ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dividing of 4 kingdoms.

    ลำดับตอนที่ #3 : Tears In Flame

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ค. 56


                                                           Chapter3 เปลวไฟในน้ำตา



                        เมื่อพระนางเนริมอร์ทรงแน่พระทัยว่ากษัตริย์ซาดินจะทรงทำศึกแน่แล้ว เย็นวันนั้นพระนางจึงทรงรุดเข้าไปพบกษัตริย์ซาดินภายในห้องเขตพระราชฐานชั้นใน ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นเวลาที่กษัตริย์ซาดินทรงทำกิจการอื่น ๆ นอกเหนือจากการออกว่าราชการ

    "ซาดินราชินีเนริมอร์ทรงเอ่ยเรียกผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความร้อนรนกังวลใจ 

                       กษัตริย์ซาดินซึ่งขณะนั้นกำลังง่วนอยู่กับการดูแผนที่ภูมิประเทศทางการทหารอยู่จึงมิได้ใส่พระทัยใด ๆ มากนัก เพียงแต่เหลือบเนตรสีเข้มขึ้นทอดพระเนตรเล็กน้อย เมื่อทรงเห็นว่าเป็นมเหสีของพระองค์จึงได้ทรงยืดตัวขึ้น และยิ้มให้

    "เนริมอร์ เจ้ามาได้จังหวะดีจริงเชียว ข้ากำลังจะให้ทหารไปตามเจ้าอยู่พอดี


    "ซาดิน การศึกครั้งนี้ข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยวพระนางเนริมอร์ทรง รีบตรัสอย่างร้อนตัว

    กษัตริย์ซาดินทรงขมวดคิ้วลงทันที ทั้งแปลกพระทัยระคนสงสัยในตัวผู้เป็นมเหสีนัก ทำไมรึ? ก่อนนี้เจ้าก็ยินดีที่จะร่วมทัพจับศึกเคียงบ่าเคียงไหล่ข้าด้วยทุกครั้งคราไมใช่หรือ?”


    "แต่เวลานี้เรามีลูกแล้วนะ อิสฮาน ยังเล็กนักท่านจะให้ข้าทิ้งลูกไปได้อย่างไร? ใครจะดูแลเขาเล่า?”

    "ก็แม่นมกับพวกนางกำนัลไงเล่า เจ้าคิดว่าเรามีข้าทาสบริวารไว้ทำไมรึ?” กษัตริย์ซาดินตรัสอย่างไม่ร้อนพระทัยนัก

    "ซาดิน ท่านก็เป็นเสียอย่างนี้ ท่านไม่เคยสนใจไยดีลูกของเราเลย เมื่อคราวที่อิสฮานล้มป่วย ข้าให้คนมาตามท่านครั้งแล้วครั้งเล่าท่านก็ไม่มาดูดำดูดีราชินีเนริมอร์ทรงตัดพ้อ

    กษัตริย์ซาดินทรงเอียงเศียรเล็กน้อยราวกับพยายามรำลึกเหตุการณ์อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตรัสขึ้น ในตอนนั้นถึงข้าจะอยู่หรือไม่มันก็ไม่ทำให้ อิสฮาน หายป่วยได้เพราะข้าไม่ใช่หมอ

    ราชินีเนริมอร์ทรงชะงักนิ่งอึ้งกับวาจาที่เย็นชาของสวามี กษัตริย์ซาดินทรงหันมาทอดพระเนตรดวงพักตร์ของผู้เป็นมเหสี พลางขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเห็นปฏิกิริยาของพระนาง


    "ข้าก็ตามหมอหลวงให้แล้วอย่างไรเล่า และอีกอย่างการดูแลลูกก็เป็นหน้าที่ของผู้เป็นแม่มิใช่หรือ?” 

