คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3
ตอนที่ 3
ห้องนอนขนาดใหญ่ภายในตกแต่งด้วยผ้าม่านสีฟ้าน้ำทะเล เฟอร์นิเจอร์ไม้ทันสมัยปรากฏอยู่ตามมุมห้อง ตรงกลางตั้งเตียงไม้สักขนาดหกฟุตที่นอนปูด้วยผ้าปูสีฟ้าอ่อนบัดนี้มีร่างชายหนุ่มหน้าตาขมเข้มเข้ายึดครอบครองเป็นเจ้าของเป็นที่เรียบร้อยแล้ว........
เสียงเครื่องปรับอากาศคราง ฮืมๆ เบาๆ เป็นระยะ ทำให้ร่างที่นอนหลับใหลพลิกกายอย่างเกียจคร้าน เข้มสลัดผ้าห่มสีฟ้าอ่อนไปข้างตัวยันกายลุกขึ้นไปสูดอากาศยามเช้าที่ระเบียงหน้าห้องนอน บรรยากาศยามหกโมงเช้าแบบนี้สดชื่นดีจริงๆ ......แม้บ้านเขาจะตั้งอยู่กลางเมืองกรุงที่วุ่นวายแต่เนื้อที่สามไร่ทำให้เขาสามารถดัดแปลงทุกตารางเมตรเป็นสวนสวยร่มเย็นได้อย่างสบาย มองลงไปเบื้องล่างพบสระน้ำใสสะอาดที่ถูกเขาสร้างขึ้นมากลางสวนสวย เวลานี้น้ำคงเย็นน่าลงไปแหวกว่ายให้หนำใจคิดแล้วชายหนุ่มก็หันกลับเข้าด้านในเพื่อเปลี่ยนเป็นกางเกงว่ายน้ำทันที.......
เมื่อคืนเขามาถึงบ้านตอนสามทุ่มง่วงนอนมากไปหน่อยเลยหลับไปบนโซฟาตัวโปรดของแม่ไขในห้องรับแขก เขาตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงคืนจึงขึ้นไปนอนต่อบนห้องนอนเพราะรู้สึกว่าเมื่อยตัวนอนบนโซฟาหรือจะสู้นอนบนฟูกนิ่ม มีแอร์เย็นๆ ครางเบาๆ เลยหลับสบายถึงเช้าแบบนี้
เข้มลงมาว่ายน้ำแสนเย็นฉ่ำ เขาว่ายกลับไปกลับมาได้หลายรอบจนรู้สึกเหนื่อย กำลังคิดว่าจะขึ้นจากสระน้ำพอดีเห็นแม่ไขเดินเขามาหาพร้อมกับถือผ้าขนหนูผืนใหญ่มายื่นรอเขาที่ริมขอบสระ
“อรุณสวัสครับแม่ไข ขอบคุณครับ” เข้มรับผ้าขนหนูจากแม่ไขมาพันรอบกาย พร้อมหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่ตนถือมาจากห้องนอนขึ้นซับหยดน้ำตามใบหน้า
“อรุณสวัสจ๊ะลูกเข้ม แม่เห็นว่าว่ายน้ำอยู่นานแล้วเลยขึ้นไปหยิบผ้ามาให้ ยังทำตัวหมือนเดิมเลยนะลูกเข้ม ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยหยิบผ้าผืนใหญ่มาใช้สักทีหยิบแต่ผ้าผืนเล็กมาเช็ดหน้าเท่านั้น เดี๋ยวว่ายน้ำเสร็จก็เดินตัวเปียกย้ำขึ้นบ้านน้ำหยดจนพื้นแฉะไปหมด แล้วใครหล่ะที่ตามเช็ดน้ำที่หยดเป็นทางไปตลอดน่ะ!
