเสียอีก แต่คนตรงหน้ากลับเป็นแค่หนุ่มน้อยตัวกระเปี๊ยกนี่ ไหนจะความห้าวหาญที่โม่อันถีเล่ามาเสียดิบดี เขากลับเห็นแค่ความดื้อรั้นอยู่ในแววตาคู่นั้นเท่านั้นเอง บนหน้าใสๆ มีดวงตาสีดำสวยเสียจนลืมไม่ลง เนื้อตัวมีกลิ่นหอมแป้งเด็กคล้ายกับยังไม่โตเป็นหนุ่มเลยด้วยซ้ำ นี่มันเด็กชายชัดๆ เลย
“ไม่รบกวนดีกว่า” โม่อิงถอยฉาก ในใจนึกด่าโคตรเหง้าของตู้ฟงฉินไปด้วย ล่ำบึ้กจนพ่อจำไม่ได้อะไรกัน ล้อเล่นหรือไง นี่เธอยังต้องนึกถึงอนาคตในงานแสดงของเธอด้วยนะ
“ตกลงนายอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย ทำไมรูปร่างถึงผอมแห้งแบบนี้วะ” ตู้ฟงฉินลุกขึ้นยืน ร่างสูงใหญ่สร้างความกดดันภายในห้องพักให้น่าอึดอัด
โม่อิงหลุบตาลงเพื่อซ่อนแววตาเวลาครุ่นคิด
“สิบเจ็ด” เธอตอบกระอ้อมกระแอ้ม สัญญาณเตือนภัยในใจดังลั่น
อันตรายจริงๆ การโกหกผู้ชายคนนี้เป็นเรื่องที่เสี่ยงมากๆ เลย เธอเตือนตัวเองทันทีว่าถ้าคิดจะรักษาชีวิตรอดก็ต้องรีบเผ่นหนีให้เร็วที่สุด
“สิบเจ็ด? งั้นนายก็ตัวเล็กเกินไปจริงๆ นั่นแหละ” ตู้ฟงฉินขมวดคิ้วพูด แล้วดวงตาสีดำที่ทอประกายเหมือนดาวบนฟ้ายามค่ำคืนก็หรี่มองเธอ “นายนี่เด็กกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลย ทั้งรูปร่างหน้าตาทั้งอายุ ฟังพ่อนายสาธยายไว้ฉันนึกว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะเนี่ย”
โม่อิงได้แต่ยิ้มแห้งฝืนตัวเองไม่ให้วิ่งหนีเข้าห้องไปเสียก่อน ตอนนี้ตัวใหญ่ๆ ของเขาคุกคามความรู้สึกของเธอไปหมดแล้ว บรรยากาศกดดันที่ค่อยๆ แผ่กระจายตัวอย่างช้าๆ ทำให้เธอหายใจไม่คล่อง ความรู้สึกตอนนี้เหมือนเวลาที่ถูกอาจารย์จับตามองในฉากสำคัญบนเวทีจนเธอตื่นเต้นลืมบทพูดไปหมดยังไงยังงั้น
“บางทีนายอาจจะเป็นพวกที่ความคิดโตเกินวัยก็ได้เนอะ” ตู้ฟงฉินพูดอะไรอยู่คนเดียวแล้วก็ยิ้มขึ้นอีกครั้ง
“วิจารณ์พอหรือยัง วันนี้ผมยุ่งมาทั้งวันแล้ว นั่งเครื่องมาก็ทรมาน เหนื่อยก็เหนื่อย ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรขอตัวไปนอนก่อนนะ” โม่อิงรีบหนีให้พ้นจากสายตาคู่นั้น เธออยากกลับไปดูหน้ากระจกจริงๆ ว่าตัวเองเผลอหลุดพิรุธอะไรไปต่อหน้าดวงตาสีดำลึกล้ำนั้นหรือเปล่า
“นอน? นอนกลางวันแสกๆ เนี่ยนะ เราไม่ใช่พวกผู้หญิงนะหนูยุ่น อย่างเรามันต้องกระฉับกระเฉงหน่อยสิ มา เดี๋ยวพี่จะพาน้องไปเลี้ยงต้อนรับเอง”
พูดจบ ตู้ฟงฉินก็คว้าผ้าพันคอโม่อิงหิ้วไปทันที วินาทีที่ยกตัวโม่อิงขึ้นเขาก็แปลกใจมากที่พบว่าเจ้าหนูคนนี้ตัวเบาโหยงอย่างกับนุ่น ฝ่ายโม่อิงดิ้นรนสุดกำลัง ท่าทางไม่ต่างจากสัตว์ป่าตัวน้อยที่กำลังถูกพาไปฝึกให้เชื่องเลย
“หนูยุ่น ฉันยังไม่รู้เลยว่านายชื่ออะไร” เขาเปิดประตูห้องด้วยมือข้างเดียวได้อย่างสบายๆ
“โม่อิง” เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบ ตัวถูกหิ้วคอลอยอยู่แบบนี้ แขนขาได้แต่ป่ายปัดทำอะไรไม่ได้เลย
“รู้ไหมว่าเขียนยังไง หรือต้องให้ฉันช่วยสอนนายเขียนชื่อตัวเองด้วย”
“อิงที่แปลว่าอินทรี” โม่อิงนิ่งคิดอยู่หลายวินาทีกว่าจะตอบออกมาระมัดระวัง ตอนที่เธอพูดประโยคนี้เป็นตอนที่ถูกตู้ฟงฉินจับยัดใส่รถเหมือนเป็นกระเป๋าเดินทางอยู่พอดี
ตู้ฟงฉินตามมานั่งประจำที่คนขับ เขายืดแข้งยืดขาอยู่ในห้องโดยสารกว้างขวางก่อนจะหันหน้ามายิ้มให้ ‘เด็กหนุ่ม’
“ดีจังเลยแฮะ เจ้าหนูยุ่น ต่อไปนี้หวังว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันด้วยดีนะ นายแค่จำไว้ว่า บอสของสำนักงานนักสืบก็คือฉัน คอยเชื่อฟังฉันไว้ แค่นี้ทุกคนก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขแล้ว” ตู้ฟงฉินยังไม่เลิกพูดเองเออเองอย่างเผด็จการ
โม่อิงยังไม่ทันได้ตกปากรับคำ รถก็พุ่งทะยานไปด้วยความเร็วสูงแล่นฉวัดเฉวียนอยู่ท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งของไทเป เธอนั่งเอาหลังชิดเบาะหนังแนบสนิท คำพูดที่จะโต้แย้งเมื่อกี้พลันถูกกลืนหายไปหมดแล้ว ตอนนี้เธอทำได้เพียงนึกย้อนดูว่าในกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุของเธอนั้นระบุชื่อใครเป็นผู้รับผลประโยชน์กันนะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น