คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เล่ห์ที่ ๒
เสียงพูดคุยที่ดังเล็ดรอดมาจากโต๊ะอาหาร
ทำให้เท้าที่กำลังจะก้าวเดินต่อไปของชายหนุ่มพลอยหยุดชะงัก
และรับฟังบทสนทนาที่แววมาเข้าหูอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“นดา ทานนี่หน่อยนะลูก
ผัดซี่โครงหมูแม่วาสเขาทำอร่อยมากเลย”
“ขอบคุณค่ะ คุณพ่อ”
“ปลาทอดนี่ก็อร่อยนะ
ลองทานดูแม่วาสเขาขึ้นชื่อเรื่องการปรุงรสนักเชียว”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวได้แต่กล่าวขอบคุณซ้ำไปซ้ำมาเพราะไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่านั้น
ก่อนจะหันมองแม่ครัวที่ได้รับคำชมกำลังพูดถ่อมตนและเชิญชวนให้เธอหญิงสาวทานกับข้าวฝีมือนาง
นี่ถือเป็นเช้าวันแรกที่เธอตื่นขึ้นมาภายใต้ชายคาของ บ้านวงษ์วิริยะ ถือว่าเป็นเช้าที่ไม่เลวนัก
และเธอก็หวังว่ามันจะดีอย่างนี้ไปตลอด
“แหม
คุณท่านก็ชมอิฉันเกินไปเดี๋ยวอิฉันก็ตัวลอยคำยอกันพอดี
แต่ว่าคุณหนูลองทานนี่ดูซิแกงจืดตำลึงอิฉันถามมาจากคุณท่านเมื่อวานนี้
เห็นว่าคุณหนูชอบไม่รู้ว่ารสมือจะถูกปากคุณหนูรึเปล่า” วาสนาแม่ครัวประจำบ้านวงษ์วิริยะเอ่ยด้วยท่าทีขัดเขินก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาลงเหมือนไม่ค่อยมั่นใจในตอนท้าย
นดาเห็นดังนั้นจึงตักแกงจืดตำลึงของโปรดของเธอทาน
แล้วบอกแม่ครัวของบ้านวงษ์วิริยะอย่างที่ใจรู้สึก
“อร่อยมากเลยค่ะแม่วาส
กับข้าวฝีมือแม่วาสอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่ทำให้นดาทาน”
พร้อมทั้งยิ้มให้ วาสนาเห็นดังนั้นยิ่งปลื้มอกปลื้มใจในความน่ารัก
น่าเอ็นดูของหญิงสาวที่ก้าวเข้ามาเป็นนายอีกคนยิ่งขึ้น
ก่อนจะรีบหลบเข้ามุมของตนแทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงนายน้อยของตน
“สร้างภาพเอาใจคนแก่เก่งจริงๆ”จากเมื่อเช้าที่ชายหนุ่มตื่นขึ้นอย่างมาอารมณ์ดีที่คิดว่าได้แกล้งน้องอุปโลกน์พอสมควร
พอมาได้ยินบิดาเอาอกเอาใจพะเน้าพะนอหญิงสาวสารพัดเท่านั้นแหละอารมณ์ที่เคยคิดว่าดีก็หายวับไปกับตายิ่งมาเห็นว่าทุกคนในบ้านไม่เว้นแม้กระทั่งแม่ครัวหรือสาวใช้ให้ความสนใจในตัวหญิงสาวเขาก็ยิ่งหงุดหงิด
วรุทรีบสาวเท้าเข้าไปหาคนกลุ่มคนที่กำลังลังตกใจในการปรากฏตัวของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งไม่ลืมที่จะพูดกระแนะกระแหนคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ให้รู้สึกเจ็บๆคันๆเล็กๆน้อยๆ
“ดูท่าทางจะมีความสุขกันดีนะครับ” สิ้นเสียงของวรุท
ทั้งบิดาและยัยนดาหน้าหวานก็หันมามองเขาพร้อมกัน
ชายหนุ่มเลือกนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับนดา
ในจังหวะที่เขานั่งนั้นเขาก็เห็นเจ้าหล่อนมองเขาอยู่ก่อนแล้วด้วยตาโตๆที่จ้องค้างอยู่บ่งบอกถึงอารามตกใจที่เห็นหน้าเขา ‘น่ารัก’น่ารักเหรอบ้าน่าไม่ใช่ซักหน่อย
ชายหนุ่มสับสนความคิดของตัวเอง
แวบแรกที่เขาเห็นหญิงสาวมันทำให้เขารู้สึกว่าท่าทางตกใจของเธอนั้นมันน่ารักดี
แต่เขาก็ไม่อยากยอมรับซักเท่าไหร่แต่พอจะไม่ยอมรับมันก็ค้างคาใจ
ยัยนี่เป็นแม่มดรึเปล่าวะ วรุทได้แต่สถบไม่พอใจอยู่คนเดียว
“บ้าจริง!”
