คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
เสียงกริ่งประตูหน้าบ้านทรงไทยหลังใหญ่ปลูกอยู่ในเนื้อที่สามไร่ใจกลางเมืองกรุงดังสั้นยาวสั้นยาวสลับกัน ทำให้ คุณไขแสงประมุขของบ้านต้องลุกจากโซฟาหวายตัวโปรดก่อนจะวางหนังสือแฟชั่นเสื้อผ้าในมือลงบนโต๊ะทรงกลมเบื้องหน้าวันนี้ยายยิ้มกับตาชื่นคนงานเก่าแก่ได้ลากลับบ้านต่างจังหวัดเพื่อไปรับหลานสาวขึ้นมาอยู่ด้วยกันที่นี่ จึงไม่มีใครไปเปิดประตู
“เออ!..ไม่รู้ว่าใครกันมาตอนมืดค่ำแบบนี้” ไขแสงคิดพรางเดินไปเปิดไฟดวงหน้ารั้วบ้านเพราะขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว ปกติบ้านเธอจะเปิดไฟเฉพาะดวงหน้ามุขเท่านั้นเมื่อหลังเวลาสองทุ่มไปแล้ว
ร่างสูงสง่ายื่นพิงประตูรั้วไม้สักบานใหญ่ที่แกะสลักเป็นรูปใบกล้วยทั้งสองบานด้วยฝีมือประณีตสวยงามเหนือบานประตูมีกรอบไม้ลายฉลุภายในกรอบมีตัวอักษรที่ประดิษฐ์จากไม้เรียงกันอย่างสวยงามข้อความว่า “บ้านสวนในฝัน” เข้มยืนอ่านแล้วอมยิ้มคนเดียวเมื่อคิดถึงคนที่ตั้งชื่อบ้านหลังนี้ เมื่อสักครู่เขากดกริ่งไปแล้ว 4 ครั้งโดยใช้รหัสลับแบบเดิมที่ใช้กับตาชื่นเป็นประจำ นี่มันเลย 10 นาทีมาแล้วยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีใครมาเปิดประตูสักที่เขาจึงหันหลังกลับเตรียมจะกดกริ่งอีกครั้ง พลัน สายตาโฟกัสไปพบกับหญิงสาวรูปร่างสูงสมส่วนแต่งกายด้วยชุดนอนบางเบาสีครีมสวมทับด้วยเสื้อคุมอย่างมิดชิดบนศีรษะมี โรม้วนผมติดอยู่สามสี่อันกำลังเดินตรงมาทางประตูที่เขายื่นรออยู่พอเห็นในระยะใกล้ชายหนุ่มจึงรีบยกมือทำความเคารพในทันที
“สวัสดีครับแม่ไข เปิดประตูเร็วๆ หน่อยคิดถึงจะแย่อยู่แล้ว” ชายหนุ่มรีบพูดอย่างร้อนใจเมื่อเห็นว่าผู้ที่กำลังเดินมาเป็นคนที่ตั้งชื่อบ้านหลังนี้นั่นเอง
“ลูกเข้ม....ลูกเข้มของแม่ไข แม่คิดถึงหนูเหลือเกิน รอเดี๋ยวลูกแม่แก่แล้ว” คุณไขแสงเห็นคนที่กดกริ่งหน้าบ้านเป็น เขมชาติหรือลูกเข้ม ลูกชายคนโปรดก็ดีใจสุดจะบรรยายทั้งสองคนโผเข้ากอดกันต่างผลัดกันหอมแก้มซ้ายขวาไม่มีใครยอม น้อยหน้าซึ่งกันและกันปากก็พร่ำพูดว่าคิดถึงกันไม่หยุด
“แม่ไขสบายดีไหมครับ ทำไมมาเปิดประตูเอง ไม่มีใครอยู่เลยเหรอครับ?” เข้มพูดขึ้นหลังจากปล่อยอ้อมแขนจากแม่แล้วพากันเดินเข้าไปในบริเวณบ้าน
“แม่สบายดีลูกส่วนยายยิ้มกับตาชื่นเขาไม่อยู่หรอกลูก เขาสองคนขออนุญาตกลับบ้านต่างจังหวัดเพื่อไปรับหลานสาว มาอยู่ด้วยกันที่นี่” คุณไขแสงตอบข้อสงสัยให้ลูกชาย
