การรบทางน้ำวนจบลงด้วยชัยชนะของพวกเขา หลังจากชนะและจับตัวพวกทหารกองทัพเบียดเมฆของท่านหญิงโอราชได้ น้ำวนก็เริ่มสำรวจความเรียบร้อยของห้องนี้
น้ำวนเห็นว่าห้องเปลี่ยนไปมาก จากเมื่อก่อนห้องนี้มีข้าวเยอะแยะมากมายและถูกว่ากันเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ มันเละเถอะไปหมดจนไม่เหลือความเป็นห้องเดิม เศษไม้และกระดาษถูกฟันจนกระจัดกระจายไม่มีเหลือ กระดานหมากรุกที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะตกลงมา ตัวหมากนั้นกระจัดกระจายไปหมด หนังสือต่าง ๆ ตกไปทั่วพื้น บ้างเล่มถูกฟันจนขาดและอ่านไม่ได้
ทหารแต่ละคนจากที่เมื่อก่อนยิ้มแย้มแจ่มใส ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของแต่ละคนมีรอยแผลจากการโดนดาบฟัด มีดบาด แม้แต่ตะปูทิ่มก็มี บ้างคนเลือดออกหนักมากจนต้องประถมพยาบาล
ยังโชคดีที่เสบียงอาหารยังไม่เป็นอะไรมาก น้ำก็ยังมีเหลืออยู่เยอะจากการฟาดฟันใส่กัน แต่มันก็ยังไม่พอสำหรับทุกคน
แต่ที่เรื่องเสบียงน้ำวนไม่ค่อยรู้สึกมีปัญญาเท่าไร แต่ที่น้ำวนสงสัยคือ ทำไมฐานลับนี้ถึงถูกพบได้ เพราะที่นี้เองก็ใช่ว่าจะถูกสร้างนานแล้ว แต่ที่นี้มันถูกสร้างมาได้แค่ไม่กี่วันเอง แล้วใครกันเล่าจะวิ่งไปบอกให้ท่านหญิงโอราชรู้
ไปบอก น้ำวนคิด มีคนเป็นไส้ศึกอยู่ในกลุ่มพวกเขาแน่ ๆ ถ้าลองเรียงเหตุการณ์ดูแล้วมีความเป็นไปได้สูงมาก เพราะว่าเริ่มมีข่าวลือมาว่าในกลุ่มพวกเขามีไส้ศึกอยู่ ข่าวลือนี้เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่พวกเขายกทัพไปช่วยองค์หญิงเมฆครั้งแรก ถึงครั้งแรกพวกเขาจะช่วยพระองค์ไม่ได้ แต่ก็ช่วยคนอื่น ๆ ได้ แต่ก็มีคนที่ช่วยไม่ได้ โดยคนที่มีความน่าจะเป็นไปได้ที่จะเป็นไส้ศึกของพวกเรา คือคนที่พวกเขาช่วยไม่ได้ ได้แก่ ท่านไข่ดาว ท่านทอง ท่านทับทิม หนึ่งในสามคนนี้ต้องเป็นไส้ศึกแน่ ๆ เพราะพวกเขาต่างก็มีฝีมือและเมื่อปีก่อนก็เคยคิดหาโอกาสที่จะชิงอาณาจักร
ที่อุโมงค์ วายุ สาหร่าย ตุ้ยนุ้ย ป๋องแป๋ง ถูกเหล่าคนแคระมัดมือไว้ และถูกลากเดินไปสู่ทางที่พวกคนแคระกำลังเดิน ทางเดินนั้นก็เหมือนทางเดินอุโมงค์ลับทางอื่น ๆ
ตอนที่คนแคระสั่งให้จับพวกเขา วายุกับสาหร่ายพยายามจะให้เหตุผลและบอกว่าพวกเรามาดีและไม่ได้เป็นพวกท่านหญิงโอราช แต่ตุ้ยนุ้ยก็ไม่ยอมช่วยแถมยังไปหาเรื่องพวกเขา ป๋องแป๋งก็ไม่ยอมช่วยกันเลย พวกเขาจึงถูกจับ
พวกเขาเลยต้องทำใจโดนจับในข้อหาเป็นศัตรูกลับพวกกองทัพเบียดเมฆ ตุ้ยนุ้ยไม่ยอมให้มัดมืออยู่นานจนพวกเขาต้องตุบหัวตุ้ยนุ้ยจนสลบไป สาหร่ายกับวายุพยายามพูดตั้งนานเพื่อให้เข้าใจแต่พวกเขาก็ไม่ฟังจนต้องยอมโดนจับมัด ส่วนป๋องแป๋งเหมือนจะรู้ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่ฟังจึงไม่มีที่ท่าว่าจะขัดขืน