“ก็ยายยิ้มไงครับแม่ไข” เข้มตอบแม่ไขแล้วยิ้มหวานตาพราวขบขันเมื่อนึกถึงตอนที่ยายยิ้มไล่ตามเช็ดหยดน้ำจากตัวเขา เขาคิดว่าดีเสียอีกยายยิ้มจะได้ออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ
“วันนี้ยายยิ้มไม่อยู่ ถ้าแม่ไม่หยิบผ้ามา คนเช็ดก็ต้องเป็นแม่ใช่ไหมจ๊ะ?” ไขแสงพูดพร้อมขว้างค้อนไปให้ลูกชาย
“ผมขอโทษครับแม่ไข ต่อไปผมจะพยายามไม่ลืมหยิบผ้าผืนใหญ่มานะครับ เข้าบ้านกันดีกว่าแดดเริ่มร้อนแล้ว เดี๋ยวผิวขาวๆ ของแม่ไขจะเสีย หมดสวยกันพอดี” เข้มโอบเอวแม่ไขเดินเข้าไปในบ้านพร้อมผิวปากอย่างอารมณ์ดี
โต๊ะอาหารที่มีผ้าปูลายดอกไม้สวยงามบนโต๊ะ เช้านี้มีอาหารเช้าวางอยู่เต็มเนื้อที่ ไม่ว่าจะเป็นเมนูอาหารเช้าแบบฝรั่ง หรือข้าวต้มกุ้งแบบของไทย รวมไปถึงเหยือกกาแฟและชาขนาดใหญ่ กระจาดผลไม้นานาชนิด มีทั้งกล้วยหอม ส้ม แอปเปิ้ลสีเขียวสีแดง และองุ่นสีดำลูกโต แต่ขณะนี้เข้มไม่สนใจอย่างอื่นยกเว้นข้าวต้มกุ้งที่เขาเติมเป็นชามที่สองแล้ว
“แม่ไข ฝีมือไม่ตกเลยนะครับข้ามต้มกุ้งแม่ไขอร่อยที่สุดในโลกเลยครับ” เข้มเห็นแม่ไขนั่งยิ้มดูเขากินอย่างเอร็ดอร่อย
“กินเยอะๆ เลยลูก แม่ทำเพื่อลูกเข้มที่รักของแม่เลยนะจ๊ะ ไขแสงภูมิใจที่ลูกเข้มชมฝีมือปรุงแต่งรสอาหารของเธอเสมอ ดีใจที่เห็นลูกทานอาหารได้มากทุกครั้งที่เธอทำ...............
ไขแสงชวนลูกเข้มออกมานั่งย่อยอาหารหลังจากที่เห็นลูกเข้มทานข้าวต้มกุ้งไป 2 ถ้วย กาแฟดำ 1 แก้ว ตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลอีก 1 ผล บริเวณสวนหลังบ้านทรงไทยของไขแสง มีศาลาทรงไทยขนาดย่อมปลูกอยู่ตรงกลางล้อมรอบไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบหลากสีที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ มะลิที่ออกดอก สีขาวสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ดาวเรืองออกดอกสีเหลืองอร่าม และรอบๆ กำแพงรั้วก็มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาไปรอบบริเวณ ข้างๆ ศาลา มีลำธารจำลองไหลเอื่อยๆ ลัดเลาะโอบล้อมไปทั่วและมีสะพานไม้เล็กๆ เดินข้ามลำธารด้วย เวลาออกไปข้างนอกสูดดมควันพิษทั้งวัน ไขแสงก็จะมามานั่งที่ศาลากลางสวนนี้แล้วจะรู้สึกหายใจโล่งสบายทุกครั้ง สวนร่มเย็นนี้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของลูกเข้มเพราะบ้านของไขแสงเคยมีนิตยสารชื่อ “บ้านใหญ่สวนสวย” มาขอถ่ายรูปเอาไปลงหนังสือและขอสัมภาษณ์ลูกเข้มไปเมื่อ 2 ปีที่แล้วนี่เอง ซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจของคนในตระกูลเธอ ไม่ว่าจะเป็นตัวเธอ ตาขาม ยายพะยอม ทุกคนดีใจกันมากที่ลูกเข้มเรียนจบมาแล้วสามารถประกอบอาชีพได้ตามสาขาที่ตนเองเรียนได้สำเร็จในชีวิต ไขแสงนึกถึงอดีตเมื่อได้มานั่งที่ศาลากลางสวนแห่งนี้
“ลูกเข้ม เรื่องที่แม่ให้ทำไปถึงไหนแล้วจ๊ะ?” แล้วเธอก็เริ่มคุยกับลูกเข้มถึงปัญหาที่เธออยากคุยตั้งแต่เห็นหน้าลูกเข้มเมื่อคืนทันที
