ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สี่สหาย ผจญภัย

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ ๕ เมืองแห่งดนตรี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 39
      0
      14 พ.ย. 55

    หลังจากที่เรือหงส์แล่นออกไปแล้ว แม่มดฟรีก็เรียกบรรดาผีทั้งหลาย และสั่งการออกไปให้จัดการกับพวกทหารที่กำลังมาสร้างความเดือดร้อนแก่บ้านของเธอ พวกผีรับคำสั่งแต่โดยดี ด้วยความที่ แม่มดเป็นแม่มดคนเดียว ที่ใคร ๆ ก็เคารพนับถือ แม้แต่พวกผีเองก็เช่นกัน ผีทุกตนเติมใจที่จะอยู่รับใช่แม่มดฟรีจนกว่าตนจะได้ไปเกิด และถ้าหากใครบังอาจ กล้ามาลบหลู่หรือทำอะไรไม่ดีกับแม่มดฟรี ผีทุกตนก็จะทำให้พวกมันรู้ว่า การมาทำร้ายแม่มดคนนี้เปรียบเสมือนมากระตุกหนวนเสืออย่างพวกเขา

    หลังจากแม่มดฟรีสั่งการลงไป พวกผีก็ลอยไปห้องที่พวกทหารเบียดเมฆที่กำลังส่งเสียงน่ารำคาญ และกำลังทำลายทรัพย์สินของแม่มดฟรี ผ่านไปสักพักก็เกิดเสียงร้องที่โหยหวน ที่ทั้งน่ากลัวและน่าสงสาร และปิดท้ายด้วยเสียงพวกทหารกำลังวิ่งหนีผีกันป่าราบ แม่มดฟรียิ้มอย่างพอใจ ผีพวกนี้ไม่เคยทำให้ท่านผิดหวังสักครั้ง และแม่มดก็เริ่มกลับไปเช็คของก่อนออกเดินทาง

    แต่จู่ ๆ แม่มดฟรีก็พึ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอลืมบอกวิธีใช่แผนที่ และวิธีบังคับเรือให้ถูกต้อง

     

    หลังจากที่เรือหงส์มุ่งหน้าไปเกาะทัดไปที่อยู่ใกล้ ๆ ตามคำสั่งของสาหร่าย พวกเขาทั้งสี่ก็เริ่มจัดแจงหน้าที่ในเรือกัน

    ซึ่งแน่นอนว่าสาหร่ายต้องอยู่ควบคุมเรือแน่นอน

    ส่วนวายุเป็นนกคอยดูและเช็คแผนที่

    ตอนนี้ก็เหลือแต่ป๋องแป๋งกับตุ้ยนุ้ยที่ยังตกลงกันไม่ได้ เพราะตุ้ยนุ้ยยืนกลางที่จะคอยเฝ้าบนด้านฟ้าตลอด แต่ป๋องแป๋งกลับว่า ตุ้ยนุ้ยจะแอบหลับ จึงสั่งให้ตุ้ยนุ้ยคอยตกปลา แต่ตุ้ยนุ้ยยังคงไม่ยอม วายุจึงขอตัวไปทำอาหารก่อน ซึ่งตอนนี้บอกไม่ถูกแล้วว่าเป็นมือไหน

    หลังจากผ่านไปสักพัก วายุต้มกระดูกหมูไว้ และออกมาดูว่าพวกเขาตัดสินใจกันได้รึยัง พอก็มาดูก็เห็นตุ้ยนุ้ย ในสภาพที่เติมไปด้วยแผลทั้งนั้น จนต้องเอาผ้าพันแผลมาปิด สาหร่ายเล่าว่า พวกเขาตัดสินใจกันไม่ถูกซะที่ ตุ้ยนุ้ยจึงเสนอให้ดวลดาบกัน ป๋องแป๋งรับคำท้า ผลคือตุ้ยนุ้ยแพ้อย่างราบคาบ วายุพยักหน้ารับ เพราะตั้งแต่พวกเขาได้เจอกัน เขาก็ดูออกว่า ศิลปะการต่อสู้ของป๋องแป๋งนั้นน่ากลัวและสุดยอดมาก เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดในด้านการต่อสู้ ส่วนตุ้ยนุ้ยเป็นพวกชอบอวดเก่ง ชอบแบบสบาย ๆ ถึงตุ้ยนุ้ยเคยบอกเขาว่า เขาเก่งด้านอาวุธ แต่แค่ความถนัดคงสู้ความแข็งแกร่งไม่ได้แน่นอน

    จนเวลาผ่านไปตกบ่ายวัน อาหารก็ทำเสร็จซึ่งประกอบไปด้วย แกงเขียวหวาน ต้มกระดูกหมู ปลากะพงทอดน้ำปลา และสุดท้ายเป็นพะโล้

