ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์มัดใจ (เล่ห์รัก)

    ลำดับตอนที่ #1 : 1

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 56


    เพียงรถเลี้ยวเข้าขอบรั้วของอาณาจักร “วงษ์วิริยะ” นดา วรนิล ก็รู้สึกได้ถึงความร่มรื่นของพรรณไม้ที่ปลูกอยู่บริเวณสองข้างทาง จากบริเวณถนนที่รถวิ่งผ่านเพื่อจะเข้าไปสู่ตัวบ้านสามารถมองเห็นถึงสวนที่ถูกตกแต่งไว้อย่างปรานีตสวยงามมีพรรณไม้นานาชนิด ทั้งต้นไม้และไม้ดอกไม้ประดับที่เลือกสรรหาตำแหน่งที่พอเหมาะ เหมาะสมกับลักษณะของมัน มองดูแล้วให้ความรู้สึก ปรอดโปร่ง สบายตา สบายใจ

    “ถึงแล้วครับ คุณหนู”เธอถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ ในห้วงของความคิดด้วยเสียงของลุงบุญคนขับรถประจำบ้าน วงษ์วิริยะที่ไปรับเธอมานั่นเอง

    “คะ เอ่อค่ะ” ทันทีที่เธอก้าวลงจากรถก็เจอกับขบวนแม่บ้านของ บ้านวงษ์วิริยะ ยืนคอยให้การต้อนรับพร้อมกับประมุขของบ้านที่ยืนอยู่หน้าสุด

    “ยินดีต้อนรับหนูนดาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านวงษ์วิริยะ ต่อจากนี้ไปขอให้หนูคิดซะว่าหนูเป็นลูกสาวของพ่ออีกคนหนึ่ง”สิ้นเสียงของ วศิน เหล่าแม่บ้านก็กล่าวต้อนรับพร้อมกัน “ยินดีต้อนรับค่ะ คุณหนู”

    “ขอบคุณค่ะ คุณท่านและทุกๆคนด้วยนะคะที่มารอรับนดา”เธอบอกพร้อมกับยกมือไหว้วศินและแม่บ้านที่มาต้อนรับ วศินชักสีหน้าไม่พอใจเมื่อได้ยินคำเรียกขานของหญิงสาว เขาทำเสียงจิจ๊ะในลำคออย่างไม่ค่อยจะพอใจก่อนจะต่อว่าหญิงสาวที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกอีกคนไม่จริงจังนักออกจะเอ็นดูด้วยซ้ำ

     “คุณท่านอะไรกัน พ่อบอกแล้วไงว่าให้เรียกพ่อว่าพ่อ ไหนลองเรียกซิ” เมื่อโดนดุนดาจึงเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกใหม่ “ค่ะ คุณพ่อ”

     “มันต้องอย่างนี้สิ ป่ะเข้าบ้านกันเถอะเดี๋ยวพ่อจะพาหนูขึ้นไปดูห้อง ไม่รู้ว่าจะถูกใจรึเปล่า”

    ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ นดา  วรนิล  ต้องเข้ามาอาศัยอยู่ใน บ้านวงษ์วิริยะ ด้วยเหตุที่ว่า บิดาและมารดา ของหญิงสาวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ รถพลิกคว่ำทำให้ท่านทั้งสองเสียชีวิตอย่างกระทันหันหลังจากที่จัดงานศพท่านทั้งสองเสร็จแล้ว หญิงสาวถึงได้มารับรู้ปัญหาอีกปัญหาหนึ่งนั่นก็คือ ท่านทั้งสองยังมีหนี้สินที่เกิดจากการทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเธอเองก็ไม่เคยรู้จักหรือรับรู้ถึงการมีตัวตนของเพื่อนคนนี้ของบิดา มารดาเลยพอเกิดปัญหาเพื่อนคนนี้ก็หายกลีบเมฆอย่างไร้ร่องรอยไม่ได้คิดที่จะมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยซักนิด ยังถือว่าเป็นโชคดีของนดาอยู่ที่ในตอนนั้นยังมีคนที่สามารถให้เธอได้พึงพาได้อย่างวศินอยู่ ท่านเป็นเพื่อนของคุณพ่อและเป็นเพื่อนคนเดียวที่นดารู้จักและเคยเจอบ่อยที่สุดเพราะท่านชอบแวะมาคุยกับบิดาที่บ้านอยู่เป็นประจำถ้าหากไม่มีท่านดาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจัดการกับปัญหาที่มีอยู่ได้อย่างไรเพราะเธอก็เหลืออยู่ตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนที่พอจะพึงพาอาศัยได้ วศินได้ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือจัดการเกี่ยวกับปัญหาทุกอย่างรวมทั้งออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียนของเธอในเทอมสุดท้ายด้วย และยังรับอุปการะเธอเป็นบุตรบุญธรรม นี่เป็นเหตุผลหลักว่าทำไมเธอถึงต้องเข้ามาอยู่ภาย บ้านวงษ์วิริยะ

    “เป็นไง ถูกใจหนูไหมถ้าไม่ชอบตรงไหนบอกแจ่มกับจันทร์ได้เลยนะเดี๋ยวสองคนนี้จะได้มาจัดให้หนูใหม่”

    “ไม่เป็นไรค่ะ ห้องสวยมากเลยไม่ต้องจัดใหม่หรอกค่ะแค่นี้ก็ดีมากแล้วขอบคุณคุณพ่อมากนะคะพี่แจ่มกับพี่จันทร์ด้วยค่ะ ” นดาบอกพร้อมกับยกมือไหว้

     “อุ้ย ไม่ต้องไหว้ค่ะพวกเราหรอกค่ะคุณหนูเรื่องแค่นี้เองใช่ไหมจันทร์”

     “อืม” เมื่อผู้อาศัยใหม่ตกลงกับเจ้าบ้านเดิมแล้วว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยน หรือตกแต่งห้องใหม่แต่อย่างใด ทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง ก่อนที่วศินจะออกจากห้องได้บอกกับนดาไว้ว่า

