ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love story รักร้ายนายแวมไพร์ตัวป่วน

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1.2 เหตุเพราะมาสาย

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 66


            ห้องพักครู

            “ครูกะว่าจะตัดคะแนนเธอที่มาสายแต่พอครูดูๆ แล้วเธอไม่น่าจะมีคะแนนให้ตัด” ใบหน้าคมก้มมองใบคะแนนในมือก่อนจะเงยหน้ามองฉันที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา “คงต้องทำงานอย่างอื่นแทน”

           มาไม้ไหนอีกละหมอนี่

           “ไปช่วยครูจัดห้องประกวดงานที่จะถึงแทนก็แล้วกัน เธอจะต้องไปทำทุกวันหลังเลิกเรียน”

           คิดว่าฉันจะไปทำทุกวันหรือไง บ้าไปแล้ว 

            “อย่าคิดว่าจะไปทำบ้างไม่ไปทำบ้างได้ล่ะ เพราะครูจะไปดูเธอทำงานทุกวัน” ดวงตาคมจ้องมาเหมือนรู้ทัน 

            แนะ! ดันรู้อีก ฉันว่าหมอนี่ต้องอ่านใจคนได้แน่ๆ เลย ให้ตายเถอะ! รู้ไปหมดทุกอย่าง 

            “โอ้ย~~~~~ ไม่ต้องลำบากอาจารย์หรอกคะ ไปเช็คทุกวันมันเหนื่อยไหนอาจารย์มีงานที่จะต้องทำอีกเยอะแยะ” โบกไม้โบกมือพลางยิ้มตาหยีให้ ทำท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ “หนูไม่หนีแน่ๆ” 

            “อย่างเธอนะต้องไปคุมไม่งั้นไม่ยอมทำแน่” ยังคงยืนยันเหมือนเดิม

            “ก็ได้ค่ะ” ฉันบอกปัดๆ ยกมือไหว้แบบลวกๆ แล้วเดินออกจากห้อง ขี้เกียจจะต่อความยาวสาวความยืดกับหมอนี่จริงๆ 

            “เดี๋ยวก่อน” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนที่ฉันจะเลื่อนประตูปิดจนสนิท

            “ว่าไงคะ?” เลื่อนประตูออกนิดๆ แล้วโผล่แต่หัวเข้าไปในห้องพักครู

            “ปากกา”

            “ปากกาอะไรคะ?” ทำคิ้วขมวดทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ

            “ปากกาสีเขียวในกระเป๋าเธอ” สายตาดังหมาป่าจ้องมองที่กระเป๋าฉันที่มันดันโผล่เข้าไปในห้องด้วย

            “อ๋ออออออออ  ที่อาจารย์โยนมาให้ซาใช้ไหมคะ ขอบคุณนะคะ บายๆ” ฉันยกมือขึ้นบายๆ อาจารย์ก่อนจะรีบปิดประตูแล้ววิ่งออกไปให้ไกลจากห้องพักครู

            “เอ้า ซาไปก่อเรื่องอะไรอีกละ” อาจารย์สาวสวยที่ฉันเคยเรียนด้วยเรียกถาม 

            “ซาเปล่านะค่ะ~~~” ฉันวิ่งไปตอบไป (แบบกระเพลกๆ เพราะยังเจ็บหัวเข่าอยู่) ทำไมครูโรงเรียนนี้ชอบพูดอย่างกับว่าฉันเป็นตัวก่อเรื่องจัง -*-

     

            หลังจากเลิกเรียนพวกฉันก็จะออกไปหาอะไรกิน เพราะวันนี้เรียนครึ่งวันหลังจากเรียนเสร็จพวกเราก็จะไปลั้นลากัน ~^O^~ 

            “พอประตูนั่นเปิดออกนะ ฉันก็กรี้ดขึ้นมา...”

            “แกกรี้ดเป็นด้วยเรอะ”  ริ้งที่ฟังอยู่ด้านข้างหยุดเดินแล้วถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น ตัวเองหยุดเดินไม่พอยังเอาแขนมากางขวางทางคนอื่นไม่เดินด้วย

            “ฉันก็กรี้ดไม่เป็นเหมือนแกนั่นละยัยทอม” 

            “แกว่าใครทอมฮ่ะ ฉันผู้หญิงแกร่งโว้ย” เปลี่ยนมายกมือขึ้นกอดอกท่าทางภูมิอกภูมิใจมาก

           “ผู้หญิงบ้านไหนซอยผมซะสั้นจู๋ขนาดนั้น” ฉันกระโดดล็อคคอริ้งไว้ ขยี้ผมสั้นของเจ้าหล่อนอย่างเมามัน

           “ปล่อยนะ!”ตะโกนเสียงดังไม่อายเพื่อนนักเรียนที่เดินผ่านไปผ่านมาพร้อมออกแรงสู้กับฉันสุดฤทธิ์