    ทั้งสี่เริ่มรับประทานอาหารกัน ป๋องแป๋งถามวายุว่าเส้นทางต่อไปคือที่ไหน วายุบอกว่ามีเกาะหนึ่งอยู่เส้นทางต่อไป ในแผนที่บอกว่าเป็นเกาะดนตรีภาษา และเท่าที่วายุรู้มา เกาะดนตรีภาษาเป็นเกาะที่เกี่ยวกับเสียงเพลง แต่การเดินทางไปที่นั้นก็ไกลพอสมควร ถ้าเร่งความเร็วได้จะดีมาก แต่ถ้าใช่ความเร็วระดับนี้ คงจะถึงสักพรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่

    ทุกคนพยักหน้ารับยกเว้นตุ้ยนุ้ย โดยให้เหตุผลว่า ทำไมพวกเขาไม่เดินทางไปที่ปราสาทผืนฟ้าเลย แล้วอีกอย่างถ้าจะไปเกาะนั้นจริง ๆ พวกเขาก็ต้องตื่นกันแต่เช้า แล้วมันจะทำให้พวกเขาตามน้ำวนช้าไปด้วยและเสียสุขภาพ

    ป๋องแป๋งโกรธจัดที่ตุ้ยนุ้ยพูดแบบนี้ และบอกด้วยเสียงที่หนักแน่นว่า พวกเขาต้องตามหาเครื่องรางก่อน ถ้าไม่เจอเครื่องราง ก็ไปต่อไม่ได้ ตุ้ยนุ้ยถามอีกว่าทำไมจะไปต่อไม่ได้ ป๋องแป๋งจึงบอกไปว่า เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าเครื่องรางเป็นสิ่งสำคัญที่จะแสดงตนว่าเป็นองค์หญิง ตอนอยู่ที่บ้านแม่มดฟรีเขาก็พูดไว้แบบนั้น แต่ตุ้ยนุ้ยยังคงทำเป็นไม่เข้าใจและแสดงความเห็นว่า พวกเขาก็ทำของปลอมมาสิ สาหร่ายถึงกับสำลักข้าวและถามว่าตุ้ยนุ้ยเคยเห็นเครื่องรางหรือ ตุ้ยนุ้ยพยักหน้า เขาเคยเห็นในหนังสือ แต่จำไม่คอยได้ แต่คิดว่าไม่เป็นเพราะแค่ทำให้ดูคล้าย ๆ ของแม้ก็ได้แล้ว ป๋องแป๋งยิ่งโกรธเข้าไปอีก ตุ่นตัวนี้นอกจากจะอวดดีแล้ว ยังเห็นแก่ตัวด้วย  ตุ้ยนุ้ยยังไม่เข้าใจว่าเขาเห็นแก้ตัวยังไง วายุจึงอธิบายว่า เพราะว่าการเอาของปลอมมาหลอกคนอื่น มันจะทำให้ผู้คนรังเกลียดเรา และคนส่วนใหญ่ก็จะคิดว่าเราเป็นพวกหลอกลวง หวังแต่จะสร้างชื่อเสียง แต่ไม่ได้หวังจะช่วยองค์หญิง ตุ้ยนุ้ยหัวเราะ และบอกประมาณว่า ใคร ๆ ก็ทำเพื่อชื่อเสียงเท่านั้นและ ลององค์หญิงเมฆไม่ใช่องค์หญิงและกลายเป็นคนชั้นต่ำดูสิ ใครจะไปอยากช่วยคนชั้นต่ำขนาดนั้น ใคร ๆ ก็อยากจะมีหน้ามีตาในประวัติศาสตร์ทั้งนั้น ทหารทุกคนเองก็ต้องการเอาหน้าเอาตากับองค์หญิง เพื่อให้องค์หญิงเลื่อนตำแหน่งของตนเท่านั้น พวกเราเองก็เหมือนกัน

    ทั้งสามอึ้ง จ้องตุ้ยนุ้ยไม่กระพริบตา โดยเฉพาะป๋องแป๋ง ที่มีสีหน้าเกลียดชังตุ้ยนุ้ย ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตุ้ยนุ้ยถึงอยากมาช่วยองค์หญิงเมฆ ตุ้ยนุ้ยก็แค่ อยากจะมีชื่อเสียง อยากจะโด่งดังเท่านั้น แต่ไม่เคยคิดจะช่วยเจ้าหญิงจริง ๆ เลย

    หลังจากนั้นทั้งสามยกจานข้าวของตัวเองไปทานต่อในห้อง ปล่อยให้ตุ้ยนุ้ยนั่งงงต่อไปว่าตัวเองผิดอะไร เพราะขนาดวายุเอง ก็ยังเป็นไปกับเขาด้วย