พวกเขาถูกพาตัวไปจนถึงประตูบานหนึ่ง คนแคระคนหนึ่งเคาะประตู้หนึ่งถึงสองที ผ่านไปสักพักก็มีเสียงบอกให้เขามาได้ และคนแคระสองคนก็เปิดประตูออก พวกวายุซึ่งตุ้ยนุ้ยตอนนี้ฟื้นแล้วพยามองไปให้เห็นด้านหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นเองคนแคระทุกคนก็ยืนเรียงแถวให้หัวหน้าของพวกเขา ทุกคนมองด้วยความตะลึง
ด้านหน้าพวกเขาคนแคระคนหนึ่งเขาอยู่ในชุดเกราะสีเงิน โล่สีน้ำเงินของเขาใหญ่ยักษ์เท่าตัวเขา รองเท้าของเขาเป็นรองเท้าผ้าผสมเหล็ก มีเกาะสีเหลืองทองติดไว้ที่เกาะข้างด้านขวา ที่มือขวาของเขาถือค้อนขนาดใหญ่ มีด้ามจับสีฟ้ายาว ด้านล่างสุดของค้อนมีเหล็กสี่เหลี่ยมสีเหลี่ยง ด้านบนเป็นหัวค้อนขนาดใหญ่สีเหลืองและหนามขนาดใหญ่ติดอยู่ด้านบน ค้อนของเขามีรูปนาฬิกาทรายในแนวนอนวาดไว้ขนค้อนทั้งสองด้าน
ทุกคนโค้งคับนับให้แก่คนแคระคนนี้ที่เป็นหัวหน้าของพวกเขา คนแคระที่เป็นหัวหน้าโบกมือให้ลูกน้อง แล้วลูกน้องแคระคนหนึ่งก็ดึงรีโมตออกมากดปุ่มสีแดงไปที่ประตู แล้วทุกคนก็เข้าไปข้างใน และอีกคนคนก็ลากพวกวายุขึ้นบันไดเข้ามาข้างในห้อง ทันทีที่ทุกคนข้ามประตูไปแสงไฟสีฟ้าก็สว่างขึ้นมาและจางลงไปให้เห็นภายในห้อง
ภายในห้องทางลับนี้ เป็นห้องที่ไม่น่าเรียกว่าห้อง เพราะทางที่พวกเขากำลังเดินอยู่เป็นตลาดสองด้านแบบตลาดนัด โดยมีโคมไฟสีเหลืองค่อยให้แสงที่สวางไปทั้งห้อง มีคนแคระหลายคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เดินจับจ่ายชื่อของและขายของกันอย่างสนุกสนาน และที่นี้ยังมีชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน รถไฟราง และเครื่องเล่นมากมาย
และต่อมาพวกเขาก็พบประตูอีกบาน คนเฝ้าประตูทำความเคารพหัวหน้าของตนและเปิดประตูให้ ทั้งหมดเดินตามไป
ห้องต่อไปก็ไม่น่าเรียกว่าห้องอีกเช่นกัน เพราะมันมีตึก บ้าน โรงเรียน ไร่ สวน ดอกไม้ ต้นไม้อยู่กันเป็นระเบียบเรียบร้อย และคนที่อาศัยอยู่ที่นี้ก็เป็นเหล่าคนแคระที่เป็นทั้งเด็กละผู้ใหญ่ ตรงใจกลางผู้บ้านมีสวนสาธารณะ ตรงกลางสวนมีน้ำพุที่รุ้งกินน้ำที่มีผีเสื้อและดอกไม้อยู่รวมกันเติมไปหมด ทุกคนในนี้ต่างพูดคุยและเล่นกันอย่างสนุกสนาน และยังมีต้นไม้สีเขียวเติมไปหมด บรรยากาศของที่นี้เหมือนบนดินมาก เพราะที่นี้เองก็มีแสงจากดวงอาทิตย์เหมือนกัน
“เออ...คุณหัวหน้าคนแคระครับ” วายุถามพวกหน้าคนแคระด้วยเสียงที่กลัว ๆ นิด ๆ
“หืม...มีอะไรเจ้านกน้อย” หัวหน้าคนแคระหันหน้ามาถามด้วยเสียงที่สุภาพกว่าหน้าตา
“นี้เราอยู่บนดินหรือใต้ดินครับ”
“อ่อ” และหัวหน้าคนแคระก็หัวเราะในความไม่รู้ของวายุ “ข้าพอรู้นะว่าเจ้าไม่รู้เด็กน้อย แต่ข้าจะบอกให้ ตอนนี้พวกเราอยู่บนดินแล้ว”
สาหร่ายตะลึงกับคำตอบ “ตั้งแต่เมื่อไรครับ”
หัวหน้าคนแคระยิ้มอย่างมีความสุข “ก็ตั้งแต่อยู่ในตลาดนั้นและเด็กน้อย”
“มันจะเป็นแบบนั้นได้ไงครับ” ป๋องแป๋งถาม
“เพราะบันไดรึเปล่าครับ” สาหร่ายถาม
“นี้สาหร่ายอย่าโง่ไปหน่อยเลย บันได้เกี่ยวอะไรด้วย” ตุ้ยนุ้ยว่า
“ก็ตอนแรกเราอยู่ใต้ดิน และขึ้นบันไดมาเราก็น่าจะอยู่ข้างบนแล้ว” ป๋องแป๋งเสนอ