     “อ๋อ พ่อเกือบลืมบอก ห้องข้างๆนั่นเป็นห้องของ เจ้ารุท ลูกชายของพ่อซึ่งตอนนี้หนูก็มีศักดิ์เป็นน้องของพี่เขาแล้วถ้าหนูมีปัญหาอะไรก็บอกพี่เขาได้พ่อว่าอีกไม่นานหนูก็คงได้เจอพี่เขา อืมตอนนี้พ่อว่าพ่อออกไปก่อนดีกว่า นดาจะได้พักผ่อน” นดาไม่ได้พูดอะไรได้แต่ยิ้มรับแล้วหันไปมองผนังห้องอีกด้านตามคำบอกกล่าวของวศินว่าเป็นห้องของลูกชายท่านด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

    “พี่ชายเหรอ แล้วเขาเต็มใจที่จะรับเราเป็นน้องมากแค่ไหนกันนะ”

     

    อีกด้านหนึ่งของคนที่ถูกกล่าวขวัญถึง วรุท วงษ์วิริยะ เอาแต่เฝ้าคิดทบทวนเรื่องที่บิดาได้เอ่ยปากบอกก่อนที่เขาจะเดินทางมาบริษัท ถึงแม้จะพอจะรู้มาบ้างว่าบิดาของเขาเอ็นดูลูกสาวของเพื่อนคนนี้มากแต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าบิดาของเขาถึงกับขนาดจะเอายัยเด็กนั่นมาเป็นลูกบุญธรรม ก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นลูกสาวเพื่อน แถมบ้านก็ล้มละลายหนี้สินที่พ่อแม่ไม่ตั้งใจจะก่อไว้อีกก็มาก ไม่มีแม้ที่จะอยู่แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องถึงกับให้ความสำคัญมากมายขนาดยกเป็นลูกบุญธรรม แล้วพาเข้ามาอยู่ในบ้านกับเขาเลย ให้ความช่วยเหลือไปก็ไม่ใช่น้อย ทั้งเรื่องหนี้สิน ทั้งเรื่องเรียนของยัยเด็กนั่นอีกแค่นี้ก็มากเกินพอแล้วนี่นา เขารู้สึกไม่พอใจตั้งแต่ตอนที่บิดาบอกแล้วแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามคัดค้านยกเหตุผลร้อยแปดขึ้นมาอ้างยังไงมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้นยังไงยัยเด็กนั่นก็ต้องย้ายเข้ามาอยู่บ้านเขาอยู่ดีโดยที่บิดาเขาให้เหตุผลเพียงข้อเดียวที่เอามาลบล้างเหตุผลทั้งหมดทั้งมวนของเขา น้องไม่เหลือใครแล้วเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวแกยังจะใจดำไม่ให้น้องมาอยู่ด้วยเชียวเหรอปิดท้ายด้วยประโยคคำถามที่เขารู้สึกว่าถ้าเขายังคัดค้านเขาจะกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาท่านทันที ไม่รู้ว่าบิดาของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ยิ่งคิดยิ่งเครียด ยิ่งปวดหัว โอ้ย หงุดหงิดโว้ย!

    “ฮึ น้องสาวเหรอพ่อไม่เคยถามผมซักคำว่าผมอยากมีน้องรึเปล่าในเมื่อพ่อไม่สนใจในสิ่งที่ผมพูดผมก็จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเหมือนกันอยากมาอยู่นักใช่ไหม อยากมาก็มาเลยคอยดูจะแกล้งให้อยู่ไม่ได้เลย” เขาได้แต่พึมพำอยู่คนเดียวก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเค๊าะประตู  เขายืดตัวขึ้นปรับสีหน้าราบเรียบให้เป็นปกติก่อนจะเอ่ยปากอนุญาติ

    ก๊อก ก๊อก

    “เข้ามา”

    “ขออนุญาตครับ มีเอกสารการซื้อขายที่ดินที่ท่านจะต้องเซ็นต์ครับ”

    “ด่วนมากไหมประชา ถ้าไม่เอาไว้ก่อนวันนี้ฉันมีธุระจะต้องรีบกลับ” วรุทบอกพร้อมดันเอกสารคืนเตรียมตัวจะเดินออกไป แต่ประชาเลขาคนสนิทรีบลุกขึ้นมายืนขวางหน้าด้วยความนอบน้อมแล้วชิงพูดซะก่อน

    “ไม่ได้ครับคุณรุทยังกลับไม่ได้ครับต้องตรวจดูแล้วเซ็นต์เอกสารให้ผมก่อน พรุ้งนี้ผมต้องรีบเอาเอกสารไปให้ฝ่ายการตลาดแต่เช้าครับ ขืนรอพรุ้งนี้เกรงว่าจะไม่ทันการแน่ๆครับ”

    “แต่วันนี้ฉันรีบจริงๆนะ” ต้องรีบกลับไปดูหน้ายัยเด็กกาฝาก ประโยคหลังเขาได้แต่คิดในใจไม่ได้พูดออกมาเพราะกลัวว่าเลขาของตนจะถามมากความ

    “ไม่ได้ครับ ยังไงคุณรุทก็ต้องอยู่ตรวจเอกสารแล้วก็ต้องเซ็นต์ให้เรียบร้อยก่อนไม่อย่างงั้น ผมจะ ผมจะ” ประชาทำหน้าตาจริงก่อนจะเริ่มรู้สึกประหม่าที่ต้องพูดบังคับเจ้านายโดยตรงแต่ว่านะ เขาก็มีแบล็คอัพดีเหมือนกันซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นบิดาของเจ้านายของเขานั่นเองถึงแม้ว่าท่านจะวางมือแล้วให้ลูกชายเข้ามาบริหารต่อแต่ท่านก็คงยังมีอิทธิพลต่อคนในบริษัทและเจ้านายของเขาอย่างมากทีเดียวหล่ะแล้วเวลาที่เจ้านายเขาเกงานเขาก็งัดไม้ตายไม้นี้ขึ้นมาขู่และมันก็มักได้ผลอยู่เสมอ และครั้งนี้เขาก็เชื่อว่ามันจะต้องได้ผลอย่างที่ผ่านมาเช่นกัน