    ภายในห้องของเรือ เป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ มีโต๊ะสำหรับนั่งทำงาน โคมไปเป็นโคมไฟกลม มีลายแกะสลักผีเสื้อติดอยู่ทั่วโคมไฟ  ทัดมามีตู้เก็บยาและตู้วางกับตู้เย็น ซึ่งตอนนี้วายุใช่เป็นที่เก็บอาหารและสัมภาระแล้ว

    ทั้งสามเดินเข้ามานั่งตรงกลางห้องและทานอาหารต่อไป และป๋องแป๋งสั่งให้สาหร่ายล็อคห้องไว้ เพื่อกันไม่ให้ตุ่นที่เห็นแก่อย่างตุ้ยนุ้ย

    หลังจากกินข้าวเสร็จ วายุอาสาไปล้างจานให้ ทั้งสามพยักหน้า และกล่าวขอบคุณวายุ วายุใช้เท้าจับจานไว้และบินออกไป

    ผ่านไปสักพัก วายุก็กลับมาพร้อมกับจานที่สะอาด “นายนี้ขยันดีจังวายุ” ป๋องแป๋งชมจากใจ

    “ที่บ้านฉันต้องทำน่าที่นี้แทนพ่อกับแม่นะ” วายุตอบ

    “พ่อแม่นายเป็นอะไรหรอก” สาหร่ายถาม

    “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แต่ถ้าพูดให้ถูกก็คือ พ่อฉันเคยไปช่วยเจ้าหญิงมาก่อนแต่...”

    “พลาด แต่ยังรอดกับมาได้” ป๋องแป๋งพูดแทรก

    วายุพยักหน้า “ใช่ พ่อฉันอาการสาหัสมากตอนกลับมา แม่ต้องคอยดูแลพ่อ เพราะตาข้างซ้ายของพ่อบอก ตอนประทะกันกับกองทัพของเบียดเมฆ”

    “งั้นหรอก เหมือนพ่อแม่ฉันเลย ท่านทั้งสองก็เคยเหมือนกัน เพียงแต่ตอนหลังสู้ไม่ไว้ เพราะพวกท่านเองก็สู้ไม่เก่ง กองทัพจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้” สาหร่ายบอก

    “แล้วพ่อแม่ของพี่ป๋องแป๋งละ ได้ไปทำภารกิจช่วยองค์หญิงด้วยไหม” วายุถาม

    ป๋องแป๋งพยักหน้า พ่อแม่ฉันเคยเป็นทหารสัตว์หน่วยองค์รักษ์สังกัดหน่วยที่สี่สิบเก้าของอาณาจักร”

    สาหร่ายยิ้มหน้าบาน ที่เพื่อนของเขามีพ่อแม่ที่มีตำแหน่งสูงมาก และเข้าใจว่าทำไหมป๋องแป๋งถึงโกรธตุ้ยนุ้ยขนาดนั้น “อย่างงี้นี้เอง มิน่าตอนที่พี่ตุ้ยนุ้ยพูดถึงทหารที่ต้องการเอาแต่หน้า พี่ถึงโกรธขนาดนั้น”

    ป๋องแป๋งโกรธจัดที่ได้ยินคำนี้“ยังเรียกเจ้าสัตว์ที่เห็นแก่ตัวว่าพี่อีกหรอก”

    “เอาเถอะพี่ การเคารพนอบน้อม เป็นเรื่องที่ดีนะ” วายุบอก

    ทันทีที่ได้ยิน ป๋องแป๋งก็ใจเย็นลง จริงของวายุ เพราะถึงยังไงเขากับตุ่นนั้นก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว

    “แล้วพ่อแม่พี่ป๋องแป๋งเป็นยังไงบ้างละ” วายุถาม

    ป๋องแป๋งรู้สึกเศร้าเล็กน้อยกับคำถามนี้ แต่ก็ยังยอมบอกด้วยเสียงที่เศร้า “พวกท่านไม่อยู่แล้ว”

    สาหร่ายกับวายุถึงกับร้องหา “พวกท่านตายแล้วหรอก”

    “สาหร่าย”

    “โทษที”

    “ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องปิดบังอยู่แล้ว หรือถ้าพูดให้ถูก มันเป็นเรื่องที่พวกเราต้องยอมรับ” ป๋องป๋องกล่าวเสร็จก็เริ่มเล่าต่อ “พ่อแม่ของฉัน เคยเป็นทหารที่รวมศึกกับกลุ่มปฏิวัติพื้นแผ่นดินแห่งเมฆ แต่ในระหว่างที่พวกท่านกำลังทำศึกอยู่ พวกมันก็ใช่องค์หญิงเมฆเป็นเครื่องมือ และขู่จะฆ่า ที่แรกพวกท่านก็ไม่เชื่อ แต่พอเห็นราชินีเมษาหยิบมีดมาจี้ที่คอขององค์หญิง พวกท่านก็ยอม และถูกจับตัวไป ลงท้ายด้วยการถูกประหาร”

