ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love story รักร้ายนายแวมไพร์ตัวป่วน

    ลำดับตอนที่ #27 : บทที่7.3 กลับไปที่ปราสาทอีกครั้ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.89K
      11
      19 เม.ย. 66

            “โหดไปไหมค่ะ คนไม่สบายยังให้มาทำงานอีก” ทันทีที่รู้ว่าตาอาจารย์ติ้งต๊องเรียกให้มาทำงานเก็บกวาดต่อฉันก็ทำหน้านิ้วคิ้วขมวดตั้งแต่ตอนนั้นจนบัดนี้ เพราะทนกับอาจารย์ติ้งต๊องนี่ไม่ไหวจริงๆ  

            “...” เงียบไม่พูดอะไร

            “แล้วของพวกนี้ก็เอาออกไปไม่ได้ซักทีต้องรออาจารย์แผนกศิลป์มาตรวจแล้วซาจะทำงานยังไงล่ะ” ฉันบ่นต่อพร้อมเดินไปหยิบไม้กวาด 

            ก็ดูสิของเต็มห้องจัดงานขนาดนี้จะให้ทำยังไง พื้นก็กวาดไปแล้วเหลือแค่ย้ายของแล้วก็เช็ดถูเท่านั้น แต่ดันมาติดพวกรูปปั้นแล้วก็ของชิ้นอื่นๆ จากการจัดงานครั้งที่แล้วนี่สิ

            “อย่าพูดมากเดี๋ยวก็ไม่ให้จบซะหรอก” 

    ฉันมองไปยังร่างสูงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ซึ่งวันแรกที่ให้ฉันมาทำก็ใช้ฉันไปยกมาให้ ตัวเองเป็นผู้ชายซะเปล่าแทนที่จะไปยกมาเองแถมพอฉันมารู้ทีหลังว่าเขาก็สามารถเสกมาเองได้ ยิ่งทำให้ฉันโมโหยิ่งกว่าเดิม

            “แล้วไอ้เรื่องงานที่จะส่งเข้าประกวดไปถึงไหนแล้วเหลืออีกแค่ห้าวันเองน่ะ” ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือที่กำลังอ่าน เขายกมือขึ้นขยับแว่นตาที่สวมใส่ให้เข้าที่ 

    ที่ว่าสายตาไม่ดีนี่เห็นจะจริงอย่างที่ตาแวมไพร์พูด ประหลาดจังแฮะ หมาป่าก็น่าจะสายตาดีนี่น่า 

             “ห่ะ อะไรนะ ห้าวัน? O[]O!!! ” เบิกตาโตอย่างตกใจ มือที่กำลังจะหยิบไม้กวาดก็หยุดค้างกลางอากาศ “ไหนบอกว่าเดือนหน้า”

             “ก็อีกห้าวันก็จะเดือนหน้าแล้วนี่”

             “เออใช่” ลืมคิดไปเลยฉัน ตอนที่อาจารย์บอกว่าเดือนหน้าก็คิดไปถึงหนึ่งเดือนที่มีเวลาเกือบสามสิบวัน

             “แล้วต้องส่งก่อนวันที่นัดเพื่อที่ครูจะได้จัดได้ถูกว่าของใครจะได้อยู่โซนไหน อ้อ! แล้วเธอก็ต้องไปช่วยครูขนกรอบรูปใส่แบบแปลนด้วย”

             “ขนวันไหนค่ะ แล้วของพวกนี้ละ” ฉันมองไปรอบห้องที่มีรูปปั้น กรอบรูปและของๆ แผนกศิลป์เต็มไปหมด

            “วันนี้อาจารย์แผนกศิลป์จะมาตรวจ ส่วนกรอบรูปครูซื้อมาแล้วอยู่ที่บ้าน” ตาอาจารย์ติ้งต๊องยืนขึ้นเต็มความสูง แล้วโยนหนังสือขึ้นไปบนอากาศก่อนจะดีดนิ้วทีหนึ่ง ทันทีที่ดีดนิ้วหนังสือก็หายวับไปกลางอากาศ “ไปช่วยครูขนมาดีกว่า”