“แกเป็นอะไรของแกฮะ บ่นงึมงำอยู่คนเดียวก็เป็น”
เสียงของผู้เป็นบิดาถามขึ้นหลังเห็นลูกชายตัวเองมองหน้าลูกสาวคนใหม่แล้วเอาแต่พึมพำอยู่คนเดียว
เมื่อได้ยินเสียงบิดาถาม
เขาก็ปรายตามามองหญิงสาวก่อนก่อนที่จะหันหน้าไปพูดกับผู้เป็นพ่ออย่างหงุดหงิด
ไม่รู้ว่าหงุดหงิดใครระหว่าง ‘ยัยแม่มดหน้าหวาน’ตรงหน้าซึ่งมันเป็นคำเรียกที่เขาคิดขึ้นมาตอนที่เห็นหน้าของเธอเมื่อคืนนี้เองหรือว่าตัวเขาเอง
“พ่อสนผมด้วยหรอครับว่าผมจะเป็นอะไร
เห็นสนใจแต่เมียเอ๊ยลูกสาวคนใหม่”
ท้ายประโยคเขาก็ไม่วายแอบเหน็บหญิงสาวคนเดียวที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วย
พร้อมทำเสียงเหมือนตกใจที่ตนเองพูดผิดซะเต็มประดาทั้งที่หน้าเขาสวนทางกับคำพูดลิบลับ
นดาถึงกับหน้าชากับสรรพนามที่เขาใช้เรียกได้แต่ก้มหน้ามองจานข้าวเพราะไม่รู้จะพูดหรือทำหน้ายังไงดี
ต่างจากผู้เป็นบิดาที่รู้สึกโกรธแทน
ไอ้ลูกชายตัวดีนอกจากมันจะไม่ให้เกียตริหญิงสาวที่เข้ามาอยู่ในฐานะน้องแล้วมันยังไม่ไม่ให้ เกียตริ
เขาซึ่งเป็นพ่อของมันอีกถึงได้พูดอะไรไม่คิดอย่างนี้
“เจ้ารุท! แกจะพูดจะจาอะไรหัดระวังปากซะมั่ง
ฉันเคยบอกแกแล้วไม่ใช่เหรอว่านดาจะมาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร
อย่าให้ฉันได้ยินแกพูดถึงน้องในทางที่เสื่อมเสียอีกนะ เพราะฉันจะถือว่าไม่ใช่แค่แกดูถูกน้องแต่แกยังดูถูกฉันซื่งเป็นพ่อของแกอีกด้วย
นดาลูกนี่เจ้าวรุทลูกชายของพ่อแล้วตอนนี้เขาก็เป็นพี่ชายของหนูด้วย
ส่วนแกนี่นดาน้องสาวของแก”
ท้ายประโยควศินหันมาแนะนำบุตรชายเพียงคนเดียวให้หญิงสาวรู้จักด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
แล้วก็ไปอีกข้างเพื่อแนะนำนดาให้ลูกชายตัวเองรู้จัก ด้วยนำเสียงที่ติดจะแข็งหน่อยๆ
‘เฮอะ
ช่างยุติธรรมเหลือดีเกินพูดกับยัยหน้าหวานซะเพราะเชียวที่กับลูกชายตัวเองแทบจะกัดหัวกิน’ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจแต่ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่คำพูดของเขาทำให้บิดารู้สึกไม่สบายใจ
แถมเขายังพูดต่อหน้าเด็กในบ้านตั้งมากมาย
ก่อนจะหันมามองคนตรงหน้าเมื่อได้ยินเสียงหวานๆดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ พี่รุท”
หลังจากที่นั่งเงียบอยู่นานนั่นเป็นประโยคแรกที่นดาได้พูดขึ้นหลังจากที่ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นมา