           “ไม่เอาๆ อย่าทะเลาะกัน” เฟรินที่อยู่ด้านหลังฉันเข้ามาช่วยห้ามศึก

           “เออ ใช่ๆ อย่ากัดกัน” มือใหญ่ของคิงจับหัวฉันกับริ้งผลักออกจากกันไปคนละทาง ฉันกับริ้งเซไปตามแรงดัน

           “ปากแกนี่อมสุนัขไว้รึไง” ฉันที่ทรงตัวได้แล้วหันไปถามคิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าโดยเริ่มเล่าต่อและไม่สนใจคิงที่ทำท่าจะหาเรื่องฉันต่อ “อย่าเพิ่งขัดซิ” ฉันพูดกับคิง

           “เล่าต่อเลย ^^” เฟรินวิ่งมาเดินด้านข้างฉันท่าทางสนอกสนใจ

           “พอประตูแง้มออกนะ” ฉันเล่าไปด้วยเดินไปด้วย “ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ที่พื้นเธอนอนหันหลังมาทางฉัน ตัวของเธอซีดขาวราวกับไร้เลือด ในความฝันนะทั้งมืดและหนาว มีเพียงแสงจากตอนที่ฟ้าผ่าลงมาทำให้เห็นภาพตรงหน้าได้เป็นระยะๆ  
            หลังจากนั้นฉันก็มองไปยังร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ หญิงสาวคนนั้น ร่างสูงในชุดสูทสีขาวแบบสมัยก่อน ปากของเขาสีซีดแถมยังมีเขี้ยวขาวยาวโผล่ออกมา เลือดสีแดงเข้มที่มุมปากของชายหนุ่มคนนั้นยิ่งทำให้ปากเรียวสวยนั้นดูซีดยิ่งกว่าเดิม จากที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดหนักกว่าเดิมอีกนะ

             ดวงตาของเขาเป็นสีเลือดดูสว่างไสวท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นขาวซีดไร้เลือด ผมสีเงินยาวถึงหัวเข่าราวกับจะสามารถส่องแสงสว่างในความมืดได้ นั้นยิ่งขลับเน้นดวงตาสีแดงเลือดให้ดูเด่นขึ้นกว่าเก่า ตอนนั้นฉันกรีดร้องออกมาเพราะตกใจ ฉันรีบเอามือปิดปากไว้เพราะกลัวว่าผู้ชายในชุดสูทท่านเคาท์จะรู้ว่าฉันแอบดูอยู่ 

              แต่รู้ไหม! หมอนั่นกลับได้ยิน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นมีเสียงฟ้าผ่าลงมาอีกครั้งและเสียงของฉันในฝันก็ไม่มีด้วยซ้ำ ฟ้าที่แลบทำให้ฉันมองเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าได้เป็นช่วงๆ เหมือนเปิดภาพถ่ายที่กดถ่ายแบบรัวๆ ดู

              ดวงตาคมสีแดงจ้องมองมาทางฉัน ในตอนนั้นรู้สึกว่าความหนาวเย็นรอบตัวได้แทรกซึมชั้นผิวหนังเข้าไปถึงกระดูก ขนที่หลังลุกวาบขึ้นด้วยความกลัว ภาพตรงหน้าหายไปเพราะความมืดเข้ามาปลกคลุมเนื่องจากฟ้าที่แลบอยู่เริ่มไม่มีแล้ว ดวงตาของฉันเปิดกว้างขึ้นด้วยความกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป” ฉันเหล่ตาไปมองเฟรินที่ทำท่าทางกลัวไปกับฉันด้วย

             “เปรี้ยง” ฉันตะโกนดังลั่น 

             ร่างบางข้างตัวฉันสะดุ้งเฮือกจนเกือบจะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่เธอก็กลั้นมันไว้ทัน

             “โทษทีๆ เล่าต่อๆ” เฟรินเอ่ยขอโทษขอโพยใหญ่ ทั้งที่จริงก็ไม่ได้มีความผิดอะไร

             อันที่จริงฉันจงใจแกล้งเธอเองละ ก็เฟรินพอเวลาตกใจชอบทำตาโตน่ารักๆ ฉันหันไปมองคิงกับริ้ง ทั้งคิงและริ้งก็ดูเหมือนจะตกใจกับเสียงฉันนิดๆ เหมือนกัน ดีว่าไม่ค่อยมีใครอยู่แถวนี้แล้วไม่งั้นคงจะหันมามองฉันเป็นแน่

