ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love story รักร้ายนายแวมไพร์ตัวป่วน

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2.1ปราสาทในฝันที่อยู่ในความเป็นจริง

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 66


          

            “จะให้ไปตอนนี้น่ะเหรอ?-*-” ฉันขมวดคิ้วหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง จะหกโมงอยู่แล้วยังจะให้ฉันไปที่โรงเรียนอีก ตาอาจารย์คนนี้จะติ้งต๊องก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยไม่ได้รึไง

            “ใช่” เสียงปลายสายตอบมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ครูคิดว่าเธอปิดประตูแล้วซะอีก”

            “ก็อาจารย์ออกคนสุดท้ายนี่คะ -*-”

            “ครูคิดว่าเธอจะกลับมาปิดหลังจากเอาขยะไปทิ้งนี่”

            “โห~ ซากลับมาถึงบ้านตั้งนานแล้วนะคะแถมยังไม่มีรถอีก กว่าจะไปถึงก็ค่ำพอดี”

            “ใครสะเพร่าเองละ ถ้าเธอไม่กลับไปปิด รูปปั้นหรือของชิ้นอื่นๆ ของแผนกศิลป์หายครูไม่รู้ด้วยนะ” น้ำเสียงราบเรียบทำให้ฉันรู้สึกอารมณ์เดือดขึ้นนิดๆ  พูดเหมือนกับฉันเป็นคนผิดซะงั้น ก็ตัวเองออกคนสุดท้ายเองแล้วก็ไม่ยอมล็อคประตูเองนี่น่า

           “ก็ได้ๆ” ฉันวางหูโทรศัพท์ลงอย่างเดือดๆ  

           “อย่าลืมทำงานส่งเข้าประกวดด้วยละ” เสียงจากโทรศัพท์ลอดเข้ามาในโสตประสาทของฉันก่อนจะหายไปเมื่อหูโทรศัพท์ถูกวางลงสนิทแล้ว

            นี่จะไม่ให้เถียงชนะสักครั้งเลยรึไง? -*- เอาคะแนนมาอ้างบ้างละ  เอาเรื่องเรียนไม่จบมาอ้างบ้างละ แล้วคราวนี่ก็เอาของๆ แผนกศิลป์มาอ้างให้ฉันไปทำงานตามที่สั่งอีก ตาอาจารย์บ้าอำนาจ! 

            ฮึ้ย~ เซงๆๆๆๆ -^-

            ฉันคว้ากระเป๋าเป้ที่โยนไว้ตอนกลับมาขึ้นมาสะพายแล้วรีบเดินออกไปรอรถที่ป้ายรถเมล์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีรถเมล์เหลืออยู่บ้างไหมตอนนี้

     

            กึกๆ 
            ฉันลงกลอนประตูห้องจัดงานอย่างเร่งรีบ ตอนนี้น่าจะหกโมงกว่าได้แล้วเพราะฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว แถมแถวนี้ก็ไม่มีคนด้วย ดูวังเวงๆ ยังไงไม่รู้  
            ฉันยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากเพราะวิ่งมาไกล ก็ห้องจัดงานเล่นอยู่ไกลจากประตูโรงเรียนซะขนาดนี้ มันอยู่โซนหลังโรงเรียนเลยนี่น่า

            ฉันหันกลับมาเตรียมจะหยิบกระเป๋าที่วางไว้ขึ้นมาแล้วจะได้กลับบ้าน

            “เฮ้ กระเป๋าฉัน” แต่กลับพบว่ากระเป๋าที่ฉันวางไว้ตรงกล่องไม้ข้างประตูกำลังถูกหมาคาบไปพอดี “เอามานี่นะ” วิ่งตามไปตะโกนไปเหมือนมันจะฟังรู้เรื่อง

            “หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ยังคงตะโกนไม่หยุดก็รู้ทั้งรู้ว่ามันฟังไม่รู้เรื่อง 

    หมาตัวเล็กสีขาวขนฟูวิ่งรอดรั้วโรงเรียนที่เป็นรูโบ๋ออกไป รั้วโรงเรียนของฉันเป็นรั้วปูนแต่มันคงเก่ามากจนสึก เลยมีรูโบ๋เหมือนโดนทุบอยู่รูหนึ่งทำให้หมาตัวนั้นรอดผ่านไปได้ 

