คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Cause of flame
ความแตกต่างทางภูมิประเทศนี่เป็นเครื่องบ่งบอกถึงความแตกต่างแห่งวิถีการดำเนินชีวิตโดยขีดเส้นแดนกั้นกลางไว้ด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดถือตามเผ่าพันธุ์และได้ถูกก่อตั้งเป็นดินแดนน้อยใหญ่โดยมีอุดมการณ์ของแต่ละเผ่าชนเป็นอธิปไตยชี้นำทางให้ผู้คนในเผ่าได้ยึดถือและสืบทอดต่อกันมา ดินแดนแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก จนเป็นที่กล่าวขวัญถึงความกว้างใหญ่สุดประมาณ และได้ขนานนามทวีปแห่งนี้ว่า เมอริเซีย (Merrisia) อันแปลว่าผืนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์
เมื่อ เมอริเซีย เปรียบดั่งผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ บนฟากฟ้านั้นย่อมมีหมู่ดาวน้อยใหญ่ประดับประดาอยู่ ซึ่งดาวเหล่านั้น ก็เปรียบเสมือนดั่งเมืองน้อยใหญ่ที่รวมตัวกันจนกลายเป็นนครใหญ่ หรือเป็นเพียงเผ่าเล็กเผ่าน้อยกระจายไปทั่วแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ เมอริเซียนี้เหมือนดั่งว่ามีชีวิตจิตใจ และความรู้สึกนึกคิด นี่เป็นเพราะดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์นี้มีสิ่งหนึ่งซึ่งเคลื่อนย้ายถ่ายเทพลังแห่งชีวิตหล่อเลี้ยงเมอริเซียอยู่ นั่นคือเหล่าธาตุแห่งธรรมชาติทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง ที่ทำให้จิตวิญญาณแห่งเมอริเซียนี้ร้อนแรงประหนึ่งไฟ พริ้วไหวได้ดั่งลม นิ่งสงบดุจน้ำ และมั่นคงเสมอดิน ด้วยเหตุนี้เมอริเซียจึงเป็นสถานที่ที่รวมทุกสรรพชีวิตไว้ด้วยกันทั้ง ทวยเทพ มนุษย์ สิงห์สาราสัตว์ อสูรกาย แมลง หรือแม้แต่เครื่องจักรกล ทุกสรรพสิ่งนี้ต่างก็มีกาย และวิญญาณ แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างกันนั้นคือ มนุษย์ซึ่งมีความแตกต่างทางจิตใจ และอุดมการณ์โดยมีแสงสว่างและความมืดเป็นเครื่องชี้นำจิตใจ
ความรัก ความเมตตา คือแสงสว่างแห่งชีวิตที่สร้างสรรพสิ่งขึ้น แต่ กิเลส ราคะ ตัณหา และ ความโลภ เป็นสาเหตุให้ความต้องการของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด จนความมืดเข้ามาครอบงำจิตใจ กลายมาเป็นชนวนของสงครามล้างเผ่าพันธุ์ ที่ต้องจารึกไว้เป็นอุทาหรณ์แก่ผู้คนว่า สงครามนั้นคือการทำลายล้างที่สร้างไว้แต่ความสูญเสียที่มิอาจเรียกกลับคืนได้ และเป็นมหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่แฝงไว้ด้วยความอำมหิตที่แม้แต่เหล่าทวยเทพยังต้องสะพรึงกลัว
สงครามย่อมเกิดจากสองฝ่าย ทั้งผู้รุกราน และผู้ถูกรุกราน ซึ่งฝ่ายหลังนี้ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อปกปักษ์รักษาเอกราชอันทรงเกียรติแห่งมาตุภูมิของตนเองไว้แม้ต้องสิ้นชีพไป เกียรติยศแห่งชาตินักสู้และศักดิ์ศรีแห่งมาตุภูมิคือสิ่งที่มิใช่การถ่ายทอดทางตำรา ทว่าคือสิ่งที่อยู่ในสายเลือดของผองชนในทุกเผ่าพันธุ์อันสืบสานมาจากเลือดนักสู้ของวีรชนคนกล้าที่แม้แต่ฟ้ายังต้องหลั่งน้ำตาให้เมื่อเขาได้ตายจากไปด้วยพิษแห่งสงคราม
สิ่งที่ใช้เพื่อเขียนลงบันทึกเหตุการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์นี้มิใช่เป็นลายเส้นที่แต่งเขียนด้วยปลายพู่กัน หรือรอยหมึก หากแต่เป็นรอยเลือดของผองชนซึ่งถูกละเลงลงบนหน้าประวัติศาสตร์ที่หลอกหลอนอยู่ในความทรงจำอันมิอาจจะลืมเลือนได้ ทว่าสิ่งที่เลือนไปนั้นคือ..สันติภาพ ที่เรียกหาได้แต่เพียงในจินตนาการ…
.......................................................
