ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : วิวาห์ร้อน ตอนที่1
บทที่ 1
ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ของอาคารหรูหราในย่านธุรกิจชื่อดังแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนในชุดสูทราคาแพงนั่งกระวนกระวายใจจนแทบจะทนไม่ไหว เขาต้องข่มใจอย่างหนักไม่ให้ผุดลุกผุดนั่งขณะรอคำตอบสำคัญที่จะเป็นตัวชี้ชะตาชีวิตเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทุ่มเทมากว่าครึ่งชีวิต
บริษัทที่เขาเริ่มสร้างมันขึ้นมากับมือ ฟูมฟักดูแลด้วยแรงใจแรงกายทั้งหมด ในตอนนี้กำลังเจอวิกฤตเพียงเพราะการตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาดครั้งเดียว...ครั้งเดียวเท่านั้นเอง แต่ทุกอย่างกลับพร้อมจะล่มสลายลงไปต่อหน้า...แน่นอนว่าเขาไม่มีวันยอม!
แต่ราวกับโชคชะตาเล่นตลก ไม่ว่าเขาจะพยายามทำทุกทาง วิ่งเข้าหาทุกคน ทุกช่องทางที่พอจะทำได้ สิ่งที่ได้รับกลับมีเพียงคำปฏิเสธและความล้มเหลว ดังนั้นความหวังสุดท้ายของเขาจึงอยู่ที่นี่ ฝากไว้กับผู้ชายที่ชื่อ ‘วอริค’ ผู้กุมบังเหียนกลุ่มบริษัทใหญ่โตของตระกูลเอาไว้ในมือ ขอเพียงวอริคตกลงกับแผนร่วมลงทุนที่เขากำลังจะนำเสนอ ผลตอบแทนงามๆ ที่ได้ก็จะชดเชยกับส่วนที่เขาขาดทุนไปได้ แถมยังอาจถึงขั้นพ้นจากขาดทุนกลายเป็นได้กำไรแทน เหมือนตายแล้วเกิดใหม่
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการก็แค่โอกาส...ขอเพียงโอกาสเท่านั้น...
ทันทีที่ประตูห้องประชุมเปิดออก เขาผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ปั้นรอยยิ้มประจบเตรียมต้อนรับผู้ที่จะก้าวออกมาเพื่อกำหนดชะตาชีวิต หากแล้วรอยยิ้มนั้นกลับกลายเป็นค้างอยู่ครึ่งๆ กลางๆ ด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นผู้มาใหม่
“คุณลีน่า...มีคุณ...คนเดียวเหรอ แล้ว...”
หญิงสาวรูปร่างเพรียวบางก้าวฉับๆ มาหยุดตรงหน้าแซม ผมสีทองที่ได้รับการย้อมอย่างประณีตจากร้านทำผมชั้นดีพลิ้วตามจังหวะการเคลื่อนไหว เลขาฯ ของวอริคนั่งลงอย่างรวดเร็วโดยไม่รอคำเชิญให้เสียเวลา
“คุณวอริคกำลังประชุมอยู่ค่ะ คงไม่สามารถออกมาพบคุณได้ เขาให้ดิฉันออกมาแจ้งผลการตัดสินใจกับคุณ...เชิญนั่งค่ะ คุณแซม”
แซมนั่งลงด้วยท่าทางกระวนกระวาย เขากระแอมให้มั่นใจว่าเสียงที่พูดออกไปจะไม่สั่น ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มกว้างขวางที่เห็นก็รู้ว่าเป็น ‘รอยยิ้มเพื่อธุรกิจ’
“ขอโทษนะครับ...สำหรับเรื่องโครงการร่วมมือที่ผมเสนอให้คุณวอริค...”
“ขออภัยค่ะ ท่านประธานของเราไม่คิดจะลงทุนโครงการนี้ค่ะ” แม้เป็นคำปฏิเสธ แต่ใบหน้าของลีน่ายังรักษารอยยิ้มไว้ได้อย่างมืออาชีพ
แซมผงะไป ก่อนจะใช้น้ำเสียงร้อนรน “งั้น...คุณลีน่า...ขอให้ผมได้พบกับคุณวอริคอีกสักครั้งเถอะ เกรงว่าคุณวอริคอาจจะยังไม่เข้าใจบางจุดของโครงการนี้ ขอให้ผมได้อธิบายถึงประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากการลงทุนร่วมกันครั้งนี้ก่อน ผมเชื่อว่าเขาจะต้องเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน คุณลีน่า คุณช่วยผมหน่อยเถอะ ผมขอโอกาส...ขอแค่โอกาสอีกครั้งเท่านั้น”
“ขออภัยค่ะ คุณแซม เรื่องนี้ดิฉันคงช่วยคุณไม่ได้ เราได้ให้ฝ่ายที่รับผิดชอบพิจารณาเอกสารโครงการของคุณแล้ว ท่านประธานเองก็เข้าใจและเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ค่ะ” ลีน่าลงน้ำเสียงเน้นหนักย้ำความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง
ฟังคำพูดยืนยันหนักแน่นของลีน่า ความหวังสุดท้ายของแซมก็พังครืนทันที บ่าทั้งสองข้างที่เคยผึ่งผายลู่ลงราวกับลูกบอลที่ถูกเจาะลม ในสมองที่สิ้นหวังมีแต่ภาพธุรกิจล้มละลาย เขาจะต้องกลายเป็นคนล้มเหลว ยิ่งพอคิดถึงบริษัทที่ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมด ใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตสร้างขึ้นมาจะต้องหลุดลอยไป หัวใจก็ราวกับถูกบีบรัด ลมหายใจติดขัดราวกับอากาศรอบตัวถูกสูบออกไป
“คุณแซมคะ” ลีน่าพยายามเรียกสติของคนตรงหน้ากลับมา เธอดูออกว่าชายผู้น่าสงสารคนนี้กำลังสะเทือนใจอย่างแรง
“เอาล่ะค่ะ คุณแซม ถึงประธานเราจะไม่สนใจโครงการของคุณ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีโอกาสร่วมงานอื่นกันอีกนะคะ”