“ผมเริ่มทำแล้วครับแม่ไข แต่ผมมีอะไรจะขอร้องแม่ไขข้อหนึ่ง คือผมยังไม่อยากให้หนูอีฟรู้ว่าผมเป็นใครจะได้ไหมครับ?” เข้มเห็นคิ้วของแม่ไขขมวดเข้าหากันเป็นปม เลยต้องอธิบายต่อเพื่อคลายความสงสัยของมารดา
“ผมไปพบหนูอีฟมา แค่เห็นกันแว๊บเดี๋ยว พูดกันไม่กี่ประโยค ก็ทำให้ผมรู้ว่าหนูอีฟไม่ใช้ผู้หญิงที่เรียบร้อยเหมือนสมัยเด็กๆ คงไม่ยอมอยู่ในโอวาทของใครได้ โดยเฉพาะคนที่น้องไม่เคยรู้จักอย่างผม ผมเลยอยากพิสูจน์ตัวเองว่าผมสามารถสยบความดื้อรั้นเอาแต่ใจน้องได้โดยไม่ให้ความสัมพันธ์ในอดีตมาเป็นตัวช่วยนะครับแม่ รับรองว่าผมจะจัดการ ทุกอย่างเอง แม่ไขไม่ต้องเป็นห่วงและฝากแม่ไขบอกกับน้าอรด้วยว่าอย่าบอกหนูอีฟว่าผมเป็นใครให้บอกว่าน้าอรจ้างมาจากบริษัทบอดี้การ์ดแห่งหนึ่งเท่านั้นนะครับ”
“จะดีหรือลูกเข้ม เดี๋ยวน้องไม่ยอมขึ้นมาเรื่องราวจะไปกันใหญ่นะจ๊ะ เพราะน้าอรเขาต้องการให้ลูกเข้มดูแลหนูอีฟทั้งยามหลับและยามตื่นนะลูก ต้องอยู่บ้านเดียวกัน สถานที่เดียวกันตลอดนะลูกนะ” ไขแสงไม่เห็นด้วยกับลูกชาย แต่ก็ไม่อาจห้ามความคิดแผลงๆ ของลูกได้
“ดีมากเลยครับแม่ไข ผมมีวิธีที่จะพูดให้หนูอีฟยอมรับผมเป็นบอดี้การ์ดประจำตัวแน่นอน แม่ไขไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ตอนนี้ผมได้ให้เพื่อนที่เป็นตำรวจช่วยสืบให้ด้วยว่าครอบครัวของคุณอาคมเดชมีศัตรูที่ไหนหรือป่าว มีใครที่พอจะเป็นตัวการของอุบัติเหตุครั้งนั้นได้บ้างอีกไม่เกินสามเดือนเราได้รู้ผลแน่นอนครับแม่ไข”
“งั้นก็แล้วแต่ลูกเข้มแล้วกันจ๊ะ แม่แก่แล้วคิดอะไรยอกย้อนไม่เป็นกับเขาหรอกลูก ถ้าลูกเข้มมีปัญหาอะไรที่ต้องใช้ลูกมือช่วยก็ไปปรึกษากับตาขามนะลูก เพราะตาขามแก่มีลูกสมุนหลายคนที่ไว้ใจได้”
“ครับแม่ไข เรื่องนั้นผมทราบอยู่แล้ว แม่ไขลืมไปหรือไงว่าผมไปอยู่กับตาขามมาตั้งนานแล้วรู้จักกับสมุนของตาขามเกือบทุกคนแล้วครับ” เข้มพูดยิ้มๆ หลังจากแม่ไขแนะนำให้เขาไปคุยกับตาขามเรื่องลูกสมุน
“จริงซิ แม่ลืมไป มัวแต่คิดเป็นห่วงกลัวลูกเข้มจะเป็นอันตราย แต่ถึงอย่างไรหากลูกเข้มจะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับหนูอีฟก็ขอให้มาปรึกษากับแม่ไขก่อนทำทุกครั้งนะจ๊ะ ลูกต้องคิดเสมอนะว่าน้องเป็นผู้หญิงและลูกเข้มเป็นผู้ชาย จะทำอะไรก็ให้นึกถึงหน้าแม่บ้าง” ไขแสงเตือนลูกชาย เพราะกลัวใจลูกหรือเกิน ว่าจะทำอะไรโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมาภายหลัง
“โธ้! แม่ไขครับผมจะไปทำอะไรน้องได้ เขาโตแล้วนะครับไม่ใช้เด็ก 5-10 ขวบ เหมือนเมื่อก่อนสักหน่อยจะได้โดนผมแกล้งอยู่บ่อยๆ แม่ไขไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมสัญญาว่าหากจะทำอะไรที่เกี่ยวกับหนูอีฟ ผมจะบอกกับแม่ไขทุกเรื่องเลยครับ แม่ไขสบายใจหรือยังครับ” เข้มพูดยิ้มหวานประจบแล้วรัดอ้อมแขนแข็งแรงไปรอบร่างของไขแสงอย่างเอาใจเต็มที่.................