หัวหน้าคนแคระยิ้มให้กับทั้งสามที่ช่วยกันเสนอความเห็น “แล้วเธอละนกน้อ ” เขาถามวายุ วายุจ้องหน้าหัวหน้าคนแคระ เธอคิดว่ายัง ทำไมพวกเราถึงมาอยู่บนดินได้”
วายุลองนึกทบทวนดูและลองบอกความคิดของตน “ตอนที่เราขึ้นบันได แล้วก็เกิดแสงสีฟ้าขึ้น
“แล้วไงต่อละ”
“ประตูนั้นคงไม่ใช่ประตูธรรมดา เพราะคนแคระเก่งเรื่องการนำสิ่งก่อสร้างมาทำให้เกิดเป็นเวทย์มนต์หรืออะไรที่พิเศษได้ แสดงว่าประตูนั้นต้องเป็นประตูที่ไม่ธรรมดา รีโมตนั้นเป็นตัวควบคุมประตู ถ้าไม่ใช่รีโมตประตุก็จะไม่ทำงาน แล้วพวกเราก็จะเจอแค่ห้องเปล่า ๆ ใช่ไหมครับ”
หัวหน้าคนแคระตบมอให้วายุและยิ้มตอบให้ “ถูกแล้วนกน้อย เธอฉลาดมาก จากที่ฉันสังเกตพวกเธอมา นกน้อยเธอเป็นนกที่ฉลาดและแสนรู้ เจ้าเต่า เธอเป็นคนช่างสังเกตนะ ส่วนเอเจ้าตุ่นเธอเป็นพวกชอบใช่กำลังใช่ไหม และรู้สึกจะฉลาดน้อยที่สุดในกลุ่ม”
ตุ้ยนุ้ยโกรธจัดที่ได้ยินอย่างนี้ “พูดอย่างนี้อยากมีเรื่องหรือลุง”
หัวหน้าคนแคระสายหน้า “ฉันไม่อยากมีเรื่องกับนักโทษหรอกนะ เอาต่อไปเธอกระรอง ดูถ้าเธอจะเก่งที่สุดในกลุ่มในเรื่องศิลปะมวย เพราะคนที่ใจสงบมักจะเป็นแบบนี้”
“ขอบคุณครับ” ป๋องแป๋งกล่าวรับ
“เอาเถอะตอนนี้ข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้าแล้วสิเจ้านกน้อย”
วายุพยักหน้าให้ “ขอบคุณครับ แต่อยากให้ช่วยอธิบายหน่อยครับว่าประตุนั้นคืออะไรครับ”
“มันคือประตูมายา เราทำมันขึ้นมาสำหรับการป้องกันผู้บุกรุก ถ้าพวกเจ้าไม่มีรีโมตก็จะเข้ามาได้แค่ห้องว่างเปล่าเท่านั้น”
ทุกคนพยักหน้ารับ “แล้วลุงคนแคระชื่ออะไรครับ” สาหร่ายถาม
หัวหน้าคนแคระหันหน้าออกไปข้างหน้าแล้วกล่าวนามของตน “ฉันชื่อว่าฝูรบ”
ทุกคนนิ่ง ๆ เฉยกับชื่อ มีแต่วายุที่ตกตะลึง “ลุงคือขุนพลฝูรบ ที่ว่าเคยนำทหารสามพันไปเผ่าค่ายกองทักเบียดเมฆที่มีจำนวนเยอะกว่าหมื่นหนึ่ง”
ทั้งสามตะลึงในสิ่งที่วายุพูดถึง
หัวหน้าคนแคระหรือฝูรบยิ้มให้กับวายุ “ถูกแล้วนกน้อย แต่ตอนนี้ข้าเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพใหญ่แล้วละ เอาละถ้าเธอรู้จักฉัน ไหนลองบอกมาสิว่าทำไมฉันถึงต้องใช่ทหารแค่สามพันไปเผ่าค่ายกองทัพเป็นหมื่น”
หลังจากได้ฟังวายุก็ตอบทันที “เพราะถ้าท่านใช้ทหารเยอะเกินไปจะเป็นที่สังเกตได้ง่าย เพราะถึงแม้ว่าจะเคลื่อนทัพไปเยอะ แต่จุดยุทธศาสตร์ไม่เอื้ออำนวยต่อคนแคระมากนัก และเส้นทางที่ท่านใช่เดินทัพก็เป็นทางน้ำลึก จึงจำเป็นต้องให้คนให้น้อยที่สุดและให้วิธีเผ่าค่ายจะเหมาะที่สุด เพราะว่าน้ำนั้นลึกมาก แต่ตอนเผ่าค่ายท่านก็ต้องเผ่าปิดทางหนีด้วย เพื่อกันข้าศึกหนีออกไป”
ฝูรบตบมือให้วายุ “ถูกแล้วนกน้อย อา...จึงด้วยพวกเธอชื่ออะไรกันบ้าง”