    “ทำไม นายจะทำอะไรฉันไหนลองบอกมาซิเผื่อฉันจะกลัวแล้วยอมอยู่เซ็นต์เอกสารให้นาย” วรุทยิ้มหยันแต่พอได้ฟังประโยคถัดมาของประชาทำเอารอยยิ้มที่มีอยู่หายไปทันทีพร้อมกับเดินกลับไปนั่งทำงานด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงเขายังเคืองเรื่องเมื่อเช้าไม่ทันหายพอมีคนพูดพาดพิงถึงบุคคลที่ทำให้เขาอารมณ์เสียไม่หายจึงทำให้รู้สึกว่าเรื่องมันพึ่งจะเกิดยังไงยังงั้น

     “ผมก็จะฟ้องท่านนะซิครับ ว่าท่านประธานเกงานไม่ยอมตรวจสอบเอกสารและอยู่เซ็นต์เอกสารทำให้เกิดความล่าช้าส่งผลให้บริษัทเกิดความเสียหาย”

    “ไหนล่ะเอกสารเอามาซิ พูดมากอยู่ได้น่ารำคาญจริง” วรุทเรียกหาเอกสารด้วยเสียงที่ห้วน ประชาแทบจะส่งเอกสารให้ไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงเรียก ไม่รู้ว่าเจ้านายของตนไปกินรังแตนที่ไหนมา ปกติก็ยิ่งขรึมอยู่แล้ว เจออารมณ์แบบนี้ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ซวยจริงๆเลยวันนี้เรา

    “นี่ครับ” พร้อมยื่นให้ท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม ประชาลอบมองเจ้านายหนุ่มก่อนจะแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

     

    กว่าชายหนุ่มจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาดึกพอสมควร บ้านทั้งหลังเงียบสงัด ไฟปิดเกือบหมดทุกหลอดแล้ว ยกเว้นบริเวณห้องครัว ทีแรกเขาคิดว่าเป็นขโมย แต่คิดอีกทีขโมยที่ไหนจะมาเปิดไฟขโมยของให้เจ้าของบ้านรู้ตัว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆมันก็โง่เต็มทนแล้ว ไม่งั้นก็อาจจะเป็นแม่บ้านที่ใช้ห้องครัวแล้วลืม เปิดไฟทิ้งไว้

     “หรือว่าแจ่มจะลืมปิดไฟ”เขาไม่อยู่รอให้เกิดความสงสัยนาน ชายหนุ่มค่อยๆก้าวเดินเข้าดู แต่สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าคือ ผู้หญิงเธอกำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าตู้เย็นที่เปิดค้างไว้ คล้ายกับกำลังมองหาอะไรซักอย่าง แต่ที่เขารู้ผู้หญิงที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่ แจ่มหรือจันทร์หรือแม่บ้านแม่ครัวในบ้านของเขาแน่ๆแถมความรู้สึกยังช้าอีกต่างหากขนาดเขาเดินเข้ามายืนซ้อนหลังขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีก กลิ่นหอมอ่อนที่โรยรินอยู่ในอากาศทำให้ขยับเข้าไปใกล้เธอยิ่งขึ้นเพื่อพิสูจน์ที่มาของกลิ่นว่ามาจากตัวของหญิงสาวหรือว่ามาจากที่อื่น ผมที่ดำดุจดั่งแพรไหมของหญิงสาวชวนให้เขาอยากยกมือขึ้นสัมผัสนักว่าจะนุ่มลื่นซักแค่ไหน ยิ่งเขาเข้ามายืนใกล้ๆยิ่งทำให้คนตรงหน้าดูตัวเล็กลงไปถนัดตา วรุทขมวดคิ้วเกิดคำถามขึ้นภายในใจ แล้วเธอเป็นใครกันมาอยู่ในบ้านของเขาได้อย่างไร อีกอย่างไม่น่าจะใช่ขโมย อย่าบอกนะว่าเป็น……..

    อาจจะเป็นเพราะแปลกที่ทำให้นดาเกิดอาการตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ พลิกซ้ายก็แล้ว ขวาก็แล้ว นับแกะก็ตั้งหลายร้อยตัวแล้วแต่ก็ยังไม่หลับซักที อีกทั้งยังรู้สึกคอแห้งกระหายน้ำขึ้นมาอีก หญิงสาวจึงตัดสินใจลงไปหาน้ำดื่มเพื่อดับกระหายเผื่อมันจะทำให้ตัวเองหลับง่ายยิ่งขึ้น หญิงสาวใช้ความพยายามในการตัดสินใจอยู่นานว่าจะหยิบน้ำเปล่าหรือว่าจะเปลี่ยนใจดื่มนมแทนเพราะว่าอาหารค่ำมื้อเย็นเธอก็ทานไปนิดเดียวเพราะมัวแต่คิดเรื่องลูกชายของบิดาบุญธรรมของตน จริงอยู่ที่เธอเคยเห็นท่านไปมาหาสู่ที่บ้านของเธอบ่อยแต่กับลูกชายท่านเธอเองก็ยังไม่เคยเห็นเลยซักครั้งไม่รู้ว่าเขาจะว่าอย่างไรบ้างที่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านของเขาด้วยอีกคนหวังว่าเขาคงจะใจดีเหมือนบิดา นดาตัดสินใจหยิบเหยือกน้ำแทนการหยิบนมแล้วในขณะที่เธอกำลังจะหยิบเหยือกน้ำออกจากตู้เย็นก็ได้ยินเสียงห้าวดุไม่ห่างตัวดังมาจากทางด้านหลัง

    “หาอะไรอยู่”  หญิงสาวตกใจเผลอปล่อยมือจากเหยือกน้ำที่ถืออยู่ทำให้เหยือกน้ำหล่นแตกน้ำกระเด็นโดนทั้งตัวเองและคนที่เป็นต้นเหตุทำให้น้ำหกเลอะเทอะ