    "ท่านรักลูกของเราบ้างไหม?” ราชินีเนริมอร์ตรัสด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาระคนวิงวอนประหนึ่งว่าจะเป็นตัวแทนของบุตรชายร้องขอความรักจากผู้เป็นบิดาก็ไมปาน

    "เหลวไหล ความรักเป็นเรื่องโง่เขลา เป็นความรู้สึกของพวกคนอ่อนแอ มันไม่มีประโยชน์อะไรต่ออนาคตของลูกเรากษัตริย์ซาดินทรงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เครียดขึ้น และเริ่มจะไม่ชอบพระทัยการโต้ตอบกับมเหสีในเรื่องนี้มากขึ้นทุกที

    คิ้วของพระนางเนริมอร์ขมวดเข้าหากันดวงเนตรเบิกกว้าง พระนางทรงจ้องมองลึกลงไปยังดวงเนตรของสวามีเหมือนจะเค้นหาความจริง


    "นี่ท่านพูดอะไรออกมาในพระทัยของพระนางเจ็บปวดนัก ริมฝีปากเริ่มสั่น พระนางตรัสพลางจ้องมองกษัตริย์ซาดินเขม็ง

    "ท่านไม่คิดจะทำหน้าที่ของผู้เป็นพ่อเลยหรือ?”

    "ข้ากำลังทำอยู่ เจ้าคิดว่าข้าทำศึกครั้งนี้เพื่อใครกัน?” กษัตริย์ซาดินพยายามตรัสด้วยระดับน้ำเสียงปกติอย่างอดทน หากแต่แฝงการตำหนิในน้ำเสียงนั้น ดวงเนตรดุดันขึ้น อนาคตของอิสฮานจะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง มรดกที่ข้าจะให้กับเขาคือทวีปเมอร์ริเซียอย่างไรเล่า

    กษัตริย์ซาดินทรงทอดพระเนตรราชินีเนริมอร์ครู่หนึ่งก่อนจะทรงทรุดกายลงประทับบนเก้าอี้แล้วถอนใจเฮือกใหญ่ พอเถิด ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้าในเรื่องนี้อีก ข้าขอสั่งให้เจ้าเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้

    พระนางเนริมอร์ทรงกัดริมฝีปากแน่นเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ดวงเนตรสีอำพันวาวโรจน์ก่อนจะทรงตะโกนเสียงดังลั่นอย่างเดือดดาล 

    "ไม่!! ข้าจะอยู่ที่นี่ ข้าจะอยู่กับลูกของข้า 

    กษัตริย์ซาดินทรงถึงกับนิ่งอึ้งที่พระนางเนริมอร์กล้าขึ้นเสียงใส่พระองค์ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเรื่องใดหรือแม้กระทั่งที่พระองค์มีฮาเร็มใหญ่โตมีสาวงามรายล้อมมากมายพระนางก็มิเคยมีปากมีเสียง แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พระนางกล้าตวาดใส่พระองค์เช่นนี้ ข้างฝ่ายราชินีเนริมอร์นั้นก็โกรธเกรี้ยวจนตัวสั่น ดวงเนตรสีอำพันดุดันและเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา พระนางทรงจ้องมองผู้เป็นสามีอย่างโกรธเกรี้ยว กษัตริย์ซาดินทรงขบกรามแน่นจ้องมเหสีภรรยาด้วยสีพระพักตร์แข็งกระด้างแล้วจึงตรัสด้วยเสียงราวกับคำรามว่า ข้าสั่งเจ้า!! ในฐานะกษัตริย์แห่งซาโลม

     

     

    ณ ห้องบรรทมของ พระโอรสซาร์ อิสฮาน 

    พระนางเนริมอร์ทรงอุ้มเจ้าชายตัวน้อยไว้แนบอก พระนางประทับบนเบาะทรงกลมสีแดงใบใหญ่ สีพระพักตร์ของพระนางนิ่งเฉยสายพระเนตรจับจ้องออกไปนอกหน้าต่างแต่แววเนตรกลับว่างเปล่า ทั้งแม่นมและนางกำนัลต่างก็มองหน้ากันไปมาด้วยความอึดอัดและประหลาดใจ ด้วยว่าหลังจากที่พระนางเสด็จกลับมาจากการเข้าเฝ้ากษัตริย์ซาดินเมื่อเย็นวาน พระนางก็ทรงตรงเข้าอุ้มพระโอรสน้อยที่กำลังบรรทมหลับอย่างเป็นสุขในเปลทันทีแล้วเสด็จไปประทับนิ่งบนเบาะกลมนั้นโดยไม่ตรัสใด ๆ อีกเลยจนกระทั่งล่วงเข้าเช้าวันใหม่แล้ว จนเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มฉายแสงเข้ามาตามช่องหน้าต่าง 


