ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love story รักร้ายนายแวมไพร์ตัวป่วน

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่3.1 ฟื้นขึ้นมาพร้อมความหิวโหย

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 66


            พึบ!!! 

            แต่แล้วดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ก็เปิดขึ้น 

            โป้ก 

            “โอ้ย”

             ตุบ เกร้ง

             ร่างในโลงกระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ฉันที่ยืนอยู่ข้างโลงถูกหัวของร่างนั้นชนเข้าที่หัวอย่างแรง เป็นผลให้ร่างเซไปด้านหลัง ด้วยความที่ทรงตัวไม่อยู่เพราะข้อเท้าและหัวเข่ายังไม่หายเจ็บทำให้ร่างของฉันล้มลงไปนั่งอยู่กับพื้น ไฟฉายในมือกระเด็นหลุดออกไป

             ฉันเอามือกุมหน้าผากก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังโลงศพ ศพของชายหนุ่มเอียงคอไปมายืดเส้นยืดสาย นั่นไม่ได้ทำให้ฉันตกใจกลัวแต่อย่างใด เนื่องจากความโกรธที่ถูกกระแทกหัวจนทำให้ฉันล้มลงมันทำให้ฉันลืมไปว่านั่นคือศพที่ไร้ลมหายใจแต่กลับขยับได้ แถมตอนนี้มันยังมองมาที่ฉันอีกด้วย

             “มองทำไม! นี่ไม่คิดจะขอโทษเลยใช่ไหม????” คว้าไฟฉายที่กลิ้งหลุดมือไปตอนที่ล้มลงขึ้นมาแล้วยันตัวลุกขึ้น

             “หึ” ปากขาวซีดแสยะยิ้มขึ้นที่มุมปากข้างหนึ่ง ดวงตาสีแดงของเขาเรืองรองสว่างไสวและสวยงามยิ่งกว่าแสงจากไฟฉายที่ส่องไปโดนฐานเสียอีก “เจ้ามันก็แค่อาหาร” เสียงแหบแห้งราวกับไม่ได้พูดกับใครสักร้อยปีเอ่ยขึ้น มันก้องกังวานไปทั่วห้องใต้ดินแห่งนี้

             “อาหาร?” ฉันหยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม 

             “หรือไม่ใช่ละ” เสียงกระซิบข้างหูทำให้ฉันตกใจถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่ก็พบว่าตัวเองชนเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่น่าจะใช่ผนังห้อง 

    ฉันสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะหันไปและพบว่าร่างสูงที่อยู่ในโลงเมื่อครู่กลับมายืนอยู่ข้างหลังฉันตอนไหนไม่รู้

             “ก็ไม่ใช่นะสิ” ฉันปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติแม้จะยังสั่นๆ อยู่บ้าง ตอนนี้เริ่มรู้สึกกลัวศพเคลื่อนที่ได้ขึ้นมาซะแล้ว ฉันก้าวขาไปด้านหลังอัตโนมัติเมื่อความใกล้ของเราสองคนนำพาความหนาวเย็นจากตัวเขาส่งมาให้ฉัน

             พึบ!!

             คำตอบที่ได้คือมือแข็งแรงรวบเอวของฉันไว้ก่อนจะดึงร่างของฉันเข้าไปแนบกับตัวของตัวเอง

             “เฮ้ย” ฉันร้องออกมาพร้อมดันร่างสูงให้ออกห่าง แต่ไม่เป็นผลแถมยังทำให้ไฟฉายฉันหล่นลงพื้นอีก

             “เจ้ามันก็แค่มนุษย์ไร้เรี่ยวแรง” ใบหน้าหล่อเอียงนิดๆ ดวงตาสีแดงสดจ้องมองมายังฉันไม่วางตาแม้จะน่าหลงใหลแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาหลงใหลหน้าตาของผีดิบตรงหน้าแม้แต่น้อย 

              ตุบๆ ๆ 

              เสียงหัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อใบหน้าเย็นค่อยๆ โน้มลงมาที่ลำคอของฉัน ฉันพยายามเบี่ยงคอหลบแต่ถูกมือเย็นอีกข้างของเขาจับต้นคอล็อคไว้ไม่ให้หลบได้ ฉันใช้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดดันตัวเขาออกไป

            “ถอยออกไปเดี๋ยวนี้นะ” ฉันตะโกนลั่น เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่มีผลอะไรเลยเพราะร่างสูงไม่แม้แต่จะขยับสักนิด ใบหน้าเนียนยังคงก้มลงมาที่ต้นคอของฉัน

           ฉึก 

            กึก

            ร่างฉันกระตุกเพราะความเจ็บที่ต้นคอเมื่อเขี้ยวแหลมคมเจาะลงไป

            “อะ” เสียงร้องของฉันถูกกลืนหายไป มือยังคงค้างอยู่ที่หน้าอกของชายหนุ่มในขณะที่ดวงตาเบิกกว้าง หัวสมองว่างเปล่ารู้สึกเพียงว่าเลือดค่อยๆ หดหายไปจากตัว ทีละนิดๆ คอของฉันเริ่มชาไม่มีความรู้สึกเจ็บสักนิดเมื่อถูกดูดเลือดออกไป 