แซมเงยหน้าขึ้นมองเธอ ในหัวยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“คุณพูดถึงเรื่องอะไร...” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนอย่างปิดไม่มิด
ลีน่ายิ้ม นัยน์ตาเปล่งประกายคมปลาบอย่างสมใจ
“คุณแซม คุณมีลูกสาวหน้าตาสวยจนขึ้นชื่อในสังคมอยู่สามคนใช่มั้ยคะ”
หลังจากส่งแซมกลับไปแล้ว ลีน่ารีบหันกลับ แล้วมุ่งหน้าไปยังประตูบานสวยดูภูมิฐาน หลังประตูบานนั้นคือห้องทำงานโอ่โถง ตกแต่งพร้อมสรรพ ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสูทประณีตสั่งตัดอย่างดีกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ รอเลขาฯ ประจำตัวกลับมารายงานผลด้วยท่าทางนิ่งลึก
วอริค ชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบปลายเท่านั้น แต่กลับดูสุขุมเยือกเย็นเกินวัย ยิ่งเมื่อประกอบเข้ากับหน้าตาที่ดูเอาจริงเอาจัง จึงมักทำให้คนที่อยู่ใกล้เขารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ อย่างบอกไม่ถูก แม้แต่ลีน่าที่ทำงานให้เขามาหลายปีก็ยังหายใจไม่ทั่วท้องเลยสักครั้งเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับเขา รังสีกดดันบางอย่างที่แผ่ออกมาจากคนเป็นนายทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังเข้าเฝ้าถวายรายงานกับพระราชา เป็นเหตุให้เธอต้องสำรวมกิริยา และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างระมัดระวังที่สุด
“เขาว่าอย่างไร” วอริคถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่มีนัยแห่งพลังอำนาจแอบแฝง
“ดิฉันคิดว่าเขาไม่ปฏิเสธค่ะ เพียงแต่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นลูกสาวคนไหน...“
“จะคนไหนก็ไม่ต่างกัน คุณดำเนินการขั้นต่อไปได้เลย จัดการให้เรียบร้อยล่ะ” เขาพูดตัดบทอย่างเย็นชา
เขาเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของวงศ์ตระกูล จึงต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่คู่ควรสมกัน ทั้งฐานะและความมีหน้ามีตาในสังคม ขอแค่ไม่อัปลักษณ์จนทนมองไม่ได้ เป็นใครก็ไม่ต่างกัน
“ค่ะ คุณวอริค” ลีน่าโค้งศีรษะรับคำด้วยท่าทีอ่อนน้อม
“เรื่องนี้ให้ดำเนินการอย่างเงียบๆ ผมไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา โดยเฉพาะพวกสื่อตัวดี”
“ค่ะ คุณวอริค”
เมื่อสั่งการเรียบร้อยและได้รับคำตอบรับเป็นมั่นเหมาะ วอริคก็พยักหน้า ยืดตัวนั่งตรง แล้วหยิบเอกสารขึ้นมาพิจารณา แต่จากปลายหางตา เมื่อเห็นว่าเลขาฯ ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเขาก็เอ่ยปากถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำ
“ยังมีอะไรที่ผมควรรู้อีกหรือไง”
“ค่ะ มีสายจากคุณมิแรนด้าเจ็ดครั้งตอนที่คุณประชุมอยู่ค่ะ ครั้งสุดท้ายเธอฝากให้ดิฉันเรียนคุณว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเธอ ขอให้คุณหาเวลาว่างไปทานข้าวกับเธอค่ะ” ลีน่ารายงานด้วยท่าทางเป็นงานเป็นการ ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น เพราะชินกับการต้องคอยรับโทรศัพท์ตามตื๊อจากผู้หญิงพวกนี้
“มิแรนด้า...” วอริคทวนคำ พยายามนึกหน้าเจ้าของชื่อ ในที่สุดก็ค่อยๆ นึกออก
อ้อ จำได้แล้ว เมื่อสองเดือนก่อน ผู้หญิงที่เขาควงด้วยบอกว่าเธอชื่อมิแรนด้า ดูเหมือนจะเป็นนางแบบที่กำลังโด่งดัง เขาไม่เคยใส่ใจอะไรกับผู้หญิงพวกนี้ ไม่แม้แต่จะจดจำ แค่ของเล่นแก้เบื่อเท่านั้น ได้ของขวัญราคาแพงไปหน่อยก็พร้อมทอดกายถวายตัวให้เขาหาความสำราญฆ่าเวลา
“คุณเป็นธุระให้ผมเรื่องนี้ทีแล้วกัน เลือกของขวัญ ดอกไม้ แล้วก็การ์ดอวยพรให้ด้วย”
“ค่ะ”
“ส่วนข้อความบนการ์ด...” ชายหนุ่มก้มหน้าลง ตวัดมือเคลื่อนไหวไม่กี่ทีแล้วยื่นกระดาษโน้ตส่งให้ไป
นี่ทำให้ลีน่ารู้สึกประหลาดใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาท่านประธานไม่เคยสนใจเรื่องจุกจิกพรรค์นี้ นับประสาอะไรกับข้อความอวยพรวันเกิดคู่ควงสักคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนที่ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะนึกออกด้วยแล้ว แต่พอก้มหน้าลงอ่านข้อความ ลีน่าก็เข้าใจทันที
‘ต่อไปอย่ามากวนผมอีก’
ชานเมืองเงียบสงบจะหาอะไรมาดึงดูดได้ ผู้คนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สิ่งปลูกสร้างไม่มีความโดดเด่นเพราะยึดถือการใช้งานจริงมากกว่าหน้าตาภายนอก เช่นเดียวกับโบสถ์เก่าโทรมแห่งนี้ กระเบื้องหลังคาแหว่งโหว่ไปหลายแผ่น บันไดหินหน้าประตูใหญ่ก็กร่อนเว้าไม่เต็มขั้น ที่ร้ายคือผนังโบสถ์ด้านนอกซึ่งเดิมคาดว่าน่าจะเป็นสีขาว บัดนี้กลับกลายเป็นสีกระดำกระด่างและลอกล่อนด้วยกระแสกาลเวลา