    "มีราชโองการมาเพคะนางกำนัลต้นห้องก็เปิดประตูเข้ามาโค้งคำนับทูล

    แล้วจึงหลีกทางให้ทหารผู้ถือราชโองการสามนายเดินเข้ามา ทหารทั้งสามโค้งคำนับแล้วจึงคุกเข่าโดยทหารที่ถือราชโองการยังคงยืนอยู่ ทั้งสามต่างรีรออยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าองค์ราชินียังคงนิ่งเฉยไม่สนใจใด ๆ จึงได้แต่มองหน้ากันด้วยไม่รู้ว่าจะอ่านราชโองการดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอ่านราชโองการในที่สุด


    "กษัตริย์ซาดินแห่งจักรวรรดิซาโลม มีราชโองการถึงพระราชินีเนริมอร์ว่าดังนี้ เนื่องด้วยจักรวรรดิซาโลมจะได้ประกอบการศึกสงครามอันทรงเกียรติโดยการรวบรวมแผ่นดินทั้งหลายในทวีปเมอร์ริเซียเข้าไว้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน ด้วยภารกิจอันสำคัญยิ่งนี้ องค์กษัตริย์จึงมีรับสั่งให้ พระนางเนริมอร์เข้าร่วมในกองทัพอันเกรียง....

    ทันใดนั้นร่างของทหารผู้อ่านราชโองการก็ลอยละลิ่วไปกระแทกผนังหินอ่อนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทันที เลือดสีแดงสาดกระจายเป็นทางยาว เหล่าทหารและนางกำนัลทุกคนต่างตกตะลึงตัวสั่นหน้าซีดเผือดจ้องไปยังราชินีซึ่งบัดนี้อุ้มโอรสน้อยด้วยพระกรขวาส่วนพระหัตถ์ซ้ายนั้นทรงถือคทาคู่กาย แววเนตรคมกล้าของพระนางวาวโรจน์ดุดัน อุณหภูมิภายในห้องเริ่มร้อนระอุขึ้น ฉับพลันพระนางทรงปราดเข้าหานายทหารเคราะห์ร้ายผู้กำลังตัวสั่นงันงกก้มคำนับจนเลือดที่ศีรษะเปื้อนพื้นเป็นวงแดงฉาน


    "โปรดเมตตา! โปรดไว้ชีวิตข้าน้อย ได้โปรด! พระนาง ได้.........

    ผัวะ!

    ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของทหารผู้เชิญราชโองการพุ่งชนโต๊ะไม้สลักจนหักสะบั้น ใบหน้าที่ซีดเผือดบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดตัดกับเลือดสีแดงที่ไหลเป็นทางอาบหน้า แขนทั้งสองข้างของเขาหักงอจนผิดรูป เขาตะเกียดตะกายลุกขึ้นมาจากพื้นก่อนจะสำลักเลือดออกมากองใหญ่ ปากสั่นระริกพูดร้องขอชีวิตด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่นฟังแทบไม่เป็นภาษา แววตาที่เบิกโพลงด้วยความกลัวสุดขีดมองมายังมหารานีซึ่งบัดนี้เป็นเหมือนเพชฌฆาตผู้อำมหิต