            ฉันมุดตามอย่างทุลักทุเลแล้ววิ่งตามหมาตัวสีขาวนั้นไป โชคดีที่ตัวฉันเล็กพอที่จะรอดผ่านไปได้

            “โอ้ย แฮกๆ” ฉันหยุดวิ่ง ยืนหอบหายใจด้วยความเหนื่อยเมื่อตามหมามาทัน มันกำลังขุดดินขึ้นมาเตรียมจะฝังกระเป๋าของฉัน

            “เอามานี่เลยนะเจ้าหมาน้อยน่ารัก” ฉันกัดฟันพูดประโยคนั้นออกไป ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้มันแล้วดึงกระเป๋าสะพายข้างสีดำออกมาจากปากของหมาน้อย พันธุ์อะไรไม่รู้แต่น่ารักดี จะน่ารักกว่านี่ถ้ามันไม่เอากระเป๋าของฉันไป!

           “ไม่ต้องมาทำหน้าจ๋อยเลยแก เรื่องอะไรฉันจะให้กระเป๋าของฉันกับแก แนะ! ยังมาทำหน้าตาน่าสงสารอีก” ฉันกอดกระเป๋าแน่นพลางหยักคิ้วอย่างผู้ชนะ เหล่ตามองหลุมที่มันขุด ในนั้นมีกระเป๋าหลายใบฝังอยู่ สงสัยหมาตัวนี่คงจะชอบกระเป๋ามากขนาดไปขโมยมาฝังหลายใบเลย

           “ไปหามาฝังใหม่สิ ห้ามมาเอาของฉัน”

           มันสะบัดหน้าหนีแล้วเดินจากไป ดู้ ดูมันสิ ตอนแรกที่มันโดนฉันแย่งกระเป๋ามาคืน มันทำหน้าตาน่าสงสารพอตอนที่ฉันไม่ให้คืนก็เชิดใส่ซะงั้น  

           “แบร” ฉันแลบลิ้นใส่มัน ก่อนจะรู้ตัวอีกทีว่าตอนนี้ฉันกำลังยืนอยู่คนเดียว 
           “ทำไมชีวิตฉันต้องเจอแต่เรื่องยุ่งๆ  ด้วยน้า~~ ( -*-   ) (   -*- ) ( -*-   ) (   -*- )” กวาดตามองซ้ายทีขวาทีอย่างระแวดระวัง  ด้านซ้ายของฉันคือทางกลับไปโรงเรียน ส่วนด้านขวามือของฉันคือป่ารกที่มีต้นไม้สูงใหญ่

           ต้นไม้สูงใหญ่? -

           ต้นไม้สูงใหญ่ที่คุ้นตาเพราะรู้สึกว่าเพิ่งจะเห็นมาหยกๆ 

           ภาพในฝันปรากฏขึ้นมาในหัว

           “ไม่จริงน่า ป่านี้จะเหมือนในฝันเกินไปแล้วม้าง” ฉันเดินเข้าไปเพราะความอยากรู้อยากเห็นถึงแม้จะกลัวๆ อยู่บ้างก็เถอะ ฉันรู้ว่าทุกคนก็คงเป็นเหมือนกัน มันก็เหมือนกับตอนที่เห็นอะไรแวบไปแวบมาด้านหลังนั่นละ กลัวที่จะหันไปมองแต่ก็ยังคงหันไปดูเพราะความอยากรู้ว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองคิดหรือเปล่า ฉันในตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นเลย

            ฉันเดินไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นภาพทับซ้อนกันขึ้นมาในหัว ภาพป่ารกชื้นในฝันครั้งล่าสุดกับสภาพป่าที่เห็นตอนนี้ แม้ต้นไม้จะสูงขึ้นและป่าก็รกกว่าเดิมแต่ฉันมั่นใจว่ามันต้องเป็นสถานที่เดียวกัน โขดหินใหญ่ในฝันกับโขดหินที่ฉันกำลังยืนอยู่มันก็เหมือนกันแม้จะผุกร่อนไปบ้างก็ตาม สภาพป่าตอนนี้ต่างกับป่าในฝันครั้งแรกนิดหน่อยแต่เหมือนกันกับป่าในฝันครั้งที่สองมากกว่า ราวกับเป็นที่เดียวกัน เพียงแต่ต้นไม้สูงใหญ่กว่าเท่านั้นเอง