“ลูกเข้มจ๋า...เราไม่ได้พบหน้ากันนานแค่ไหนแล้วแม่ว่าน่าจะเป็นอาทิตย์แล้วใช่ไหมแม่ถึงรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน... คุยโทรศัพท์ก็ไม่เหมือนเจอตัวเป็นๆ นะลูกนะ” พูดพรางดึงลูกชายให้นั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน
“ครับแม่ไข...ก็ครบอาทิตย์เมื่อวานครับ ผมก็คิดถึงแม่ไขเหมือนกันเลย....คิดถึ๊ง...คิดถึง” ชายหนุ่มวาดวงแขนไปรอบเอวหนาและยื่นหน้าไปหอมแก้มหนึ่งฟอด คุณไขแสงเห็นหน้าลูกสุดรักก็ดีใจทุกครั้งเมื่อห่างกันหลายๆ วันก็ทำให้คิดถึงมาก
เมื่อเธอได้แต่งงานกับคุณสมภพ ตระกูลกังวาน เจ้าของโรงงานทอผ้าชื่อดังในจังหวัดสุพรรณบุรีครองรักกันได้สิบปีมีพยานรักด้วยกัน 1 คนคือลูกเข้ม หลังจากนั้นคุณสมภพก็ล้มป่วยลงจนมาทราบว่าเป็นโรคหัวใจก่อนจะเสียชีวิตตั้งแต่ลูกเข้มอายุได้เพียง 10 ขวบ เมื่อสิ้นเสาหลักสองแม่ลูกก็ผูกพันกันมากขึ้นแทบจะเป็นเงาตามตัวของกันและกัน.....เธอไม่เคยคิดจะมีสามีใหม่เพราะกลัวลูกจะเสียใจ เธอดูแลกิจการโรงงานทอผ้ามาพร้อมๆ กับคุณเสริมศรีน้องสาวของเธอที่เข้ามาคอยช่วยเหลือจนกิจการ ก้าวหน้ามีรายได้เข้ามาสู่ครอบครัวอย่างมหาศาล พอลูกเข้มเรียนจบมัธยมต้นเธอจึงชวนลูกเข้ามาซื้อที่และปลูกบ้านหลังนี้ เมื่อ ลูกเข้มเรียนจบปอตรีสถาปัตยกรรม สาขาภูมิสถาปัตย์ที่เน้นเรื่องการจัดแต่งสวน และจบปอโทการบริหารเธอก็เลยให้ลูกเข้มกลับไปดูแลกิจการสิ่งทอต่อจากเธอ ประกอบกับคุณตาขามพ่อของเธอต้องการผู้ช่วยสืบทอดกิจการบ้านจัดสรรซึ่งอยู่ในจังหวัดเดียวกัน จึงดึงตัวลูกเข้มไปช่วยงานด้วย....ส่วนตัวเธอตอนนี้ก็อายุห้าสิบห้าแล้วหลังจากปลดตัวเองออกจากกิจการจึงได้แต่นั่งๆ นอนๆ และออกงานสังคมบ้างในบางครั้ง ลูกเข้มต้องขึ้นลงกรุงเทพฯ บ่อยๆ ทำให้ทั้งสองคนเจอกันน้อยลง บางครั้งก็สามถึงสี่วัน บางครั้งก็เป็นอาทิตย์เหมือนในครั้งนี้..........
“คุณตาคุณยายยังแข็งแรงเหมือนเดิมหรือป่าวลูก?”
“ก็เหมือนเดิมทุกอย่างครับท่านยังบ่นถึงแม่ไขเลยว่าไม่เห็นไปหาท่านบ้างเลย
ท่านว่าแม่ไขเห็นเพื่อนสำคัญกว่า พ่อแม่และผมก็เห็นด้วยกับท่านนะครับ” คุณไขแสงหันไปค้อนลูกชายหนึ่งทีและหยิกหมับเข้าที่แก้มขวาอีกหนึ่งครั้ง
“นี่แหน่ะ....ว่าแม่เหรอจ๊ะก็ตอนนี้เพื่อนแม่เขามีปัญหาร้อนใจมาปรึกษาเราก็ต้องเป็นน้ำเย็นช่วยปลอบให้เขาคลายร้อนใช่ไหมลูก?”
