ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love story รักร้ายนายแวมไพร์ตัวป่วน

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1.1 จุดเริ่มต้นแห่งหายนะ

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 66


            วันที่หนึ่ง

            ตุบ 

            “ว้ายยยยยยย” 

            เสียงร้องดังสนั่นทั่วห้องตามมาด้วยอาการสูดปาก ฉันเอามือลูบก้นตัวเองปอยๆ ด้วยความเจ็บจากการกลิ้งตกเตียง

    “โอ้ย~ เจ็บเป็นบ้า” ใช้แขนข้างที่ว่างอยู่ยันตัวเองขึ้นมานั่ง ผ้าห่มสีเขียวที่คลุมตัวฉันอยู่ตอนแรกไหลไปกองกันอยู่ที่ตัก ผมสีดำที่ออกจะฟูหน่อยๆ เพราะเพิ่งตื่นนอนบดบังทัศนียภาพด้านหน้าของฉันไปจนหมด 

            ฉันเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นในขณะที่มืออีกข้างยังคงจับก้นตัวเองด้วยความเจ็บ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อยเพราะสิ่งที่เห็นคือห้องโทนสีเขียวเข้มกับผ้าม่านสีม่วงเข้มที่คุ้นตา และข้างตัวก็คือเตียงไซส์คิงสีม่วงอ่อนที่คนนอนไม่น่าจะตกลงมาได้ ทั้งหมดนั่นคือ

            ห้องของฉันเอง! 

            “หึๆ” เสียงพ่นลมออกมาจากจมูกหัวเราะเยาะตัวเองที่คิดมากจนฝันอะไรไม่เป็นเรื่อง กระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปากเพื่อเยาะเย้ยตัวเองหนึ่งที 

    ฉันก็กระเด้งตัวลุกขึ้นพรวดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองฝันอะไร เท้าเปล่าวิ่งเหยียบย่ำไปบนผ้าห่มที่กองอยู่ที่พื้นไม่สนใจว่าจะทำให้ตัวุเองลื่นล้มหัวฟาดพื้นตาย
             ฉันหยุดลงตรงหน้าโต๊ะเขียนแบบก่อนจะหย่อนก้นที่ยังเจ็บอยู่นิดหน่อยนั่งลงบนเก้าอี้ มือคว้าดินสอที่อยู่ด้านข้างโต๊ะในกล่องเครื่องเขียนขึ้นมาลงมือวาดภาพสเก็ตส์ของประตูไม้ที่ฝันเห็น  ภาพสิ่งของในปราสาทที่ฉันเห็นลงในแต่ละแผ่นอย่างชำนาญ และลงมือเขียนพิมพ์เขียว ของปราสาทแบบคร่าวๆ ไว้ก่อน 

             ผ่านไปราวชั่วโมงกว่าๆ ภาพร่างพิมพ์เขียวของปราสาทที่เห็นในฝันก็เสร็จเหลือเพียงลงรายละเอียดอีกนิดหน่อย ฉันใช้มือข้างซ้ายที่ไม่เปื้อนสีดำของดินสอปาดเหงื่อให้ตัวเองก่อนจะเงยหน้าไปทางหน้าต่างที่มีลมพัดเข้ามา  

             ผ้าม่านสีม่วงเข้มพลิ้วไสวตามแรงลม แสงแดดสีทองอ่อนลอดผ่านผ้าม่านลงมากระทบบนพื้นห้อง

             อื้ม~ เย็นสบายดีจัง ^^????
             “เฮ้ย O[]O” ตาแทบถลนเมื่อมองเห็นแสงแดดที่ดูท่าจะไม่ใช่เวลาหกโมงเช้าตามปกติที่ฉันต้องตื่นไปวิทยาลัย

             วิทยาลัย? แล้วก็เพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองจะต้องไปวิทยาลัย

             ให้ตายสินี่กี่โมงแล้ว? 

             หันหน้าไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง 

             “แปดโมงครึ่ง! O[]O โอ้ยยยยยย ตายๆ  ตายแน่ฉัน ตายๆๆ”  ฉันรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำด้วยความเร็ว “เฮ้ย~ !!!”