แล้วทุกคนก็แนะนำชื่อตัวเองกัน ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ พวกเขาก็ถูกพามาถึงปราสาทหลังใหญ่ปราสาทนี้มีสวนแหลมที่เป็นหลังคาสามที่ หน้าต่างแต่ละบานมีรูปคนแคระระดับตำนานที่วายุรู้จักประดับไว้ ส่วนบนปราสาทเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม ถูกทาด้วยสีเทาอมแดงจนดูเหมือนทับทิม ที่ประตุหน้ามีคนแคระสองคนถือขวานเงินยาวเผ่าปรูอยู่
เมื่อทุกคนไปถึงหน้าประตูพวกเขาก็ทำความเคารพฝูรบ และเปิดประตู ภายในปราสาทเป็นทางเดินแบบเขาวงกต ด้านในมีภายมีรูปของราชวงศ์คนแคระมากมาย หลังจากนั้นก็เป็นประตูห้องต่าง ๆ มีป้ายบอกกำกับไว้ว่านี้คือห้องอะไร เช่น ห้องฝึก ห้องทหาร ห้องครัว หลังจากเดินไปสักพักก็เจอกับประตูบานใหญ่สีแดง มีทหารคนแคระสองคนเฝ้าอยู่เช่นกัน ทั้งทำความเคารพฝูรบ และฝูรบก็สั่งให้พวกเขาแก้เชือกให้ทั้งสี่
ทั้งสี่มีสีหน้างงเล็กน้อย แต่เชือกที่พันอยู่ก็ถูกแก้ออกและพวกเขาก็ถูกเชิญเข้าไปในห้อง
ภายในห้องเป็นห้องสี่เหลี่ยมยาว ทางเดินที่ยาวนั้นถูกปูด้วยพื้นพรมสีแดงยาว แต่และด้านของแต่ละฝั่งทั้งซ้ายและขวา มีคนงายคนแคระกำลังช่วยกันทำงาน ทั้งจัดเรียง วางของ ขัดอาวุธ ละงานต่าง ๆ นา ๆ ด้านในสุดของห้องมีคนแคระคนหนึ่งอยู่ในชุดสีแดงที่หรูร่า มีหมวกมงกุฎสีทองสวมผู้ที่หัว หนวนเคราถูกทักจนดูสวยงามมาก นั่งอยู่ที่บันลังก์
ทุกคนทำความเคารพคนแคระที่นั่งอยู่ ทำให้พวกเขารู้แล้วว่าคนแคระคนนี้คือพระราชา
ฝูรบเดินไปข้างหน้าและกล่าวทำความเคารพและเริ่มกล่าว “กระหม่อมฝูรบได้พาพระสหายทั้งสี่มาพบท่านพระราชาโยทินขอรับ”
ทุกคนรวมทั้งราชาคนแคระหรือพระราชาโยทินต่างงงกันไปหมด เพราะตอนแรกยังเห็นพวกเขาเป็นพวกกองทัพเบียดเมฆอยู่เลย “ท่านมั่นใจรึเปล่าท่านฝูรบ”
ฝูรบพยักหน้าตอบ “จากการที่กระหม่อมได้ทำการสนทนากับทั้งสี่ตัวนี้ ยิ่งทำให้กระหม่อมมั่นใจมากขอรับ”
“แล้วทำไมท่านถึงจับพวกเขามาละ
ฝูรบชี้ไปที่เหล่าทหารของตน “ทหารของกระหม่อมนั้นไม่รู้ว่าพวกเขานั้นมาดีขอรับ หรือถ้าจะพูดกันง่าย ๆ ก็คือ พวกเราเข้าใจพวกเขาผิด และอีกอย่างพวกเขายังเด็กนัก”
พระราชาโยทินพยักหน้า “แล้วพวกเขามีลักฐานอะไรมาแสดงตัวว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ละ”
ทันทีที่ได้ฟังวายุจึงรีบนำแผนที่มาให้ราชาโยทิน “นี้เป็นแผนที่ของพี่น้ำวน ที่หมอบให้แก่พวกเราขอรับ”
พระราชาโยทินรับมาดูและอุทานออกมาดัง ๆ “จริงด้วย นี้เป็นแผนที่ของน้ำวน พวกเจ้าบอกว่าน้ำวนหมอบให้เหรอ มันเป็นไงมาไงเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”
แล้วพวกเขาก็เริ่มเล่ามาตั้งแต่ตน โดยเริ่มจากตอนที่วายุเริ่มเดินทางออกจากบ้าน แล้วมาที่หมู่บ้านที่ตุ้ยนุ้ยอาศัยและก็ออกเดินทางมาด้วยกัน จากนั้นก็มาถึงตอนที่วายุตกปลาแต่กับได้สาหร่ายและสาหร่ายกับตุ้ยนุ้ยก็ทะเลาะกันจนป๋องแป๋งทนไม่ไว้จึงลงมารวมด้วย จนวายุต้องมาห้ามแล้วทั้งสี่ก็เดินทางมาด้วยกัน และให้เหตุผลว่า ที่พวกเขาเดินทางไปด้วยกันก็เพราะพวกเขามีจุดหมายเดียวกันคือ ช่วยองค์หญิงเมฆ ทุกคนอุทานออกมาดังทั้งห้องที่ได้ยินประโยคนี้ และก็เล่าถึงตอนที่ไปเจอกับกองทัพใหญ่ของกองทัพเบียดเมฆ และได้เห็นใบหน้าขององค์หญิงเมฆ ทุกคนที่ฟังถึงกับตะลึงและถามว่าตอนนั้นองค์หญิงเมฆเป็นยังไงบ้าง พวกเขาตอบว่าพระองค์สบายดี และก็มาพบหมู่บ้านผลไม้ และได้รู้จักกับ น้ำวน ดอกไม้ ลุงแอป ป้าเปิล แล้วน้ำวนก็พาพวกเขามาที่ทางลับ แต่พอถึงห้องลับที่จะไปก็กลับมีทหารของกองทัพเบียดเมฆมาถึงที่นี้ น้ำวนจึงให้แผนที่แก่พวกเขาและบอกให้ไปหาแม่มดฟรีแล้วกลับเข้าไปห้องลับนั้น คนแคระที่ฟังพากันเงียบกันหนักและเริ่มเป็นห่วงน้ำวน แล้วพวกเขาก็เล่าต่อถึงการเดินทางต่อแต่ไปเจอพวกผีชีวะ แล้วก็เล่าถึงตอนที่ตุ้ยนุ้ยขุดหลุมฝังพวกผีชีวะสำเสร็จ และก็มาถูกพวกคนแคระจับ
ราชาคนแคระฟังเสร็จก็เลือดขึ้นหน้าแล้วก็ปาแก้วพาสจิกใส่พวกลูกน้อง “เจ้าพวกโง่ พวกเจ้าทำไมไม่ดูให้ดีชะก่อน พวกแกน่าจะดูออกแต่แรกแล้วนะ เพราะดูพวกเขาสิยังเด็กยังเล็ก แต่กับมีความกล้าหาญยิ่งกว่าผู้ใหญ่อย่างพวกเรา” แล้วราชาคนแคระโยทินก็หันหน้ามาทางพวกเขา “ฉันต้องขออภัยจริง ๆ เพื่อนตัวน้อยที่บริวารของฉันมันไม่ค่อยคิดอะไรก่อนทำ”
ป๋องแป๋งเห็นเป็นโอกาสจึงรีบกล่าวแทรกว่า “งั้นพวกกระหม่อมขอออกเดินทาง ๆ ไปช่วยองค์หญิงเมฆต่อได้ไหม”
ราชาโยทินพยักหน้า “ย่อมได้ เอาละพวกเจ้าทหารไม่ได้ความพวกเจ้ารีบ...” แต่จู่ ๆ ฝนก็ตกลงมา เสียงฟ้าร้องดังก้องไปทั่วห้อง
“แย่มาก ฝนบ้าเอย สงสัยพวกเธอต้องพักที่นี้ไปก่อน อีกอย่างพวกเจ้ามากันเหนื่อย มาพักผ่อนก่อนพรุ่งนี้พวกเจ้าค่อยไปแล้วกันทหาร” แล้วทหารคนแคระจำนวนหนึ่งก็วิ่งตรงมาหาพระราชาของตน “เอาสัมภาระของพวกเขาไปเก็บและพาพวกเขาไปพักผ่อน เย็นนี้เราจะฉลองให้แก่ผู้กล้าตัวน้อยกัน”
คนแคระสองคนนำทางทั้งสี่ไปห้องพักที่อยู่ตรงข้ามกับห้องพยาบาล ภายในห้องมีเตียงสี่เตียงที่ดูเหมือนมันจะรู้ว่าจะมีแขกสี่คนมาพัก เตียงทุกเตียงมีรูปร่างเหมือนกัน เป็นเตียงไม้ใหญ่ ผ้าห่มเป็นสีดำเข้ม หมอนเป็นสีแดงเข้มเหมือนกัน
ทั้งหมดเก็บสัมภาระของตนไว้ข้าง ๆ และเริ่มปรึกษากันว่าจะเอายังไงต่อดี โดยทุกคนลงความเห็นว่าควรจะทำตามที่น้ำวนแนะนำคือ ไปหาแม่มดฟรี แต่เสียงฟ้าร้องก็ดังก้องไปทั่วปราสาทและเมืองลับนี้ หลังจากได้พักวายุก็ตรวจดูแผนที่ แต่ก็ตะลึงที่จู่ ๆ แผนที่ก็ไม่ได้แสดงตำแหน่งของพวกเขาที่อยู่ในท่อ แต่กับแสดงตำแหน่งของปราสาท และก็บรรยายพื้นที่และอาณาเขตของปราสาท วายุลองถามทุกคนดูว่าเป็นเพราะอะไร ทุกคนให้คำตอบเดียวกันว่าไม่รู้