ณ บ้านพิศาลสมบัติ บัดนี้ประมุขของบ้านคือคุณเอมอรกำลังเดินวนไปมาในห้องรับแขกเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ เธอกังวลเหลือเกิน เมื่อคืนหนูอีฟไม่กลับบ้านไม่รู้ไปไหนโทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ให้ตาโคมไปตามก็ไม่ได้เรื่อง โทรหาเพื่อนสนิทกี่คนก็บอกว่าไม่รู้เรื่องยกเว้นทอมมี่เพื่อนสนิทที่สุดของหนูอีฟที่เธอไม่สามารถติดต่อได้เหมือนกัน ไอติมเลขาหน้าห้องบอกว่าหนูอีฟออกจากสำนักงานตั้งแต่บ่ายโมงสั่งแค่ว่าจะไปธุระข้างนอกเท่านั้น
ปกติหนูอีฟไปไหนจะโทรบอกเธอตลอดและกลับบ้านเสมอแม้จะดึกดื่นแค่ไหน เธอคิดจะแจ้งตำรวจก็กลัวเรื่องจะบานปลาย เพราะ หนูอีฟเคยเป็นแบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้วสมัยยังเป็นนักศึกษาเกิดทะเลาะกับเธอตอนขอไปเที่ยวกลางคืนแล้วเธอไม่ยอม หนูอีฟก็เลยแอบหนีออกไปเองและไม่กลับบ้าน เธอแจ้งตำรวจ ผลปรากฏว่าหนูอีฟไปค้างกับเพื่อนผู้หญิงในหอพักของมหาวิทยาลัยเพราะเห็นว่าดึกมากไม่กล้ากลับบ้านเอง แต่นั้นเรื่องมันเกิดมาหลายปีแล้ว ตอนนี้หนูอีฟก็โตแล้วแถมไปอยู่ตัวคนเดียวที่อเมริกามาตั้ง 3 ปีจนจบปอโทกลับมา เธอเห็นว่าหนูอีฟโตแล้วสามารถดูแลรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว เธอก็เลยไม่ได้เข้มงวดกับลูกมากเหมือนก่อน.....และครั้งนี้เธอกับลูกไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน แต่ทำไมหนูอีฟถึงไม่กลับบ้าน ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว หรือว่าหนูอีฟจะไปกับทอมมี่ เธอเดินไปคิดไป
“คุณผู้หญิง หยุดเดินได้แล้วค่ะ อิฉันเวียนหัวจะแย่อยู่แล้ว” นมตู๋พูดขึ้นเมื่อเห็นเอมอรจะเดินอีกรอบ
“นมตู๋ก็ ไม่ห่วงหนูอีฟเลยใช่ไหมจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ ลูกหนอลูกไปไหนก็ไม่โทรบอกกันบ้างเราห่วงจะแย่แล้ว”
“อิฉันก็ห่วงคุณหนูอีฟไม่แพ้คุณผู้หญิงหรอกค่ะ แต่ว่าคุณผู้หญิงนั่งพักก่อนดีกว่า เดี๋ยวคุณหนูอีฟก็กลับมาเองนมรู้ค่ะ นั่นไงค่ะคุณหนูอีฟเดินมานั่นแล้วค่ะคุณผู้หญิง” นมตู๋รีบเดินไปรับคุณหนูอีฟเมื่อเห็นเธอลงจากรถยนต์คันหรู.....