ณ ตอนเหนือแห่งทวีปเมอริเซียอันเป็นสถานที่ตั้งของจักรวรรดิซาโลม (Zalom)ซึ่งได้รวมเอาแคว้นใหญ่น้อยที่ตั้งอยู่ในเขตตอนเหนือนั้นเข้าไว้ด้วยกันจนทำให้มีเนื้อที่กว้างใหญ่ถึงหนึ่งในสี่ของทวีปเมอริเซีย (Merrisia) แต่ทว่าความกว้างใหญ่ไพศาลนั้นกลับไม่สามารถก่อประโยชน์ใดๆได้เลยเนื่องจากสภาพภูมิประเทศแห่งนี้ช่างแห้งแล้งกันดารมีแต่ทะเลทรายที่กินอาณาบริเวณกว้างไกลสุดสายตา ไร้ซึ่งความร่มรื่นของป่าไม้ และความชื่นฉ่ำของกระแสน้ำ ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่อาศัยอยู่ ณ ที่นี้ต้องดำเนินชีวิตด้วยความยากแค้นแสนเข็ญ ความลำบากที่ได้รับถูกแปรเปลี่ยนเป็นความอดทนเพื่อความอยู่รอด อดทนเพื่อรอสักวันจะได้ผันไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า
ลมเหนือพัดกระหน่ำไปตามเนินทรายสูงๆต่ำๆได้หอบเอาเม็ดทรายเป็นตันๆลอยหมุนคว้างขึ้นไปในอากาศ สายลมอันร้อนผ่าวที่ดังวีดหวิวอย่างหน้าสะพรึงกลัวเสียดสีกับเม็ดทรายซึ่งพัดหมุนตัดกับเส้นขอบฟ้าที่ไร้ซึ่งต้นไม้แม้เพียงสักต้นมาขวางกั้น มื่อลมเริ่มสงบลงเม็ดทรายที่มันได้หอบหิ้วมาก็ค่อยๆปลิวตกลงสู่ผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ จนเกิดเป็นเนินทรายใหม่ๆขึ้นมา และเมื่อกระแสลมสงบลงมิได้เคลื่อนไหวใดๆอีกต่อไปแล้วสิ่งที่ปรากฏขึ้นแก่สายตา ณ ที่นั้นคือเมืองที่ยิ่งใหญ่แลดูน่าเกรงขามยิ่ง รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวกำแพงเมืองสีขาวซีดที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นทรายและรอยเผาไหม้จากแสงแดด รวมกับความร้อนระอุของผืนทะเลทรายทำให้รู้สึกประหวั่นกลัวยิ่งนักเมื่อได้เข้าไปใกล้ แสงอาทิตย์ยามเที่ยงสาดส่องลงมาเหนือสถานที่แห่งนี้และกระทบกับยอดหลังคาปราสาทรูปโดมทรงกลมสีแดง มีธงแดงผืนใหญ่ปักไว้เหนือยอดทรงกลมซึ่งบัดนี้กำลังโบกไสวไปตามกระแสลมเหนือแลดูเหมือนดั่งเปลวไฟที่กำลังโหมกล้า เสียงโบกสะบัดของธงชวนให้รู้สึกสะพรึงกลัวยิ่ง ดั่งสร้างไว้เพื่อกักขังความเหี้ยมโหดที่อยู่ภายในทางเข้าประตูใหญ่สลักลวดลายของสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาดูน่ากลัวยิ่งนัก
เมื่อผ่านเข้าประตูบานใหญ่ไปก็จะพบกับตลาดใหญ่กลางเมืองผู้คนจำนวนมากเดินไปมากันขวักไขว่ดูสับสนวุ่นวายเสียงตะโกนเร่ขายสินค้า เสียงพูดคุย เสียงต่อรองราคาดังเซ็งแซ่ไปทั่ว