    พอฟังถึงตรงนี้วายกับสาหร่ายก็หน้าชีด และสงสารป๋องแป๋งมากที่เขาเสียพ่อแม่ไป “แล้วพี่รู้เรื่องทั้งหมดได้ยังไงหรอก” วายุถาม

    ป๋องแป๋งเหมือนจะไม่อยากพูดถึงมันอีกแต่ก็จำใจเล่าไปว่า “พวกคนที่รอดจากการประหาร นำศพของพวกท่านมา และเล่าให้ฉันฟัง”

    ทั้งสองเศร้าลง ความจริงเรื่องที่เสียพ่อแม่ไป เป็นสิ่งที่ปวดราวที่สุด ไม่เคยมีใครต้องการให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่แล้ว

    แต่เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้มีแค่สาหร่ายกับวายุเท่านั้นที่รู้ ตุ้ยนุ้ยที่แอบฟังอยู่ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น ว่าเขาทำอะไรลงไป ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไม ใคร ๆ ก็เห็นว่าเขาเห็นแก่ตัว

    ตกเย็น วายุ สาหร่ายเข้าไปนั่งคุยสนทนาเรื่องเกาะดนตรีภาษากัน

    ส่วนป๋องแป๋งอยู่บนด้านฟ้าของเรือ กำลังนั่งสมดวงดาวบนท้องฟ้าอยู่ เป็นค่ำคืนที่สวยงามมาก ถ้าพ่อแม่ของเขายังอยู่ พวกท่านคงยิ้มออกมาและเริ่มเล่านิทานก่อนนอนใครฟัง ในอดีต พ่อแม่ของเขาชอบให้เขามาดูดาวบนท้องฟ้า และเล่านิทานให้เขาฟัง โดยที่ใช่ดวงดาวเป็นภาพให้เขาจิตนาการเองว่าหน้าตาของพวกละครที่พ่อแม่ของเขาเล่าอยู่มีหน้าต่างเป็นยังไง

    ในระหว่างที่เขากำลังนึกถึงเรื่องเก่าอยู่นั้น ตุ้ยนุ้ยก็ปีนขึ้นมาบนด้านฟ้าทักทายป๋องแป๋ง “สวัสดีเพื่อน”

    ป๋องแป๋งส่งสายตาชิงชังให้ตุ้ยนุ้ย “ฉันไม่เคยมีเพื่อนเห็นแก่ตัวอย่างนาย”

    ตุ้ยนุ้ยคิดไว้แล้วว่า เขาต้องโดนตุ้ยนุ้ยปฏิเสธ ตุ้ยนุ้ยเข้าไปนั่งข้าง ๆ ป๋องแป๋ง “ขอโทษนะ ที่ฉันแอบฟังเรื่องของนาย”

    ป๋องแป๋งไม่ยอมสบตาตุ้ยนุ้ย “แล้วไง”

    ตุ้ยนุ้ยเริ่มมีกำลังใจที่จะกับมามีความสัมพันธ์ดี ๆ กับเพื่อน “ฉันเสียใจเรื่องพ่อแม่นายด้วยนะ”

    “ไม่ยักรู้ว่านายสงสารคนต่ำต่อยอย่างฉันด้วย”

    ตุ้ยนุ้ยไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขารู้ดีว่าเขาผิด “ฉันขอโทษ ฉันรู้ว่าฉันมันเอาแต่ใจ ไม่เคยทำตัวให้มีประโยคเลย ดีแต่จะสร้างความน่ารำคาญแก่คนอื่น”

    ป๋องแป๋งเริ่มหันมาสบตาตุ้ยนุ้ย “ฉันดีใจนะที่นายรู้จักตัวเอง”

    “ขอบใจนะ พ่อแม่ของสาหร่าย วายุและก็นายเคยมีวีรกรรมที่น่าชื่นชมมากเลย แต่พ่อแม่ฉัน...”

    ป๋องแป๋งพูดแทรก “ไม่เคยเลยใช่ไม่ เพราะอะไร”

    ตุ้ยนุ้ยตอบด้วยเสียงที่ดังฟังชัด “พวกท่านตายแล้ว”

    “อะไรนะ” ป๋องแป๋งตะลึง

    ตุ้ยนุ้ยเริ่มเล่าต่อ “พ่อแม่ฉันเสียตั้งแต่ฉันยังเด็กอยู่เลย แล้วคนที่ดูแลฉันก็คือคนในหมู่บ้านของฉัน”

    ป๋องแป๋งจ้องหน้าตุ้ยนุ้ย “เสียใจด้วยนะ”

    ตุ้ยนุ้ยสายหน้า “ไม่เป็นไรเพื่อน”

    ตอนนี้ป๋องแป๋งเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมตุ้ยนุ้ยถึงได้มีนิสัยแบบนี้ เพราะเขาขาดการอบรมจากพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ซ้ำยังอยู่ในความดูแลของคนอื่น ที่ไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ ของตน

    ตุ้ยนุ้ยหันหน้ามาจ้องป๋องแป๋ง “ฉันอยากขอโทษ ให้โอกาสฉันได้ไหม ฉันไม่ร็ ฉันสัญญา ฉันจะทำตัวให้ดีขึ้น จะไม่เอาแต่ใจ ฉันจะ...”

