คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2.1ปราสาทในฝันที่อยู่ในความเป็นจริง
“จะให้ไปตอนนี้น่ะเหรอ?-*-” ฉันขมวดคิ้วหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง จะหกโมงอยู่แล้วยังจะให้ฉันไปที่โรงเรียนอีก ตาอาจารย์คนนี้จะติ้งต๊องก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยไม่ได้รึไง
“ใช่” เสียงปลายสายตอบมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ครูคิดว่าเธอปิดประตูแล้วซะอีก”
“ก็อาจารย์ออกคนสุดท้ายนี่คะ -*-”
“ครูคิดว่าเธอจะกลับมาปิดหลังจากเอาขยะไปทิ้งนี่”
“โห~ ซากลับมาถึงบ้านตั้งนานแล้วนะคะแถมยังไม่มีรถอีก กว่าจะไปถึงก็ค่ำพอดี”
“ใครสะเพร่าเองละ ถ้าเธอไม่กลับไปปิด รูปปั้นหรือของชิ้นอื่นๆ ของแผนกศิลป์หายครูไม่รู้ด้วยนะ” น้ำเสียงราบเรียบทำให้ฉันรู้สึกอารมณ์เดือดขึ้นนิดๆ พูดเหมือนกับฉันเป็นคนผิดซะงั้น ก็ตัวเองออกคนสุดท้ายเองแล้วก็ไม่ยอมล็อคประตูเองนี่น่า
“ก็ได้ๆ” ฉันวางหูโทรศัพท์ลงอย่างเดือดๆ
“อย่าลืมทำงานส่งเข้าประกวดด้วยละ” เสียงจากโทรศัพท์ลอดเข้ามาในโสตประสาทของฉันก่อนจะหายไปเมื่อหูโทรศัพท์ถูกวางลงสนิทแล้ว
นี่จะไม่ให้เถียงชนะสักครั้งเลยรึไง? -*- เอาคะแนนมาอ้างบ้างละ เอาเรื่องเรียนไม่จบมาอ้างบ้างละ แล้วคราวนี่ก็เอาของๆ แผนกศิลป์มาอ้างให้ฉันไปทำงานตามที่สั่งอีก ตาอาจารย์บ้าอำนาจ!
ฮึ้ย~ เซงๆๆๆๆ -^-
ฉันคว้ากระเป๋าเป้ที่โยนไว้ตอนกลับมาขึ้นมาสะพายแล้วรีบเดินออกไปรอรถที่ป้ายรถเมล์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีรถเมล์เหลืออยู่บ้างไหมตอนนี้
กึกๆ
ฉันลงกลอนประตูห้องจัดงานอย่างเร่งรีบ ตอนนี้น่าจะหกโมงกว่าได้แล้วเพราะฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว แถมแถวนี้ก็ไม่มีคนด้วย ดูวังเวงๆ ยังไงไม่รู้
ฉันยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากเพราะวิ่งมาไกล ก็ห้องจัดงานเล่นอยู่ไกลจากประตูโรงเรียนซะขนาดนี้ มันอยู่โซนหลังโรงเรียนเลยนี่น่า
ฉันหันกลับมาเตรียมจะหยิบกระเป๋าที่วางไว้ขึ้นมาแล้วจะได้กลับบ้าน
“เฮ้ กระเป๋าฉัน” แต่กลับพบว่ากระเป๋าที่ฉันวางไว้ตรงกล่องไม้ข้างประตูกำลังถูกหมาคาบไปพอดี “เอามานี่นะ” วิ่งตามไปตะโกนไปเหมือนมันจะฟังรู้เรื่อง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ยังคงตะโกนไม่หยุดก็รู้ทั้งรู้ว่ามันฟังไม่รู้เรื่อง
หมาตัวเล็กสีขาวขนฟูวิ่งรอดรั้วโรงเรียนที่เป็นรูโบ๋ออกไป รั้วโรงเรียนของฉันเป็นรั้วปูนแต่มันคงเก่ามากจนสึก เลยมีรูโบ๋เหมือนโดนทุบอยู่รูหนึ่งทำให้หมาตัวนั้นรอดผ่านไปได้
ฉันมุดตามอย่างทุลักทุเลแล้ววิ่งตามหมาตัวสีขาวนั้นไป โชคดีที่ตัวฉันเล็กพอที่จะรอดผ่านไปได้
“โอ้ย แฮกๆ” ฉันหยุดวิ่ง ยืนหอบหายใจด้วยความเหนื่อยเมื่อตามหมามาทัน มันกำลังขุดดินขึ้นมาเตรียมจะฝังกระเป๋าของฉัน
“เอามานี่เลยนะเจ้าหมาน้อยน่ารัก” ฉันกัดฟันพูดประโยคนั้นออกไป ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้มันแล้วดึงกระเป๋าสะพายข้างสีดำออกมาจากปากของหมาน้อย พันธุ์อะไรไม่รู้แต่น่ารักดี จะน่ารักกว่านี่ถ้ามันไม่เอากระเป๋าของฉันไป!