ผู้ชายในเมืองนี้รูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสัน หน้าตาของเขาเหล่านี้ดูถตัวเองทึงดุดัน นัยน์ตาส่องประกายเป็นสีเหลืองบุษราคัมเมื่อแสงแดดสะท้อนดูราวกับตาของเสือร้าย ผิวเนื้อมีสีเข้ม ผมเผ้าดูรุงรัง บ้างก็ไว้หนวดเคราดกหนา สวมเสื้อคลุมยาวเพื่อป้องกันแสงแดดที่แผดเผาและป้องกันฝุ่นทรายที่ผัดมากับสายลม ฝ่ายสตรีนั้นดวงตาโตคมประกาย ผิวเนื้อออกสีน้ำตาลไม่เข้มนัก สวมผ้าคลุมเนื้อหนายาวมิดชิด และมีผ้าคลุมหน้าเปิดช่องแค่ที่ตาไว้เพื่อป้องกันแสงแดดที่โหดร้ายมิให้เผาไหม้ผิวเนื้อ แต่ภายในนั้นกลับสวมเสื้อผ้าเนื้อบางเบาสีต่างๆ นี่คือรูปลักษณ์ของผู้คนในจักรวรรดิซาโลม การดำเนินชีวิตด้วยอาศัยแรงกายเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิต การค้าขายแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่สร้างความคึกคักให้แก่จักรวรรดิซาโลม ผ้าไหม เพชรจินดา และสัตว์เลี้ยงคือสินค้าหลักของผู้คนที่นี่
ต่อจากตลาดใหญ่กลางเมืองนั้น เป็นทางเข้าสู่เขตที่พำนักของเหล่าผู้มีอำนาจปกครอง และผู้มียศศักดิ์ ภายในที่แห่งนั้นประดับประดาด้วยเพชรมณีสีสด ทางเดินปูด้วยพรมสีแดงฉาดซึ่งตัดกับสีพื้น และเสาซึ่งเป็นสีขาวนวล บรรยากาศต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง ที่นี่มีแต่ความเงียบที่ดูอึมครึมเท่านั้น ระหว่างทางเดินใหญ่นั้นเป็นทางแยกย่อยทั้งซ้ายขวาซึ่งแยกไปยังส่วนต่างๆอีกมากมาย
สุดปลายทางเดินใหญ่นั้น เป็นเขตพระราชฐานมีห้องโถงขนาดใหญ่ที่ประตูเข้าทำด้วยทองคำประดับด้วยอัญมณีเป็นลวดลายทั่วทั้งบาน ณ ห้องโถงนั้นมีเสาใหญ่สิบหกต้นค้ำตัวห้องอยู่ ทางเดินปูด้วยไหมพรมสีแดงสดชั้นดี และในห้องนั้นกว้างขวางยิ่ง ณ ที่นั้น มีเสียงสนทนากันระหว่างบุรุษสองคนที่แยกได้จากโสตสัมผัสว่าเป็นเสียงของผู้นำกำลังเจรจากันอยู่ในใจกลางห้องโถงที่มากด้วยสิ่งประดับล้ำค่ามากมายเหลือคณานับ
“การรวบรวมแคว้นต่างๆที่เหลือในผืนทะเลทรายที่ข้ามอบหมายให้เจ้าไปจัดการบัดนี้รุดหน้าไปถึงไหนแล้ว”
น้ำเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงนั้นดังกึกก้องห้องโถง เพียงแค่เปล่งเสียงออกมาธรรมดาๆ กลับดังกังวานเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ
“ข้าแต่พระองค์ แม้พระองค์จะมิได้ทรงนำทัพเองเหมือนแต่ก่อน แต่ด้วยพระบารมีของพระองค์ และความเก่งกล้าสามารถของเหล่าทหารหาญแห่งจักรวรรดิซาโลมบัดนี้เราสามารถรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆได้สำเร็จแล้วพระเจ้าค่ะ” เสียงของชายคนที่สองดังขึ้น แม้ฟังดูมีอำนาจ ทว่าเป็นรองน้ำเสียงของชายคนแรก
“ฮ่า ฮ่า ดี!! ดีมาก” บุรุษผู้ทรงอำนาจกระหยิ่มใจ “ในที่สุดข้าก็ได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่บนผืนทะเลทรายแห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีใครจะมายิ่งใหญ่เกินข้าอีกแล้วเจ้าว่าจริงหรือไม่”
ผู้ถูกถามยิ้มรับ และตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ข้าเชื่อว่า สักวันท่านจะได้เป็นใหญ่ในผืนทะเลทรายแห่งนี้ทุกแว่นแคว้นแดนทะเลทรายจะยอมสิโรราบแก่ท่านโดยดุษฎี และต้องก้มหัวให้ท่านแต่ผู้เดียวจักรวรรดิซาโลมจะกลายเป็นชื่อที่ฝังอยู่ในความทรงจำของผู้คนตลอดไป”
“เจ้าพูดได้ดีดุจเคยนะ บลาส เซจ สมแล้วที่เป็นอุปราชแห่งซาโลมมิเสียแรงที่ข้าชุบเลี้ยงเจ้าไว้ข้างกายข้า”
บลาส เซจ เพ่งมองมายังเจ้านายของเขา ซาดิน อิบริด ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนทะเลทราย ผู้กำลังอยู่อยู่ในวัยฉกรรจ์ด้วยวัยเพียงแค่ 25แต่กลับผ่านศึกสงครามน้อยใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน เข่นฆ่าชีวิตผู้คนอย่างนับไม่ถ้วน นามแห่ง ซาดิน และ ซาโลมนี้ได้ขจรขจายไปทั่วทุกคุ้งแคว้นสร้างความสะพรึงกลัวทุกคราเพียงเมื่อได้ยินซึ่งมาบัดนี้ได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ และ สถาปนาแคว้นซาโลมเป็นจักรวรรดิซาโลม ซึ่งขณะกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ในท่าทีที่น่าเกรงขามยิ่ง ท่าทางสง่างามแววตาแหลมคมประหนึ่งพญาเหยี่ยว ผิวสีแดงดำ ใบหน้าคมสันได้รูป คิ้วใหญ่ดำหนา และสวมใส่ชุดเกราะแดงมันเงาวับ นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองคำสีเหลืองอร่ามตา ซึ่งได้ถูกประดับประดาไปด้วยขนทองของตัวกริฟฟอนด้วยท่าทีองอาจสมเป็นผู้นำแห่งซาโลมยิ่ง