นดายอมรับกับตัวเองว่าตกใจที่รู้ว่าเขาเป็นคนเดียวกันกับผู้ชายปริศนาที่เธอพบเมื่อคืนนี้ถึงแม้ว่าจะคิดไว้แล้วก็ตามว่าเขาอาจจะเป็นลูกชายของผู้ที่อุปการะตน
แล้วจากที่หญิงสาวฟังการพูดคุยของเขากับพ่อยิ่งทำให้รู้ว่าเขาไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่ที่ตนเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้
ก็แน่ละสิ เป็นเธอก็คงจะไม่ชอบที่อยู่ๆไม่รู้พ่อก็พาใครที่ไหนเข้ามาในบ้าน ‘หรือว่าเขากลัวว่าเราจะมาแย่งสมบัติกันนะ’ ยิ่งได้ยินคำพูดเหมือนดูถูกที่เขากล่าวออกมาเธอเองก็ยิ่งไม่สบายใจ
หญิงสาวพยายามคิดหาคำตอบให้ตัวเองว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบเธอแต่เสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะการคิดซะก่อน
“เอากองไว้ตรงนั้นแหละ
แล้วฉันก็ไม่ได้อยากได้เธอมาเป็นน้องสาวไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพี่”
สิ้นเสียงของชายหนุ่ม หญิงสาวก็หน้าซีดลงได้แต่ก้มหน้ามองมือตัวเอง
จนผู้เป็นพ่ออดไม่ได้ที่จะปรามลูกชายอีกครั้ง
“เจ้ารุท นั่นน้องนะ”
เมื่อเห็นว่าลูกชายจะค้านผู้เป็นพ่อก็ยกมือส่งสัญญาณห้ามซะก่อนแล้วรีบพูดต่อ
“หยุด! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแกมีหน้าที่แค่รับฟังที่ฉันจะ ‘สั่ง’ เพียงอย่างเดียวพอ
ต่อไปนี้ก่อนที่แกจะไปทำงาน แกต้องแวะไปส่งน้องที่มหา’ลัยก่อนเพราะมันเป็นทางผ่านไปบริษัทอยู่แล้ว
นดาต่อไปนี้ลูกก็ติดรถพี่เขาไปมหา’ลัยนะจะได้ไม่ลำบากนั่งรถเมล์ไปแล้วตอนกลับก็รอกลับพร้อมพี่เขา”
วรุทชักสีหน้าไม่พอใจเมื่อได้ยินบิดาเน้นว่าเป็นคำสั่งไม่ใช่การขอร้องแต่อย่างใด
เมื่อกำลังจะอ้าปากกล่าวค้าน ก็ไม่ทันยัยแม่มดหน้าหวานที่นั่งอยู่ตรงฝั่งตรงข้าม
“คุณพ่อคะ
ไม่ต้องให้นดาไปกับคุณรุทหรอกค่ะนดาไปเองได้แค่นี้ไม่ลำบากอะไร”
นดาหมายความตามที่พูดจริงๆแม้แต่สรรพนามที่ใช้เรียกชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป
ก็เขาบอกเองนิว่าไม่ให้เธอเรียกว่าพี่
แล้วเธอจะกล้าเรียกได้ยังไงล่ะเมื่อได้ยินดังนั้นวรุทรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาซะเฉยๆไม่รู้ว่าเป็นเพราะสรรพนามที่เปลี่ยนไปหรือเพราะที่เธอปฎิเสธไม่ยอมติดรถไปกับเขากันแน่
ต้องเป็นอย่างหลังแน่เพราะเธอไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเขาต่างหากล่ะที่ต้องเป็นฝ่ายปฏิเสธถึงจะถูก
ยัย
นดาหน้าหวานกล้าดียังไงมาตัดหน้าพูดก่อนเขา
ยอมไม่ได้มันหยามกันชัดๆ!
