ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love story รักร้ายนายแวมไพร์ตัวป่วน

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 2.2 อะไรอยู่ที่ชั้นใต้ดินของปราสาท

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 66


            “ตายเป็นตายว่ะ ซาคนนี้ก็อยากรู้เหมือนกันว่าในนั้นเป็นยังไง” ด้วยเลือดของสถาปนิกที่แล่นอยู่ในตัวทำให้ฉันตัดสินใจที่จะก้าวเดินต่อไป 

             ผ่านไปราวห้านาที...

             ฉันปาดเหงื่อที่หน้าผากออกไป เป่าลมหายใจออกทางปากเพื่อลดความเหนื่อยหลังจากพยายามเดินด้วยความระมัดระวังผ่านโพรงหญ้าที่สูงประมาณหัวเข่ามาหยุดอยู่หน้าประตูของตัวปราสาท  ซึ่งที่ๆฉันกำลังยืนอยู่คือที่ซุ้มประตูก่อนเข้าไปตัวปราสาท มันยังคงมีหลังคาแล้วก็มีเสาค้ำยันอยู่ ไม่เหมือนในฝันครั้งแรกของฉัน 

              ชีวิตจริงคงไม่มีผีดูดเลือดแน่ๆ  ฉันคิดปลอบใจตัวเองอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ผลักประตูไม้เข้าไป มือขวาของฉันยื่นออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ  ประตูไม้สูงและดูท่าจะหนักค่อยๆ แง้มออกตามแรงดัน

    ไม่ล็อคด้วยแฮะ 

             ตุบๆ 

             หัวใจเต้นแรงด้วยความดีใจที่ประตูเปิดออกได้ผสมความกลัวเมื่อนึกถึงใบหน้าซีดไร้เลือดนั้น 

             ฉันก้าวเท้าเข้าไปในปราสาทก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอกที่เท้าฟังคำสั่งฉันไม่เหมือนในฝันนั้น ก่อนจะสะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ความคิดเรื่องความฝันออกไปเป็นครั้งที่ห้าพันของวันนี้ (เวอร์ไปล่ะ) 

            กวาดตามองการตกแต่งภายในปราสาทที่สวยงามแม้จะมีฝุ่นจับมากแล้วก็ตาม สภาพในนี้ต่างจากในฝันเยอะเพราะบางสิ่งยังคงสภาพเดิมไว้ไม่ผุกร่อนเหมือนในฝัน  ดูท่าพวกโจรที่ชอบแอบขโมยของโบราณจะไม่พบที่นี่แฮะ 

            นั่นสิน่ะขนาดพวกนักเรียนเองยังไม่รู้ว่ามีปราสาทอยู่ข้างหลังโรงเรียนด้วยซ้ำ พวกที่จัดการเรื่องมรดกของโลกก็ยังไม่รู้เลยนี่นา ของทุกอย่างก็เลยดูเหมือนจะอยู่ครบ  

            ฉันส่องไฟฉายในมือไปทั่วบริเวณ กวาดตามองการตกแต่งของชั้นล่างอย่างละเอียด ชั้นล่างโล่งกว้างมีห้องไม่มากเหมือนจะเอาไว้สำหรับจัดงานรื่นเริงสังสรรค์มากกว่าเพราะเป็นลานกว้างเหมือนจะเอาไว้เต้นรำ บันไดหินที่ทอดตัวยาวขึ้นไปถูกจัดไว้กลางห้อง แถมยังมีรูปปั้นแกะสักของการ์กอยล์ทั้งสองข้างอยู่บนราวบันได

             แหม~~ เปะเลย เหมือนกับในฝันฉันเลย

             เหงื่อที่ไม่น่าจะไหลเพราะอากาศก็ออกจะหนาวค่อยๆ ผุดออกมาบนหน้าผากของฉันด้วยความกลัว กลัวว่ามันจะเหมือนในฝันครั้งแรกของฉัน อึ้ย~ แค่นึกถึงใบหน้าขาวซีดที่จ้องมาฉันก็แทบจะก้าวเท้าไม่ออกแล้ว ฉันปาดเหงื่อออกไปก่อนจะสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อ 