“ขอบพระทัยในสิ่งที่ฝ่าบาทได้ประทานให้ข้าพระองค์มีแต่ความภักดีเป็นที่มั่น และข้าพระองค์ก็ภูมิใจที่ชีวิตของข้าพระองค์ได้มารับใช้ผู้ยิ่งใหญ่เยี่ยงฝ่าบาท” บลาส เซจ ตอบและจ้องตาซาดินเขม็ง “ทว่าความภูมิใจแห่งข้าพระองค์นี้จะเป็นความภูมิใจที่สุดสมดั่งที่ข้าพระองค์ตั้งไว้นั้นก็ยังหามิได้” บลาส เซจ รำพัน ทำให้ผู้เป็นนายฉงนใจยิ่ง
“เจ้าพูดเช่นนี้ มีหมายความว่าอย่างไรหรือ จงอธิบายมาให้กระจ่าง”
บลาส เซจ หัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท พระองค์ภาคภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของผืนดินเพียงหยิบมือนี้หรือ? พระองค์พอใจกับการเป็นเจ้าของผืนทะเลทรายอันไร้ประโยชน์เช่นนี้หรือ? ความภูมิใจต่อสิ่งที่ข้าพระองค์ได้เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ และความภูมิใจที่ได้เห็นพระองค์ยิ่งใหญ่อยู่ทุกวันนี้นั้นยังมิอาจถือว่าเป็นความภูมิใจอันสูงสุดของข้าพระองค์ แต่เมื่อวันใดพระองค์นั้นได้เป็นหนึ่งในใต้หล้าและครอบครองอำนาจทั้งหมดไว้สิ้นแล้วนั้น นั่นจึงจะเป็นความภูมิใจอันสูงสุดของข้าพระองค์ ท่านซาดินผู้เรืองเกียรติข้าพระองค์มิได้หมายให้ท่านเป็นใหญ่แต่ในแดนทะเลทรายนี้ แต่ท่านต้องเป็นใหญ่ให้ได้ทั้งผืนดินแดนแห่งทวีปเมอริเซียนี้ต่างหากให้นามแห่งซาโลมระบือไกลไปสุดขอบฟ้า”
“อะไรนะ!” ซาดิน อุทานขึ้น “เจ้าหมายความว่าจะให้ข้าเป็นใหญ่ใน ทวีปเมอริเซีย หรือ ไฉนเจ้าชักนำการณ์ใหญ่เช่นนี้มาสู่ข้า......”
“พระองค์ลองหวนคิดย้อนกลับไปในสมัยพระราชบิดาแห่งพระองค์ดูเถิด พระองค์ทรงลืมไปแล้วว่าชาวซาโลมต้องทนทุกข์ทรมานเพียงไร ความเจ็บปวดที่พวกเราได้รับจากการถูกไล่ต้อนจากบ้านเกิดเมืองนอน” บลาส เซจ เริ่มยุแยงผู้เป็นนาย
ความโกรธแค้นเริ่มก่อตัวขึ้นภายในตัวของซาดิน ตวาดเสียงดังว่า
“ข้ายังจำได้ดีถึงความอ่อนแอของบิดาข้า!ทำให้ต้องถูกพวกชาวเผ่าอื่นรุกราน ต้องหนีหัวซุกหัวซุนจากโอเอซิสที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดเร่ร่อนไปในทะเลทรายที่แล้วที่เล่าจนต้องระเห็ดไปอยู่ในที่ๆแห้งแล้งสุดกันดาร จนในที่สุดทั้งบิดาและมารดาของข้าก็ต้องถูกพวกอริศัตรูฆ่าตายอย่างอนาจ หากข้าไม่ได้ ท่านนาริส ช่วยไว้ ป่านนี้ข้าและเนริมอร์ก็คงถูกฆ่าตายไม่ต่างกัน ข้าจะไม่ยอมเป็นเหมือนบิดาข้าที่เอาแต่ก้มหน้ารับชะตากรรมหรอก ข้าจะต้องดิ้นรนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า!!”