“ไม่อยากเชื่อเลย! เขาเลือกที่ที่ทั้งเก่า ทั้งโทรม ทั้งสกปรกอย่างนี้มาจัดงานได้ยังไง ทำเอาห้องเก็บของบ้านเราเป็นวิมานไปเลย” แคธี่ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกขณะเดินเข้ามาข้างในตัวโบสถ์ด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ จากนั้นเธอก็ใช้สายตารังเกียจขยะแขยงสำรวจห้องเล็กๆ ที่ใช้เป็นห้องพักของเจ้าสาว แถมยังบ่นว่าโน่นนี่นั่นชนิดสาดเสียเทเสีย ไม่ไว้หน้าสิ่งปลูกสร้างที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับร้อยปีแห่งนี้เลยสักนิด
ไม่มีแม้แต่พื้นที่หนึ่งตารางเซนติเมตรของโบสถ์โบราณให้เธอพึงใจ กระทั่งเฟอร์นิเจอร์และของเก่าแก่ที่ใช้ประดับตกแต่งสถานที่ อาทิ โต๊ะเก้าอี้เข้าชุดแกะสลักลายอ่อนช้อย ก็ยังกลายเป็นขยะเน่าๆ ได้ในสายตาเธอ หยากไย่ฝุ่นละอองที่มุมห้องกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสกปรก แค่เดินวนรอบเดียวเธอก็รู้สึกอึดอัดจนแทบสลบแล้ว
“คิดยังไงนะถึงเลือกจะแต่งงานในที่ที่กันดารห่างไกลความเจริญแบบนี้ ชื่อเสียงครอบครัวเราป่นปี้หมด น่าขายหน้าจริงๆ! พูดมาได้ว่าเป็นเศรษฐีหมื่นล้าน โธ่เอ๊ย! จอมงกสิไม่ว่า หรือไม่งั้นก็ตาถั่ว ไร้รสนิยม” แคธี่วิจารณ์เจ็บแสบ ถึงแม้ทรัพย์สินของตระกูลเธอจะไม่มากมายมหาศาลเท่าอีกฝ่าย แต่ดีร้ายก็ยังนับว่ามีชื่อเสียงในวงการธุรกิจ มีหน้ามีตาในสังคม แล้วจะให้จัดงานแต่งงานเล็กๆ แถมทำเหมือนลักลอบขโมยของเขากินแบบนี้ได้ยังไง
ตอนที่ได้ยินจากสามีว่าผู้ชายคนนั้นกำชับนักหนาว่าให้จัดงานแต่งงานแบบเงียบๆ อย่าให้คนภายนอกรู้ เธอก็รู้สึกแปลกๆ แล้วเชียว เจ้าตัวเป็นคนดังในวงสังคม งานแต่งงานของตัวเองแท้ๆ ทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ ด้วย จัดงานกระจอกแบบนี้ต่อให้ตัวเองไม่กลัวอายก็น่าจะคิดถึงอีกฝ่ายบ้าง แล้วอย่างนี้ครอบครัวเธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
พลันสายตาดูถูกเหยียดหยามของแคธี่ก็ย้ายมาอยู่ที่หญิงสาวร่างบอบบางในชุดขาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
“แต่ว่า...” แคธี่ยิ้มคล้ายเยาะอยู่ในที ก่อนค่อยเดินเข้ามาใกล้หญิงสาวชุดขาว “สำหรับผู้หญิงอย่างเธอ มีวันนี้ได้ก็นับว่าน่ายินดีแล้ว คว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดีล่ะ ถึงจะเป็นผู้ชายประหลาดๆ แต่อย่างน้อยเขาก็ถูกใจเธอนะ”
มือของแคธี่วางลงบนไหล่เล็กๆ ของหญิงสาว ดวงตาที่เต็มไปด้วยแววเยาะหยันจับจ้องมองใบหน้าสดสวยอ่อนวัยที่สะท้อนอยู่บนกระจก
“ผู้ชายน่ะ ร้อยทั้งร้อยชอบผู้หญิงว่านอนสอนง่าย อ่อนหวาน เรียบร้อย เพราะงั้นหลังจากแต่งออกไปแล้วก็ทำตัวดีๆ อย่าก่อเรื่องน่าอับอายขายหน้าทำลายชื่อเสียงบ้านเรา ถ้าฉันได้ยินใครพูดว่าลูกสาวบ้านนี้ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาล่ะก็ เธอโดนดีแน่ เข้าใจไหม” คนพูดยังคงรอยยิ้มไว้บนหน้าก็จริง หากมือที่วางอยู่บนบ่าบางกลับกดน้ำหนักมากขึ้น ประทับรอยแดงไว้บนผิวขาวละมุนของหญิงสาว
คาเรนมองแววตาน่ากลัวของแม่เลี้ยงผ่านเงาสะท้อนในกระจกโดยไม่พูดอะไร มุมปากของเธอเหยียดยิ้มนิดๆ
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พ่อของเธอนั่นเอง เขาเคาะประตูเพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าพิธีกำลังจะเริ่ม เมื่อรู้ดังนั้นคาเรนจึงค่อยๆ ขยับมือที่วางอยู่บนบ่าออก คลี่ผ้าคลุมหน้าเนื้อนุ่มผืนสวยลงมา แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกไปโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใด
แม้ว่าแววตาของหญิงสาวในชุดแต่งงานจะไม่ได้สุกสกาวอย่างคนเป็นเจ้าสาว แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความหวังที่เรืองรอง
ขอเพียงได้ไปจากสถานที่ที่มีแต่ความเย็นชา ไปให้ไกลจากคนพวกนี้ ไปให้พ้นจาก ‘บ้าน’ ที่เธออยู่มาเกือบยี่สิบปีหากกลับไม่เคยได้สัมผัสความอบอุ่นเลย ต่อให้ต้องแลกมาด้วยสถานภาพใหม่ เสี่ยงแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ เดิมพันด้วยความสุขชั่วชีวิตที่เหลือ เธอก็ไม่หวั่นไหว คิดเพียงไปตายเอาดาบหน้า
ทางสายนี้... เธอได้เลือกแล้ว