             “พอฟ้าผ่าลงมาภาพที่เห็นอีกครั้งคือใบหน้าขาวซีดอยู่ห่างจากฉันไม่ถึงห้าเซนฯ เรียกได้ว่าระยะเผาขนเลยละความเย็นจากร่างสูงแผ่ออกมาโดนฉัน ชายคนนั้นไร้ซึ่งลมหายใจ~” ฉันเล่าแบบออกรสออกชาติ ใช้เสียงเบาตรงคำว่าลมหายใจเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นในการฟัง ฉันนี่เล่าเก่งแฮะ สงสัยจะอ่านนิยายบ่อยบรรยายซะจนเหมือนนิยายเรื่องหนึ่งเลยแฮะ
             “แล้วยังไงต่อ” มือเล็กของเฟรินเขย่าแขนฉันไปมาเบาๆ อย่างตื่นเต้น

             “ฟ้าที่ผ่าลงมานั้นทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นแวบหนึ่ง สิ่งที่ฉันเห็นคือชายคนนั้นเขากำลังยิ้มแสยะอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันก็ตกใจผงะถอยหลังและกรีดร้องออกมาแต่ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงของฉัน ตอนนั้นน่ะ รู้สึกว่าเหมือนตกลงไปในหลุมดำ ร่างของฉันกลืนหายไปในความมืด ภาพของชายหนุ่มหน้าขาวซีดที่ยืนอยู่ประตูก็เลือนหายไปด้วย”

              “แล้วยังไงต่อ O.O” มือเรียวเขย่าฉันแรงขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย

              “หลังจากนั้นฉัน...” ฉันหยุดเดินหันไปทางเฟริน จ้องมองเธออย่างจริงจังทำน้ำเสียงน่าตื่นเต้น

              “ยังไง O.O”

              “ฉัน....”

              “O.O” เฟรินทำท่าลุ้นสุดโต่งมือเล็กที่แขนกำแน่นขึ้น 

              “ฉัน...” ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะพูดอย่างเซ็งๆ ว่า “ก็ตกเตียง” เอียงคอไหวไหล่อย่างเซ็งๆ 

              “โถ่ -^- ” <<<เฟริน

              “โด่เอ้ย”  <<<ริ้ง

              “ลุ้นแทบตาย” <<<คิง

              “ยังเจ็บก้นไม่หายเลยนะจะบอกให้????” ฉันยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของแต่ละคนหลังจากที่ตั้งใจฟังมานานแล้วก็มาอารมณ์เสียตอนหลัง ฉันจับไปที่ก้นตัวเองเบาๆ แล้วเดินต่อ 

              “โง่จังยัยซา นอนตกเตียงแถมฝันบ้าๆ อีกต่างหาก”  ริ้งเอาแขนพาดที่ไหล่ฉัน ฉันไม่ได้ปัดออกยังคงเดินต่อไป

              “ฝันบ้าๆ ที่แกตั้งใจฟังนะสิ” ฉันว่าก่อนจะบ่นพึมพำกับตัวเอง “รู้งี้ไม่เล่าตอนตกเตียงให้ฟังก็ดีหรอก”

              “ว่าแต่เห็นแกเดินกระเพลกๆ ตั้งแต่เช้าแล้ว เป็นอะไรวะ!”  ริ้งก้มหน้ามองขาฉัน

              “เรื่องอะไรฉันจะบอก แกจะได้หัวเราะเยาะฉันจนท้องแข็งตายนะสิ”

              “ไปห้องพยาบาลไหมซา” ไม่ต้องทายว่าใครถาม ก็คงจะรู้ว่าไม่มีใครดีเท่าเฟรินแล้วละ 

              “ไม่เป็นไรหรอก ^^ แค่สะดุดผ้าห่มเองแล้วล้มน่ะ อุบ OxO” ฉันหยุดเดินเอามือปิดปากตัวเองไว้เพราะดันพูดเรื่องที่สะดุดล้มออกมา

              “ฮ่าๆ ๆ ” เสียงหัวเราะดังมาจากเจ้าสองตัววายร้ายที่ไม่แม้แต่จะถามสักคำว่าฉันเจ็บไหม

              “เชอะ -^-” ฉันสะบัดหน้าหนีอย่างอารมณ์เสีย เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า

              ติ้ง~ต่อง~

              เท้าที่กำลังจะก้าวพ้นธรณีประตูโรงเรียนหยุดกึกเพราะเสียงประกาศจากห้องประชาสัมพันธ์

              “ขออภัยอาจารย์ผู้สอนทุกท่าน ของให้นักศึกษา ซา....”