“ไม่ต้องมาทำหน้าจ๋อยเลยแก เรื่องอะไรฉันจะให้กระเป๋าของฉันกับแก แนะ! ยังมาทำหน้าตาน่าสงสารอีก” ฉันกอดกระเป๋าแน่นพลางหยักคิ้วอย่างผู้ชนะ เหล่ตามองหลุมที่มันขุด ในนั้นมีกระเป๋าหลายใบฝังอยู่ สงสัยหมาตัวนี่คงจะชอบกระเป๋ามากขนาดไปขโมยมาฝังหลายใบเลย
“ไปหามาฝังใหม่สิ ห้ามมาเอาของฉัน”
มันสะบัดหน้าหนีแล้วเดินจากไป ดู้ ดูมันสิ ตอนแรกที่มันโดนฉันแย่งกระเป๋ามาคืน มันทำหน้าตาน่าสงสารพอตอนที่ฉันไม่ให้คืนก็เชิดใส่ซะงั้น
“แบร” ฉันแลบลิ้นใส่มัน ก่อนจะรู้ตัวอีกทีว่าตอนนี้ฉันกำลังยืนอยู่คนเดียว
“ทำไมชีวิตฉันต้องเจอแต่เรื่องยุ่งๆ ด้วยน้า~~ ( -*- ) ( -*- ) ( -*- ) ( -*- )” กวาดตามองซ้ายทีขวาทีอย่างระแวดระวัง ด้านซ้ายของฉันคือทางกลับไปโรงเรียน ส่วนด้านขวามือของฉันคือป่ารกที่มีต้นไม้สูงใหญ่
ต้นไม้สูงใหญ่? -
ต้นไม้สูงใหญ่ที่คุ้นตาเพราะรู้สึกว่าเพิ่งจะเห็นมาหยกๆ
ภาพในฝันปรากฏขึ้นมาในหัว
“ไม่จริงน่า ป่านี้จะเหมือนในฝันเกินไปแล้วม้าง” ฉันเดินเข้าไปเพราะความอยากรู้อยากเห็นถึงแม้จะกลัวๆ อยู่บ้างก็เถอะ ฉันรู้ว่าทุกคนก็คงเป็นเหมือนกัน มันก็เหมือนกับตอนที่เห็นอะไรแวบไปแวบมาด้านหลังนั่นละ กลัวที่จะหันไปมองแต่ก็ยังคงหันไปดูเพราะความอยากรู้ว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองคิดหรือเปล่า ฉันในตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นเลย
ฉันเดินไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นภาพทับซ้อนกันขึ้นมาในหัว ภาพป่ารกชื้นในฝันครั้งล่าสุดกับสภาพป่าที่เห็นตอนนี้ แม้ต้นไม้จะสูงขึ้นและป่าก็รกกว่าเดิมแต่ฉันมั่นใจว่ามันต้องเป็นสถานที่เดียวกัน โขดหินใหญ่ในฝันกับโขดหินที่ฉันกำลังยืนอยู่มันก็เหมือนกันแม้จะผุกร่อนไปบ้างก็ตาม สภาพป่าตอนนี้ต่างกับป่าในฝันครั้งแรกนิดหน่อยแต่เหมือนกันกับป่าในฝันครั้งที่สองมากกว่า ราวกับเป็นที่เดียวกัน เพียงแต่ต้นไม้สูงใหญ่กว่าเท่านั้นเอง
ฉันล้วงหาไฟฉายแบบพกพาในกระเป๋าขึ้นมาเพราะแสงไฟจากโรงเรียนส่องมาไม่ถึงที่ที่ฉันยืนอยู่ เสียงพวงกุญแจกระทบกันไปมาเพราะไฟฉายห้อยอยู่ติดกับพวงกุญแจบ้าน
ฉันไม่ได้แกะไฟฉายออกจากพวงกุญแจบ้านเพราะอยากให้มีเสียงอะไรดังบ้าง อย่าให้มันเงียบจนน่าวังเวงชวนขนลุกจนเกินไป ฉันเดินไปเรื่อยๆ ไปตามทาง ผ่านไปซักพักใหญ่ก็หยุดพักเหนื่อยก่อนจะก้าวเดินต่อ นี่ถ้าฉันเดินไปอีกสักนิดคงจะถึงปราสาทนั่นแน่ๆ ว่าแล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อฉันเดินออกมาจนสุดทางของป่า