เสียงเปียโนบรรเลงท่วงทำนองสูงๆ ต่ำๆ คาเรนคล้องแขนพ่อก้าวไปบนพรมแดงตามจังหวะดนตรี เพื่อไปยังแท่นประกอบพิธีด้านหน้า
คาเรนแอบลอบมองผู้ที่มาร่วมงาน
บนเก้าอี้ยาวมีคนจับจองที่นั่งนับรวมได้สามคนเท่านั้น
เบนสายตาไปทางด้านแขกของฝ่ายเจ้าสาว แคธี่กำลังหันหน้ามามองเธอ บนหน้ามีรอยยิ้มที่ดูก็รู้ว่าเสแสร้ง
ส่วนทางฝ่ายเจ้าบ่าวมีเพียงหนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งอยู่ แต่รอยยิ้มของพวกเขากลับดูจริงใจและอบอุ่นกว่าของแคธี่มากนัก
มองไกลออกไปหน่อย ตรงแท่นประกอบพิธีมีเพียงบาทหลวง คนบรรเลงเปียโน และเจ้าบ่าว รวมทั้งหมดสามคน
ต้องบันทึกเป็นสถิติใหม่เลย งานแต่งงานที่มีคนร่วมงานแค่แปดคน! นี่ไม่ได้เรียกว่าจัดงาน ‘เงียบๆ’ แล้ว แต่ต้องบอกว่า ‘โหวงเหวง’ ราวกับเป็นแค่งานซ้อมยังไงยังงั้น
เพราะแบบนี้สินะ ตั้งแต่เหยียบย่างเข้าโบสถ์ แม่เลี้ยงเธอถึงได้พร่ำบ่นไม่หยุดปาก
แต่หญิงสาวก็อดยิ้มในใจไม่ได้ แอบนับถือความสามารถของชายผู้ซึ่งกำลังจะมาเป็นสามีของเธอที่สามารถจัดงานได้เงียบเชียบขนาดนี้
จนเมื่อคาเรนเดินมาหยุดที่ข้างกายเจ้าบ่าว ถึงรู้ว่าผู้ชายคนนี้สูงกว่าเธอหนึ่งช่วงศีรษะเลยทีเดียว
เธอไม่กล้าเงยหน้ามองเขา เพียงเหลือบมองลำตัวช่วงล่างของผู้ชายคนนั้น ไม้เท้าที่ถืออยู่ในมือซ้ายเป็นหลักฐานพิสูจน์ข่าวลือแรกเกี่ยวกับตัวเขา...ใช่ชายขาเป๋อย่างที่พี่สาวสองคนของเธอ ‘ใจดี’ บอกจริงๆ ด้วย
เวลานี้คาเรนเริ่มกังวลใจเสียแล้ว เพราะแม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสองไม่ได้บอกเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว
พวกเธอยังบอกอีกว่าผู้ชายคนนี้มีนิสัยรักสันโดษและเอาแต่ใจ แม้จะจัดว่าเป็นคนมีชื่อเสียง แต่กลับไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนนัก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความเย็นชาไร้น้ำใจ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แล้วเขาไม่เลือกวิธีการ ให้โหดเหี้ยมเพียงไหน ชั่วช้าเท่าใด เขาไม่สนใจเลย เธอยังรู้มาด้วยว่าเขาหน้าตาอัปลักษณ์ หยาบคาย ไร้มารยาท จึงต้องทุ่มเทเงินทองมากมายจัดหาผู้หญิงสักคนมาเป็นภรรยา นัยว่าเงินซื้อได้ทุกสิ่ง และแม่เลี้ยงกับพวกพี่สาวยังบอกอีกว่า...ว่า...อา...มันมากมายเสียจนเธอจำไม่หวาดไม่ไหว
สรุปคือผู้ชายตรงหน้า คนที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นเป็น ‘สัตว์ร้าย’ ในสายตาของทุกคนนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับยินยอมพร้อมใจเข้าสู่พิธีวิวาห์ที่ไม่มีใครยินดีนี้
“ฉันยินดีค่ะ” แบบแผนพิธีการดำเนินไปเรื่อยๆ โดยที่เจ้าสาวนั้นจิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว ดังนั้นประโยคตอบรับคำสาบานประการสุดท้ายจึงเป็นการเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ มาถึงขั้นนี้แล้วคาเรนก็ไม่มีอะไรจะเสียอีก และก็ไม่คิดจะหันหลังกลับด้วย
“บ่าวสาวแลกแหวนแต่งงาน” บาทหลวงประจำโบสถ์ยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไปอย่างยอดเยี่ยม แม้บรรยากาศพิธีแต่งงานในวันนี้จะพิลึกเอาการก็ตามที
เมื่อได้ยินดังนั้นฝ่ายชายก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบยัดแหวนแต่งงานใส่เข้าไปในนิ้วเล็กๆ ของเธออย่างลวกๆ คาเรนรู้สึกเจ็บที่ข้อนิ้วนิดหน่อย นี่พิสูจน์ได้อย่างหนึ่งแล้วว่าผู้ชายคนนี้ช่างไม่อ่อนโยนกับผู้หญิงเอาเสียเลย
“เชิญเจ้าบ่าวจุมพิตเจ้าสาว” ทันทีที่บาทหลวงประกาศถ้อยความนี้ หัวใจของเธอเหมือนถูกกระแทกอย่างแรง
หญิงสาวหันตัวไปทางชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง แอบสูดหายใจเข้าปอดหนึ่งเฮือกใหญ่ ชั่ววินาทีที่ต้องเผชิญหน้ากับเขา เธอภาวนาอยู่ในใจว่าขอให้อย่าถูกรูปโฉมอันแสนอัปลักษณ์ของเขาทำให้ตกใจจนเผลอร้องกรี๊ดออกมาเลย
แต่แล้วสิ่งที่เธอกลัวกลับไม่ได้เกิดขึ้น เพราะจู่ๆ โทรศัพท์มือถือก็แผดเสียงดังก้องโบสถ์ ขัดจังหวะพิธีแต่งงาน ทำลายบรรยากาศอันแสนศักดิ์สิทธิ์...ซึ่งปกติแล้วมันควรจะเป็นอย่างนั้น
คาเรนรู้สึกถึงผ้าคลุมหน้าที่ถูกเลิกขึ้นแล้วปล่อยลง ขณะเดียวกันคนที่มาร่วมงานก็ต่างกุลีกุจอตรวจดูอุปกรณ์สื่อสารของตัวเอง จากนั้นก็เงยหน้ามองซ้ายมองขวากันเลิ่กลั่ก พยายามหาต้นตอของเสียงอันแสดงถึงความไม่รู้จักกาลเทศะของคนบางคนนี้
ทว่า ณ ที่นั้น มีเพียงคนเดียวที่ไม่ลนลานอย่างคนอื่น คนคนนั้นคือ...