            ฉันล้วงหาไฟฉายแบบพกพาในกระเป๋าขึ้นมาเพราะแสงไฟจากโรงเรียนส่องมาไม่ถึงที่ที่ฉันยืนอยู่ เสียงพวงกุญแจกระทบกันไปมาเพราะไฟฉายห้อยอยู่ติดกับพวงกุญแจบ้าน 

            ฉันไม่ได้แกะไฟฉายออกจากพวงกุญแจบ้านเพราะอยากให้มีเสียงอะไรดังบ้าง อย่าให้มันเงียบจนน่าวังเวงชวนขนลุกจนเกินไป ฉันเดินไปเรื่อยๆ ไปตามทาง ผ่านไปซักพักใหญ่ก็หยุดพักเหนื่อยก่อนจะก้าวเดินต่อ นี่ถ้าฉันเดินไปอีกสักนิดคงจะถึงปราสาทนั่นแน่ๆ ว่าแล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อฉันเดินออกมาจนสุดทางของป่า 

            ปรา...ปราสาท O.O จริงอ่ะ นี่ฉันกำลังฝันอยู่เรอะ ฝันอีกแล้วเรอะเนี่ย ฉันเริ่มจะสับสนว่าอันไหนฝันอันไหนจริง ก็แต่ละครั้งเล่นเหมือนจริงซะขนาดนั้น

            ฉันจ้องมองไปข้างหน้า ทางเดินเข้าไปที่ตัวปราสาทรกพอๆ กันกับฝันครั้งที่สองแต่ไม่ได้รกมากเท่าฝันครั้งแรก ปราสาทเก่าทรุดโทรมเพราะผ่านกาลเวลาอันยาวนาน แต่ทว่าตัวปราสาทและประตูไม่ได้มีไม้เลื้อยเกาะอยู่เหมือนฝันครั้งแรก ฝันทีฉันเห็นแวมไพร์นั้น มันเหมือนฝันครั้งที่สอง เหมือนสะจนน่าตกใจ

            มันอาจจะแค่คล้ายๆ กันก็ได้ ปราสาทที่ไหนก็เหมือนๆ กันนั่นล่ะ

           ฉันได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ ไม่อยากให้มีสิ่งที่คิดอยู่ในปราสาทนี่เลย  ถ้าเป็นอย่างในฝันจริงล่ะก็... เป็นไปไม่ได้ แวมไพร์ไม่มีจริง แวมไพร์ไม่มีอยู่ในโลก  ป่าที่เราอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกับฝันครั้งที่สองมากกว่าฝันครั้งแรกที่มีแวมไพร์ ฉะนั้นมันไม่มี มันไม่มีอยู่จริง
             แม้ตัวประสาท โครงสร้างหรือทุกสิ่งทุกอย่างจะเหมือนกัน แต่แวมไพร์ไม่เหมือน มันไม่มีอยู่จริง จะมีใครเข้าใจความรู้สึกของฉันตอนนี้บ้างไหมเนี่ย 

            ความคิดของฉันเริ่มตีกันไปมาในหัว ฉันสลัดหัวไปมาเพื่อไล่ความคิดบ้าๆ นี่ออกไปแล้วหันไปสนใจปราสาทตรงหน้าแทน ปราสาทที่ไหนก็รูปร่างอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ ฉันคิดปลอบใจตัวเองไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว รอบตัวเงียบสงัดไม่มีเสียงใดๆ จนฉันสามารถได้ยินเสียงลมหายใจกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะของตัวเอง

            เอาไงดีละ จะกลับหรือจะเดินเข้าไปดู

    โครกกก เสียงท้องร้องเป็นสัญญาณเตือนแห่งความหิว โอ้ย หิวจังยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลยจะมีแรงเดินกลับไหมเนี่ย ฉันก้มมองท้องของตัวเอง

            ติดชิ่ง ติดชึ่งๆ  ตาละลิดติดชึ่งๆ 

            “ว้าย OxO” ร้องขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะรีบเอามืออุดปากตัวเองไว้ ไอ้โทรศัพท์บ้าดังไม่รู้เวล่ำเวลาจริงๆ ฉันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าข้างตัวเพื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