    “ไม่เป็นไร” เสียงของสาหร่ายพูดแทรกมา และวายุก็พาสาหร่ายบินขึ้นไปนั่งรวมกัน ท่านสี่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง

    “พวกนายแอบฟังรึเนี้ย” ทั้งสองพยักหน้ารับ

    “พวกเราดีใจนะ ที่นายกลับตัวกลับใจได้” ป๋องแป๋งบอก

    “พวกนายเนี้ยน่า แต่ก็ขอบใจนะ ที่ให้โอกาสฉัน” ตุ้ยนุ้ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

    ทั้งสามกล่าวพร้อมกัน “ไม่เป็นไร เราให้โอกาสเสมอ” แล้วทั้งสี่ก็หัวเราะพร้อมกัน และนั่งดูดาวกันจนหลับไป

     

    เช้าวันต่อมา พวกเขาก็ตื่นแต่เช้า ลงมาเตรียมอาหารเช้า วายุกลับไปเช็ดแผนที่ และพบว่าอีกประมาณสามชั่วโมงพวกเขาก็จะถึงแล้ว ทุกคนพยักหน้า แต่ตุ้ยนุ้ยเสนอว่าเราควรจะเร็วกว่านี้ ไม่งั้นเครื่องรางอาจจะโดนขโมยไปก่อน เพราะเครื่องรางอาจอยู่ที่นี้

    วายุเห็นด้วย เพราะจู่ ๆ ลางสังหรณ์ของวายุก็ทำงานอีกครั้ง และบอกว่าพวกเขาควรเร่งความเร็วให้มากกว่านี้

    ตุ้ยนุ้ยเห็นด้วยและสั่งให้สาหร่ายเร่งความเร็วเรือ แต่ก่อนที่สาหร่ายจะให้แหวนสั่งเร่งความเร็วให้แก่เรือ จู่ ๆ ก็มีข้อความปรากฏออกมาแบบบ้านของแม่มดฟรีโดยมีใจความว่า

    ช้าก่อนนายและเพื่อนนายของข้า

    อันตัวเราก็เหนื่อยเป็น

    แล้วข้อความก็สลายไปทุกคนตะลึง และคิดว่านี้คงเป็นข้อความจากเรือ สาหร่ายจึงลองถามดูว่า “นั้นคือเรือหงส์ใช่ไหม”

     หัวหงส์พยักหน้าและมีข้อความปรากฏมาอีก

    ถูกแล้ว นายเรือของข้า

    แล้วก็สหายไปอีกทีสาหร่ายจึงลองถามต่อว่า “แล้วทำไมท่านถึงไม่พูดตั้งแต่ตอนแรกละ”

    ข้อความปรากฏขึ้นอีกครั้ง

    เพราะเราเห็นท่านมีเรื่องทุกข์ใจ

    เราเองก็เห็นว่าเป็นเรื่องยาก

    ที่เรืออย่างเราจะให้คำแนะนำ

    ที่ดีสำหรับท่าน

    เพราะมันเป็นเรื่องที่

    มีแต่เพื่อนเท่านั้นที่เข้าใจ

    สาหร่ายถามต่อว่า “แล้วจะทำยังไงถึงจะพอมีวิธีให้ท่านเร่งความเร็วเพื่อไปเกาะดนตรีภาษาละ”

    ข้อความต่อมาเริ่มปรากฏอีก

    ไม่ยากเลย

    ขอแค่ให้เราพักสักสิบนาที

    เราจะเร่งความเร็วเติมที่

    สาหร่ายถามต่อ “แล้วท่านบินไม่ได้หรือ”

    ขอความปรากฏออกมาว่า

    ถึงเราจะมีชื่อว่าเรือหงส์

    แต่เรืออย่างเราไม่สามารถบินได้

    เพราะเราไม่ได้มีอิทธิลิตขนาดนั้น

    สาหร่ายพยักหน้า แล้วขอความก็เริ่มหายไป ตอนนี้ทุกคนคงได้แต่รอ

    ผ่านไปสิบนาที จู่ ๆ ปีกของเรือก็ก้างออก และเรือก็พุ่งข้างหน้าด้วยความเร็วที่น่าตกใจ จนมาถึงเกาะได้ภายในเวลาแค่ห้านาที