             ตุบ

             เท้าเจ้ากรรมดันไปพันกับผ้าห่มที่กองอยู่ที่พื้น เป็นผลให้ฉันล้มลงจนหัวเข่ากระแทกพื้นไปข้างหนึ่ง ท่าทางในตอนนี้ของฉันเหมือนกำลังจะขอหญิงผู้เป็นที่รักแต่งงานอย่างไรอย่างนั้น หึๆ เท่แบบเจ็บๆ

              ถึงจะมีผ้าห่มรองอยู่ก็ใช่ว่าจะไม่เจ็บนะ! 

             “โอ้ย~ T^T ” ยันตัวเองขึ้นมาอย่างทุลักทุเล แม้จะเจ็บหัวเข่าข้างที่กระแทกลงพื้นเมื่อครู่แต่ก็ยังคงเดินกระเพลกๆ ไปเข้าห้องน้ำ 

     

             ณ ห้องเรียนเขียนแบบ

             “แล้วพอประตูเปิดออกมานะ...” ฉันที่กำลังจะเม้าท์เรื่องความฝันของตัวเองให้เพื่อนสนิทฟังอย่างมันปากก็ถูกใครบางคนขัดขึ้นก่อน

    “นี่! นั่งที่ได้แล้ว” เสียงเข้มดังขึ้นจากทางด้านหลังของฉัน ขัดเวลาคุยของฉันอย่างจงใจ 

              ฉันหันไปมองทางด้านหลัง ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าๆ สวมชุดสูทสีเทากำลังยืนพิงประตูห้องเรียนด้วยท่าทางสบายๆ  หน้าตาหล่อเหลานิ่งสงบมองมาทางกลุ่มของฉัน ผมซอยลากไทรสีน้ำตาลอ่อนของเขาพลิ้วไหวตามแรงลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างของห้องเรียนซึ่งเปิดอยู่ 

             นี่คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกหรือไงเนี่ย ยืนเก๊กเข้าไป๊~ 

             “จากนั้นนะ...” ฉันไม่สนใจหันกลับมาทำท่าทางจะเล่าให้เพื่อนสนิททั้งสามคนฟังต่อ แต่ก็ถูกอาจารย์จอมกวนขัดขึ้นอีกครั้ง

             “นี่เธอไม่ได้ยินเหรอซา” เสียงเข้มดังขึ้นจากด้านหลังฉันในระยะใกล้ เพื่อนสนิทของฉันสามคนแยกย้ายกันกลับไปนั่งที่ของมครของมัน
              ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองทางด้านบน ใบหน้าคมคายจ้องลงมาทางฉันเช่นกัน ฉันกระพริบตาปริบๆ  (0.0) (_ _) (0.0) 

              “ก็นั่งอยู่นี่ไงเล่า~~” ก้มหน้าลงหมุนตัวไปทางซ้ายเพราะทางขวามีตาอาจารย์จอมขัดยืนอยู่ ก้มหน้าลงหลบสายตาอาฆาตที่ส่งมา

              พอหันกลับมาในตำแหน่งที่ถูกที่ควร ตอนนี้ตรงหน้าของฉันตอนนี้คือโต๊ะเขียนแบบที่ประจำของฉัน ด้านข้างมีกระบอกใส่รูปของฉันวางอยู่กับกระเป๋าใบโปรด

             โชคดีหน่อยที่ฉันมาถึงอาจารย์กำลังประชุมกันอยู่ไม่งั้นหมอนี่ต้องไม่ยอมให้ฉันเข้ามาเรียนในห้องแน่ ก็ดันมาสายตั้งชั่วโมงหนึ่งนี่น่า

             “มาสายแล้วยังมาชวนคนอื่นคุยอีกนะ”
             อุ้ย! รู้ไงเนี่ย ทำหน้านิ่งเข้าไว้ๆ แกเดามั่วไปงั้นหล่ะ

             “ฮืมมมมมมมม” เอียงคอเป็นมุมสี่สิบห้าองศาหันมองอาจารย์ข้างตัวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม “ใครช่างกล้ามาสายในวิชาของอาจารย์ได้น่ะเนี่ยยยย” จีบปากจีบคอพูด แกล้งขมวดคิ้วแล้วเสมองไปทางอื่นไม่ยอมสบตาคมที่จ้องมา 

             ดวงตาของตานี่ยังกับหมาป่าใครจะไปกล้าจ้องด้วยตรงๆ  

             ปากฉันกระตุกยิ้มเมื่อหันไปเจอเฟริน สาวน้อยน่ารักที่กำลังอมยิ้มส่งมาทางฉัน เธอไว้หน้าม้าดูน่ารักๆ ใสๆ สมกับนิสัยของเธอ 