ปรา...ปราสาท O.O จริงอ่ะ นี่ฉันกำลังฝันอยู่เรอะ ฝันอีกแล้วเรอะเนี่ย ฉันเริ่มจะสับสนว่าอันไหนฝันอันไหนจริง ก็แต่ละครั้งเล่นเหมือนจริงซะขนาดนั้น
ฉันจ้องมองไปข้างหน้า ทางเดินเข้าไปที่ตัวปราสาทรกพอๆ กันกับฝันครั้งที่สองแต่ไม่ได้รกมากเท่าฝันครั้งแรก ปราสาทเก่าทรุดโทรมเพราะผ่านกาลเวลาอันยาวนาน แต่ทว่าตัวปราสาทและประตูไม่ได้มีไม้เลื้อยเกาะอยู่เหมือนฝันครั้งแรก ฝันทีฉันเห็นแวมไพร์นั้น มันเหมือนฝันครั้งที่สอง เหมือนสะจนน่าตกใจ
มันอาจจะแค่คล้ายๆ กันก็ได้ ปราสาทที่ไหนก็เหมือนๆ กันนั่นล่ะ
ฉันได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ ไม่อยากให้มีสิ่งที่คิดอยู่ในปราสาทนี่เลย ถ้าเป็นอย่างในฝันจริงล่ะก็... เป็นไปไม่ได้ แวมไพร์ไม่มีจริง แวมไพร์ไม่มีอยู่ในโลก ป่าที่เราอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกับฝันครั้งที่สองมากกว่าฝันครั้งแรกที่มีแวมไพร์ ฉะนั้นมันไม่มี มันไม่มีอยู่จริง
แม้ตัวประสาท โครงสร้างหรือทุกสิ่งทุกอย่างจะเหมือนกัน แต่แวมไพร์ไม่เหมือน มันไม่มีอยู่จริง จะมีใครเข้าใจความรู้สึกของฉันตอนนี้บ้างไหมเนี่ย
ความคิดของฉันเริ่มตีกันไปมาในหัว ฉันสลัดหัวไปมาเพื่อไล่ความคิดบ้าๆ นี่ออกไปแล้วหันไปสนใจปราสาทตรงหน้าแทน ปราสาทที่ไหนก็รูปร่างอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ ฉันคิดปลอบใจตัวเองไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว รอบตัวเงียบสงัดไม่มีเสียงใดๆ จนฉันสามารถได้ยินเสียงลมหายใจกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะของตัวเอง
เอาไงดีละ จะกลับหรือจะเดินเข้าไปดู
โครกกก เสียงท้องร้องเป็นสัญญาณเตือนแห่งความหิว โอ้ย หิวจังยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลยจะมีแรงเดินกลับไหมเนี่ย ฉันก้มมองท้องของตัวเอง
ติดชิ่ง ติดชึ่งๆ ตาละลิดติดชึ่งๆ
“ว้าย OxO” ร้องขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะรีบเอามืออุดปากตัวเองไว้ ไอ้โทรศัพท์บ้าดังไม่รู้เวล่ำเวลาจริงๆ ฉันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าข้างตัวเพื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“อะไรของแกวะ ทำฉันตกอกตกใจหมด” ฉันรัวคำพูดใส่โทรศัพท์เมื่อรู้ว่าใครโทรมา