“ครับ” เจ้าบ่าวรับโทรศัพท์มือถืออย่างใจเย็น ไม่สนสายตาประหลาดใจเกือบสิบคู่ที่จับจ้องมายังเขาเป็นตาเดียว
เดิมคาเรนคิดจะถือโอกาสนี้ดูหน้าตาของเจ้าบ่าวเสียหน่อย แต่เขากลับหันหลังไปคุยโทรศัพท์เสียได้
“อะไรนะ พวกคุณทำงานกันยังไง!” จู่ๆ วอริคก็พูดโพล่งขึ้นมาด้วยความโกรธ “บอกพวกเขาว่าผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ ระหว่างนี้ห้ามพวกคุณทำอะไรที่มันงี่เง่าอีก เข้าใจไหม!”
หลังจากวางโทรศัพท์ไปอย่างหัวเสีย วอริคก็ปรายสายตาไปทางหนุ่มสาวที่นั่งร่วมงาน “ลีน่า จองตั๋วเครื่องบินไปลอนดอนให้ผมสองใบ เอาไฟลต์ที่เร็วที่สุด ติดต่อริชาร์ดให้ผมด้วย บอกเขาให้เตรียมเอกสารการประชุมครั้งที่แล้วไว้ให้พร้อม แล้วรีบไปสมทบกับผมที่สนามบิน” พอพูดจบเขาก็รีบก้าวฉับๆ จากไป ไม่สนใจเหล่าคนที่มาร่วมงานแต่งงานซึ่งพากันอุทานด้วยความตกตะลึง
เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน คาเรนรู้ตัวอีกทีก็ได้แต่ตาค้างมองตามเงาหลังเจ้าบ่าวค่อยๆ เดินจากไป ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวช่วยปกปิดสีหน้าอึ้งทึ่งของเธอได้เป็นอย่างดี
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ชายหนุ่มข้างแขกเจ้าบ่าวลุกขึ้นฉับพลัน มองหน้าลีน่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“อย่าถามฉันนะคะ ตามแผนของฉัน ในงานแต่งงานไม่ได้รวมฉากที่เจ้าบ่าวหุนหันหนีไปแบบนี้เข้าไว้ด้วย” ลีน่าถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี เธอหันหลังหลบสายตาเดือดดาลของบาทหลวงและพ่อแม่เจ้าสาว จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเลขหมายสายการบิน แล้วจัดแจงจองที่นั่งอย่างชำนาญ
“เจ้าวอริคนี่จริงๆ เลย” ชายหนุ่มพึมพำอย่างหัวเสีย วันนี้เขาอุตส่าห์แลกเวรกับคนอื่น แถมยังบึ่งรถนานกว่าสองชั่วโมงเพื่อมาร่วมงานอีก หมอนั่นเล่นตลกอะไรเนี่ย!
เขาคลายเนกไทที่คอ เกาหัวแกรกๆ ด้วยความหงุดหงิดใจ พอหันมาก็เห็นเจ้าสาวกำลังมองไปทางประตูโบสถ์ด้วยความตะลึงงัน เห็นเธอยืนไม่ขยับเขยื้อนอยู่อย่างนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าเธอคงจิตตก อึดอัด และไม่รู้จะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ว่าแล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินมาทางหญิงสาวร่างบอบบางในชุดสีขาวบริสุทธิ์เพื่อหวังปลอบใจเจ้าสาวผู้น่าสงสารแทนพี่ชายใจดำของตน
“สวัสดีครับ ผมชื่ออเล็กซ์ เป็นลูกพี่ลูกน้องของวอริค” เขาเดินมายืนข้างเธอ รอยยิ้มของเขาเจือแววเสียใจและขออภัยต่อเหตุการณ์เหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้น
หญิงสาวภายใต้ผ้าคลุมหน้าสะดุ้งเล็กน้อยราวกับวิญญาณเพิ่งกลับเข้าร่าง เงยหน้ามองชายที่ยืนอยู่ข้างตัว
“ต้องขอโทษจริงๆ ครับ วอริคก็เป็นคนแบบนี้แหละ ให้ความสำคัญกับงานมากเสียจนบางทีก็ทำอะไรหุนหันพลันแล่นเกินไป คุณอย่าถือสาเขาเลย”
คาเรนรีบส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ” ก่อนจะจัดการเลิกผ้าคลุมหน้าขึ้น “สวัสดีค่ะ ฉันคาเรน”
นี่นับว่าเหนือความคาดหมายของเขา เพราะภายใต้ผ้าคลุมหน้าไม่ใช่หญิงสาวที่กำลังระทมทุกข์ แต่เป็นหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มสดใสงดงามกระชากใจคน
การแต่งเข้าบ้านสามีไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาเรนคิดไว้ตอนแรก ตรงข้ามเลย มันดีกว่าที่คาดไว้มากด้วยซ้ำ
คนบ้านนี้เป็นมิตรและเป็นกันเอง ตั้งแต่วันแรกที่เธอย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ก็รับรู้ได้ถึงการต้อนรับอย่างจริงใจของพวกเขา เธอได้รับการดูแลอย่างอบอุ่น ทำให้เธอปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ได้อย่างรวดเร็วและสนิทสนมกลมเกลียวกับทุกคนเป็นอย่างดี...เว้นก็แต่ ‘สามี’ ที่หายเข้ากลีบเมฆไปคนนั้น