             “เรื่องมาสายไว้เอาเคลียทีหลัง”

             ฉันมองตามร่างสูงที่เดินหันหลังจากไป 

             เยส เยสสสส  ฉันชนะ ฉานนนนชนะ~~~ (คงจะเฉพาะตอนนี้) แอบดีใจนิดๆ อยู่ในหัวแต่ไม่ได้แสดงท่าทางลิงโลดออกไป

            ฉันหันหลังไปมองเพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไปจากฉัน ริ้งเพื่อนสาวที่ออกจะเหมือนผู้ชายมากกว่าผู้หญิงกำลังทำท่าทางเชือดคอมาทางฉัน ฉันเบ้ปากยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

            “แกไม่รอดแน่พนันได้เลย” ปากของชายหนุ่มที่อยู่โต๊ะถัดไปจากริ้งขยับแบบไม่ส่งเสียง หมอนั่นคือเพื่อนสนิทอีกคนของฉันเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในกลุ่ม ชื่อคิง

            “สองบาท เอาไหม” ฉันพูดติดตลกแบบไม่ส่งเสียงเช่นกัน ก่อนจะรีบหันกลับไปเมื่อริ้งทำท่าทางชี้ไม้ชี้มือไปด้านหน้า เป็นเชิงว่าตาอาจารย์บ้าอำนาจนั้นกำลังจะหันกลับมา

            “ครูจะบอกข่าวซึ่งดีและไม่ดีสำหรับบางคน” ร่างสูงเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังโต๊ะสำหรับอาจารย์ซึ่งอยู่ด้านหน้าสุดของห้อง “จะมีการประกวดแบบแปลนในเดือนหน้าซึ่ง...” เสียงทุ้มขาดหายสักพัก

             ฉันที่กำลังก้มหน้าก้มตาแคะเล็บอยู่เงยหน้าขึ้นมา เพื่อที่จะดูว่าทำไมหมอนั่นถึงเงียบไปแต่แล้วก็ต้องร้องออกมาดังๆ เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรพุ่งมาโดนหน้าผากของฉัน

            “โอ้ย” ฉันเอามือกุมหน้าผากของตนพลางก้มมองตามวัตถุที่หล่นลงใส่ตักฉัน หลังจากที่มันกระแทกหัวฉันเต็มๆอย่างสาสมใจแล้ว

            ปากกาแท่งสีเขียวปรากฏสู่สายตา  ดวงตาฉันวาวขึ้นเป็นประกายทันที เมื่อเห็นอะไรก็ตามที่เป็นสีเขียวที่ตัวเองชอบ ฉันหยิบมันขึ้นมาแล้วหย่อนมันใส่กระเป๋าเป้ด้านข้างเก้าอี้ที่เปิดอยู่พอดี เพราะเห็นว่ามันสวยดีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนปา ชายหนุ่มหน้าชั้นกำลังยืนกอดอกมองมาทางฉัน ดวงตาคมจ้องมาไม่วางตา

             “อะไรของอาจารย์เนี่ย~ -*- ” ฉันส่งเสียงโวยวายทันที

             ตัวคนโยนทำหน้านิ่งเหมือนไม่ได้เป็นคนทำ หน้านิ่งมากกก นิ่งได้อีก  แต่ฉันเห็นมุมปากเขาอมยิ้มนะเมื่อกี้อ่ะ 
             "คิกๆๆๆ" หูของฉันได้ยินเสียงกลั้นหัวเราะดังมาจากด้านหลังเป็นเสียงของยัยริ้งกับไอ้บ้าคิง เดี๋ยวเถอะไว้ค่อยคิดบัญชีทีหลังที่มาหัวเราะฉัน

              “เป็นไงบ้าง” เฟรินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่ก็กล้าๆ กลัวๆ ที่จะลุกขึ้นมาดู ฉันพยักหน้านิดๆ ส่งไปให้เฟรินเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร เฟรินเลยนั่งลงเหมือนเดิม  

              นิดหน่อยนะที่ไม่เป็นไรที่เหลือเจ็บจนไม่รู้จะพูดยังไง ไม่รู้ว่าต้องผ่าตัดสมองไหมเนี่ย เวอร์ได้อีกฉัน 