    “ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย ซุ่มซ่ามจริง” วรุทต่อว่าพร้อมใช้หลังมือปัดน้ำที่กระเด็นมาโดนเสื้อแล้วเงยหน้ามองตัวซุ่มซ่ามจะว่าเงยหน้าก็ไม่ถูกเพราะคนตรงหน้าสูงแค่เหนืออกเขาเพียงเล็กน้อยเรียกว่าก้มลงมองยังจะถูกซะมากกว่า แล้วเขาก็เห็นว่าถูกสายตาของคนตรงหน้าจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว มองเห็นข้างหลังว่าน่าทะนุถนอมแล้วพอได้เห็นข้างหน้าชัดๆอย่างเต็มๆตายิ่งน่าทะนุถนอมน่าอ็นดูเข้าไปใหญ่ ผู้หญิงคนนี้ตาสวยชะมัดแววตาหวานซึ้งเป็นประกาย จมูดโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอิ่มสวยเป็นสีชมพูระเรื่อ ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวนวลตามองดูแล้วน่าสัมผัส กลิ่นหอมที่เขาได้กลิ่นมันคงเป็นกลิ่นที่มาจากตัวเธอแน่แท้ ดูๆไปแล้วเครื่องหน้ารับกันไปหมดซะทุกส่วนโดยรวมแล้วจัดได้ว่าเป็นคนสวยเลยล่ะ ไม่ใช่สวยแค่ที่ตาแล้วซิ ใช่สวย น่ารัก หน้าตาแบบนี้ถูกใจเขาเป็นบ้า น่าแกล้งเป็นที่สุด ไม่รู้ว่าใครเสียมารยาทมากกว่ากัน แต่เมื่อเขาได้สติก่อนมันก็เป็นโอกาสของเขาไม่ใช่เหรอที่จะต่อว่าคนตรงหน้า เขาคิดว่าเขาเดาไม่ผิดคนที่อยู่ตรงหน้านี่จะต้องเป็นคนเดียวกันกับยัยเด็กกาฝากอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเขาเป็นเจ้าของบ้านยังไงซะเขาก็มีสิทธิ์ต่อว่าผู้อาศัยอยู่แล้ว

    “พูดแล้วยังจะมามองหน้าอีก ไม่คิดจะขอโทษฉันซักคำเลยรึไงไร้มารยาทจริงๆที่บ้านเก่าไม่สั่งไม่สอนรึไง”

    “ขอโทษค่ะ” พูดจบก็ก้มหน้าลง ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักว่ากับแค่ทำน้ำหกทำไมต้องว่าเธอขนาดนี้ด้วย วรุมองหนี้ที่ก้มต่ำอย่างนึกสนุก ให้ตายเถอะยัยนี่น่าแกล้งชะมัด!

    “ขอโทษแล้วไง เสื้อฉันมันหายเปียกรึเปล่า” เมื่อชายหนุ่มถามหาความรับผิดชอบนดาจึงเสนอที่จะเอาไปทำความสะอาดให้แต่รู้สึกว่าไม่ว่านดาจะพูดหรือเสนออะไรไปก็ไม่เป็นที่พอใจของเขาอยู่ดี จนนดาไม่รู้จะต้องทำยังไงแล้ว

    “แล้วคุณจะให้นดาทำยังไงคะ จะเอาไปซักให้คุณก็ไม่ยอม จะเอาไปเป่าให้แห้งคุณก็ไม่ยอมอีกตกลงว่าคุณจะให้นดาทำยังไงคะคุณถึงจะพอใจ” เมื่อเห็นหญิงสาวเริ่มทำหน้ายุ่งแล้ว วรุทจึงยุติการสนทนาเพียงเท่านี้ วันนี้เขายอมให้หนึ่งวันเพราะเห็นว่านี่มันดึกมากแล้ว ถือซะว่านี่เป็นการต้อนรับเล็กๆน้อยๆจากเขา ก่อนที่จะจัดชุดใหญ่ให้ เอาน่ายังไงยัยหน้าหวานก็ต้องอยู่นี่ให้เราแกล้งไปอีกนาน วันนี้ปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน

    “ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ฉันจัดการเองได้ไม่ได้เป็นง่อยจนทำอะไรไม่ได้” พูดจบวรุทก็เดินหนีขึ้นห้อง อย่างน้อยๆตอนนี้เขาก็รู้จักชื่อของเธอหลังจากที่ไม่เคยคิดจะสนเลยเมื่อบิดาแนะนำหึ หึ เธอเสร็จฉันแน่ยัยนดาหน้าหวาน ถ้าเขามองเห็นหน้าตัวเองที่สะท้อนความรู้สึกอยู่ตอนนี้เขาคงจะคิดว่าตัวเองเป็นโรคจิตแน่ๆ นดาไม่เข้าใจชายหนุ่มเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ เพราะกลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวอีก แค่นี้ก็โดนต่อว่าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว

    “อะไรของเขานะ” นดาได้แต่ครุนคิดเพียงลำพัง ก่อนที่จะจัดการกับเศษแก้วตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อนจะหาน้ำดื่มใหม่ แล้วกลับขึ้นห้องไปนอน โดยไม่ลืมที่จะนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่พึ่งเจอกัน ตอนที่ตกใจเธอแอบมองสำรวจใบหน้าของเขาด้วย ผู้ชายอะไรไม่รู้คิ้วเข๊ม เข้ม ตาก็หวาน จมูกก็โด่ง ปากก็แดงแจ๋อย่างกับทาลิปสติก ผิวก็ขาว ถ้ามองแค่ภายนอกที่เห็นก็ถือว่าเป็นคนที่หน้าตาดีเรียกว่าหล่อเลยล่ะ แต่นิสัยที่แสดงออกนี่สิไม่เข้ากับหน้าตาเลย ดูท่าทางน่าจะดุมากด้วย คิดมาถึงตรงนี้แล้วทำให้นดาคิดถึงคนที่บิดาบุญธรรมของตนบอกว่าเขามีลูกชายอยู่คนหนึ่ง อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนเมื่อกี้นี้เป็น........