             นี่ถ้าเกิดดีดนิ้วพลาดเพราะนิ้วลื่นนี่ หนังสือจะหายไปไหม? มันคงจะตลกหน้าดูถ้านิ้วดันลื่นแล้วหนังสือตกลงมาที่พื้นแทนที่จะหายไป

    แล้วฉันก็นึกอะไรขึ้นมาได้เกี่ยวกับงานที่ฉันจะต้องไปทำต่อไป

             “เดี๋ยวน่ะ อาจารย์แค่ดีดนิ้วมันก็มาได้แล้วล่ะม้างไม่เห็นต้องให้ซาไปช่วยขนมาเลย -*- ” ที่พูดนี่ก็เพราะขี้เกียจด้วยนั่นล่ะ

    “งั้นจะเรียกว่าลงโทษเหรอ? ตามมาเลยอย่ามีข้อแม้” หันหลังเดินนำไป

    แล้วฉันก็ต้องเดินตามไปอย่างเซ็งๆ ฮึ! คิดว่าฉันไม่เห็นมุมปากที่แอบอมยิ้มนั่นรึไง แกล้งกันชัดๆ 

     

            ฉันกลับมาที่บ้านหลังจากขนกรอบรูปเสร็จ เหนื่อยก็เหนื่อยแต่ก็ต้องเขียนแบบส่งแถมยังต้องเร่งมือยิ่งกว่าเก่าอีกที่แย่กว่านั้นคือฉันยังคิดอะไรไม่ออกเลยสักนิด แล้วตาอาจารย์บ้านั่นก็ดันเอารถคันมินิไปแทนที่จะเอากระบะไปขน เลยมีพื้นที่ให้ใส่ของจากที่บ้านของอาจารย์ไปที่โรงเรียนได้น้อย ทำให้ต้องขนหลายรอบหลายเที่ยว เหนื่อยเป็นบ้า

            “โอ้ยยย ทำไมช่วงนี้ชีวิตฉันมันถึงวุ่นวายอย่างนี้~” ฉันเอามือขยี้หัวตัวเองไปมาก่อนจะหยุดลงเมื่อหันไปเจอกระบอกใส่รูปข้างกระเป๋านักเรียนบนเตียง

            “ท่าจะต้องเขียนพิมพ์เขียวของปราสาทนั้นใหม่” เดินไปหยิบกระดาษออกมาจากกระบอกรูป ภาพปราสาทที่ฉันเห็นในฝันกับความเป็นจริงมันต่างกันอยู่นิดหน่อยตรงรายละเอียดบางที่ 

           แต่ถ้าจะให้แน่ใจเข้าไปสำรวจอีกหน่อยจะดีกว่า 

           คิดได้ดังนั้นฉันก็รีบเก็บทุกอย่างคืนที่เดิมและไม่ลืมหยิบตลับเมตรใส่กระเป๋าไปด้วย

     

            “ใช่ป่าเดิมป่ะเนี่ย” ฉันพูดขึ้นทันทีที่ลอดรูหมาออกมา สภาพป่าที่เคยดูแห้งแล้งในไม่กี่วันก่อนหน้านี้กลับมาเขียวชอุ่มดูต่างกันลิบลับ ถึงแม้ตอนออกมาจากป่าครั้งที่แล้วมันจะมีใบไม้ขึ้นมาแล้วก็ตามแต่คราวนี้ดูเขียวชอุ่มชุ่มชื่นตาไปทุกหนทุกแห่งที่มองเห็น
           ใบไม้แห้งที่พื้นก็ไม่มี กลับกลายเป็นต้นไม้ต้นเล็กต้นน้อยเต็มทางเดินไปหมด ตามโขดหินยังมีตะไคร้น้ำเกาะต่างกับวันนั้นมาก มันเหมือนป่าที่อยู่ในฝันฉันครั้งที่ตาแวมไพร์สู้กับอาจารย์ถึงจะสวยกว่าหน่อยแต่ก็คล้ายกันมาก 