“ฉันมัวแต่กินข้าวอยู่ก็เลยไม่ได้โทรหาแก” เสียงริ้งดังออกมาจากโทรศัพท์ฟังดูหน่ายๆ สงสัยกำลังง่วงจัด ยัยนี่กินเสร็จที่ไรเป็นต้องง่วงนอนทุกที
“แล้วแกจะโทรมาหาฉันทำไม?” เท้าสะเอวอย่างอารมณ์เสีย ถึงแม้จะรู้ว่าคู่สนทนาคงจะไม่เห็นท่าทางฉันในตอนนี้ก็ตาม
“ก็เห็นอาจารย์โทรมาขอเบอร์แกกับฉัน ก็เลยจะโทรมาถามว่าแกไปก่อเรื่องอะไรไว้อีก”
“อ๋อ แกนี่เองที่ให้เบอร์ตาอาจารย์ติ้งต๊องนั่นไป นี่! แล้วไม่ต้องมากล่าวหาว่าฉันก่อเรื่องอีกด้วย เข้าใจไหม!” ยัยเพื่อนบ้ากะจะเอาคืนที่ฉันว่ามันว่าเป็นลิงใช้ไหมเนี่ยยย
“โห~ ก็แกมันตัวก่อเรื่องเคลื่อนที่ได้นี่น่า” ฟังมันพูดเข้า “ว่าแต่แกไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกละ”
“ลืมล็อคกุญแจห้องจัดงานประกวดนะสิ” บอกไปอย่างเซ็งๆ
“ห้องจัดงาน ที่โรงเรียนนะเหรอ?”
“อืม” ฉันตอบไป ลืมความกลัวไปเสียสนิท “ยังไม่ได้กลับเลย”
“ห่ะ! นี่มันจะสองทุ่มแล้วนะ แกยังอยู่โรงเรียนอีกเหรอ?”
จริงอ่ะ นี่ฉันเดินมาเกือบจะสองชั่วโมงแล้วหรอเนี่ย -*-
“ไม่ใช่อ่ะ” ฉันหันมองซ้ายมองขวา “ตอนนี้อยู่ที่ป่าหลังโรงเรียน พอดีตอนที่ฉันกำลังล็อคห้องจัดงานอยู่มีหมาตัวหนึ่งมันคาบกระเป๋าฉันมา ฉันก็เลยวิ่งตามมาเอาคืน” ฉันรู้ว่าคำถามต่อไปยัยริ้งคงจะถามว่าไปทำอะไรในป่าหลังโรงเรียนก็เลยตอบดักไปก่อน
“อ้อ เออๆ แกอย่าลืมทำงานส่งเข้าประกวดด้วยละกัน” มีย้ำ ตาอาจารย์ติ้งต๊องนั่นก็ย้ำฉันไปทีหนึ่งแล้ว นี่ยัยริ้งยังจะมาพูดเรื่องนี้กับฉันอีก ย้ำคิดย้ำทำกับฉันจริงๆ เลย คนที่ฉันรู้จักทำไมถึงได้เป็นแบบนี้กันไปหมด
“เออรู้แล้วน่า” พูดอย่างอารมณ์เสียนิดๆ “เออนี่แก รู้ไหมไอ้ปราสาทที่ฉันเห็นในฝันเมื่อคืน...”
“ไม่ต้องเอามาเล่าอีกเลยขี้เกียจฟังโว้ยยยยยยย” เสียงริ้งตะโกนใส่โทรศัพท์แทรกขึ้นก่อนฉันจะพูดจบประโยค
ฉันได้แต่ดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูเพราะเสียงของริ้งดังเกินไป
“แค่นี้ละ บาย” เสียงของเพื่อนสาวดังขึ้นเป็นประโยคสุดท้าย
“เฮ้ เดี๋ยว” แล้วเพื่อนแสนดีสุดๆ ของฉันก็ตัดสายทิ้งไป “ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่ามัน.....” เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มองไปยังปราสาทตรงหน้า
“อยู่ตรงหน้าฉัน” ฉันเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ยังดีที่ริ้งให้เบอร์บ้านฉันกับอาจารย์ไป ถ้าริ้งให้เบอร์มือถือไปคงได้โทรมาใช้งานฉันทั้งวันแน่
ความคิดเห็น