บลาส เซจ เมื่อได้ยินดังนั้นก็เริ่มแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พลางเสริมขึ้น
“ถูกต้องแล้วฝ่าบาท เพื่อชีวิตที่ดีกว่า เพื่อผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์กว่า สิ่งที่เราขาดไปไฉนเราจึงไม่ไขว่คว้ามันมาหรือในเมื่อศักยภาพแห่งซาโลมและแห่งท่านย่อมเรียกหามันได้ไม่ยากเย็นนัก ท่านลองตรองดูเถิดว่าป่าไม้ ลำธาร ผืนดินอันอุดมสมบูรณ์เหล่านั้น มันจะวิเศษสักเพียงใดถ้าเราได้มันมาครอบครองเสีย น่าเสียดายยิ่งที่สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อ่อนแอ ยโส และ โง่เขลา ถึงเวลาอันควรหรือยังเล่าพระองค์ที่ดินแดนเหล่านี้จะได้หลุดพ้นจากความเขลาของคนขลาดมาเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ที่เหมาะสมอย่างแท้จริง โอ้! ข้าแต่พระองค์ ทวีปเมอริเซีย นี้มิได้ใหญ่เกินกว่าพระปรีชาสามารถของพระองค์เลย ”
ซาดิน หันหน้าออกไปทางหน้าต่างใคร่ครวญดูท้องทะเลทรายที่ทอดตัวยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตาประกายวับจากเม็ดทรายที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ ช่างแลดูอ้างว้างนัก
“ข้าไม่เคยลืมความลำบากยากแค้นของประชาชนแห่งข้าที่ต้องมีชีวิตดิ้นรนอย่างแร้นแค้นในแดนทะเลทรายอันโหดร้ายนี้มาช้านานนัก ข้าประจักษ์ถึงความทุกข์ระทมของผู้คนในทะเลทรายแห่งนี้ที่แม้ต้นไม้สักต้นยังมิอาจมีชีวิตอยู่ได้ ทะเลทรายที่ไร้ซึ่งความร่มรื่นของป่าไม้ ไร้ความชื่นฉ่ำของกระแสน้ำ เมื่อเปรียบกับอาณาจักรทางใต้ที่อุดมด้วยทรัพยากร ป่าไม้ ต้นน้ำ ลำธาร แต่ผู้อื่นที่อ่อนแอกว่ากลับได้มันไปครอบครอง มันช่างไม่เป็นธรรมสำหรับประชาชนและลี้พลที่แข็งแกร่งแห่งข้าที่ต้องมาอยู่ในที่แห้งแล้งกันดารเช่นนี้ บางทีเจ้าอาจจะพูดถูก ยุคแห่งความแร้นแค้นในแดนทะเลทรายควรจะถึงกาลสิ้นสุดแล้วมิใช่หรือ เมอริเซียจะต้องเป็นของจักรวรรดิซาโลม ข้าจะให้พวกมันได้รับรู้รสชาติแห่งความขมขื่นในดินแดนทะเลทรายนี้บ้าง”
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังแทรกผ่านเข้ามา
"ช้าก่อน ซาดิน ท่านจะยึด ทวีปเมอริเซียอย่างนั้นหรือ”
เจ้าของเสียงค่อยๆย่างก้าวเข้ามาจากทางประตูใหญ่ มีนางกำนัลอีกสองคนติดตามมาเบื้องหลัง นางผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นเดินตรงมายังหน้าบัลลังก์ที่ผู้ครองซาโลมประทับอยู่ เมื่อ บลาส เซจ แลเห็นเจ้าของเสียงจึงโค้งตัวคำนับและค่อยๆหลีกตัวเยี้องไปทางด้านข้างของบัลลังก์ ซาดินมองผู้เข้ามาใหม่ด้วยสายตาที่อ่อนโยนลงซึ่งต่างจากมอง บลาส เซจ
“เจ้าได้ยินหมดแล้วหรือ เนริมอร์ การณ์ใหญ่ในครั้งนี้ที่ซาโลมของเราจะแผ่แสนยานุภาพไปทั่วดินแดนแห่งเมอริเซีย เราจะรวบรวมเมืองต่างๆเพื่อปกครองหัวเมืองเหล่านั้น ถึงเวลาแล้วที่ธงแห่งซาโลมจะโบกสะบัดไปทั่วแคว้นแห่งเมอริเซีย ข้าจะนำซาโลมไปสู่ยุคใหม่”