    “ขอบใจนะ แต่คราวหลังเตือนกันบ้าง พวกเราตั้งตัวไม่ทันนะ”

    เรือพยักหน้า และก็ส่งปีกมารับพวกเขาลงไปสำรวจเกาะ

    ทันทีที่พวกเขาเดินไปถึงหมู่บ้าน พวกเขาก็จ้องหมู่บ้านที่ด้วยความตะลึง

    ถึงแม้หมู่บ้านนี้จะมีบ้านเป็นรูปทรงแบบทั่วไป แต่ประชากรของเมืองนี้กลับมีรูปร่างเป็นเครื่องดนตรีต่าง ๆ นา ๆ มีทั้งที่เป็นกีต้า ระนาค กลอง ฉิ่ง ฉาบ เปียนโน ไวโอลีน และเครื่องดนตรีทุกเครื่อง ก็มีดวงตา มือและปากด้วย

    ประชากรที่นี้เข้ามาทักทายพวกวายุ “สวัสดีแขกจากต่างแดน ยินดีตอนรับ ตัวแทนแห่งปฏิวัติพื้นแผ่นดินแห่งเมฆ ขอตอนรับผู้กล้าทั้งสี่

    “พวกคุณเป็นคนของเอยไม่ใช่ เออ....” สาหร่ายบอกไม่ถูก

    “เรียกพวกเราว่ามิตรแล้วกันครับ”

    “ครับพวกคุณเป็นมิตรกับ กองทับปฏิวัติของพื้นแผ่นดินแห่งเมฆหรือครับ”

    เครื่องดนตรีพากันพยักหน้าตามแบบที่จะทำได้ วายุจึงถามต่อ “พวกคุณรู้ได้ไงครับว่าพวกเราคือ...”

                    “แม่มดฟรีเป็นคนบอกพวกเราเองครับ”

                    ทันใดนั้นเองก็มีกลองยาวตัวหนึ่งเคลื่อนที่มาหาพวกเขา กลองตัวนี้เป็นกลองเครื่องเดียวที่ดูเก่าที่สุด และแถมยังมีหนวนอีกด้วย

                    เครื่องดนตรีทุกเครื่องหลีกทางให้เครื่องดนตรีเครื่องนี้ เเละกล่าวว่า “นี้คือพูดใหญ่บ้านของเราครับ ชื่อลุงตะเพา”

                    ลุงตะเพาเคลื่อนที่มาหาพวกเขาและทักว่า “เราขอเชิญท่านผู้กล้าทั้งสี่มาที่บ้านของเราก่อน เรามีสิ่งของที่จะมอบให้แก่ท่าน”

                    ทั้งสี่พยักหน้า และเดินตามลุงกลองตะเพาไป หมู่บ้านนั้นดูสงบสุขและสวยงามมาก เครื่องดนตรีทุกเครื่องต่างพากันมาตอนรับพวกเขา และเล่นดนตรีให้พวกเขาฟัง ที่กลางหมู่บ้านมีน้ำพุที่ใหญ่กว้าง ตัวหมู่บ้านเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย และที่นี้ยังมีโน้ตเพลงลอบไปรอยมาจนดูสวยงามมาก

                    จนผ่านไปสักพัก พวกเขาก็มาถึง บ้านหลังใหญ่สีแดงเข้ม ข้างใน มีกลองผมยาวปากแดง ต้องเป็นภรรยาของกลองพะเผาแน่ ๆ ภรรยาของเขา ตอนรับพวกเขา และจัดโต๊ะหาน้ำชา และคุกกี้ให้พวกเขา

                    ทันที่พวกเขานั่งลง กลองตะพาก็เริ่มแนะนำตัว “เอาละตอนนี้ใคร ๆ ก็รู้ชื่อฉันแล้ว พวกเธอช่วยแนะนำตัวที่นะ” แล้วทั้งหมดก็เริ่มแนะนำตัวเอง “เอาละขอบคุณนะ ที่นี้เรามาเข้าเรื่องเลยดีกว่านะ”

                    และกลองตะเพา และหยิบของออกมาจากลิ้นชัก แล้วหยิบถุงสีดำใบหนึ่งออกมา และก็เทของที่อยู่ข้างในออกมา มันคือหินแกะสลักเป็นรูปหงส์ ที่มีสีสันสวยงาม มันคือเครื่องราง

                    ทั้งสี่ตะลึงและจ้องมันไม่กระพริบ

                    “เราเจอเครื่องรางนี้เมื่อสองเดือนก่อน และเมื่อวานแม่มดฟรีก็พึงส่งข้อความมาถึงเรา ว่าพวกท่าจะต้องผ่านมาที่นี้ เราจึงรวมเดินทางไปกับพวกท่านพร้อมกับนำเครื่องรางนี้กลับไปมอบให้แก่องค์หญิงของพวกเรา”