“คุณพ่อครับ ผม...”
วรุทยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ก็ต้องถูกเบรกด้วนน้ำเสียงทรงอำนาจของบิดา
“หยุด
ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นทั้งสองคนเลย”
วศินปรายตามองทั้งลูกชายและลูกสาวบุญธรรมแล้วพูดต่อ
“จะไม่มีการต่อรองหรือเรียกร้องอะไรทั้งนั้นคำสั่งของฉันถือเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำตามโดยไม่มีการโต้แย้ง”
“แต่ว่า
พ่อครับ”วรุทกำลังหาทางคัดค้านบิดาเต็มที่
“ไม่มีต่งไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นตกลงตามนี้นะแล้วอีกอย่างนดาอย่าเรียกพี่เขาว่าคุณอีกต้องเรียกเขาว่าพี่ถึงจะถูกเพราะตอนนี้
นดามาเป็นลูกสาวอีกคนของพ่อก็ถือว่าเป็นน้องของพี่เขา
ทั้งสองคนเข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหม”
“ค่ะ/ครับ”
ทั้งสองจำต้องรับปากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้วศินยิ้มรับด้วยความพอใจ
“มีอะไรอีกไหมครับที่พ่อลืมหรือยังสั่งผมไม่หมด
ถ้าไม่มีผมจะไปทำงาน” วรุทพูดประชดเข้าให้
แต่ยิ่งพูดไปก็ยิ่งเหมือนเปิดทางให้ผู้เป็นพ่อ วศินลอบยิ้มก่อนจะทำหน้านิ่งบอกออกไป
“มีสิ
ฉันได้การ์ดเชิญไปงานแต่งลูกสาวของวินัยนะ แกยังจำเขาได้ไหม”
“จำได้ครับ แล้วไง อย่าบอกนะว่าพ่อจะให้ผมไปแทน”
ให้ตายซิเขาไม่ชอบไปงานแบบนี้เลย
“ใช่
พอดีตอนเย็นฉันมีนัดกับทางสมาคมผู้สูงอายุนะฉันก็เลยอยากจะให้แกไปแทนฉันหน่อย
แกไม่มีปัญหาใช่ไหม” พูดมาขนาดนี้แล้วใครมันจะกล้ามีปัญหา ขืนเขาบอกว่ามีปัญหาซิ
ความซวยจะมาตกอยู่ที่เขาเองนี่แหละ วรุททำหน้ายุ่งส่ายหน้าแทนการตอบ
“อ้อ
อีกอย่างแกพาน้องไปเป็นเพื่อนด้วย นดาเดี๋ยวตอนเย็นลูกไปเป็นเพื่อนพี่เขาหน่อยนะ”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!นอกจากจะให้ไปงานที่ไม่ชอบแล้วยังจะให้พายัยนดาหน้าหวานไปด้วยอีก เมื่อได้ยินพ่อบุญธรรมกล่าวดังนั้น นดาก็เลิกก้มหน้าแล้วหันไปมองหน้าบิดาบุญธรรมสลับกับลูกชายของท่าน
แล้วเธอก็เห็นสายตาเกรี้ยวกราดที่ไม่เป็นมิตรเอาซะเลย
ถ้าเธอตอบตกลงไปด้วยเขาจะฆ่าปาดคอเธอไหมเนี่ย แต่จะขัดคำสั่งบิดาบุญธรรมก็ไม่กล้า
ก่อนจะลองเอ่ยปากขอ
“คุณพ่อคะ นดาไม่ไปไม่ได้เหรอ คะนนดาไม่เคยไปงานแบบนี้
นดากลัวทำให้พี่รุทเสียหน้ามากกว่าอีกอย่างนดาก็ไม่มีชุดด้วยค่ะ นดาไม่ไปได้ไหมคะ”
หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เว้าวอน พร้อมด้วยสายตาที่คาดหวังว่าจะได้รับอนุญาต
แต่ความหวังก็พังเพราะนอกจากบิดาจะไม่อนุญาตแล้วยังสั่งเพิ่มอีกต่างหาก
“ไม่ได้ นดาต้องหัดออกงานบ้างสิจะเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้
แล้วเรื่องชุดไม่ต้องกังวลไปหรอก
เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วก็ให้พี่เขาพาไปซื้อชุดแล้วก็แต่งหน้าทำผมให้เสร็จแล้วก็ไปงานกันเลย
ไม่ต้องแวะกลับบ้านหรอก มันเสียเวลาเดี๋ยวรถติดไปสายมากมันน่าเกียจ” วรุทุกจะทน เขาต้องรีบไปจากที่นี่ก่อนที่บิดาจะหาเรื่องอะไรมาให้เขาทำอีก
แต่ยังก้าวขาไปได้ไม่ถึงไหนก็ได้ยินเสียงบิดาเรียกไว้ซะก่อน
“จะไปไหน เจ้ารุท”
วรุททำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะเอี้ยวตัวกลับมาตอบบิดา
“ก็ไปทำงานสิครับพ่อ
จะให้ผมไปไหนได้ล่ะ”เขายังไม่วายตีรวนผู้เป็นพ่อเหมือนเดิม ‘ไอ้นี่มันเลี้ยงหมาไว้ในปากกี่ตัวกันแน่วะ
วอนหาเรื่องซะจริงกับพ่อกับเชื้อมันก็ไม่เว้น’ วศินได้แต่คิดในใจก่อนจะเอ่ยไปอีกทาง
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร
แค่จะถามแกว่าลืมอะไรไปรึเปล่า” วรุททำหน้ายุ่ง
เขาก็ไม่ได้ลืมอะไรนิกระเป๋าเอกสารก็อยู่ที่รถ จะว่าลืมใส่สูทก็ไม่ใช่
แต่พอเมื่อเห็นสายตาผู้เป็นพ่อเขาก็เข้าใจทันทีว่าท่านหมายถึงอะไรยัยลูกสาวอุปโลกน์ตัวปัญหานี่เอง เขาทำหน้านิ่งเรียบยากต่อการคาดเดาความรู้สึกก่อนจะเอ่ยกับหญิงสาวที่นั่งอยู่อย่างไม่รู้สถานการณ์
“จะนั่งเอ๋ออีกนานไหม
หรือต้องให้อันเชิญด้วยขันห้าถึงจะลุกออกจากเก้าอี้มาได้
ฉันไม่มีเวลามานั่งรอเธอทั้งวันหรอกนะถ้าจะไปด้วยก็รีบตามมา”
พูดจบเขาก็เดินออกไปโดยไม่หันมามองว่าเธอจะตามมาหรือไม่ นดารีบลุกจากเก้าอี้ แล้วลาบิดาบุญธรรมแล้วตามชายหนุ่มไปทันที เธอไม่ค่อยจะเข้าใจกับอาการผีเข้าผีออกของชายหนุ่มนัก
พูดอยู่กับพ่อตัวเองดีๆอยู่ อยู่ก็วกกับมาหาเรื่องว่าเธอซะงั้น
และถึงแม้ว่าเธอจะไม่พอใจเขาหรือรู้สึกอย่างไรกับเขาเธอก็ไม่คิดที่จะแสดงออกมาเพราะเธอรู้ตัวดีว่าเป็นแค่คนที่มาอาศัยเขาอยู่ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเรียกร้องอะไรได้ทั้งนั้น
“คุณพ่อคะ นดาไปเรียนก่อนนะคะ
สวัสดีค่ะ”
“ไปเถอะลูก เดี๋ยวนดา”