ได้ยินน้าโซฟีซึ่งเป็นแม่บ้านเล่าว่าวอริครีบบินไปลอนดอนเพื่อจัดการงานที่บริษัทลูก จึงต้องจากบ้านไปหลายวัน แถมไม่ส่งข่าวคราวกลับมาเลย
แต่เธอกลับไม่ได้กลุ้มใจเรื่องที่ถูกสามีหมาดๆ ทิ้งทุ่น เพราะช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่นี้เธอได้ถือโอกาสหายใจหายคอให้โล่ง มีอิสรเสรีและสุขสบายอยู่ภายใต้ชายคาบ้านหลังนี้
“คุณผู้หญิงคะ เมื่อเช้าคุณผู้ชายโทรศัพท์มา บอกว่าจะกลับมาในสองสามวันนี้แล้วค่ะ คุณดีใจไหมคะ” โซฟียิ้มหน้าบานขณะบอกเล่าข่าวดี
หลังจากคุณผู้ชายประสบอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งนั้น ในบ้านก็ไม่เคยมีเรื่องมงคลอย่างนี้เลย น่าเสียดายที่งานแต่งงานจัดอย่างเงียบเชียบและฉุกละหุกเกินไป คุณท่านกับคุณนายที่ไปท่องเที่ยวต่างประเทศเพื่อดื่มด่ำกับชีวิตหลังเกษียณก็เลยพลาดข่าว จึงไม่สามารถมาร่วมงานแต่งของลูกชายตัวเองได้
ถึงกระนั้นบรรยากาศชื่นมื่นของงานสมรสครั้งนี้ก็ยังแผ่ซ่านมาสู่ทุกคนในบ้าน หลังจากอยู่ร่วมกันมาระยะหนึ่ง ทุกคนต่างชื่นชอบหญิงสาวที่ทั้งสวยทั้งร่าเริง แถมยังมองโลกในแง่ดีคนนี้ เชื่อมั่นว่าเธอและคุณผู้ชายจะรักใคร่กลมเกลียว ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซฟีผู้ซึ่งดีใจอย่างกับแต่งลูกสะใภ้เข้าบ้านตัวเองยังไงยังงั้น
“อืม ดีใจสิ” คาเรนพูดพลางกัดพายเชอรี่ที่เพิ่งออกจากเตาหมาดๆ ตอนนี้ในปากของเธอเต็มไปด้วยขนมรสชาติหวานอมเปรี้ยวสุดแสนอร่อย สมแล้วที่เป็นขนมที่น้าโซฟีและทีน่าช่วยกันแสดงฝีมือ อร่อยสุดยอดไปเลย!
“น้าโซฟีก็ ถามอะไรแบบนี้นะ คุณผู้หญิงก็ต้องคิดถึงคุณผู้ชายมากแน่นอนอยู่แล้ว ใช่ไหมคะ” สาวใช้ทีน่าเองก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจแทนคาเรน
ทั้งที่ควรจะเป็นช่วงข้าวใหม่ปลามันอันหวานชื่น แต่ภรรยากลับต้องอยู่โดดเดี่ยวลำพัง ต่อให้ปากไม่พูดก็เชื่อได้เลยว่าในใจคุณผู้หญิงของเธอจะต้องว้าเหว่เดียวดายอย่างมากแน่นอน
“อืม” คาเรนพยักหน้าแรงๆ จับพายที่เหลือใส่ปากจนหมด แล้วเคี้ยวอย่างมีความสุข
“ค่อยๆ ทานก็ได้ ไม่มีใครแย่งหรอกค่ะ” โซฟียิ้มพร้อมส่งน้ำชาให้ กลัวเจ้านายจะสำลัก
“ก็...พายนี่อร่อยมากๆ เลยนี่นา” คาเรนกลืนขนมในปากแล้วค่อยดื่มชาดอกไม้ที่หอมหวน “จริงสิ เมื่อกี้พวกน้าบอกว่าใครจะมานะ”
โซฟีและทีน่ามองหน้ากัน บังเกิดเป็นความรู้สึกเหมือนกันนั่นคือไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี เพราะรู้แล้วว่าคำว่า ‘ดีใจ’ ที่เธอพูดเมื่อกี้เป็นความรู้สึกที่มีต่อพายเชอรี่เท่านั้นเอง
“พวกเราบอกว่าคุณผู้ชายจะกลับมาแล้วค่ะ” ทีน่าพูดอีกครั้ง
“อ้อ เหรอ อืม...ดีจังเลย” คาเรนยิ้มเอียงคอ ว่าแล้วก็ยื่นมือหยิบพายเชอรี่อีกชิ้นมากิน
อันที่จริงเธอไม่อยากโกหกน้าโซฟีกับทีน่าแบบนี้หรอก ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะรู้สึกดีใจกับการกลับมาของ ‘คนแปลกหน้า’ เพราะขนาดหน้าของเขา เธอก็ยังไม่ทันได้เห็นเลยนี่นะ
จะว่าไปข่าวการกลับมาของวอริคไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ยอมรับว่าเมื่อแรกที่ได้ยินเธอแอบตื่นเต้น แต่ต่อมาก็พบว่าประโยค ‘คุณผู้ชายจะกลับมาแล้ว’ ก็เหมือนกับ ‘หมาป่ากำลังมาแล้ว’ ในนิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะนั่นแหละ ไม่มีความน่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอได้ยินมันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนจะร่วมเดือนอยู่แล้วก็ไม่เห็นว่าวอริคจะกลับมาจริงๆ เสียที ดังนั้นเธอจึงเลิกคิดกังวล ได้แต่เออออไปตามเรื่องเมื่อมีใครพูดถึงขึ้นมา