    "ข้าจะเผาลิ้นโสโครกของเจ้าซะเสียงรอดออกมาจากไรฟันที่ขบกันแน่น พระนางเนริมอร์ทรงชูคทาประดับพลอยสีแดงขึ้น ทันใดนั้นไฟเวทย์ก็ลุกโชนจากคทานั้นและขยายตัวเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ฉับพลันทั้งห้องก็ถูกปลุกให้ตื่นจากบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว ด้วยเสียงร้องไห้ดังลั่นของพระโอรสน้อยซึ่งไม่มีใครทันได้สังเกตว่าทรงตื่นขึ้นเมื่อใด หากแต่เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกคนที่ทั้งหวาดกลัวและตกตะลึงได้สติขึ้น ต่างก็รีบร้องขอชีวิตนายทหารเคราะห์ร้ายจนเสียงดังลั่นห้อง พระนางผู้กริ้วโกรธบัดนี้ค่อยๆ ลดหัตถ์ลงด้วยน้ำตาคลอเบ้าตะทรงโกนสั่งจนสุดเสียง


    "ออกไป๊! ออกไป! ไสหัวออกไปให้หมด!

    เหล่านางกำนัล และแม่นม ต่างตื่นตระหนก กึ่งวิ่งกึ่งคลานออกจากห้อง ในขณะที่นายทหารทั้งสองก็รีบพยุงร่างไร้สติของเพื่อนที่เพิ่งรอดพ้นความตายอย่างหวุดหวิดออกจากห้องทันทีเช่นกัน


    "ออกไป! ออกไปให้พ้น!!!พระนางตะโกนราวกับคนเสียสติ

    ทันทีที่เหลือเพียงพระนางในชุดแดงผู้โอบกอดทารกน้อยที่กำลังร้องไห้จ้าไว้ในอ้อมพระกรเพียงลำพัง นางพญาผู้น่าสะพรึงกลัวเมื่อสักครู่ก็ทรุดกายลง กอดทารกน้อยไว้แนบอก และร่ำไห้อย่างขมขื่น

     

      

    ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่เพลาเมื่อนาริส สุไลมานก้าวเข้ามาในห้องบรรทมของพระโอรส มหาอำมาตย์ผู้ยิ่งใหญ่มองสภาพห้องที่พังพินาศ ทั้งยังมีกลิ่นคาว และคราบเลือดเปื้อนเปรอะกระจายอยู่ทั่วห้องด้วยสายตาตกตะลึง และคาดไม่ถึงว่าพระนางจะกล้าต่อต้านราชโองการของกษัตริย์ซาดินถึงเพียงนี้ ที่ใจกลางห้องนั้นเองราชินีเนริมอร์ยังทรงอุ้มซาร์ อิสฮานแนบอกไว้เช่นเดิม พระนางประทับนิ่งอยู่บนเบาะทรงกลมดวงเนตรทั้งสองบวมช้ำเพราะการร้องไห้อย่างหนัก แววตาดูว่างเปล่าเหม่อลอยจนพระนางมิได้ทรงสังเกตว่านาริสได้เดินเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ พระนางแล้ว มหาอำมาตย์เฒ่าถอนหายใจยาวก่อนจะย่อเข่าลงถวายบังคม กล่าวทูล

    "พระนางเนริมอร์นาริสเอ่ยด้วยเสียงอันอ่อนโยน

    ราชินีเนริมอร์ค่อย ๆ หันมาช้า ๆ เมื่อทรงเห็นว่าเป็นนาริสก็รีบลุกขึ้นยืน น้ำเนตรก็เอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง พระนางพยายามบังคับริมฝีปากที่สั่นเทาให้สงบ ตรัสด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า


    "ท่านนาริส ข้าจะทำอย่างไร? ข้าจะทำอย่างไรดี?”

    "สงบพระทัยลงก่อนเถิด กระหม่อมเข้าใจในความรู้สึกของพระนางดีนาริสทูลปลอมประโลม แต่ขอให้พระนางคลายความตระหนกและฟังสิ่งที่กระหม่อมจะกราบทูลก่อน การสงครามครั้งนี้มิใช่จะเริ่มขึ้นภายในอีกชั่วเวลาเดือนสองเดือนนี้เสียเมื่อไหร่ กว่าจะเตรียมไพล่พล ฝึกทหาร ตระเตรียมวางแผนก็อย่างน้อยสองถึงสามปีแล้ว ทั้งสะสมเสบียงอาหาร ซึ่งก็คงจะไม่ต่ำกว่าสามปี

    "อะไรกัน ข้าจะมีเวลาอยู่กับลูกอีกแค่สามปีเท่านั้นหรือ? ไม่! ข้าจะทิ้งลูกที่ยังเล็กอยู่ได้อย่างไรกัน? ท่านต้องช่วยข้านะราชินีเนริมอร์ตรัสอย่างรนราน ดวงเนตรฉายแววเจ็บปวดและหวาดกลัว

    "กระหม่อมคงไม่อาจจะเปลี่ยนพระทัยองค์ซาดินได้ แต่กระหม่อมอาจสามารถถ่วงเวลาเพื่อให้พระองค์อยู่กับพระโอรสนานขึ้นได้นาริสทูลเสียงเครียด ในดวงเนตรของราชินีเนริมอร์ สะท้อนแววแห่งความหวังขึ้น 

    "แต่กระหม่อมไม่อาจรับปากว่าจะถ่วงเวลาได้นานแค่ไหน เพราะหากองค์ซาดินยังมีเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นอยู่เคียงข้างคอยยุยงอยู่เช่นนี้นาริสทูล ส่ายหน้าช้า ๆ ด้วยสีหน้าหนักใจเมื่อนึกถึงอุปราชเฒ่า วันเวลาที่ผ่านพ้นไปและวัยที่ร่วงโรยไม่ได้สอนให้เขารู้จักคำว่า "พอ" เลย

    "ไอ้ปีศาจเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น มันนั่นแหละเป็นต้นเหตุแห่งเรื่องทั้งหมด ข้าอยากจะลากลิ้นสอพลอของมันออกมาสับให้เป็นหมื่นชิ้น เลาะกระดูกออกมาจากหนังเหี่ยว ๆ ของมัน และ.....

    นาริส ยกมือปรามราชินีเนริมอร์ไว้ก่อนจะเอ่ยทูลว่า พระนางอย่าตรัสให้เสียพระทัยอีกเลย กระหม่อมจะพยายามยืดเวลาออกไปให้มากที่สุด


    "ท่านจะทำด้วยวิธีใดเล่า?” ราชินีเนริมอร์ ตรัสถามแววเนตรยังคงเออล้นด้วยน้ำหยาดใส

    "โปรดวางพระทัย พระองค์เชื่อใจกระหม่อมได้เสมอ

    นาริส ชำเลืองมองโอรสน้อยที่กำลังมองตาแป๋วจ้องมาที่เขาพลางยกกำปั้นน้อย ๆ ใส่ปากอย่างไร้เดียงสา นาริสยิ้มให้อย่างอ่อนโยนด้วยความรักใคร่ก่อนจะโค้งคำนับราชินีเนริมอร์แล้วเดินจากไป

     

     

    เป็นเวลาโพล้เพล้แล้วเมื่อกษัตริย์ซาดินทรงกลับจากการออกว่าราชการและกำลังอยู่ในห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนฉลองพระองค์ เหล่านางกำนัลต่างก็ช่วยกันเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เจ้าเหนือหัว กษัตริย์แห่งซาโลมในชุดเสื้อขาวแขนยาวเนื้อดีที่ปล่อยชายยาวเกือบจรดพื้น มีผ้าแพรสีดำนิลขลิบทองเป็นลวดลายสวยงามคาดเอวอยู่ ที่พระเศียรมีผ้าโพกสีดำประดับด้วยอัญมณีสีแดงสดอยู่ตรงกลางแลดูสง่าน่าเกรงขาม