    “หรือว่านั่นจะเป็น พี่รุทลูกชายของคุณพ่อ เอ๊ะหรือว่าเป็นขโมย แต่ก็ไม่น่าจะใช่ขโมยที่ไหนจะเดินเข้ามาทักคนในบ้านที่ตัวเองจะมาขโมยของล่ะ เลิกคิดแล้วนอนได้แล้วนดา” หญิงสาวบ่นอยู่คนเดียวก่อนจะข่มตานอน

     เพียงรถเลี้ยวเข้าขอบรั้วของอาณาจักร “วงษ์วิริยะ” นดา วรนิล ก็รู้สึกได้ถึงความร่มรื่นของพรรณไม้ที่ปลูกอยู่บริเวณสองข้างทาง จากบริเวณถนนที่รถวิ่งผ่านเพื่อจะเข้าไปสู่ตัวบ้านสามารถมองเห็นถึงสวนที่ถูกตกแต่งไว้อย่างปรานีตสวยงามมีพรรณไม้นานาชนิด ทั้งต้นไม้และไม้ดอกไม้ประดับที่เลือกสรรหาตำแหน่งที่พอเหมาะ เหมาะสมกับลักษณะของมัน มองดูแล้วให้ความรู้สึก ปรอดโปร่ง สบายตา สบายใจ

    “ถึงแล้วครับ คุณหนู”เธอถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ ในห้วงของความคิดด้วยเสียงของลุงบุญคนขับรถประจำบ้าน วงษ์วิริยะที่ไปรับเธอมานั่นเอง

    “คะ เอ่อค่ะ” ทันทีที่เธอก้าวลงจากรถก็เจอกับขบวนแม่บ้านของ บ้านวงษ์วิริยะ ยืนคอยให้การต้อนรับพร้อมกับประมุขของบ้านที่ยืนอยู่หน้าสุด

    “ยินดีต้อนรับหนูนดาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านวงษ์วิริยะ ต่อจากนี้ไปขอให้หนูคิดซะว่าหนูเป็นลูกสาวของพ่ออีกคนหนึ่ง”สิ้นเสียงของ วศิน เหล่าแม่บ้านก็กล่าวต้อนรับพร้อมกัน “ยินดีต้อนรับค่ะ คุณหนู”

    “ขอบคุณค่ะ คุณท่านและทุกๆคนด้วยนะคะที่มารอรับนดา”เธอบอกพร้อมกับยกมือไหว้วศินและแม่บ้านที่มาต้อนรับ วศินชักสีหน้าไม่พอใจเมื่อได้ยินคำเรียกขานของหญิงสาว เขาทำเสียงจิจ๊ะในลำคออย่างไม่ค่อยจะพอใจก่อนจะต่อว่าหญิงสาวที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกอีกคนไม่จริงจังนักออกจะเอ็นดูด้วยซ้ำ

     “คุณท่านอะไรกัน พ่อบอกแล้วไงว่าให้เรียกพ่อว่าพ่อ ไหนลองเรียกซิ” เมื่อโดนดุนดาจึงเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกใหม่ “ค่ะ คุณพ่อ”

     “มันต้องอย่างนี้สิ ป่ะเข้าบ้านกันเถอะเดี๋ยวพ่อจะพาหนูขึ้นไปดูห้อง ไม่รู้ว่าจะถูกใจรึเปล่า”

    ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ นดา  วรนิล  ต้องเข้ามาอาศัยอยู่ใน บ้านวงษ์วิริยะ ด้วยเหตุที่ว่า บิดาและมารดา ของหญิงสาวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ รถพลิกคว่ำทำให้ท่านทั้งสองเสียชีวิตอย่างกระทันหันหลังจากที่จัดงานศพท่านทั้งสองเสร็จแล้ว หญิงสาวถึงได้มารับรู้ปัญหาอีกปัญหาหนึ่งนั่นก็คือ ท่านทั้งสองยังมีหนี้สินที่เกิดจากการทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเธอเองก็ไม่เคยรู้จักหรือรับรู้ถึงการมีตัวตนของเพื่อนคนนี้ของบิดา มารดาเลยพอเกิดปัญหาเพื่อนคนนี้ก็หายกลีบเมฆอย่างไร้ร่องรอยไม่ได้คิดที่จะมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยซักนิด ยังถือว่าเป็นโชคดีของนดาอยู่ที่ในตอนนั้นยังมีคนที่สามารถให้เธอได้พึงพาได้อย่างวศินอยู่ ท่านเป็นเพื่อนของคุณพ่อและเป็นเพื่อนคนเดียวที่นดารู้จักและเคยเจอบ่อยที่สุดเพราะท่านชอบแวะมาคุยกับบิดาที่บ้านอยู่เป็นประจำถ้าหากไม่มีท่านดาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจัดการกับปัญหาที่มีอยู่ได้อย่างไรเพราะเธอก็เหลืออยู่ตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนที่พอจะพึงพาอาศัยได้ วศินได้ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือจัดการเกี่ยวกับปัญหาทุกอย่างรวมทั้งออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียนของเธอในเทอมสุดท้ายด้วย และยังรับอุปการะเธอเป็นบุตรบุญธรรม นี่เป็นเหตุผลหลักว่าทำไมเธอถึงต้องเข้ามาอยู่ภาย บ้านวงษ์วิริยะ

    “เป็นไง ถูกใจหนูไหมถ้าไม่ชอบตรงไหนบอกแจ่มกับจันทร์ได้เลยนะเดี๋ยวสองคนนี้จะได้มาจัดให้หนูใหม่”

    “ไม่เป็นไรค่ะ ห้องสวยมากเลยไม่ต้องจัดใหม่หรอกค่ะแค่นี้ก็ดีมากแล้วขอบคุณคุณพ่อมากนะคะพี่แจ่มกับพี่จันทร์ด้วยค่ะ ” นดาบอกพร้อมกับยกมือไหว้

     “อุ้ย ไม่ต้องไหว้ค่ะพวกเราหรอกค่ะคุณหนูเรื่องแค่นี้เองใช่ไหมจันทร์”

     “อืม” เมื่อผู้อาศัยใหม่ตกลงกับเจ้าบ้านเดิมแล้วว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยน หรือตกแต่งห้องใหม่แต่อย่างใด ทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง ก่อนที่วศินจะออกจากห้องได้บอกกับนดาไว้ว่า