เนริมอร์ ภรรยาของ ซาดิน อิบริด ผู้อยู่ข้างกายซาดินมาช้านานและเคยร่วมออกสู้รบในสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่กับซาดินบ่อยครั้ง สตรีผู้นี้รูปร่างสูงระหง มีผ้าบางเบาสีแดงคลุมหน้า เหลือไว้แต่เพียงดวงตาสีดำขลับคมโต หากแต่ความงามของนางนั้นแม้ผ้าคลุมหน้าก็มิอาจบดบังได้ ผมยาวเป็นลอนสีดำเงางามและผิวเนื้อละเอียดสีน้ำผึ้ง เมื่ออยู่ในชุดสีแดงสดแล้วยิ่งทำให้นางดูสวย ปราดเปรียว ดุดัน นางเอ่ยขึ้น
“ซาดิน ข้ายินดีที่ท่านจะนำพาผู้คนแห่งซาโลมไปสู่ยุคใหม่ แต่ขอท่านลองตรองดูใหม่เถิด ณ เวลานี้ท่านก็ได้เป็นเจ้าของดินแดนทางตอนเหนือทั้งหมดแล้วมิใช่หรือ ทั่วทุกเขตแคว้นต่างก็ศิโรราบให้แก่ท่านแต่เพียงผู้เดียวเวลานี้ซาโลมก็ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมิมีแม้เพียงผู้ใดจะคิดต่อกรด้วยเหตุไฉนท่านจึงจะก่อสงครามขึ้นอีกเล่า ท่านลองตรองดูเถิดหลังจากการรวบรวมแคว้นต่างๆนั้น เราต้องเสียไพล่พลไปเป็นจำนวนเท่าไหร่ ประชาชนระส่ำระสาย ครอบครัวต้องพลัดพราก ผู้คนเบื่อหน่ายกับสงครามเต็มทนแล้ว”
“ฝ่าบาท....” บลาส เซจ พยายามพูดแย้งขึ้น
“ไหนจะลูกของเราอีก ท่านก็รู้ดีว่าการสงครามนั้นต้องกินเวลานานเพียงไร หากสงครามยืดเยื้อและท่านต้องบัญชาการอยู่ในสนามรบเล่า ท่านจะให้ ซาร์ อิสฮาน เติบโตขึ้นมาโดยมิมีท่านหรือ” เนอริมอร์ พยายามพูดหว่านล้อม ซาดิน เป็นการใหญ่
ซาดิน เมื่อได้ฟังวอนขอของภรรยานั้น ก็เริ่มมีสีหน้าครุ่นคิดอีกครั้ง
“ฝ่าบาท ข้าพระองค์คิดว่า....”บลาสเซจพยายามอีกครั้ง
“ซาดิน ได้โปรดตรองดูใหม่เถิด” เนริมอร์ก็มิยอมแพ้เช่นกัน
“เอาเถอะๆ เนริมอร์ ข้าจะลองหารือเรื่องนี้พร้อมกับ ท่านนาริส และเหล่าขุนนางดูอีกครั้ง บลาส เซจ พรุ่งนี้เจ้าจงเรียกประชุมเหล่าขุนนาง พรุ่งนี้ข้าจะนำเรื่องนี้เข้าหารือด้วย อ๋อ!แล้วเจ้าจงตามตัว นาซาอีเข้าพบข้าด้วย ข้าอยากจะให้นางทำนายถึงลูกชายข้าก่อนจะเริ่มการประชุม เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว บลาส เซจ” ซาดิน ผู้ตัดบท
เนริมอร์สีหน้ามีความหวังขึ้นทันที เพราะนางรู้ดีว่า นาริส และเหล่าขุนนางส่วนใหญ่จะต้องคัดค้านการรุกราน เมอริเซียเป็นแน่
ด้านฝ่าย บลาส เซจ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำท่าเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไปพร้อมกับโค้งคำนับ ซาดิน และ เนริมอร์แล้วจึงหันหลังกลับเดินออกไปจากท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว มีก็แต่นางกำนัลสองคนที่ได้ทันเห็นสีหน้าที่เคียดแค้นชิงชังเพียงแวบเดียวของ บลาส เซจ
ความคิดเห็น