             ตัวบันไดที่ทอดยาวขึ้นไปนั้นเป็นหิน มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมดทุกอณูพื้นที่ หน้าต่างหินที่เป็นกระจกมีหลายก็แตกจนไม่เหลือให้เห็นลายบนบานกระจกแล้ว ทว่าบางบานก็ยังคงสภาพเดิมไว้ บนบานกระจกบานที่อยู่สมบรูณ์ก็จะเป็นลายดอกไม้แบบบนบานประตู  ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าอภิรมณ์เท่าไหร่ 
            แสงจันทร์สีเงินสาดส่องผ่านเข้ามาช่วยให้ฉันมองเห็นสภาพภายในของปราสาทได้บ้าง ถึงจะมีแสงจันทร์ส่องเข้ามาทำให้เห็นทางเดินได้ แต่ฉันก็ยังคงถือไฟฉายไว้ในมือเพราะกลัวว่าจะมองการตกแต่งภายในปราสาทไม่ชัด ฉันหยุดยืนอยู่หน้าบันได ลังเลว่าจะขึ้นไปดีหรือไม่ 

            แต่แล้วก็ตัดสินใจที่จะไม่ขึ้นไปดีกว่า

            ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าฉันกลัวอะไร

            ฉันเดินอ้อมไปด้านข้างของบันไดหินเพื่อจะไปดูตามห้องต่างๆ ของชั้นล่าง แต่ก็ต้องหยุดชะงักกลางคัน เดินถอยหลังกลับมามองด้านข้างของบันได 

             ด้านข้างบันไดมีประตูไม้เก่าๆ อยู่บานหนึ่ง บนบานประตูมีหยากไย่เกาะหนาเตอะ

             ฉันผลักมันเข้าไปแต่ตัวเองยังยืนอยู่ด้านนอก แสงจากดวงจันทร์ส่องมาไม่ถึงบริเวณที่ฉันยืนอยู่ ฉันจึงใช้ไฟฉายในมือส่องเข้าไปในห้องที่กว้างราวๆ เมตรครึ่งคูณเมตรครึ่งแทน ข้างในไม่มีอะไรเลยมีเพียงคบเพลิงที่ดูเหมือนเคยถูกใช้แล้วและผ่านกาลเวลามานานจนฝุ่นเกาะ 

             ทว่าที่ทำให้ฉันสนใจคือไม้ที่ปูอยู่บนพื้นต่างหาก ทั้งที่น่าจะเป็นหินแต่กลับเป็นไม้วางเรียงกันอยู่ ถ้าเป็นชั้นอื่นๆ ของปราสาทก็พอจะเข้าใจว่าทำไมถึงใช้ไม้อยู่หรอก แต่นี่มันชั้นแรกนะไม่น่าจะใช้ไม้เพราะตัวพื้นของปราสาทชั้นแรกเป็นฐานซึ่งทำจากหิน และด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงทำให้ฉันลืมกลัวไปเสียสนิท

            “มันต้องมีชั้นใต้ดินแน่ๆ” ฉันเดินเข้าไปใช้มือเคาะทุกตารางนิ้วของพื้นห้อง ไม่สนใจว่าจะเจ็บหัวเข่าหรือตัวจะเปื้อนฝุ่นเลยแม้แต่น้อย ฉันหยุดการเคาะอย่างเมามันลงเมื่อมาถึงกลางห้อง เสียงของมันฟังดูกลวงๆ 

           ????  ฮี่ๆ มีชัวร์เลย! คิดพรางมือข้างที่ว่างก็ปัดเศษฝุ่นออกไปเป็นวงกว้าง ใช้ไฟฉายส่องเข้าไปใกล้พื้นยิ่งกว่าเดิมจนมองเห็นเศษฝุ่นซึ่งฝังอยู่ที่พื้นไม้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มันเป็นรอยแยกของรอยต่อทำให้ฝุ่นยัดเข้าไปในร่อง ฉันใช้มือเคาะไปแต่ละด้านของประตูลับ 