             “ซึ่งพวกเธอจะต้องส่งแบบแปลนเข้าประกวดทุกคนไม่ว่าจะเป็นแบบแปลนบริษัทแบบแปลนบ้านทรงต่างๆ หรือจะทำเป็นโมเดลก็ได้” ร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าชั้นเหยียดแขนสองข้างเท้าโต๊ะ ตัวเอนลงมานิดๆ จ้องนักเรียนในห้องที่นั่งเกร็งด้วยสายตาจริงจัง “โดยเฉพาะเธอ ซา” สายตาคมจ้องมาทางฉัน
             “ห่ะ” ฉันผงะไปด้านหลังนิดๆ เมื่อได้ยินชื่อตัวเอง เริ่มรับรู้ถึงหายนะที่กำลังจะมาเยือนได้ลางๆ

             “รู้จักส่งงานซะด้วย ถ้าเธอไม่ส่งแบบแปลนเข้าประกวดก็อย่าหวังจะได้จบไปกับเพื่อนๆ เลย” ปากสีชมพูของหมอนั่นกระตุกขึ้นนิดๆ เป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายสุดๆ แต่รอยยิ้มชั่วร้ายนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

             ฉันเพิ่งจะเข้าใจแจ่มแจ้งก็ตอนนี้เองว่าที่หมอนั่นพูดว่า ‘ครูจะบอกข่าวซึ่งดีและไม่ดีสำหรับบางคน’ ไอ้ที่ว่าไม่ดีคงจะหมายถึงฉันที่ไม่ค่อยชอบส่งงานซักเท่าไหร่ ซึ่งมันไม่ดีแน่ๆ 

             “โห~ อย่างนี้เขาเรียกบังคับแล้วละค่ะ งานประกวดเขาไม่บังคับไม่ใช่เหรอค่ะ ไหงซาต้องส่งด้วยอ่ะ” ฉันเริ่มหาข้ออ้างมาอ้างเพื่อที่จะได้ไม่ต้องส่งงานที่พอกไว้นานซะฉันจะกลายเป็นดินพอกหางหมูอยู่แล้ว

             “งานประกวดไม่บังคับ แต่วิชาครูบังคับจบไหม?” ดวงตาคมจ้องมายังฉัน คิ้วเข้มสีน้ำตาลอ่อนเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม

            “แต่ซาว่า...” เตรียมจะแย้งเต็มที่

            “วันนี้ครูจะให้ทุกคนร่างภาพที่จะประกวดกันไปพลางๆ ก่อน” เสียงทุ้มแทรกขึ้นก่อนที่ฉันจะพูดจบประโยค 

            ฉันละเบื่อหมอนี่จริงๆ ชอบกวนประสาทอยู่เรื่อย ฉันถึงไม่ค่อยเคารพเขาสักเท่าไหร่

            “ส่วนงานอันเก่าจะเลื่อนให้ส่งช้ากว่าเดิมได้” สิ้นประโยคทั้งห้องก็เฮกันใหญ่ แต่ฉันนะสิเซ็ง ต้องส่งงานเข้าประกวดอย่างเลี่ยงไม่ได้  แถมคงไม่สามารถเลี่ยงงานที่พอกไว้อีกเป็นกระบวนที่เหลืออีก ดูท่าอาจารย์จอมขัดจะเอาจริงซะแล้ว

            “ซา” 

            “ค่ะ?” ฉันเงยหน้าขึ้นมองตาอาจารย์บ้าอำนาจที่ตอนนี้ยืนอยู่หน้าประตูห้องเรียนที่เปิดค้างไว้อยู่

            “ไปที่ห้องพักครูด้วย”

            “ตอนนะ...” ฉันกำลังจะถามว่าตอนไหนก็ถูกแทรกขึ้นมาเหมือนหมอนั่นรู้ความคิดของฉันซะงั้น

            “เดี๋ยวนี้” พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ให้ความรู้สึกยังกับถูกบังคับอย่างเลี่ยงไม่ได้

    ฉันที่กำลังอ้าปากค้างอยู่ที่คำว่า ไหน พยักหน้าหงึกๆ  หยิบกระเป๋ากับกระบอกใส่รูปขึ้นมาสะพายแล้วเดินตามอาจารย์ขี้เก๊กออกไป ฉันว่าเดียวก็หมดเวลาคราบแรกแล้วก็เลยถือกระเป๋ากับกระบอกรูปติดมือไปด้วยเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×