     “อ๋อ พ่อเกือบลืมบอก ห้องข้างๆนั่นเป็นห้องของ เจ้ารุท ลูกชายของพ่อซึ่งตอนนี้หนูก็มีศักดิ์เป็นน้องของพี่เขาแล้วถ้าหนูมีปัญหาอะไรก็บอกพี่เขาได้พ่อว่าอีกไม่นานหนูก็คงได้เจอพี่เขา อืมตอนนี้พ่อว่าพ่อออกไปก่อนดีกว่า นดาจะได้พักผ่อน” นดาไม่ได้พูดอะไรได้แต่ยิ้มรับแล้วหันไปมองผนังห้องอีกด้านตามคำบอกกล่าวของวศินว่าเป็นห้องของลูกชายท่านด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

    “พี่ชายเหรอ แล้วเขาเต็มใจที่จะรับเราเป็นน้องมากแค่ไหนกันนะ”

     

    อีกด้านหนึ่งของคนที่ถูกกล่าวขวัญถึง วรุท วงษ์วิริยะ เอาแต่เฝ้าคิดทบทวนเรื่องที่บิดาได้เอ่ยปากบอกก่อนที่เขาจะเดินทางมาบริษัท ถึงแม้จะพอจะรู้มาบ้างว่าบิดาของเขาเอ็นดูลูกสาวของเพื่อนคนนี้มากแต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าบิดาของเขาถึงกับขนาดจะเอายัยเด็กนั่นมาเป็นลูกบุญธรรม ก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นลูกสาวเพื่อน แถมบ้านก็ล้มละลายหนี้สินที่พ่อแม่ไม่ตั้งใจจะก่อไว้อีกก็มาก ไม่มีแม้ที่จะอยู่แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องถึงกับให้ความสำคัญมากมายขนาดยกเป็นลูกบุญธรรม แล้วพาเข้ามาอยู่ในบ้านกับเขาเลย ให้ความช่วยเหลือไปก็ไม่ใช่น้อย ทั้งเรื่องหนี้สิน ทั้งเรื่องเรียนของยัยเด็กนั่นอีกแค่นี้ก็มากเกินพอแล้วนี่นา เขารู้สึกไม่พอใจตั้งแต่ตอนที่บิดาบอกแล้วแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามคัดค้านยกเหตุผลร้อยแปดขึ้นมาอ้างยังไงมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้นยังไงยัยเด็กนั่นก็ต้องย้ายเข้ามาอยู่บ้านเขาอยู่ดีโดยที่บิดาเขาให้เหตุผลเพียงข้อเดียวที่เอามาลบล้างเหตุผลทั้งหมดทั้งมวนของเขา น้องไม่เหลือใครแล้วเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวแกยังจะใจดำไม่ให้น้องมาอยู่ด้วยเชียวเหรอปิดท้ายด้วยประโยคคำถามที่เขารู้สึกว่าถ้าเขายังคัดค้านเขาจะกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาท่านทันที ไม่รู้ว่าบิดาของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ยิ่งคิดยิ่งเครียด ยิ่งปวดหัว โอ้ย หงุดหงิดโว้ย!

    “ฮึ น้องสาวเหรอพ่อไม่เคยถามผมซักคำว่าผมอยากมีน้องรึเปล่าในเมื่อพ่อไม่สนใจในสิ่งที่ผมพูดผมก็จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเหมือนกันอยากมาอยู่นักใช่ไหม อยากมาก็มาเลยคอยดูจะแกล้งให้อยู่ไม่ได้เลย” เขาได้แต่พึมพำอยู่คนเดียวก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเค๊าะประตู  เขายืดตัวขึ้นปรับสีหน้าราบเรียบให้เป็นปกติก่อนจะเอ่ยปากอนุญาติ

    ก๊อก ก๊อก

    “เข้ามา”

    “ขออนุญาตครับ มีเอกสารการซื้อขายที่ดินที่ท่านจะต้องเซ็นต์ครับ”

    “ด่วนมากไหมประชา ถ้าไม่เอาไว้ก่อนวันนี้ฉันมีธุระจะต้องรีบกลับ” วรุทบอกพร้อมดันเอกสารคืนเตรียมตัวจะเดินออกไป แต่ประชาเลขาคนสนิทรีบลุกขึ้นมายืนขวางหน้าด้วยความนอบน้อมแล้วชิงพูดซะก่อน

    “ไม่ได้ครับคุณรุทยังกลับไม่ได้ครับต้องตรวจดูแล้วเซ็นต์เอกสารให้ผมก่อน พรุ้งนี้ผมต้องรีบเอาเอกสารไปให้ฝ่ายการตลาดแต่เช้าครับ ขืนรอพรุ้งนี้เกรงว่าจะไม่ทันการแน่ๆครับ”

    “แต่วันนี้ฉันรีบจริงๆนะ” ต้องรีบกลับไปดูหน้ายัยเด็กกาฝาก ประโยคหลังเขาได้แต่คิดในใจไม่ได้พูดออกมาเพราะกลัวว่าเลขาของตนจะถามมากความ

    “ไม่ได้ครับ ยังไงคุณรุทก็ต้องอยู่ตรวจเอกสารแล้วก็ต้องเซ็นต์ให้เรียบร้อยก่อนไม่อย่างงั้น ผมจะ ผมจะ” ประชาทำหน้าตาจริงก่อนจะเริ่มรู้สึกประหม่าที่ต้องพูดบังคับเจ้านายโดยตรงแต่ว่านะ เขาก็มีแบล็คอัพดีเหมือนกันซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นบิดาของเจ้านายของเขานั่นเองถึงแม้ว่าท่านจะวางมือแล้วให้ลูกชายเข้ามาบริหารต่อแต่ท่านก็คงยังมีอิทธิพลต่อคนในบริษัทและเจ้านายของเขาอย่างมากทีเดียวหล่ะแล้วเวลาที่เจ้านายเขาเกงานเขาก็งัดไม้ตายไม้นี้ขึ้นมาขู่และมันก็มักได้ผลอยู่เสมอ และครั้งนี้เขาก็เชื่อว่ามันจะต้องได้ผลอย่างที่ผ่านมาเช่นกัน