“โอ๊ย!...แม่ไขหยิกผมอีกแล้ว ผมไม่ใช่เด็กสิบขวบแล้วนะครับผมเข้าใจแล้วครับซึ่งใจในความรักเพื่อนของแม่ไข อย่างแรงนะเนี้ย...เพื่อนแม่ไขจะรู้ไหมว่าแม่ไขรักเขามากแค่ไหน นี่ขนาดคิดแก้ปัญหาโดยใช้ลูกชายสุดเลิฟเป็นเครื่องมือเชียวนะครับ
เข้มปิดปากหาวด้วยดวงตาปรือปรอย
“ผมง่วงนอนแล้วขอไออุ่นหน่อยนะครับ แล้วพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน กู๊ดไนท์ครับแม่ไข” เข้มพูดขณะก้มลงนอนหนุนตัก แม่ไขโดยเหยียดลำตัวไปตามความยาวของโซฟาพร้อมกับจับมือทั้งสองข้างของแม่ไขมาหอมหนึ่งฟอดและวางแนบไว้กลางอกก่อนจะหลับตาพริ้ม.....สักครู่เสียงหายใจสม่ำเสมอก็ดังขึ้นเบาๆ
คุณไขแสงเห็นอาการของลูกชายก็อดยิ้มไม่ได้ลูกเข้มยังเหมือนเดิมชอบนอนแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก.....เวลาไม่ได้หนุนตักของเธอแล้วนอนหลับสบายหรือป่าวไม่รู้ ไขแสงยกมือลูบศีรษะลูกเบาๆ นึกถึงคำพูดของลูกเข้มที่บอกว่าเอาตนมาเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาก็ทำให้เธอนึกไปถึงต้นเหตุของปัญหาดังกล่าว.........
เอมอร พิศาลสมบัติ ภรรยานายคมเดช พิศาลสมบัติ เจ้าของธุรกิจขายเฟอร์นิเจอร์นำเข้าจากอิตาลีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศชื่อว่า บริษัท บิ๊กเฟอร์นิเจอร์ จำกัด เพื่อนรักของเธอสมัยสาวๆ เมื่อครั้งนั้นทั้งสองคนเข้าประกวดนางงามประจำจังหวัดเอมอรได้ที่หนึ่ง และเธอได้รองอันดับหนึ่ง ก่อนเข้าประกวดมีการเข้าค่ายทำกิจกรรมหลายอย่างและเธอกับเอมอรก็นอนห้องเดียวกันเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม....จึงทำให้ทั้งสองคนสนิทกันมากหลังจากทั้งสองแยกย้ายกันไปมีครอบครัวก็ยังติดต่อหากันตลอดเวลา....จนเมื่อสองเดือนก่อนเอมอรมาหาเธอที่บ้าน...เธอยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้เป็นฉากๆ เหมือนกับว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้.............
วันนั้น...เอมอรมาหาเธอที่บ้านหลังนี้ด้วยใบหน้าที่แบกความตรอมตรมไว้จนล้นปรี่ แม้จะดูว่าเธอเศร้าแต่ก็ยังคงมีเค้าโครงของความงามเปล่งรัศมีออกมาจากตัวเธอแม้ยามนี้หุ่นจะไม่เพรียวบางเหมือนเมื่อครั้งเป็นนางงามก็ตาม เธอมาด้วยชุดเดรสสีดำปักด้วยคริสตัลสีเดียวกันเป็นรูปดอกไม้เล็ก ๆ ตรงอกอิ่มด้านซ้าย เธอยังสวยสง่าในสายตาของไขแสงเสมอ
“หวัดดีเอมอร เป็นยังไงบ้างฉันทราบข่าวเรื่องคุณคมเดชเมื่อคืนทางทีวี เสียใจด้วยนะจ๊ะ” ไขแสงพูดพร้อมกับอ้าแขนออกรับร่างที่วิ่งถลามาหาตน
“หวัดดีจ้าไข...ไขจ๋าเธอต้องช่วยฉันนะ ฉันไม่มีที่พึ่งที่ไหนแล้ว คุณคมเดชเขาจากฉันไปแล้ว ต่อไปฉันกับหนูอีฟจะอยู่กันอย่างไรเป็นผู้หญิงทั้งสองคนจะไปสู้รบปรบมือกับใครเขาได้”เอมอรร้องให้สะอึกสะอื้นหลังจากพร่ำพรรณนาสิ่งที่อัดแน่นในอกให้เพื่อนรักอย่างไขแสงฟัง
“ใจเย็นๆ ไว้เอมอร ทุกปัญหามีทางแก้ไขเสมอ เราต้องมีสตินะเพื่อน..ไม่เป็นไรนะฉันจะคอยเป็นกำลังใจสำคัญสำหรับเธอเองนะจ๊ะ” ไขแสงพูดปลอบเพื่อนเธอรู้ว่าการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักที่พึ่งพิงนั้นมันทรมานแค่ไหน