            “อะไรของแกวะ ทำฉันตกอกตกใจหมด” ฉันรัวคำพูดใส่โทรศัพท์เมื่อรู้ว่าใครโทรมา

            “ฉันมัวแต่กินข้าวอยู่ก็เลยไม่ได้โทรหาแก” เสียงริ้งดังออกมาจากโทรศัพท์ฟังดูหน่ายๆ สงสัยกำลังง่วงจัด ยัยนี่กินเสร็จที่ไรเป็นต้องง่วงนอนทุกที

            “แล้วแกจะโทรมาหาฉันทำไม?” เท้าสะเอวอย่างอารมณ์เสีย ถึงแม้จะรู้ว่าคู่สนทนาคงจะไม่เห็นท่าทางฉันในตอนนี้ก็ตาม

           “ก็เห็นอาจารย์โทรมาขอเบอร์แกกับฉัน ก็เลยจะโทรมาถามว่าแกไปก่อเรื่องอะไรไว้อีก”

           “อ๋อ แกนี่เองที่ให้เบอร์ตาอาจารย์ติ้งต๊องนั่นไป นี่! แล้วไม่ต้องมากล่าวหาว่าฉันก่อเรื่องอีกด้วย เข้าใจไหม!” ยัยเพื่อนบ้ากะจะเอาคืนที่ฉันว่ามันว่าเป็นลิงใช้ไหมเนี่ยยย 

           “โห~ ก็แกมันตัวก่อเรื่องเคลื่อนที่ได้นี่น่า” ฟังมันพูดเข้า “ว่าแต่แกไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกละ”

           “ลืมล็อคกุญแจห้องจัดงานประกวดนะสิ” บอกไปอย่างเซ็งๆ

           “ห้องจัดงาน ที่โรงเรียนนะเหรอ?”

           “อืม” ฉันตอบไป ลืมความกลัวไปเสียสนิท “ยังไม่ได้กลับเลย”

           “ห่ะ! นี่มันจะสองทุ่มแล้วนะ แกยังอยู่โรงเรียนอีกเหรอ?” 

           จริงอ่ะ นี่ฉันเดินมาเกือบจะสองชั่วโมงแล้วหรอเนี่ย -*-

           “ไม่ใช่อ่ะ” ฉันหันมองซ้ายมองขวา “ตอนนี้อยู่ที่ป่าหลังโรงเรียน พอดีตอนที่ฉันกำลังล็อคห้องจัดงานอยู่มีหมาตัวหนึ่งมันคาบกระเป๋าฉันมา ฉันก็เลยวิ่งตามมาเอาคืน” ฉันรู้ว่าคำถามต่อไปยัยริ้งคงจะถามว่าไปทำอะไรในป่าหลังโรงเรียนก็เลยตอบดักไปก่อน

           “อ้อ เออๆ แกอย่าลืมทำงานส่งเข้าประกวดด้วยละกัน” มีย้ำ ตาอาจารย์ติ้งต๊องนั่นก็ย้ำฉันไปทีหนึ่งแล้ว นี่ยัยริ้งยังจะมาพูดเรื่องนี้กับฉันอีก ย้ำคิดย้ำทำกับฉันจริงๆ เลย คนที่ฉันรู้จักทำไมถึงได้เป็นแบบนี้กันไปหมด 

           “เออรู้แล้วน่า” พูดอย่างอารมณ์เสียนิดๆ “เออนี่แก รู้ไหมไอ้ปราสาทที่ฉันเห็นในฝันเมื่อคืน...”

           “ไม่ต้องเอามาเล่าอีกเลยขี้เกียจฟังโว้ยยยยยยย” เสียงริ้งตะโกนใส่โทรศัพท์แทรกขึ้นก่อนฉันจะพูดจบประโยค 

           ฉันได้แต่ดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูเพราะเสียงของริ้งดังเกินไป 

           “แค่นี้ละ บาย” เสียงของเพื่อนสาวดังขึ้นเป็นประโยคสุดท้าย

            “เฮ้ เดี๋ยว” แล้วเพื่อนแสนดีสุดๆ ของฉันก็ตัดสายทิ้งไป “ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่ามัน.....” เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มองไปยังปราสาทตรงหน้า 

            “อยู่ตรงหน้าฉัน” ฉันเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ยังดีที่ริ้งให้เบอร์บ้านฉันกับอาจารย์ไป ถ้าริ้งให้เบอร์มือถือไปคงได้โทรมาใช้งานฉันทั้งวันแน่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×