ตกเย็นฝนยังคงตก พวกเขาถูกเชิญให้ไปกินอาหารเย็น และเริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องข้อมูลที่รู้มา เกี่ยวกับเรื่ององค์หญิงเมฆและกองทัพเบียดเมฆ วายุจึงถามเรื่องแผนที่ ฝูรบจึงให้คำตอบกับพวกเขา โดยบอกว่า แผนที่นี้เป็นแผนที่มนต์ตรา มันจะแสดงตำแหน่งและสภาพแวดล้อมตามจุดยืนของผู้ถือ เช่นตอนแรกพวกเขาอยู่ในท่อ แผนที่จะแสดงสภาพแวดล้อมของท่อ แต่ถ้าอยู่ในปราสาทแผนที่ก็จะแสดงสภาพแวดล้อมของปราสาท ทั้งสี่พยักหน้ารับ หลังจากกินอาหารเสร็จราชาโยทินก็กล่าวบ้างอย่าง “วันนี้เป็นวันดีที่พวกเราได้ต้อนรับผู้กล้าตัวน้อย พวกเราเองอยากไปช่วยนะ แต่พวกคนใหญ่คนต่อก็วางอำนาจไม่ยอมกันใหญ่” แล้วพระราชาก็ลุกขึ้นและเริ่มกล่าวต่อ “แต่เพราะพวกเรากลับต้อนรับผู้กล้ารุนแรงเกินไป และเข้าใจพวกเขาผิด พวกเราอยากขอโทษพวกเขา ด้วยการเชิญพวกเขาตามประเพณีของคนแคระแบบพวกเรา” คนแคระทุกคนที่ฟังหน้าบานและยิ้มหันใหญ่ “พวกเราอยากขอเชิญพวกเจ้ามาประลองปัญญากับพวกเรา เพราะตามทำเนียมแล้วเวลามีแขกมาจากแดนต่าง ๆ พวกเราจะเชิญชวนพวกเขามาประลองปัญญากัน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และภูมิปัญญา พวกเจ้าทั้งสี่พอจะให้เกียรติพวกเรามาประลองปัญญากับพวกเราไหม”
ตุ้ยนุ้ยยิ้มและกล่าวว่า “ด้วยความยินดีครับ เอาเลยวายุ”
วายุจ้องหน้าตุ้ยนุ้ย “ฉันเหรอ”
ป๋องแป๋งช่วยเสริม “ฉันเห็นด้วย วายุ นายคือคสเดี๋ยวที่ตอบปัญหาที่พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนได้”
สาหร่ายเสริมปิดท้าย “เชื่อพวกเราเถอะว่านายทำได้เพื่อน”
วายุเห็นทุกคนหมันใจในตัวเขาเขาก็พยักหน้า “ได้”
ราชาคนแคระพยักหน้า“ดี ท่านฝูรบท่านสมหวังแล้วละ”
“สมหวังอะไรครับ”
ฝูรบลุกขึ้นมาและเดินไปหานกขุนทองน้อย “วายุ เธอเป็นนกที่ไม่ธรรมดา ไม่เคยมีใครทำให้ฉันคิดว่า ในโลกใบนี้ยังมีผู้มีสติปัญญาที่จะมาประลองกับฉันได้สนุกอีกแล้ว แต่วันนี้ฉันได้พบผู้มีสติปัญญาที่สามารถทำให้ฉันรู้สึกสนุกได้ ซึ่งก็คือนกขุนทองอย่างเธอ”
วายุพยักหน้าเพื่อบอกให้รู้ว่าเขาเข้าใจ และจะพยายามให้เติมที่ พระราชาโยทินจึงเชิญทุกคนไปที่ห้องประลอง
ในห้องประลอง เป็นห้องวงกลมใหญ่ บริเวณริมห้องเป็นที่นั่งของผู้ชมทั้งหลาย ตรงกลางห้องประลองมีโต๊ะใหญ่อยู่ตรงกลาง และโต๊ะขนาดใหญ่ของตัวอยู่ริมซ้ายตัวหนึ่ง ริมขวาตัวหนึ่ง แสงจากห้องนี้มาจากโคมไฟที่ทองสวยบนเพดาน ซึ่งหลังจากที่ราชาคนแคระได้ประกาศว่าจะมีการประลองปัญญาเกิดขึ้นผู้คนที่เป็นทั้งคนแคระ คนธรรมดา กบ นก เหยี่ยว สุนัก แมว ปลาก็พากันเดินทางมาดูการประลองที่นาน ๆ จะมีสักครั้ง
ทุกคนในห้องทั้งกองเชียร์ และเข้าแข่งขันได้พร้อมกันแล้ว กรรมการที่อยู่กลางห้องเป็นคนแคระในชุดดำผูกเนคไทสีเทา กางเกงดำยาว ถือไมมาและเริ่มประกาศไปทั่ว ทุกคนต่างรอการประกาศกันอย่างตื่นเต้น รวมทั้งตุ้ยนุ้ย ป๋องแป๋งและสาหร่ายด้วย และฝนจะกำลังตกอยู่ก็ตาม “คืนนี้เป็นคืนที่ดี วันนี้ท่านแม่ทัพฝูรบ ผู้ที่ชนะการประลองปัญญาที่ทุกคนชื่นชอบไปถึงเก้าสิบเก้าครั้ง ได้ผมคู่ปรับที่ถูกชะตาและรู้สึกสนุกได้ เป็นลูกนกขุนทองตัวน้อย นามว่าวายุ” มีเสียงเชียร์ดังกระหึมไปทั่วทั้งห้อง และเริ่มมีการพนันกันว่าใครกันจะชนะ โดยที่ส่วนใหญ่เลือกไปที่ฝูรบ บ้างคนเลือกที่วายุเพราะด้วยที่เป็นนกที่ทำให้ฝูรบถูกชะตาและสนุกได้ ต้องเป็นนกที่ไม่ธรรมดาแน่ แล้วพระราชาโยทินก็ชูมือขึ้นเป็นสัญญาบอกให้เงียบ “เอาละครับท่านผู้ชมขนาดนี้ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้วเราขอเปิดเพลงชาติกันก่อนนะครับ” แล้วเสียงเพลงก็ดังขึ้นมา ทุกคนลุกขึ้นยืนและร้องเพลงตามเสียงที่ดังออกมา