             “แคกๆ ”

             ผลัก

             ตุบ

             เสียงไอดังมาจากร่างสูง อ้อมแขนเย็นคลายออกจากร่างฉันก่อนจะผลักร่างของฉันออก ฉันล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้นภาพตรงหน้าค่อยๆ กลายเป็นสีดำ สติของฉันเริ่มขาดหายไป

             
            “โอ้ย” ฉันจับต้นคอที่รู้สึกเจ็บ ดวงตาค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ แล้วกระพริบหลายครั้งเพื่อปรับแสง “ที่นี่นรกหรือสวรรค์กันละเนี่ย” ฉันพูดเอื่อยๆ เพราะรู้สึกว่าไม่มีแรงขณะใช้มืออีกข้างยันตัวเองขึ้นพิงอะไรบางอย่างด้านหลัง สิ่งที่นึกได้ตอนสุดท้ายคือโดนดูดเลือดแล้วฉันก็คงจะตาย 

             นรกแน่เลย ห้องแดงซะขนาดนี้ เฮ้อ~ ฉันก็ว่าไม่ดืทำบาปอะไรมากน่ะ ทำไมถึงได้ตกนรกละเนี่ย T^T

              ทว่าก่อนที่ฉันจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นก็มีเสียงของใครบางคนพูดขึ้น เรียกความสนใจจากฉันได้ชะงัก

              “เจ้า...” เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังดังขึ้น ฉันตวัดหน้าหันไปมองทางต้นเสียงด้วยความเร็ว

              “นี่นายตามฉันมาถึงนี่เลยเหรอ?” 

    สิ่งที่ฉันเห็นคือ ร่างของชายหนุ่มในชุดท่านเคาท์กำลังนั่งพิงกำแพงหินอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉัน

              “ทำไมถึงมียันต์ในตัวได้” ดวงตาสีแดงหรี่เล็กลง ดูเหมือนจะไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยสักนิด

              “นี่ฉันยังไม่ตายเรอะ?” หันมองรอบตัวที่มีแสงสว่างอันน้อยนิดซึ่งเกิดจากไฟฉายที่อยู่ห่างออกไปจากตัวฉัน มันส่องแสงสว่างให้เห็นภายในห้องที่ฉันอยู่ ร่างของฉันตอนนี้กำลังนั่งพิงอยู่กับฐานหินอ่อน ฉันจับไปที่ต้นคอที่รู้สึกเจ็บ 

             “นึกว่าตายแล้วซะอีก” ก้มมองมือข้างที่จับต้นคอของตัวเองซึ่งยังคงมีเลือดติดอยู่ ก่อนจะเอามือไปคลำที่ลำคออีกครั้ง ตอนแรกฉันคิดว่าจะคลำไปโดนรอยแผลเป็นสองรอยที่รูโบ๋ๆ ซะอีก แต่เปล่าเลย! บนลำคอของฉันตอนนี้ไม่มีแผลสักแผล มีแค่เลือดติดอยู่นิดหน่อยเท่านั้นเอง 

             ฉันหันกลับมามองยังชายหนุ่มตรงหน้า “นายมันตัวอะไรเนี่ย” กระชับกระเป๋าที่สะพายอยู่แน่น เหล่ตามองไฟฉายที่อยู่ห่างจากตัวฉันไม่มากนัก

             “ข้าถามว่าทำไมเจ้าถึงมียันต์อยู่ในตัว” ร่างสูงที่นั่งอยู่เมื่อครู่หายวับไปก่อนจะปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้าฉัน เขายืนค่อมขาของฉันไว้กะจะไม่ให้ฉันหนีไปไหน 

            โถ่พ่อคู้ณณณณ ถ้าหายตัวได้ขนาดนี้ก็ไม่ต้องกลัวฉันหนีถึงขนาดเข้ามาใกล้ฉันอย่างนี้ก็ได้

            “ถอยออกไปห่างๆ เลยนะ” ฉันขยับไปด้านหลังแต่ก็ดันติดแหง็กอยู่กับฐานตั้งโลงศพ

            ร่างสูงนั่งย่อลง ผมยาวสีเงินไหลลงมาถูกแขนฉัน มันช่างนุ่มน่าสัมผัส 

            เฮ้ย! ไม่ใช่เวลามาคิดว่านุ่มหรือไม่นุ่มสักหน่อย

            “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง...”