    “ทำไม นายจะทำอะไรฉันไหนลองบอกมาซิเผื่อฉันจะกลัวแล้วยอมอยู่เซ็นต์เอกสารให้นาย” วรุทยิ้มหยันแต่พอได้ฟังประโยคถัดมาของประชาทำเอารอยยิ้มที่มีอยู่หายไปทันทีพร้อมกับเดินกลับไปนั่งทำงานด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงเขายังเคืองเรื่องเมื่อเช้าไม่ทันหายพอมีคนพูดพาดพิงถึงบุคคลที่ทำให้เขาอารมณ์เสียไม่หายจึงทำให้รู้สึกว่าเรื่องมันพึ่งจะเกิดยังไงยังงั้น

     “ผมก็จะฟ้องท่านนะซิครับ ว่าท่านประธานเกงานไม่ยอมตรวจสอบเอกสารและอยู่เซ็นต์เอกสารทำให้เกิดความล่าช้าส่งผลให้บริษัทเกิดความเสียหาย”

    “ไหนล่ะเอกสารเอามาซิ พูดมากอยู่ได้น่ารำคาญจริง” วรุทเรียกหาเอกสารด้วยเสียงที่ห้วน ประชาแทบจะส่งเอกสารให้ไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงเรียก ไม่รู้ว่าเจ้านายของตนไปกินรังแตนที่ไหนมา ปกติก็ยิ่งขรึมอยู่แล้ว เจออารมณ์แบบนี้ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ซวยจริงๆเลยวันนี้เรา

    “นี่ครับ” พร้อมยื่นให้ท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม ประชาลอบมองเจ้านายหนุ่มก่อนจะแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

     

    กว่าชายหนุ่มจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาดึกพอสมควร บ้านทั้งหลังเงียบสงัด ไฟปิดเกือบหมดทุกหลอดแล้ว ยกเว้นบริเวณห้องครัว ทีแรกเขาคิดว่าเป็นขโมย แต่คิดอีกทีขโมยที่ไหนจะมาเปิดไฟขโมยของให้เจ้าของบ้านรู้ตัว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆมันก็โง่เต็มทนแล้ว ไม่งั้นก็อาจจะเป็นแม่บ้านที่ใช้ห้องครัวแล้วลืม เปิดไฟทิ้งไว้

     “หรือว่าแจ่มจะลืมปิดไฟ”เขาไม่อยู่รอให้เกิดความสงสัยนาน ชายหนุ่มค่อยๆก้าวเดินเข้าดู แต่สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าคือ ผู้หญิงเธอกำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าตู้เย็นที่เปิดค้างไว้ คล้ายกับกำลังมองหาอะไรซักอย่าง แต่ที่เขารู้ผู้หญิงที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่ แจ่มหรือจันทร์หรือแม่บ้านแม่ครัวในบ้านของเขาแน่ๆแถมความรู้สึกยังช้าอีกต่างหากขนาดเขาเดินเข้ามายืนซ้อนหลังขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีก กลิ่นหอมอ่อนที่โรยรินอยู่ในอากาศทำให้ขยับเข้าไปใกล้เธอยิ่งขึ้นเพื่อพิสูจน์ที่มาของกลิ่นว่ามาจากตัวของหญิงสาวหรือว่ามาจากที่อื่น ผมที่ดำดุจดั่งแพรไหมของหญิงสาวชวนให้เขาอยากยกมือขึ้นสัมผัสนักว่าจะนุ่มลื่นซักแค่ไหน ยิ่งเขาเข้ามายืนใกล้ๆยิ่งทำให้คนตรงหน้าดูตัวเล็กลงไปถนัดตา วรุทขมวดคิ้วเกิดคำถามขึ้นภายในใจ แล้วเธอเป็นใครกันมาอยู่ในบ้านของเขาได้อย่างไร อีกอย่างไม่น่าจะใช่ขโมย อย่าบอกนะว่าเป็น……..

    อาจจะเป็นเพราะแปลกที่ทำให้นดาเกิดอาการตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ พลิกซ้ายก็แล้ว ขวาก็แล้ว นับแกะก็ตั้งหลายร้อยตัวแล้วแต่ก็ยังไม่หลับซักที อีกทั้งยังรู้สึกคอแห้งกระหายน้ำขึ้นมาอีก หญิงสาวจึงตัดสินใจลงไปหาน้ำดื่มเพื่อดับกระหายเผื่อมันจะทำให้ตัวเองหลับง่ายยิ่งขึ้น หญิงสาวใช้ความพยายามในการตัดสินใจอยู่นานว่าจะหยิบน้ำเปล่าหรือว่าจะเปลี่ยนใจดื่มนมแทนเพราะว่าอาหารค่ำมื้อเย็นเธอก็ทานไปนิดเดียวเพราะมัวแต่คิดเรื่องลูกชายของบิดาบุญธรรมของตน จริงอยู่ที่เธอเคยเห็นท่านไปมาหาสู่ที่บ้านของเธอบ่อยแต่กับลูกชายท่านเธอเองก็ยังไม่เคยเห็นเลยซักครั้งไม่รู้ว่าเขาจะว่าอย่างไรบ้างที่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านของเขาด้วยอีกคนหวังว่าเขาคงจะใจดีเหมือนบิดา นดาตัดสินใจหยิบเหยือกน้ำแทนการหยิบนมแล้วในขณะที่เธอกำลังจะหยิบเหยือกน้ำออกจากตู้เย็นก็ได้ยินเสียงห้าวดุไม่ห่างตัวดังมาจากทางด้านหลัง

    “หาอะไรอยู่”  หญิงสาวตกใจเผลอปล่อยมือจากเหยือกน้ำที่ถืออยู่ทำให้เหยือกน้ำหล่นแตกน้ำกระเด็นโดนทั้งตัวเองและคนที่เป็นต้นเหตุทำให้น้ำหกเลอะเทอะ