“ไหนเอมอร เธอเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฉันฟังหน่อยเราจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาไงหล่ะ” ไขแสงพาเอมอรเข้าไปนั่งที่โต๊ะรับแขกข้างในบ้านเพื่อสนทนาปัญหาที่เกิดขึ้น
“คุณคมเดชเขากำลังจะไปอิตาลีเพื่อติดต่อการสั่งซื้อสินค้าตัวใหม่.....เมื่อคืนก่อนเขายังบ่นกับฉันอยู่เลยว่าพักหลังไม่รู้คิดมากไปหรือป่าวเขาว่ามีคนใส่ชุดดำขี่มอเตอร์ไซด์ตามเขาตั้งแต่ที่ทำงานมาจนถึงบ้านหลายวันแล้ว ฉันก็ตกใจบอกให้ไป แจ้งความไว้ เขาก็ว่าไม่เป็นไรหรอกเขาไม่เคยมีศัตรูที่ไหนทำธุรกิจก็ใสสะอาดไม่มีปัญญาเรื่องขัดแย้งกับใครเลย แล้วเขาก็ออกจากบ้านไปสนามบินแต่ระหว่างทางเขาก็....เขาก็”
เมื่อเล่าถึงตรงนี้เอมอรก็กลั้นสะอื้นเอาไว้ไม่อยู่ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายเพื่อน ไขแสงจึงต้องกอดปลอบใจเพื่อน “ ไม่เป็นไรนะจ๊ะ คุณคมเดชเขาไปสบายแล้ว เธอยังมีฉันอยู่ข้างๆ เสมอนะจ๊ะ”
“ตำรวจบอกว่ามีรถบรรทุกพุ่งออกมาจากทางแยกเข้าชนรถของคุณคมเดชอย่างจังทำให้คนขับกับคุณคมเดชเสียชีวิตคาที่เลย ส่วนคนขับรถบรรทุกก็หายตัวอย่างลอยนวลและไม่มีใครเห็นเหตุการณ์สักคนเพราะเหตุเกิดประมาณห้าทุ่มกว่าๆ จากการพิสูจน์เบื้องต้นจนถึงปิดคดีก็ว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ฉันเชื่อนะว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุมันต้องเป็นการจงใจจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุของใครสักคนแน่นอน” เอมอรเล่าต่อหลังจากยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่ไหลรินตลอดเวลาที่เธอเล่า
“แล้วช่วงที่คุณเดชไปต่างประเทศบ่อยๆ ใครดูแลกิจการบริษัทฯ แทนหล่ะ” ไขแสงถามในสิ่งที่ตนอยากรู้
“นายโคมจ๊ะเขาทำงานแทนคุณคมเดชมาสองปีกว่าแล้ว หลังจากเสร็จงานคุณคมเดชคงต้องมีการเชิญคณะกรรมการ ทุกฝ่ายเข้าร่วมประชุมเพื่อให้หนูอีฟเข้าไปบริหารงานแทนคุณคมเดชอย่างเต็มตัวเสียที แต่คงต้องแบ่งหน้าที่การบริหารงานกับนายโคมอีกครั้งหนึ่งก่อน”เอมอรทำหน้าฉงนหลังจากตอบคำถามเพื่อน“เธอถามทำไม หรือไข”
“ไม่มีอะไรหรอกฉันก็แค่ถามดูเผื่อว่าปัญหาที่เธอคิดมันเกิดจากคนใกล้ตัวหรือป่าว?”
“ไข...เธอสงสัยนายโคมได้ไงเขาเป็นคนดีมากนะ ฉันรู้จักเขามาตั้งแต่เด็กแล้วโคมก็เหมือนกับลูกชายฉันคนหนึ่งเหมือนกันนะจ๊ะ เขารักพ่อ รักน้อง และคุณคมเดชก็ไว้ใจมอบหน้าที่ให้เขาเข้าบริหารธุรกิจนี้มาเกือบ 2 ปีแล้วเพราะต้องรอ หนูอีฟเรียนจบจึงจะสามารถเข้ามาบริหารคู่กันได้จ๊ะ ฉันคิดว่าถ้าเป็นการจัดฉากจริงคงเป็นคู่แข่งทางธุรกิจของเรามากกว่า”
เอมอรระแวงภัยจะมาถึงครอบครัวของเธออีกไม่ว่าจะเป็นตัวเธอหรือลูกสาวสุดที่รักของเธอก็ตามเธอจะทำทุกวิถีทางให้ลูกสาวของเธอปลอดภัยจากศัตรูในเงามืดพวกนั้นให้ได้เธอจึงมาปรึกษากับเพื่อนรักอย่างไขแสง.......