            “ไม่ต้องมาถาม” ฉันขัดขึ้น “ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้นจบไหม!”  ดันร่างชายหนุ่มออกไปอย่างแรงแต่กลับไม่เป็นผล 

             “เจ้า..” คิ้วสีเงินขมวดเข้าหากันจ้องมองฉันจนขนฉันลุกไปทั่วทั้งตัว

             “เจ้าบ้าเจ้าบออะไร สมัยนี้เขาไม่ใช้กันแล้ว” เชิดหน้าขึ้นประจันหน้ากับเขา เอาซี่~~เป็นไงเป็นกัน ยังไงก็ผ่านความตายมารอบหนึ่งแล้วนี่ (ช่างกล้าได้อีก)

              “กล้าขึ้นเสียงกับข้ารึ” มือขาวซีดคว้าข้อมือของฉันไปกำไว้แน่น ไอเย็นแผ่ออกมาจากมือนั้น

              “แล้วยังไงละ จะฆ่าฉันก็เอาซี่~~” หัวใจของฉันเต้นแรงและเร็วด้วยความกลัวแต่ยังทำใจกล้าหาเรื่องกับตัวประหลาด  ฉันล้วงมือไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากดเข้ากล้องถ่ายรูปอย่างคล่องแคล่ว

    พึบ

             ฉันกดถ่ายรูปใส่หน้าเขา แสงแฟลชทำให้ดวงตาคู่สีแดงปิดลง 

             เสร็จฉัน ^^ 

             ฉันสะบัดมือที่ถูกพันธนาการออกเมื่อรู้ว่าเขากำลังเผลอ พอแขนฉันหลุดออกได้ฉันก็ลุกขึ้นวิ่งไปหยิบไฟฉายขึ้นมาแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงไปไว้ในกระเป๋า ไม่ได้กลัวจะมองไม่เห็นทางแต่เพราะกุญแจบ้านห้อยอยู่ด้วยกันก็เลยต้องเสียเวลาไปหยิบมันมาด้วย ทว่าด้วยเรี่ยวแรงที่มีน้อยนิดเนื่องจากไม่ได้กินข้าวและเสียเลือดไปมาก แล้วไหนจะหัวเข่ากับข้อเท้าที่เจ็บทำให้ฉันวิ่งได้ไม่เร็วนัก  

            พึบ 

            ตุบ

            ก่อนที่ขาจะก้าวขึ้นบันไดขั้นที่หนึ่งร่างของฉันก็ชนเข้ากับอะไรบางอย่าง ฉันล้มลงที่พื้นอีกครั้ง

            “โอ้ย” จับก้นตัวเองด้วยความเจ็บ นี่ฉันล้มเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันนี้แล้วนะ ก้นช้ำไปหมดแล้ววววว -^-

            “มนุษย์อย่างเจ้าคิดว่าจะหนีข้าไปได้รึอย่างไร” น้ำเสียงทุ่มดังขึ้นทางด้านหน้า

            ฉันเงยหน้าขึ้นมอง จ้องตาขวางไปยังตัวประหลาด “อยากจะทำอะไรก็ทำเลย มันเหนื่อยรู้ไหม ข้าวก็ยังไม่ได้กินหิวเป็นบ้า” ฉันตะโกนอย่างหัวเสีย “ไหนจะข้อเท้าที่เจ็บอีก ทำไมต้องมาเจอแต่เรื่องซวยๆ ด้วย” ว่าแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนชักดิ้นชักงออย่างเหลืออด T^T 

            “ข้าต้องการคำตอบ”

            “ฉันรู้ว่าฉันหนีนายไม่พ้น แค่นี้พอไหม” ฉันเลิกดิ้นลุกขึ้นมานั่งจ้องตากับตัวประหลาดที่ยืนอยู่

            “ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ใบหน้าหล่อเอียงนิดๆ มุมปากยังคงมีรอยเลือดที่เช็ดออกไปบ้างแล้วติดอยู่บางส่วน นั้นทำให้เขาดูน่าหลงใหลมากกว่าเดิม 

            ไม่! ไม่ ห้ามหลงไปกับความหล่อของหมอนี่เด็ดขาด!

            แล้วที่เขาถามนี่ไม่ได้หมายความว่าจะหนีเขาพ้นไหมนะเหรอ

            “แล้วเรื่องอะไรละ?” 

            “เรื่องที่ว่าเจ้ามียันต์อยู่ในตัวยังไงละ”

            “ยันต์อะไรไม่เข้าใจ-*-” ฉันขมวดคิ้วส่ายหัวไปมา ยันต์อะไรอีกละฉันจะไปรู้ได้ไง

            ดวงตาสีแดงจ้องฉันไม่วางตาก่อนจะพูดออกมาว่า “นั่นสินะ เจ้าคงไม่รู้” เดินลงมาหยุดยืนข้างตัวฉัน 

            เดินแบบคนธรรมดาเป็นด้วยเรอะหมอนี่

            “ก็เออสิ คราวนี้จะให้ฉันไปได้รึยัง หิวข้าวรู้ไหม?” เอามือกุมท้องทำท่าทำทางอิดโรย

            “ได้” 

            “หะ O.o” ฉันเลิกคิ้วขึ้น แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ฉันฟังผิดรึเปล่าเนี่ย 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×