    ขณะที่กษัตริย์ซาดินกำลังสวมเสื้อคลุมสีดำดิ้นทองอยู่ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ทหารองครักษ์เข้ามาทูลว่านาริส สุไลมานกำลังรออยู่ที่ห้องรับรองชั้นในเพื่อขอเข้าเฝ้า กษัตริย์หนุ่มออกจะแปลกพระทัยอยู่ไม่น้อยที่นาริสขอเข้าเฝ้าในยามนี้ หากแต่ก็ทรงออกไปพบแต่โดยดี

    ภายในห้องรับรองชั้นใน มหาอำมาตย์ใหญ่กำลังยืนมองแผนที่ของจักรวรรดิซาโลมที่ขยายอาณาเขตแผ่กว้างจนแทบจะเต็มเขตแดนตอนเหนือทั้งหมด มันถูกแขวนไว้บนผนังด้านหนึ่งสิบกว่าปีที่ผ่านมา แผนที่นี้เปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหลือเค้าเดิมเลย มหาอำมาตย์ได้แต่รำพึงอยู่ในใจ ทันใดเสียงทหารยามก็ประกาศการมาถึงของกษัตริย์ซาดิน นาริสโค้งตัวลงคำนับระหว่างที่กษัตริย์ซาดินเสด็จเข้ามาในห้อง 


    "ตามสบาย ท่านนาริสกษัตริย์ซาดิน ตรัสด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ พลางประทับลงบนเก้าอี้ทองคำ

    "ขอบพระทัยฝ่าบาท

    เมื่อนาริส สุไลมานเงยหน้าขึ้นและเห็นเครื่องแต่งกายของกษัตริย์ซาดิน ซึ่งบ่งบอกว่ากษัตริย์หนุ่มกำลังจะไปหาความสำราญในฮาเร็มนั้นเอง นาริสจึงโค้งอีกครั้งกล่าวทูล ขอประทานอภัยฝ่าบาท ที่มาเข้าเฝ้าในเวลาที่พระองค์จะไปผ่อนคลายอิริยาบถเช่นนี้


    "ไม่เป็นไร ท่านนาริส" กษัตริย์หนุ่มทรงโบกพระหัตถ์อย่างไม่จริงจัง "วันนี้ข้าไปที่นั่นเร็วกว่าเวลาปกติสักหน่อย ว่าแต่ท่านมีกิจด่วนสำคัญใดจึงมาพบข้ากะทันหันเช่นนี้หรือ?"

    "กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูล หากแต่มิใคร่สะดวกที่จะกราบทูลในท้องพระโรง จึงต้องมาขอเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์

    "เรื่องอะไรรึ?” กษัตริย์ซาดินตรัสถามด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งขึ้น

    "เกี่ยวกับ พระนางเนริมอร์ ฝ่าบาท……พระองค์คงทรงทราบปฏิกิริยาของพระนางแล้ว

    "ใช่ ข้ารู้แล้วกษัตริย์ซาดินตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    มหาอำมาตย์หยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสร้งสงสัย ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่พระนางอภิเษกสมรสกับพระองค์ด้วยวัยเพียงสิบชันษา พระนางก็มิเคยขัดคำสั่งพระองค์แม้เพียงสักครั้งมิใช่หรือ? หน้าที่การงานต่าง ๆ พระนางก็มิเคยบกพร่อง ครั้งนี้คงถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดา……” 

    กษัตริย์ซาดินทรงยิ้มเล็กน้อย ทอดพระเนตรมายังมหาอำมาตย์ผู้เป็นเสมือนญาติสนิทคนเดียวที่เหลืออยู่ ตรัสตอบเหมือนรู้ความนัยที่แฝงในคำพูดนั้น


    "ท่านมีอะไรก็พูดมาเถอะ ท่านนาริส ข้าเห็นท่านมาตั้งแต่จำความได้ น้ำเสียงกับสีหน้าแบบนั้นมันแปลว่าท่านเริ่มจะวาดลีลาวาทศิลป์ให้ข้าเวียนหัวอีกแล้วนะ…..หึหึ