    “ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย ซุ่มซ่ามจริง” วรุทต่อว่าพร้อมใช้หลังมือปัดน้ำที่กระเด็นมาโดนเสื้อแล้วเงยหน้ามองตัวซุ่มซ่ามจะว่าเงยหน้าก็ไม่ถูกเพราะคนตรงหน้าสูงแค่เหนืออกเขาเพียงเล็กน้อยเรียกว่าก้มลงมองยังจะถูกซะมากกว่า แล้วเขาก็เห็นว่าถูกสายตาของคนตรงหน้าจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว มองเห็นข้างหลังว่าน่าทะนุถนอมแล้วพอได้เห็นข้างหน้าชัดๆอย่างเต็มๆตายิ่งน่าทะนุถนอมน่าอ็นดูเข้าไปใหญ่ ผู้หญิงคนนี้ตาสวยชะมัดแววตาหวานซึ้งเป็นประกาย จมูดโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอิ่มสวยเป็นสีชมพูระเรื่อ ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวนวลตามองดูแล้วน่าสัมผัส กลิ่นหอมที่เขาได้กลิ่นมันคงเป็นกลิ่นที่มาจากตัวเธอแน่แท้ ดูๆไปแล้วเครื่องหน้ารับกันไปหมดซะทุกส่วนโดยรวมแล้วจัดได้ว่าเป็นคนสวยเลยล่ะ ไม่ใช่สวยแค่ที่ตาแล้วซิ ใช่สวย น่ารัก หน้าตาแบบนี้ถูกใจเขาเป็นบ้า น่าแกล้งเป็นที่สุด ไม่รู้ว่าใครเสียมารยาทมากกว่ากัน แต่เมื่อเขาได้สติก่อนมันก็เป็นโอกาสของเขาไม่ใช่เหรอที่จะต่อว่าคนตรงหน้า เขาคิดว่าเขาเดาไม่ผิดคนที่อยู่ตรงหน้านี่จะต้องเป็นคนเดียวกันกับยัยเด็กกาฝากอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเขาเป็นเจ้าของบ้านยังไงซะเขาก็มีสิทธิ์ต่อว่าผู้อาศัยอยู่แล้ว

    “พูดแล้วยังจะมามองหน้าอีก ไม่คิดจะขอโทษฉันซักคำเลยรึไงไร้มารยาทจริงๆที่บ้านเก่าไม่สั่งไม่สอนรึไง”

    “ขอโทษค่ะ” พูดจบก็ก้มหน้าลง ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักว่ากับแค่ทำน้ำหกทำไมต้องว่าเธอขนาดนี้ด้วย วรุมองหนี้ที่ก้มต่ำอย่างนึกสนุก ให้ตายเถอะยัยนี่น่าแกล้งชะมัด!

    “ขอโทษแล้วไง เสื้อฉันมันหายเปียกรึเปล่า” เมื่อชายหนุ่มถามหาความรับผิดชอบนดาจึงเสนอที่จะเอาไปทำความสะอาดให้แต่รู้สึกว่าไม่ว่านดาจะพูดหรือเสนออะไรไปก็ไม่เป็นที่พอใจของเขาอยู่ดี จนนดาไม่รู้จะต้องทำยังไงแล้ว

    “แล้วคุณจะให้นดาทำยังไงคะ จะเอาไปซักให้คุณก็ไม่ยอม จะเอาไปเป่าให้แห้งคุณก็ไม่ยอมอีกตกลงว่าคุณจะให้นดาทำยังไงคะคุณถึงจะพอใจ” เมื่อเห็นหญิงสาวเริ่มทำหน้ายุ่งแล้ว วรุทจึงยุติการสนทนาเพียงเท่านี้ วันนี้เขายอมให้หนึ่งวันเพราะเห็นว่านี่มันดึกมากแล้ว ถือซะว่านี่เป็นการต้อนรับเล็กๆน้อยๆจากเขา ก่อนที่จะจัดชุดใหญ่ให้ เอาน่ายังไงยัยหน้าหวานก็ต้องอยู่นี่ให้เราแกล้งไปอีกนาน วันนี้ปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน

    “ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เรื่องแค่นี้ฉันจัดการเองได้ไม่ได้เป็นง่อยจนทำอะไรไม่ได้” พูดจบวรุทก็เดินหนีขึ้นห้อง อย่างน้อยๆตอนนี้เขาก็รู้จักชื่อของเธอหลังจากที่ไม่เคยคิดจะสนเลยเมื่อบิดาแนะนำหึ หึ เธอเสร็จฉันแน่ยัยนดาหน้าหวาน ถ้าเขามองเห็นหน้าตัวเองที่สะท้อนความรู้สึกอยู่ตอนนี้เขาคงจะคิดว่าตัวเองเป็นโรคจิตแน่ๆ นดาไม่เข้าใจชายหนุ่มเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ เพราะกลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวอีก แค่นี้ก็โดนต่อว่าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว

    “อะไรของเขานะ” นดาได้แต่ครุนคิดเพียงลำพัง ก่อนที่จะจัดการกับเศษแก้วตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อนจะหาน้ำดื่มใหม่ แล้วกลับขึ้นห้องไปนอน โดยไม่ลืมที่จะนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่พึ่งเจอกัน ตอนที่ตกใจเธอแอบมองสำรวจใบหน้าของเขาด้วย ผู้ชายอะไรไม่รู้คิ้วเข๊ม เข้ม ตาก็หวาน จมูกก็โด่ง ปากก็แดงแจ๋อย่างกับทาลิปสติก ผิวก็ขาว ถ้ามองแค่ภายนอกที่เห็นก็ถือว่าเป็นคนที่หน้าตาดีเรียกว่าหล่อเลยล่ะ แต่นิสัยที่แสดงออกนี่สิไม่เข้ากับหน้าตาเลย ดูท่าทางน่าจะดุมากด้วย คิดมาถึงตรงนี้แล้วทำให้นดาคิดถึงคนที่บิดาบุญธรรมของตนบอกว่าเขามีลูกชายอยู่คนหนึ่ง อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนเมื่อกี้นี้เป็น........

    “หรือว่านั่นจะเป็น พี่รุทลูกชายของคุณพ่อ เอ๊ะหรือว่าเป็นขโมย แต่ก็ไม่น่าจะใช่ขโมยที่ไหนจะเดินเข้ามาทักคนในบ้านที่ตัวเองจะมาขโมยของล่ะ เลิกคิดแล้วนอนได้แล้วนดา” หญิงสาวบ่นอยู่คนเดียวก่อนจะข่มตานอน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×