อาณาจักรดอกฟ้าที่แสนสวยงาม มีเจ้าหญิงผู้เลิศงาม พวกเราต่างรักใคร่ท่าน
หากให้ดูแคละ พระองค์ก็สงค์เข้าใจเรา รุ่งอรุ่นใกล้เข้ามา
ยามเช้าพวกเรา ก็ออกทำงาน พอช่วงบานเข้าใกล้
เราก็หยุดพักงาน ยามเย็นเรียกหา พวกเราก็พัก
นอนหลับฝันดี ขอทุกคนฝันดีเอย
เสียงเพลงเงียบลงทุกคนพากันปรบมือ พระราชาโยทินชูมือขึ้นให้ทุกคนนั่งลง แล้วกรรมการก็เริ่มบอกกล่าวเปิดการแข่งขัน “จบไปแล้วครับกับการร้องเพลงชาติของเรา ตอนนี้ก็ถึงเวลาอันเหมาะสมแล้วที่เราจะเริ่มการประลองได้”
เสียงผู้คนปรบมือและร้องเชียร์กันทั่วทั้งห้อง แม้แต่สาหร่าย ตุ้ยนุ้ย ป่องแป๋งก็เอาด้วย และพระราชาโยทินก็ชูมือขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้เงียบอีกครั้ง และกรรมการก็เริ่มบอกกติกาการแข่งขัน “เอาละครับต่อไปจะเป็นการกล่าวกติกาการแข่งขัน จริงอยู่ว่าบ้างคนอาจจะทราบแล้ว แต่เนื่องจากผู้เข้าแข่งขันของเรามาจากแดนไกลเราจึงขออนุญาตบอกกติกาอีกครั้งหนึ่งครับ เอาอุปกรณ์ออกมา” สิ้นเสียงก็มีคนแคระสามคนหยิบอุปกรณ์การแข่งมา คนแรกแบกไม้ยาวที่พอตั้งแล้วก็ยาวถึงสองฝั่งของผู้แข่งขัน ไม้ยาวนี้มีร่องยาวตั้งแต่ฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งเหมือนท่อ อีกคนเอาลูกบอลสีเขียววางไว้ที่ร่องทางฝั่งแม่ทัพฝูรบ คนที่สามหยิบกระดาษมาแผ่นหนึ่งให้กรรมการอ่าน “เอาละครับกติกามีอยู่ว่า ฝั่งไหนมีลูกบอลสีเขียวนี้อยู่ ฝั่งนั้นจะเป็นฝั่งถามก่อน เมื่อถามเสร็จให้กลิ้งลูกบอลไปทางฝั่งตรงข้าม ฝั่งตรงข้ามจะมีเวลาคิดหาคำตอบได้จนกว่าลุกบอลจะมาถึงฝั่งตน เมื่อลูกบอลมาถึงฝั่งแล้วท่านจะมีเวลาแค่สามวินาทีในการตอบคำถาม ถามตอบไม่ได้ก็จะแพ้ทันที แต่ถามตอบได้ ฝั่งที่ตอบก็ถามคำถามและส่งลูกบอลไปให้เขาตอบ และเมื่อถึงฝั่งก็ตอบและถามต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าคำตอบนั้นถูกก็ให้ประกาศว่าถูก จนกว่าจะมีคนตอบผิด โดยถามคำตอบนั้นผิดท่านต้องให้เหตุผลของคำตอบนั้นด้วย ถ้าเหตุผลนั้นฟังไม่คิดจะถูกปรับฟาวล์และแพ้ทันที”
หลังกรรมการพูดจบก็หยิบน้ำขึ้นมากินยกใหญ่จนหมดแก้วและประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “เริ่มการประลองได้” เสียงโห่ร้องและเสียงเชียร์ดังก้องไปทั่วห้อง จนพระราชาโยทินต้องชูมือห้ามอีกรอบ
แม่ทัพฝูรบแตะลูกบอลและเริ่มถาม “ “ลมว่าว” มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อะไร ?” และกลิ้งลูกบอลไปทางวายุ วายุรับมาด้วยการใช่ปีกและตอบทันที “ลมสลาตัน” “ถูก”
เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วห้องแล้ววายุก็เริ่มถามต่อ “ฝน1ห่าหมายถึงฝนตกเต็ม”
แล้วกลิ้งลูกบอลไปให้แม่ทัพฝูรบ แม่ทัพฝูรบยิ้มรับและตอบทันที “หลอกฉันไม่ได้หรอกวายุ คำตอบคือ 1 บาตรพระ” “ถูก”
เสียงกองเชียร์ดังก้องไปแล้วการประลองก็เริ่มดุเดือนขึ้นเรื่อย ๆ โดยทั้งคู่สามารถถามและตอบคำถามได้ถูกต้องซึ่งคำถามและคำตอบที่พวกเขาทายกันได้แก่
ฝูรบถามว่าแสงเรืองๆจากตัวหิ่งห้อยมาจากส่วนใด วายุตอบว่า ก้น
วายุถามว่าเชื้อโรคบาดทะยัก จะเข้าสู่ทางส่วนใดของร่างกาย ฝูรบตอบว่า บาดแผล
ฝูรบถามว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ออกลูกเป็นไข่คืออะไร วายุตอบว่า ตุ่นปากเป็ด
วายุถามว่าอายุของต้นไม้ดูกันตรงไหน ฝูรบตอบว่า วงแหวนของเนื้อไม้วงแหวนรอบหนึ่งนับ 1 ปี
ฝูรบถามว่าผลไม้อะไรที่ได้ชื่อเป็น ราชินีผลไม้ วายุตอบว่า มังคุด
วายุถามว่านกอะไร บินถอยหลังได้ ฝูรบตอบว่า นกฮัมมิ่ง
จนถึงคำถามที่ถามว่าเวลาระบายสีจะเกิดอะไรขึ้น วายุเกือบจะตอบว่าสีจะเข้มแต่ก็ตอบว่า สีจะติดและเข้มกัน เพราะนี้ไปให้ปัญหาความรู้แต่นี้เป็นปัญหาเชาว์ และต่อมาวายุก็ถามว่า เหยี่ยวห้าตัวถูกยิงหนึ่งตัวจะเหลือกี่ตัว ฝูรบตอบว่า สี่ตัว วายุประกาศว่าผิด
ทุกคนในที่ประลองพากันเงียบและรอวายุอธิบาย แล้ววายุก็เริ่มอธิบายว่า “ทุกคนลองนึกถึงความเป็นจริง เวลาที่เหล่าฝูงสัตว์ได้ยินเสียงอะไร มันก็จะรีบวิ่งหลบภัย เหยี่ยวก็เช่นกัน ถึงแม้มันจะเป็นนกที่น่าเกรงขาม แต่เมื่อมันได้ยินเสียงปืนหรือเพื่อนถูกยิงจะพลาดหรือโดนมันก็จะบินหนีหลบภัยก่อน”
ทั้งในห้องพากันเงียบ แล้วแม่ทัพฝูรบก็หัวเราะปรบมือให้วายุ “นกตัวนี้พูดถูกแล้ว มันก็เหมือนคำถามของกระผมที่ถามว่าทาระบายสีจะเกิดอะไร ถ้าเขาบอกแค่ว่าสีจะเข้มก็ผิด คำตอบของข้อนี้ก็ควรจะเป็นทั้งเหลือสี่ตัวและพวกมันก็พากันหนีไปหมดจนไม่เหลือ”
วายุพยักหน้าและบอกว่าถูก ฝูรบจึงบอกให้กรรมการประกาศผลการแข่งขัน กรรมการตะลึงสักพักและประกาศว่า “ผู้ชนะคือวายุ นกน้อยจากหมู่บ้านพรรณไม้”
ทุกคนปรบมือให้ทั้งสองที่แข่งขันกันอย่างสู่สีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่แม่ทัพฝูรบ ผู้มีสติปัญญาสูงแพ้ สาหร่าย ตุ้ยนุ้ย ป๋องแป๋ง วิ่งทั้งกอดทั้งตบหลังวายุ
แม่ทัพฝูรบเข้ามาใช่มือจับปีกวายุเป็นจับมือที่ดูแปลกประหลาดแต่ทุกคนก็ปรบมือให้ และแม่ทัพฝูรบก็ประกาศดัง ๆ ด้วยรอยยิ้มที่หาดูได้ยากยิ่งว่า “บัดนี้พวกเราได้พบกับผู้มีสติปัญญาคนใหญ่ ที่สามารถชนะตัวกระหม่อมได้ ด้วยปัญญาและไหวพริบ เป็นสิ่งที่น่ายกย่องและหาได้ยากนัก ที่เด็กอายุประมาณนี้จะมีปัญญาได้ขนาดนี้”
ทั้งห้องปรบมือและส่งเสียงโอ่ร้องอีกยกใหญ่ แม่แต่พระราชาโยทินเองก็เป็นกลับเขาด้วย ฝูรบจ้องหน้าวายุแล้วกล่าวประโยคปิดท้าย “วายุ ถ้าเป็นไปได้ ฉํนอยากจะประลองปัญญากลับเธออีกครั้ง”
วายุพยักหน้ารับและตอบว่า “ผมก็เหมือนกันครับ”
ความคิดเห็น