วศินเรียกลูกบุญธรรมไว้ก่อน ก่อนที่เธอจะออกเดิน หญิงสาวหันกลับมามอง
พร้อมด้วยเครื่องหมายคำถามบนใบหน้า
“อย่าใส่ใจกับคำพูดพี่เขามากนักนะ
เดี๋ยวจะไม่สบายใจซะเปล่าๆ พี่เขาก็ปากร้ายไปอย่างนั้นเองแหละ
จริงๆแล้วไม่มีอะไรหรอก แค่นิสัยแบบเด็กๆที่แก้ไม่หายซักที”
“ค่ะคุณพ่อ
นดาจะไม่คิดมากคุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนดานะคะ”
เธอบอกพร้อมกับยิ้มให้บิดาบุญธรรมก่อนจะรีบวิ่งออกไปเมื่อได้ยินเสียง
แตรรถเร่งมาจากหน้าบ้าน พอไปถึงก็เห็นชายหนุ่มนั่งทำหน้ายักษ์รออยู่แล้ว
“ขอโทษค่ะที่มาช้า” เธอบอกเขาพร้อมยกมือไหว้ พร้อมช้อนตากลมโตขึ้นมองดูเขา
“ฉันนึกว่าเธอจะเดินไปซะอีก”
เขาว่าให้ ก่อนกระชากรถออกไปราวกับจะแกล้งเธอให้กลัว
คล้อยหลัง
ลูกชายและลูกสาวบุญธรรมไป
วศินถึงกับต้องถอนหายใจไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันเป็นสิ่งถูกต้องแล้วหรือไม่
แต่เขาก็ยังมีความเชื่อว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีแล้ว
พ่อแม่ทุกคนก็ย่อมต้องการสรรหาในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดให้กับลูกของตนเอง
เขาไม่รู้ว่าแผน ‘น้ำตาลใกล้มด’ที่เขาสร้างขึ้นมาจะได้ผลกับคนทั้งคู่มากน้อยแต่ไหน
เมื่อผ่ายหนึ่งก็คอยแต่ตั้งแงหาเรื่องอีกฝ่ายตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นหน้าค่าตาเลยด้วยซ้ำ
ส่วนอีกฝ่ายก็อ่อนปวกเปียกเกินไปจะรับมือกับความร้ายกาจของอีกฝ่ายได้มากขนาดไหนกันเชียว
เห็นทีงานนี้คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของ บุพเพสันนิวาส
ถ้าเด็กทั้งคนสองคนมีบุญวาสนาที่จะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกันจริงๆไม่แคล้วคงจะได้เคียงคู่กันเป็นแน่
แต่ก่อนที่เขาจะคอยพึ่งแต่บุพเพสันนิวาส
เขาก็ขอทำตัวเป็นพระพรหมที่ชักพาทั้งสองให้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นก่อนก็แล้วกัน
“แม่วาส”
“คะคุณท่าน”
วาสนาที่รอท่าอยู่รีบเดินเข้ามาใกล้
“เดี๋ยวให้เด็กเก็บโต๊ะเลยนะฉันอิ่มแล้ว” ก่อนจะขยับลุกออกไป
“ค่ะ คุณท่าน”
วาสนามองตามเจ้านายด้วยสายตาเป็นห่วงพรางคิดในใจ ‘ท่านคงหนักใจน่าดูที่คุณ ๆ ไม่สู้จะลงรอยกัน’
“เอ๊า แม่แจ่ม แม่จันทร์มาเก็บโต๊ะซิ
ยืนนิ่งอยู่นั้นแหละ”
“ค่ะ/ค่ะ คุณแม่บ้านใหญ่”
ฝากอี-บุ๊คด้วยนะคะ
เรื่อง เล่ห์มัดใจค่ะ
ความคิดเห็น