                    ทั้งสี่พยักหน้า และวายุก็ใช่เท้าจับเครื่องรางเพื่อยกขึ้นมาดู แต่จู่ ๆ นกฮูกตัวหนึ่งก็บินโชบเอาเครื่องรางไป

                    “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ” นงฮูกตัวนั้นหัวเราะ ทั้งหมดตะลึงเล็กน้อย พอได้สติวายุก็ตระโกนก้อง “เอาคืนมานะ” วายุบินไปประจันหน้ากับนกฮูกตัวนั้น และจู่ ๆ ก็มีเสียงระเบิดขึ้นสะนั้นเมือง และต่อมา ก็มีกระทิง จระเข้ และจิงโจ้โผล่มาที่พวกเขาพร้อมกับไล่ทำร้ายชาวบ้านที่นี้ วายุเข้าใจทันที่ว่า พวกเขาคือฮูก เผือก โวโม โจ็ก ลูกสมุนของท่านหญิงโอราช

                    “นกขุนทองรึ” ฮูกกล่าว “แกคงจะเป็นลูกชายของมัน”

                    วายุตะลึงและถามกลับ “คุณเองสินะ ที่ทำตาข้างซ้ายของพ่อผมบอด”

                    ฮูกพยักหน้ารับและหัวเราะ และบินหนีไป วายุบินตามไป แต่ในระหว่างนั้นเอง เผือก โวโม โจ็กก็บุกเข้ามาให้บ้านนี้แล้ว

                    “นี้ผู้ใหญ่ พาประชาชนไปหลบก่อน ทางนี้พวกเราจะลุยเอง” ทั้งสามกล่าวพร้อมกัน และวิ่งไปหา เผือก โวโม และโจ็ก

                    สาหร่ายวิ่งไปปะทะกับเผือก ตุ้ยนุ้ยวิ่งไปปะทะกับโวโม  และป๋องแป๋งวิ่งไปปะทะกับโจ็ก

                    ทางด้านวายุที่กำลังไล่ล่าฮูก ฮูกหันมาหัวเราะใส่ และบินหลอกล่อวายุให้ไปแถวต้นไม้ วายุเลือกตามไป เพราะไม่มีทางเลือก เขาจะให้เครื่องรางหลุดมือไปเด็ดขาด การไล่ล่าของนกทั้งสองยังคงดำเนินต่อไป

                    ทางด้านสาหร่ายที่กำลังสู้กับเผือก ด้วยความที่สาหร่ายทั้งตัวเล็ก และช้ากว่ามาก จึงจำเป็นต้องลงไปสู้ในน้ำ เผือกดูออกและรับคำท่า และลงไปในน้ำพร้อมกับสาหร่าย

                    ทางด้านตุ้ยนุ้ยตอนนี้ถือว่าเสียเปรียบมาก ด้วยทั้งขนาดและพละกำลังที่ต่างกันมา และเขาพยายามที่จะดำดินลงไปให้ได้ แต่ปัญหาก็คือ ดินที่นี้แข็งเกินไปที่จะดำลงไป ทำให้เขาเสียจังหวะโดนโวโมเล่นงานตลอด

                    ทางด้านป๋องแป๋งนั้น กำลังสู้กับโจ็กกันอย่างดุเดือด ทั้งสองใช่ศิลปะการต่อสู้ที่เรียนรู้มาใช้กันได้อย่างน่าทึ้ง ป๋องแป๋งใช่หางฟาด โจ๊กกระโดหลบและใช่หมัดส่งไปหา ป๋องแป๋งใช่มือรับและสวนกลับ โจ๊กเบียงตัวหลบและกลับมาส่งหมัดไปข้างหน้าอีกครั้ง ป๋องแป๋งกระโดดหลบ และใช่หางฟาดอีกรอบ แต่คราวนี้โจ๊กใช่มือรับ และจับป๋องแป๋งทุ้ม ป๋องแป๋งโดนกระแทรกอย่างรุนแรง

                    ตุ้ยนุ้ยที่ตอนนี้กำลังจนมุม แต่ก็พบว่า ถึงเจ้ากระทิงนี้จะแข็งแรง แต่ก็ได้เปิดช่องโว่ไว้มาก ตุ้ยนุ้ยสไลด์ตัวไปข้างหน้าหวังจะโจมตีจากด้านหลัง แต่โวโมรู้ทัน และใช่มืออันใหญ่ยักษ์จับตุ้ยนุ้ยไว้ และกระแทรกอัดตุ้ยนุ้ยจนติดกำแพง