            “ปึก” บานไม้กระเด้งขึ้นมานิดหน่อย เมื่อฉันเคาะถูกบานพับของมันก่อนจะกลับลงไปอยู่ที่เดิมที่มันเคย ฝุ่นที่เกาะอยู่ฟุ้งขึ้นมานิดๆ ฉันปัดมือไปมากลางอากาศเพื่อไล่ฝุ่นและไม่ลืมที่จะกลั้นหายใจไว้ไม่ให้หายใจเอาฝุ่นเข้าไป 

            หลังจากต่อสู้กับฝุ่นที่ฟุ้งอยู่ในอากาศเสร็จฉันก็เอามือกดลงไปที่เดิมอีกครั้ง ตรงที่ฉันกดลงไปเหมือนจะเป็นตรงบานพับพอดีทำให้มันเปิดขึ้นเมื่อฉันออกแรงกด 

             เพราะมัวแต่กำลังไอกับเศษฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมาอีกครั้งก็เลยไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องที่มันเปิดออกง่ายดายทั้งที่มันดูเหมือนอยู่อย่างนั้นมานาน ก็ไม่มีคนใช้ซะจนฝุ่นเกาะหนาขนาดนี้ และโชคดีที่เอาหน้าหลบไม้กระดานที่เด้งขึ้นมาทัน ไม่อยากคิดเลยว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปถ้าฉันหลบไม่ทัน

             “แคกๆ แคกๆ”

             เฮ้อ ฉันถอนหายใจเมื่อเลิกไอได้สักพัก เมื่อเลิกไอได้ก็ชะโงกหน้าไปมองด้านล่าง แสงจากไฟฉายส่องให้เห็นบันไดหินที่ทอดตัวยาวลงไป ปลายทางของบันไดหินถูกความมืดมิดกลืนกินไป 
            ฉันยืนขึ้นก่อนจะเดินลงไปตามทางของบันไดโดยไม่ลืมเอาปากกาสีเขียวที่ได้มาฟรีเสียบไว้ที่รอยต่อของบานพับเพื่อไม่ให้ประตูมันงับลงมา ถึงจะเสียดายที่ต้องเอามาเสียบไว้อย่างนั้นแต่ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เผื่อประตูมันปิดลงมาตอนฉันอยู่ข้างในแล้วเปิดไม่ได้ เดี๋ยวจะซวยกันใหญ่

            ที่คนอื่นชอบว่าฉันเป็นตัวก่อเรื่องเคลื่อนที่ได้ เห็นจะจริงอยู่บ้างละน่า~ ก็มันอยากรู้นี่น่า

            ฉันค่อยๆ เดินไปทีละก้าว ทีละก้าว หยากไย่ตามทางติดหัวฉันเต็มไปหมดฉันใช้มือข้างที่ว่างปัดมันออกไป มันกลับมาติดที่มือแทน ฉันสะบัดมือไปมาหลายรอบจนมันหลุดออกก่อนจะยกมือขึ้นปิดจมูกเพื่อกันฝุ่นและกลิ่นอับชื้นของชั้นใต้ดินที่เริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อฉันเริ่มเดินลงไปลึกกว่าเดิม

             ฉันเดินมาจนสุดทางของบันได สาดส่องไฟฉายไปทั่วห้องโล่งที่กว้างราวๆ หกเมตรคูณหกเมตรได้ ห้องทั้งห้องถูกสร้างขึ้นด้วยหิน  ทั้งผนังห้อง ทั้งพื้น ทั้งเพดาน ทั้งหมดทำขึ้นจากหินเป็นก้อนๆ นำมาทับซ้อนกันไปซ้อนกันมา 