สำหรับเธอ ความแน่นอน ณ เวลานี้ก็คือการเติมท้องให้เต็มด้วยขนมอย่างไรล่ะ
หลายวันนี้อากาศแปรปรวนหนัก ไม่ลมพัดแรงก็มีเมฆดำปกคลุมท้องฟ้า แม้แต่ดวงอาทิตย์ยังหมดปัญญาจะโผล่หน้ามาส่องแสง ทำเอาผู้คนต่างรู้สึกหดหู่หงอยเหงา
กระทั่งบ่ายวันนี้ ท้องฟ้าก็ยังคงมืดครึ้ม และแล้วเม็ดฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ทัศนียภาพภายนอกหน้าต่างถูกละอองฝนบดบังให้ทุกสิ่งดูรางเลือน
พอตกดึก ฝนไม่เพียงไม่ซาลง กลับยิ่งกระหน่ำตกอย่างไม่ปรานีปราศรัย ฟ้าร้องฟ้าคำรามดังก้องไปทั่ว หน้าต่างกระจกใสสั่นสะท้านด้วยแรงลมและเสียงฟ้าร้องฟ้าคะนอง
บ้านทั้งหลังเกือบมืดสนิท มีเพียงแสงสว่างวาบเพียงชั่วพริบตาจากภายนอกสาดส่องเข้ามา ก่อให้เกิดบรรยากาศที่แปลกใหม่และดูลึกลับไม่น้อย
ภายในห้องนอนใหญ่ คาเรนนอนหลับสนิทอย่างไม่สะทกสะท้านต่อเสียงฟ้าคำรามข้างนอกเลยแม้แต่น้อย ยังคงนอนกอดผ้าห่มฝันหวานอย่างสบายใจ
เพราะแบบนี้เอง เธอจึงไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ามีชายร่างสูงใหญ่มายืนอยู่ข้างเตียง และก้มหน้าจ้องมองเธออยู่ได้สักครู่หนึ่งแล้ว...
ผู้หญิงคนนี้...คือภรรยาของเขางั้นหรือ
วอริคยืนอยู่ข้างเตียงมาพักใหญ่ กำลังประเมินหญิงสาวผู้ยึดครองเตียงนอนของเขาอย่างไม่มั่นใจนัก
แล้วเขาก็ค่อยๆ นึกขึ้นได้
ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เขาได้จัดพิธีแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นอย่างลับๆ
จำได้ว่าลีน่าเรียกเธอว่า...แย่จริง เขานึกไม่ออก เอาเป็นว่าคือหลังจากวันนั้นก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว เขามัวแต่วุ่นกับงานที่ยุ่งเหยิงอีนุงตุงนัง ไม่เหลือเวลาให้ท่องจำชื่อของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาหรอก
กว่าเขาจะเคลียร์งานที่ลอนดอนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย พอเสร็จก็รีบจับเครื่องบินเที่ยวสุดท้ายกลับมาก่อนกำหนด แต่ใครจะรู้ว่าพอออกจากสนามบินดันเจอพายุฝนกระหน่ำตกไม่หยุด เล่นเอาเขาผู้ไร้ซึ่งคนมารับต้องตัวเปียกปอนกลับบ้านราวกับลูกหมาตกน้ำ
ดึกดื่นป่านนี้วอริคไม่อยากปลุกคนในบ้านให้วุ่นวาย ดังนั้นจึงขึ้นห้องนอนมาเงียบๆ วางสัมภาระและไม้เท้าลง แล้วเดินตรงเข้าไปอาบน้ำอุ่นให้สบายตัว
ขณะที่เขาเปลี่ยนใส่ชุดนอนและเตรียมกระโจนสู่เตียงใหญ่ที่แสนคิดถึงนั้นเอง เขากลับพบว่าเตียงของตนถูกชิงตัดหน้ายึดครองไปเสียแล้ว
เขาเปิดโคมไฟเล็กๆ ตรงหัวเตียง พินิจพิเคราะห์หญิงสาวคนนี้อยู่เงียบๆ
ขอพูดอย่างไม่เกรงใจ ท่านอนของผู้หญิงคนนี้ดูไม่ได้เอาเสียเลย ตัวนอนตะแคงข้างกอดผ้าห่ม ขาข้างหนึ่งโผล่ออกมาข้างนอก ดูคล้ายกับหมีโคอาลาเกาะต้นไม้ยังไงยังงั้น ไม่สิ เปรียบอย่างนั้นก็ออกจะใจร้ายกับหมีโคอาลาเกินไปหน่อย เพราะสภาพของผู้หญิงคนตรงหน้าเขามันแย่กว่านั้น
ทว่าเสื้อผ้าบางเบาที่ขับส่วนเว้าส่วนโค้งได้สัดส่วนของเธอให้เห็นเด่นชัดกลับทำให้คนมองรู้สึกเหมือนถูกเย้ายวน เปลี่ยนให้ท่านอนที่ไม่น่าดูกลายเป็นมีเสน่ห์ขึ้นมา
เขายื่นมือออกไปอย่างลืมตัว ค่อยๆ ลูบไล้ขาเรียวงามทั้งสองข้าง ความเรียบลื่นของผิวสัมผัสที่ได้รับก่อให้เกิดความรู้สึกหวั่นไหว มือใหญ่แข็งแรงจึงสำรวจร่างกายหญิงสาวต่ออย่างขะมักเขม้น ความอ่อนนุ่มของร่างบางทำให้เขารู้สึกหลงใหล
คาเรนขมวดคิ้วเพราะรู้สึกคล้ายกำลังถูกรบกวนการนอนอันแสนสุข หญิงสาวส่งเสียงหงุดหงิดในลำคอก่อนจะเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงายตามสบาย
นอนท่านี้ถึงแม้จะดูไม่สุภาพยิ่งกว่าเก่า แต่กลับช่วยให้เขามองเห็นหน้าตาเธอชัดเจนขึ้น