              “เฮ้ย เขาเรียกแกนี่หว่าซา” คิงที่ก้าวออกประตูโรงเรียนไปแล้วหันมาบอก
              ไม่ต้องบอกก็ได้ยินกันถ่วนหน้าแล้ว 

              “เรียนเชิญไปพบอาจารย์ติ้งต๊องนั่นนะสิ” ฉันเบ้ปากห่อไหล่อย่างเซ็งๆ  “พวกแกไปก่อนละกันฉันมีงานที่ต้องทำต่อ” ฉันหันหลังโบกมือลาเพื่อนๆ 

             “นี่ละน้า ~ผลของการ ไม่ยอมส่งงาน” 

             “แกก็ส่งมากกว่าฉันแค่งานเดียวล่ะยัยลิง” ฉันพูดโดยไม่หันไปมอง

             “งั้นพวกเราไปก่อนนะ” เฟรินตะโกนตามหลังมา ฉันโบกมือให้

             “ไว้ฉันจะคิดบัญชีกับแกทีหลังที่เรียกฉันว่าลิง ยัยซาเฟอะฟะ”  ริ้งตะโกนด้วยเสียงที่ออกจะโมโหนิดแกรมหยอกเล่น 

             “อย่าลืมสองบาทฉันละไอ้ซา” คิงยังคงไม่ลืมที่พนันกันไว้ 

    เฮอะ! -^- สองบาทมันก็จะเอา แต่อันที่จริงฉันก็รู้ว่าคิงมันแค่พูดเล่น

             ห้องจัดงาน

             “โถ่ อาจารย์ขา~ ซาซ่าจังจุจิยังไม่ได้ทานข้าวเลยนะค้า~” ฉันเรียนชื่อตัวเองอย่างคิขุ  ส่งสายตาวิ้งๆ ไปให้อาจารย์สุดโหด

             “ไม่เห็นเหรอว่าห้องมันรกขนาดไหนถึงจะมีเวลาถึงเดือนหน้า แต่ครูว่าถ้าเธอยังไม่เริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้คงจะไม่ทัน” ตาอาจารย์ติ้งต๊องหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวม แล้วนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือสบายใจเฉิบอยู่บนเก้าอี้ที่ให้ฉันไปยกมาให้

             “ก็ซาคนเดียวมันจะเสร็จได้ไงละ -..- ” ฉันพ่นลมออกมาจากจมูกอย่างอารมณ์เสีย เดินอ้อมไปหลังเก้าอี้ที่อาจารย์ติ้งต๊องนั่งอยู่ ใช้ขาเตะไปที่เก้าอี้เต็มแรงด้วยความโมโห

             “โอ้ย” เสียงฉันเองแหละ “อู้ยๆ เจ็บๆ” กระโดดโหยงๆ ด้วยขาเดียว  ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นด้วยความเจ็บ มือทั้งสองข้างกำเท้าที่เจ็บไว้แล้วกระโดดไปมาไม่หยุด 

             คนบ้าอะไรตัวหนักยังกับช้าง ขนาดเตะเต็มแรงเก้าอี้ยังไม่ขยับเลยสักนิด ฉันสูดปากตามด้วยความเจ็บ 

             เสียง ‘หึ’ เบาๆ  ดังออกมาจากร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างหน้าฉัน เขาส่ายศีรษะไปมาช้าๆ อย่างละอาแล้วก้มหน้าอ่านอะไรบางอย่างในมือต่อ

    ฉันกัดฟันทนความเจ็บ เดินกระเพลกๆ ไปหยิบไม้กวาด แผลที่สะดุดล้มเมื่อเช้าบวกกับเท้าที่เจ็บเพราะเตะเก้าอี้เมื่อสักครู่ทำให้ฉันต้องเดินกระเพลกๆ เหมือนคนขาไม่เท่ากันอย่างไรอย่างนั้น ดันมาเจ็บคนละข้างอีก

            นี่มันวันซวยอะไรนักหนา รู้งี้ไม่มาโรงเรียนเสียตั้งแต่ทีแรกก็ดี แล้วดูห้องจัดงานนี่สิ ใหญ่เกือบครึ่งของสนามฟุตบอล ห้องไม่ได้มีฝุ่นจับหนาเพราะเพิ่งจะจัดงานไปแต่ข้าวของที่จัดงานครั้งที่แล้วไม่ได้ย้ายออกไป แถมเศษขยะเกลื่อนพื้นเต็มไปหมดทุกอณูรูขุมขนของห้อง ไหนจะผลงานของพวกฝ่ายศิลป์ที่คลุมผ้าไว้เต็มห้องไปหมดนี่อีก นี่ฉันจะต้องย้ายพวกนี้ไปคืนเจ้าของด้วยใช่ไหม ทำไมไม่เก็บไปให้จบเรื่องจบราวตั้งแต่เสร็จงานแสดงนะ 

              เอามาตั้งแล้วคลุมผ้าไว้ที่นี่ทำไมก็ไม่รู้ ลำบากฉันอีก พูดได้ว่าเห็นห้องที่จะต้องจัดงานแล้วแทบจะหมดแรง ตาอาจารย์ติ้งต๊องนั่นพูดถูกถึงจะมีเวลาถึงเดือนหน้า แต่แค่ย้ายของไปส่งแผนกศิลป์ก็คงจะกินเวลาพอสมควร
                                          ...........................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×