    นาริส สุไลมานยิ้ม ก็เหมือนกับที่กระหม่อมทราบว่าที่จริงพระองค์ก็ทรงกังวลเรื่องของพระนางอยู่ไม่น้อย แต่กลับทรงเงียบเฉยเสีย

    กษัตริย์ซาดินทรงหรี่เนตร และพยักพระพักตร์เล็กน้อย ท่านรีบเข้าเรื่องของท่านเถอะ นาริส


    "ฝ่าบาทเองก็ทรงทราบดีว่ากระหม่อมจะทูลอะไร พระนางเนริมอร์มีสิ่งสำคัญในชีวิตของพระนางอยู่ และเป็นสิ่งเดียวที่พระนางจะยอมไม่ได้ที่จะเสียมันไปแม้สักวินาที กระหม่อมยังจำได้ดี ในงานถวายราชบรรณาการของแคว้น มาชฮา ทางตะวันตกที่ได้ขึ้นชื่อเรื่องเพชรนิลจินดาและแพรพรรณอันงดงาม แม้แต่เหล่านางสนมกำนัลเพียงได้เห็นก็นัยน์ตาลุกวาวตื่นเต้นตามประสาอิสตรี แต่พระนางเนริมอร์กลับทรงหันพระพักตร์ไปทางห้องบรรทมของพระโอรสตลอดเวลา และยังเสด็จออกจากงานไปหาพระโอรสถึงสามครั้ง ซ้ำยังเสด็จออกจากงานไปก่อนที่งานจะจบลง ในชีวิตของกระหม่อม กระหม่อมพบเห็นความรักของแม่และลูกมามาก แต่สำหรับพระนางเนริมอร์นั้นใครที่เห็นก็คงอดตื้นตันไม่ได้

    "ความอ่อนไหวเกินกว่าเหตุของอิสตรีกษัตริย์ซาดิน ตรัสพลางทอดสายพระเนตรออกไปไกลนอกหน้าต่าง ท่านจะให้ข้ายึดเอาเรื่องไร้สาระนี้เป็นสิ่งร่วมในการตัดสินใจการศึกอย่างงั้นหรือ?”

    "ฝ่าบาท…..”

    กษัตริย์ซาดิน ทรงสูดหายใจเข้าลึกไม่ยอมหันมาสบเนตรพลางยกพระหัตถ์ห้าม พอเถอะ ท่านนาริส ไว้คุยเรื่องนี้ทีหลังแล้วกัน ท่านกำลังจะทำให้ข้าหมดอารมณ์กับความสำราญในฮาเร็ม

    กษัตริย์หนุ่มก้าวจะเสด็จออกไปจากห้อง อำมาตย์ชราสีหน้าวิตกร้องห้าม ฝ่าบาท ได้โปรดเถิด ความสุขในฮาเร็มจะสำคัญอย่างไร? แต่เรื่องนี้นั้น………”

    กษัตริย์ซาดินทรงหมุนตัวกลับ จ้องเขม็งไปยังนาริส ท่านเห็นว่าข้ากำลังทำสิ่งไม่เหมาะสมในเวลาเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”

    "พระอาญามิพ้นเกล้า ข้าน้อยมิบังอาจ……”

    "ท่านนาริส ชีวิตของข้าเองก็เหมือนไฟ วันนี้สว่างไสว แต่ไม่รู้วันใดจะดับมอด..... หากข้าจะหาความสุขให้มากที่สุดตราบที่มีชีวิต มันก็เป็นเรื่องสมควรแล้วมิใช่หรือ?” 

    เมื่อกษัตริย์ซาดินตรัสจบก็ทรงยิ้มให้นาริสก่อนที่จะเสด็จจากไป อำมาตย์เฒ่าได้แต่มองตามหลังกษัตริย์เพลิงไปพลางถามตัวเองอยู่ในใจว่า ข้าเห็นความเศร้าแฝงอยู่ในรอยยิ้มนั้นรึ? หรือเป็นเพียงแค่อาการตาฝ้าฟางจากความชรากันนะ?’
                                                                                                                                                                    #SMN

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×