           ตอนนี้ฉันไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่แล้วว่า ในแต่ล่ะครั้งที่ฉันฝันเห็นเรื่องราวเกี่ยวกับตาแวมไพร์หรือฝันเห็นป่าแต่ละครั้ง ครั้งไหนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงบ้างหรือทั้งหมดเป็นแค่ฉันคิดมากแล้วฝันไปเอง 

           แต่มันก็ดันไปเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์และสถานที่ๆมีอยู่จริงทั้งนั้น ฝันครั้งแรกที่เห็นตาแวมไพร์ดูดเลือดผู้หญิงคนหนึ่งนั้นอาจจะไม่จริงแต่ที่เหลืออาจจะใช่ก็ได้ ฉันในตอนนี้ไม่ค่อยแน่ใจในสิ่งที่เห็นสิ่งที่พบสักเท่าไหร่ จึงยืนยันเรื่องต่างๆ ได้ไม่แน่ชัด

           ฉันก้าวเดินต่อ เลิกสนใจเรื่องความฝันและเรื่องป่าตรงหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในระยะเวลาอันสั้น เพราะอะไรก็คงจะไปเป็นได้หมดนับตั้งแต่ฉันรู้จักตาแวมไพร์ 

           แต่แล้วก็หยุดกึกเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

           แล้วตอนนี้หมอนั่นหายไปไหนของเขาน่ะ ช่างเถอะ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันฉันจะได้ไม่ต้องรู้สึกร้อนรู้สึกหนาวสลับกันไปมาบ่อยๆ ไม่งั้นเดี๋ยวจะเป็นไข้กันพอดี 

          พึบๆ ๆ

          พอนึกถึงตาแวมไพร์ภาพเมื่อเช้าก็แวบเข้ามาในหัว ฉันจับริบฝีปากของตัวเองที่ยังคงมีรอยแผลเป็นจากการกระทำของตาแวมไพร์บ้านั่น! ใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นมาอีกครั้ง โถ่ ให้ตายเถอะ ถึงไม่อยู่ให้เห็นก็ตามมาหลอกหลอนให้ฉันรู้สึกร้อนขึ้นมาได้อีก  

          “ไม่ๆ ๆ อย่าคิดๆ ๆ” ฉันว่าและสลัดหัวเอาความคิดนั้นออกไป แล้วก้าวเดินต่อ

     

           “ปราสาทนั่นอยู่ไหนน้า~~~~~” หย่อนก้นนั่งลงที่โขดหินก้อนหนึ่งข้างลำธารหลังจากที่เดินหาตัวปราสาทมานาน 

           ฉันเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์พูดอะไรเกี่ยวกับป่าหลังจากที่ตัวเองหลงป่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาครั้งที่แล้วไม่เห็นจะมีลำธารเลย เราก็เดินเหมือนกับครั้งที่แล้วนี่น่า ทำไมยังไม่เห็นตัวปราสาทสักที 

           ฉันยันตัวลุกขึ้นเพื่อจะเดินกลับไปที่เก่าซึ่งไม่รู้ว่าจะออกไปได้หรือเปล่า แถมตอนนี้ฟ้าก็เริ่มจะมืดแล้วด้วย ตรงลำธารที่ฉันกำลังยืนอยู่สามารถมองเห็นแผ่นฟ้าได้ชัดเจน คงมีไม่กี่ที่ที่ในป่าแห่งนี้ที่จะสามารถมองเห็นแผ่นฟ้าได้