“คุณหนูอีฟขา ไปไหนมาทำไมไม่โทรบอกคุณผู้หญิง ท่านเป็นห่วงทราบไหมคะ?” นมตู๋รีบเข้าไปรับของจากมือของหนูอีฟและต่อว่าแทนผู้เป็นมารดาเพราะเธอก็เลี้ยงดูคุณหนูอีฟมาตั้งแต่เกิดเหมือนกัน
“นมตู๋ขา อย่าเพิ่งให้หนูอีฟตอบตอนนี้เลยค่ะ เดี๋ยวหนูอีฟบอกเหตุผลให้ทั้งสองคนฟังพร้อมกันเลยที่เดียวจะได้ไม่ต้องเล่าซ้ำสองรอบ นะค่ะ” หนูอีฟเดินผ่านห้องรับแขกพบว่าคุณเอมอรยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับรออยู่จึงรีบเข้าไปกอดประจบทันที
“แม่อรขา หนูอีฟขอโทษร้อยครั้งพันครั้ง ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ พอดีแบตหมดและหนูอีฟไปพักในที่ไม่มีสัญญาณจึงไม่สามารถโทรกลับบ้านได้ แต่หนูอีฟไม่ได้ไปทำอะไรเสียหายแม้สักนิดเดียวนะค่ะ หนูอีฟออกไปจากบ้านแบบไหนก็กลับบ้านมาครบทุกประการแบบเดิมค่ะ” หนูอีฟเห็นแม่อรขาของเธอมีสีหน้าดีขึ้นจึงรีบพูดต่อทันที “หนูอีฟไปกับทอมมี่ค่ะ เราสองคนไปเที่ยวตระเวนหาสถานที่ถ่ายภาพลงนิตยสารของทอมมี่ เผอิญไปพบสถานที่แห่งหนึ่งเข้าถูกใจเราสองคนมากก็เลยค้างคืน แต่พอจะโทรหาแม่อรขาก็แบตหมดเสียก่อน ของทอมมี่ก็หมดเหมือนกันหนูอีฟขอโทษ แม่อรขากับนมตู๋ยกโทษให้หนูอีฟนะคะ?”
คุณเอมอร เห็นหนูอีฟทำตาปริบๆ สองแขนก็กอดรัดเธอแน่นแถมส่งสายตาไปยังนมตู๋แบบขอลุแก่โทษ เธอเห็นแล้วก็ใจอ่อน อันที่จริงเธอก็พอจะเดาออกว่าหนูอีฟน่าจะไปกับทอมมี่ หรือธนบดี เกียรติธนาดล ทายาทนักธรุกิจสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในเมืองไทยลูกครึ่งไทยอเมริกันเขาเป็นผู้ชายที่หล่อ สมาร์ท บุคลิกดี นิสัยดี เคยจีบหนูอีฟสมัยเรียนปอตรีด้วยกันแต่หนูอีฟไม่ชอบบอกว่าเป็นเพื่อนรักดีกว่าเป็นคนรักโดย หนูอีฟยื่นคำขาดกับทอมมี่ว่าถ้าไม่อยากเป็นเพื่อนรักก็ไม่ต้องคบกันอีกต่อไปให้ถือซะว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ตั้งแต่นั้นมาทอมมี่กับหนูอีฟก็กลายเป็นเพื่อนรักกันไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ และในสายตาของคนภายนอกก็คิดว่าทั้งสองคนเป็นคู่รักกัน และทั้งสองคนก็ไม่คิดจะปฏิเสธมีแต่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด...........
“ตกลงเป็นอันว่าแม่ยกโทษให้มันเป็นเหตุสุดวิสัยนี่นะ แต่แม่มีอะไรจะบอกหนูอีฟและแม่ขอบอกไว้ก่อนว่างานนี้หนูอีฟห้ามปฏิเสธแม่เป็นเด็ดขาด เพราะว่าเรื่องนี้แม่ขอร้องแกมบังคับนะจะบอกให้”
“เรื่องอะไรหรือค่ะ ทำไม่แม่อรขาทำหน้าจริงจังขนาดนั้นด้วย?”
“จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกลูก แค่แม่หาบอดี้การ์ดมาคอยดูแลลูกได้แล้ว แม่ก็เลยอยากให้หนูอีฟได้พบกับเขานะลูก หนูอีฟแล้วเรื่องนี้เป็นความลับนะจ๊ะ ห้ามบอกใครเด็ดขาดแม้แต่นายโคมก็บอกไม่ได้นะจ๊ะ”
“อะไรนะคะแม่อรขา! บอดี้การ์ด ใครกัน ใครจะมาเป็นไม้กันหมาให้หนูอีฟ ทำไม่หนูอีฟต้องมีเขาด้วยค่ะแม่ ทุกวันนี้ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวเราเลยนะคะ แล้วทำไมถึงบอกพี่โคมไม่ได้ด้วยคะแม่อรขา”
หนูอีฟไม่อยากมีบอดี้การ์ด เธอเคยเห็นในหนังเวลาคนดัง ๆ จะเดินไปทางไหนก็มีพวกบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลังมันน่าเบื่อชะมัด แม้บอดี้การ์ดของเธอจะมีเพียงแค่คนเดียวแต่เธอก็ไม่อยากจะมี แค่คิดว่าเวลาเธอจะไปไหนหรือทำอะไรกับใครก็ต้องมีนายบอดี้การ์ดคนนั้นคอยตามติดแล้ว มันน่าปวดหัวจริง ๆ คุณแม่นะคุณแม่ ไม่รู้จะระแวงอะไรกันนักหนาบอกว่าเรื่องที่เกิดกับคุณพ่อเป็นอุบัติเหตุ คุณแม่ก็ไม่เชื่อ ท่านบอกว่าเป็นการจัดฉากมีคนคิดปองร้ายครอบครัวของเราท่านเลยหาคนมาคุ้มกันลูกสาวสุดที่เลิฟอย่างเธอ แต่เธอไม่ต้องการ ไม่ต้องการจริงๆ
“ไม่รู้หล่ะหนูอีฟ พูดจาไม่น่ารักเลยนะเราไม้กันหมาอะไรของลูก? แม่บอกแล้วว่าแม่ขอบังคับให้ลูกต้องรับเรื่องนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะให้เขาไปพบกับลูกนะ ที่แม่ไม่อยากให้บอกนายโคมเพราะว่าเรื่องนี้อยากให้คนรู้น้อยที่สุดมันจะดีสำหรับเราเพราะทางบริษัทที่เขารับจ้างเป็นบอดี้การ์ดเขาแนะนำกับแม่มานะลูก แม่มีเรื่องจะบอกหนูอีฟเท่านี้แหละจ๊ะ........กลับมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนได้แล้วลูก” เอมอรรีบพูดตัดบทเพราะเห็นหนูอีฟท่าทางจะไม่ยอมง่ายๆ จึงทำเสียงเข้มใส่ลูกเมื่อเธอเห็นหนูอีฟก้มหน้าทำตาแดงๆ จึงไล่ให้ไปพักผ่อนซะเลยเพื่อตัดปัญหา
“ก็ได้ค่ะแม่อรขา หนูอีฟจะพบกับเขาพรุ่งนี้ แต่ถ้าเขาไม่กล้ารับงานนี้เอง คุณแม่ห้ามหาคนใหม่ให้หนูอีฟอีกนะคะ แม่อรขาสัญญากับหนูอีฟก่อน ไม่งั้นหนูอีฟจะนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนี้” หนูอีฟทรุดตัวลงนั่งคุกเขาทันที่ที่เธอพูดจบ
“ไม่เอานะลูกเดี๋ยวเข่าด้านหมดสวยกันพอดี หนูอีฟหนูใช้วิธีนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วนะลูกเมื่อไหร่จะเลิก เสียที ก็ได้จ๊ะแม่สัญญา ถ้าหากพรุ่งนี้คนที่แม่จ้างให้เขามาเป็นบอดี้การ์ดให้หนูอีฟถ้าเขาพบกับหนูอีฟแล้วไม่ยอมรับทำงาน แม่ก็จะไม่หาคนใหม่ให้หนูอีฟอีกแล้ว แม่สัญญาลุกขึ้นเถอะลูก”
หนูอีฟลุกขึ้นเมื่อแม่เอรขาเข้ามาพยุงตัวเธอ เธอยิ้มอย่างยินดีที่วิธีเก่าๆ ใช้ได้ผลทุกครั้งกับแม่อรขา เพราะแม่อรขาเคยเป็นนางงามก็เลยอยากให้ลูกมีผิวสวยงามเหมือนตนไม่อยากให้มีความหยาบกระด้างบนเรือนร่างของเธอ แม่อรขารับปากแล้วไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้นายเจอกับฉันแน่นายบอดี้การ์ดจอมจุ้น มาไม่ถูกจังหวะเสียแล้ว ฉันกำลังอยากสนุก ไม่อยากมีผู้ติดตาม เสียหน่อย แล้วเราค่อยเจอกันนายจะไม่กล้ารับงานนี้แน่นอน ฉันไม่ยอมขาดอิสรภาพ ขาดอิสระเสรีไปง่ายๆ หรอกรู้ไว้ด้วย......
ความคิดเห็น