อาศัยแสงโคมไฟสลัวในห้องและแสงฟ้าแลบแปลบหนึ่งจากภายนอก ทำให้เขาดูออกว่าหญิงสาวเบื้องหน้ามีใบหน้ารูปไข่ ใต้คิ้วโก่งเรียวทั้งสองข้างคือขนตายาวหนา จมูกเล็กตรง ริมฝีปากเล็กบางแต่เต็มอิ่มเผยอขึ้นเล็กน้อย ราวกับลูกเชอรี่หวานฉ่ำรสอร่อยที่เชื้อเชิญเขาให้ลิ้มลอง
ชายหนุ่มค่อยๆ ลูบไล้แก้มชมพูระเรื่อของเธอ สัมผัสอันนุ่มละมุนยิ่งทำให้เขามิอาจละมือออกไปได้ กลับยิ่งกระตุ้นให้เขาต้องการสัมผัสริมฝีปากอิ่มนั้นมากขึ้น รูปปากที่ดูน่ารักปนเซ็กซี่หน่อยๆ อย่างที่เขาชอบดึงดูดให้ชายหนุ่มก้มหน้าลงลิ้มลองรสชาติ...อืม...รสหอมหวานเหมือนอย่างที่คิด
เขาหยุดอยู่ตรงริมฝีปากของเธอพักใหญ่ ต้องใช้ความพยายามมากทีเดียวในการถอนตัวออกจากรสชาติแสนหอมหวานนั้น แต่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเขาไม่ได้ต้องการจากเธอเพียงแค่นี้ นิ้วเรียวยาวได้รูปค่อยๆ เคลื่อนไปที่คอเสื้อ ตอนนั้นเองเขาถึงรู้ว่าที่แท้ชุดนอนที่เธอใส่ก็คือเสื้อเชิ้ตของเขานั่นเอง! รู้สึกคอแห้งผากเมื่อนึกล่วงหน้าไปถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้เนื้อผ้าบาง ต้องข่มใจอย่างหนักไม่ให้ลงมือฉีกกระชากกระดุมทั้งหมดออกในพริบตาเดียว ยังไงเธอก็เป็นของเขาอยู่แล้ว ใจเย็นไว้อีกนิด
จะว่าไปแล้ว ผู้หญิงคนนี้กล้าเอาเสื้อเชิ้ตแสนแพงของเขามาใส่เป็นชุดนอน แถมท่านอนยังเย้ายวนชวนให้คนรู้สึกอยากกระโดดใส่...หรือว่าเธอรู้ว่าเขาจะกลับบ้านเร็ววันนี้ เลยจงใจลงทุนแต่งตัวแบบนี้มาดึงดูดความสนใจของเขา
ถ้าอย่างนั้นก็นับว่าภรรยาคนนี้ได้คะแนนเต็ม เพราะตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาอัดแน่นไปด้วยแรงปรารถนาจนจวนเจียนจะระเบิดอยู่แล้ว
วอริคปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างช่ำชอง สาบเสื้อเชิ้ตที่แยกออกเผยให้เห็นทรวงอกอวบอิ่ม
เขาจ้องมองความนุ่มละมุนที่ขาวผุดผาดราวหิมะตรงหน้า รู้สึกคอแห้งกว่าเดิมจนต้องกลืนน้ำลายอีกครั้ง มือใหญ่ค่อยๆ เอื้อมไปแตะ จับ และเคล้าคลึงช้าๆ รู้สึกถึงความยืดหยุ่นและนุ่มนิ่ม
เสียงครางแผ่วต่ำด้วยความพอใจดังจากริมฝีปากหยักขึ้นขอบสวย เขาวุ่นวายกับความเย้ายวนตรงหน้าอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเปลี่ยนมาลองลิ้มชิมรสอย่างแผ่วเบา
“อือ...” คาเรนที่กำลังถูกรังควานครางเสียงอืออา ร่างกายท่อนล่างบิดไปมา คิดอยากสลัดความรู้สึกจั๊กจี้ตรงหน้าอกออกไปเสีย
แต่วอริคที่กำลังอยู่ท่ามกลางไฟปรารถนาไม่ยอมรามือ กลับยิ่งลงมือรุกเร้าหนักหน่วงขึ้น
“อืม...” เธอร้องครวญครางออกมาอย่างลืมตัว ช่างเป็นเสียงที่เย้ายวนใจจริงๆ
เมื่อได้ยินเสียงครางของหญิงสาว วอริคก็ยิ่งได้ใจ ไม่ว่ามือ จมูก ปาก ไปจนกระทั่งลิ้นล้วนถูกใช้งานอย่างหนักหน่วง
ความรู้สึกร้อนผ่าวตามเนื้อตัวที่ลุกลามไปทั่วร่างกายยิ่งเหมือนจริงขึ้นเรื่อยๆ จนคาเรนรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ความฝัน เธอลืมตาขึ้นมองอย่างงงงวย
“หา
“ มีคนทับอยู่บนตัวเธอ!
วอริคเงยหน้าขึ้นมองเธอ นัยน์ตาเป็นประกายราวกองไฟลุกโชน
“เงียบซะ” ในเวลานี้ร่างกายของเขาแทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว ดังนั้นเขาได้แต่หวังว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ทำอะไรขัดจังหวะ เช่นส่งเสียงร้องแสบแก้วหูด้วยความตกใจอะไรทำนองนี้
“นายเป็นใคร”
“เธอไม่รู้จักฉันเหรอ” คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่แม้แต่สามีตัวเองยังจำไม่ได้จะกล้ามานอนที่ของเขา กินของของเขา อยู่บ้านของเขาอีก ช่างเป็นภรรยาที่บกพร่องในหน้าที่แบบสุดๆ จริงๆ
คาเรนเริ่มรู้สึกเย็นวาบแถวหน้าอก จึงค่อยๆ ก้มลงดู พระเจ้า ผู้ชายคนนี้ปลดกระดุมเสื้อเธอ แถมยัง...
ล่วงเกินเธอด้วย!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น