            ฉันเดินกลับไปทางเก่า ( คิดว่านะ ) ที่ฉันเข้าเดินมาแต่กลับพบว่าตอนนี้ฉันพาตัวเองมายืนอยู่ที่สุดปลายทางของป่า เพราะเมื่อมาถึงปลายทางก็จะเห็นตัวปราสาทสูงตระการตาซึ่งถูกกั้นด้วยต้นไม้สูงใหญ่ตรงหน้าของฉัน บริเวณนี้สามารถมองเห็นแผ่นฟ้าได้ซึ่งมันก็ทำให้ฉันสามารถมองเห็นตัวปราสาทได้ นี่คงจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่สามารถมองเห็นแผ่นฟ้าได้ 

           “อะไร พอจะเดินกลับก็มาเจอซะงั้น” ฉันบ่นกับตัวเองและตัดสินใจว่าจะเข้าไปดีไหมเพราะนี่ก็จะมืดอยู่แล้ว

           เอาว่ะ ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วและก็ไม่รู้จะมาที่นี่อีกได้ไหม แถมถ้า เดินออกไปแล้วหาทางกลับไม่เจอจะยิ่งเสียใจใหญ่ที่มาแล้วเสียเที่ยว 

           อย่างน้อยหากมีคนมาเจอศพฉันทุกคนก็จะเห็นพิมพ์เขียวของปราสาทที่ยังไม่มีใครเคยพบ ฮ่าๆ ฉันก็จะได้ดังข้ามประเทศเลยล่ะคราวนี้

           ฮ่าๆ ๆ ฮ่ะ ฮะ ฮา... หัวเราะอย่างบ้าคลั่งในใจไปงั้นล่ะ เพราะไม่รู้ว่าจะมีคนมาพบศพฉันรึเปล่า 

           อยากจะบ้าตาย ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่จริงๆ แล้วฉันแค่อยากจะเขียนพิมพ์เขียวของปราสาทนี้เท่านั้นเอง ไม่ได้อยากให้ใครมาชื่นชมในตัวของฉัน เพราะมันไม่ใช่ปราสาทที่ฉันออกแบบ ไม่ได้มีความน่าภาคภูมิใจหรอกนะถ้าเอาของคนอื่นไปอ้างว่าเป็นของตัวเอง

    ฉันตัดสินใจก้าวขาออกไป

           พอถัดจากต้นไม้ก็จะเป็นกลุ่มหญ้าสูงๆ สิน่ะ

          ทว่าสิ่งที่ฉันเห็นตอนนี้กลับเป็นพื้นดินที่มีต้นหญ้าสีเขียวอ่อนแบบหญ้าญี่ปุ่นปลกคลุมไปหมดทั่วบริเวณ ต้นหญ้าสีเขียวที่ขึ้นมาแทนหญ้ารกๆ ที่แห้งตายดูเจริญหูเจริญตากว่ากันเยอะ ตอนขากลับออกไปฉันลืมดูไปเลยเพราะตาแวมไพร์พากระโดดไปกระโดดมาด้วย ความเร็วจนแทบจะมองอะไรไม่รู้เรื่องสักอย่าง
           และตอนนี้ตรงทางเดินเข้าไปถึงซุ้มด้านหน้าของปราสาทก็มีดอกไม้สีสวยหลากสีขึ้นอยู่เป็นทางยาวสองข้างทาง 

           ทุกๆ อย่างดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวปราสาทที่เคยดูเก่าๆ และโทรมๆ ตอนนี้เหมือนเพิ่งจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่

           ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มอาบแสงสีส้มอ่อน พระอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้าด้วยความสวยของท้องฟ้ากับบรรยากาศของที่นี่ทำให้ฉันลืมเวลาไปเสียสนิท

           ฟิ้ว~~

           ลมเย็นสบายพัดมาเรียกสติฉันให้คืนกลับมา ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ ก้าวขาเดินไปข้างหน้าเพื่อเข้าไปในตัวปราสาท 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×