              ภายในห้องไม่มีอะไรนอกจากฐานหินตั้งอยู่ตรงกลาง บนฐานหินมีอะไรบางอย่างตั้งอยู่บนฐาน ตัวฐานถูกสร้างด้วยหินอ่อนสีแดงสดแม้จะถูกฝุ่นจับจนหนา แต่ก็ยังพอเห็นสีของมันได้ลางๆ เมื่อฐานตั้งต้องแสงไฟจากไฟฉายในมือฉัน ฐานนั้นก็ส่องแสงประกายระยิบระยับโดยไม่สนใจฝุ่นที่เกาะตัวเองหนาขนาดนั้นเลยสักนิด 

              ฉันเดินเข้าไปใกล้ๆ ตัวฐาน ใช้มือข้างที่ปิดจมูกอยู่ปัดฝุ่นที่ฐานเพราะอีกข้างกำลังถือไฟฉายอยู่ ต้องจำใจใช้ข้างที่ปิดจมูกปัดฝุ่นแล้วกลั้นหายใจแทน ( เพราะความอยากรู้อยากเห็นอีกนั่นละ ) ตัวฐานมีลายสลักรูปดอกไม้ที่ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของลายประจำบ้านเพราะฉันเห็นลายอย่างนี้ที่หน้าประตูและสิ่งของอีกหลายๆ อย่างในบ้าน 

              ฉันเดินอ้อมฐานและปัดฝุ่นออกเพื่อดูลายของฐาน แสงสีแดงส่องประกายระยิบระยับยิ่งกว่าเดิม แสงสีแดงของตัวฐานสะท้อนไปทั่วห้องดูงดงามและน่ากลัวไปในตัว

              หินอ่อนสีแดงมีด้วยเรอะ? -*-  ขมวดคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะกลับมาสนใจสิ่งที่อยู่บนฐาน รูปร่างคล้ายๆ กล่องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงราวๆ สี่สิบนิ้ว ยาวประมาณสองเมตรกว่าได้ แต่เล็กกว่าตัวฐานนิดหน่อย มันถูกฝุ่นเกาะจนไม่รู้ว่าเป็นอะไร ด้วยความอยากรู้อีกนั่นแหละทำให้ฉันเอามือไปปัดฝุ่นออก

               ฝุ่นที่เกาะหนาเตอะถูกฉันปัดจนฟุ้งกระจายทำให้มองไม่เห็นภาพตรงหน้า ฉันกลั้นหายใจสุดฤทธิ์เพราะกลัวฝุ่นจะเข้าคอแต่มือก็ยังคงปัดไม่ลดละ ดวงตาหรี่ลงเพื่อกันฝุ่นเข้าตา 

               “โอ้ย แคกๆ” ไอจนตัวงอเพราะดันสูดอากาศที่มีฝุ่นฟุ้งเข้าไปเต็มๆ ถ้าไม่สูดเข้าไปคงได้ตายเพราะขาดอากาศหายใจตายกันพอดี ทำให้ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ ที่จะต้องหายใจเอาฝุ่นพวกนี้เข้าไป ขณะที่ไออยู่ก็เอามือข้างที่ปัดฝุ่นเช็ดไปที่กระโปรงนักเรียนของตัวเองเพราะฝุ่นที่ฉันปัดออกเมื่อครู่มีบางส่วนดันติดมากับมือฉันด้วย

               “จะบ้าตาย” จากนั้นก็ปัดฝุ่นที่ฟุ้งอยู่ตรงหน้าออกไปทำให้เห็นสิ่งที่อยู่บนฐาน

               “อุบOXO” ฉันเอามืออุดปากไว้เพราะกำลังจะร้องออกมา ดวงตาเบิกค้างจ้องมองสิ่งที่อยู่บนฐาน มือที่ถือไฟฉายค้างอยู่กับที่ไม่กล้าขยับเขยื้อน

               โลงศพ O[]O????????????????????????

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×