                        สาหร่ายที่กำลังถูกเผือกไล่ตามอยู่ ก็นึกแผนอะไรขึ้นมาได้ ถึงจระเข้จะเร็วสักแค่ไหน แต่ตัวของ

    มันใหญ่กว่าเขามาก สาหร่ายจึงใช่วิธีล่อไปที่พื้น และรอให้เผือกพุ่งใส่เขา และเวียงตัวหลบ และเผือกรู้ทันและใช่หางฟาดใส่สาหร่าย และใช่ปากจับสาหร่ายไว้

                    วายุที่กำลังตามฮุกอย่างไม่ลดความพยายาม และหวังจะเอาเครื่องรางคืนมาให้ได้ จึงบินตามต่อไป ฮุกเห็นความพยายามของวายุ จึงบินล่อวายุมาแถวกิ่งไม้ โดยไม่ทันคิด วายุบินตามไป ฮูกถือโอกาสนี้ บินกลับหลัง และใช่กรงเล็บจับวายุไว้และใช่กงเล็บจับกดจนติดดิน

                   

                    หลังจากนั้นทุกคนก็โดนจับ พวกที่มาที่นี้ไม่ได้มีแค่ฮูก เผือก โวโม โจ็กเท่านั้น แต่ยังมีทหารอีกมากมายที่กำลังไล่ต้อนชาวบ้านที่เกาะนี้ ไปรวมกันที่น้ำพุ สัตว์ของท่านหญิงโอราชกลับมาพร้อมกับจับพวกวายุไว้

                    “ขอบคุณสำหรับเครื่องราง ตอนนี้เราก็ได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว ขอให้ประชาชนทุกท่านเตรียมตอนรับ ราชินีองค์ใหม่ได้เร็ว ๆ นี้”

                    กล่าวจบก็ปล่อยพวกวายุ ที่ตอนนี้เจ็บซ้ำไปหมด และมุ่งหน้ากลับไปรายงานข่าวดีให้แก่ท่านหญิงโอราช

                    เย็นวันนั้น ที่บ้านผู้ใหญ่ตะเพา พวกเขามีสีหน้าที่หมองมาก “ทำไงดีละ พวกมันได้เครื่องรางไปแล้วด้วย” ตุ้ยนุ้ยถาม

                    “ถ้าตามไปน่าจะทันนะ” สาหร่ายเสนอ

                    “แต่ปัญหาคือ ตอนนี้พวกนั้นอาจจะไปไกลแล้วก็ได้” วายุบอก

                    “แล้วพวกเราจะทำยังไงดีละที่นี้นะ” ป๋องแป๋งถาม

                    กลองตะเพาบอกว่า “ทุกสิ่งยอมมีความหวัง ตามเรามาสิ”

                    แล้วกลองตะเพาก็พาพวกเขาไปที่ตู้เก็บของ กลองตะเพาเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุด ข้างในนั้นมีเครื่องคืดเลขอยู่เครื่องหนึ่ง กลองตะเพากดเลย สอง สาม สอง สี่ สอง ห้า หก หก หนึ่ง และจู่ ๆ ตู้ก็สั่นและบนหัวตู้ก็มีช่องเปิดออก และมีอะไรบ้างอย่างถูกยิงออกมา และทั้งสี่ก็ตะลึงอีกครั้ง เพราะที่ลอยมานั้นคือ เครื่องราง วายุรับไว้ด้วยความงงงวย

                    กลองตะเพาบอกว่า “เครื่องรางอันนั้นเป็นของปลอม พอดีว่าสายของเราทราบมา ศัตรูนั้นรู้แล้วว่าเครื่องรางอยู่ที่นี้ พวกเราจึงทำของปลอมขึ้นมา และเอาของจริงซ่อนไว้ที่นี้ และเอาของปลอมมาล่อให้พวกมันออกมา”

                    ทั้งสี่พยักหน้ารับอย่างงง

                    “ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง ที่พวกเราทำให้พวกท่านต้องเจ็บตัวไปด้วย”

                    “ไม่เป็นไรครับ” สาหร่ายบอก 

                     “เครื่องรางปลอดภัยแล้ว พวกเราก็ดีใจแล้ว แผลแค่นี้ แปะเดียวก็หาย” วายุบอก

                    “แต่แผลใจนี้สิหายยาก” ป๋องแป๋งกล่าว

                    “ใช้” ตุ้ยนุ้ยพูดปิดท้าย

                    แผลใจของพวกเขาก็คือ การแพ้ให้กับศัตรู และเป็นศัตรูที่น่ากลัวมาก ครั้งหน้า พวกเขาจะต้องเอาชนะพวกนั้นให้ได้ ไม่อย่างนั้น เครื่องรางของจริงต้องถูกขโมยไปแน่ วายุมองเครื่องรางของจริงและกำเครื่องรางไว้แน่น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×