“ฉันอยากได้คนมาคุ้มครองดูแลหนูอีฟจ๊ะ...เธอพอจะช่วยหาให้ได้ไหม.....ไม่ขออะไรมากแค่ต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ในทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นยามหลับหรือยามตื่นเท่านั้นเองจ๊ะ” เอมอรพูดพร้อมยิ้มหวานให้ไขแสงเป็นการเอาใจ
“ต้องการคนคุ้มครองหรือ เอ๊! เอาใครดีน๊าเดี๋ยวขอเวลาฉันคิดหน่อยนะจ๊ะ เอางี้ไหมเอาลูกน้องกำนันขามแห่งบ้าน ดอนตาลมีหลายบุคลิกให้เลือกล้วนแล้วแต่เป็นนักเลงหัวไม้ทั้งนั้น.....ความน่าไว้ใจก็คงจะมีได้แค่เวลากลางวันเท่านั้นนะแต่เวลากลางคืนไม่รู้!” ไขแสงคิดหาคนที่น่าไว้ใจสำหรับดูแลหนูอีฟพลันสายตาบังเอิญไปสบกับดวงตาคมเข้มในรูปภาพที่ตั้งอยู่หลัง ตู้โชว์
“ชัวร์!...คนนี้ใช่เลย ไว้ใจได้ทุกเวลาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ลูกเข้มของฉันเองเลี้ยงมากับมือต้องรู้นิสัยของลูกดีทุกอย่าง อยู่แล้ว” ไขแสงชี้มือไปที่รูปภาพตรงหน้าด้วยความดีใจที่เธอสามารถแก้ปัญหาให้เพื่อนได้
“แล้วลูกเข้มของไข จะยอมหรือจ๊ะ ตอนนี้เขาไปดูแลกิจการของตนเองแถมต้องช่วยงานของกำนันขามที่ต่างจังหวัด ไม่ใช่เหรอ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลหนูอีฟ อีกอย่างเขาต้องมาคอยตามผู้หญิงอย่างหนูอีฟจะไหวหรือจ๊ะ?”
เอมอรพูดออกมาเสียงอ่อน นึกไม่ออกว่าบุรุษหน้าเข้มในรูปที่ไขแสงชี้ให้ดูจะรับมือกับหนูอีฟของเธอในรูปแบบไหน...หนทางมันมืดมนเหลือเกิน
“เธอไม่ต้องห่วงหรอก ลูกเข้มของฉันแก้ปัญหาได้เสมอ เขาต้องสละเวลามาดูแลหนูอีฟได้แน่นอนจ๊ะ” ไขแสงบอกเพื่อนด้วยความมั่นใจ
ในวันนั้น...ก่อนที่เอมอรจะกลับไปหลังจากบอกรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวของหนูอีฟคร่าวๆ และไขแสงก็จดใส่กระดาษไว้พร้อม ที่อยู่เบอร์โทรศัพท์ของบริษัทฯ และแถมรูปถ่ายปัจจุบันอีกหนึ่งรูป และกระดาษใบนั้นก็ถูกส่งตรงถึงลูกเข้มเมื่อสามวันก่อนนี่เอง......
ไขแสงได้โทรศัพท์ไปบอกรายละเอียดเบื้องต้นกับลูกเข้ม....ตอนแรกพอรู้ว่าจะให้ทำอะไรลูกเข้มก็ตีโพยตีพายไม่ยอมทำท่าเดียว แต่พอบอกว่าคนที่ลูกเข้มจะต้องไปคุ้มครองคือหนูอีฟลูกสาวคุณน้าเอมอรที่ลูกเข้มเคยชอบน้อง, เคยเล่นกับน้องตอนน้องอายุ 5 ขวบจำได้หรือป่าว แล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไรลูกเข้มเงียบไปสักพักก็รับปากว่าจะเป็นผู้คุ้มครองหนูอีฟให้ตามคำสั่งของแม่ขอเวลาสะสางงานและมอบหมายหน้าที่ให้นายพิชิตพันธุ์สกุลไพศาล หรือน้องหนึ่งลูกของน้าเสริมศรีดูแลแทนตนให้เรียบร้อยก่อน.....หลักฐานชิ้นสำคัญจึงถูกส่งให้ลูกเข้มและเธอบอกให้ลูกเข้มเข้าไปคุยกับน้องเพื่อจะรับทำหน้าที่คุ้มครองป้องกันหรือ ที่เรียกว่าเป็นบอดี้การ์ดประจำตัวแบบตลอดเวลา....ไม่รู้ว่าลูกเข้มเข้ากรุงเทพฯ มาวันนี้แล้วได้ไปหาหนูอีฟหรือยัง ไม่เป็นคืนนี้ ลูกเข้มของเธอหลับไปแล้วเอาไว้รอถามพรุ่งนี้แล้วกัน
ความคิดเห็น