ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love story รักร้ายนายแวมไพร์ตัวป่วน

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่3.3 จะตามไปโรงเรียนด้วยเรอะ?O_o

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 66


            โถ่~ นี่ฉันยังฝันอยู่อีกเหรอเนี่ยเมื่อไหร่จะตื่นได้สักทีนะ T^T

    ฉันอยากจะหาอะไรมาทุบหัวตัวเองแรงๆ สักทีหนึ่ง จะได้ตื่นขึ้นมาสักที 

            ฉันอยากจะขยับตัวไปด้านหลังแต่ก็กลัวว่าเจ้าของหน้าหล่อที่กำลังหลับตาอยู่จะตื่นขึ้นมา แล้วทำไมฉันต้องมาเกรงใจแวมไพร์ที่ดูดเลือดฉันแถมมานอนเตียงฉันด้วยละเนี่ย

    ฉันตัดสินใจลองเอานิ้วจิ้มแก้มของเขาดู ความรู้สึกที่ส่งผ่านมาคือความนุ่มและเย็น

            ทำไมฝันมันเหมือนจริงจัง -*- 

    ฉันยังคงคิดว่ามันเป็นฝัน เพราะแวมไพร์ไม่มีอยู่จริง ไม่มีอยู่จริงๆ ในโลกนี้

            “นี่เจ้าแยกความฝันกับความเป็นจริงไม่ออกรึ?” คิ้วสีเงินขมวดเข้าหากัน ดวงตาคมค่อยๆ ลืมขึ้น 

           “อุ้ย” ฉันลุกขึ้นนั่งแล้วขยับไปให้ห่างตัวอันตรายที่ตื่นขึ้นมาเพราะฉันไปกวนเขานอน ถ้าอยู่ใกล้มีหวังได้โดนดูดเลือดอีกแน่

           “อยู่ไกลขนาดไหนก็หนีข้าไม่พ้นหลอกน่า” เสียงพูดดังขึ้นพร้อมกับร่างของเขาที่หายตัวมานั่งอยู่ตรงหน้าฉัน

           “อุ้ย” พูดเป็นรอบที่สองตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ฉันเอนไปด้านหลังด้วยความตกใจ โชคดีที่ไม่ได้นั่งติดขอบเตียงมากไม่งั้นคงได้หล่นจากเตียงแน่

           “ตกลงเจ้าแยกความฝันกับความจริงไม่ออกรึ?” กอดอกเอียงหัวถาม

           “ก็...” สมองเริ่มไม่สั่งการอีกรอบ นึกหาคำมาแก้ตัว “ก็เดี๋ยวนี้ความฝันของฉันมันเหมือนจริงมากต่างหากละ เลยทำให้ฉันแยกไม่ออก” หลับหูหลับตาคิดหาคำอธิบายมือไม้ปัดไปมากลางอากาศ  พอพูดถึงความฝันขึ้นมาก็นึกถึงฝันเมื่อคืน ฉันกำลังจะโพล่งถามว่าเขาได้ไปอยู่ในป่าแถวปราสาทแล้วถูกหมาป่าตะปบหรือเปล่า ทว่าร่างสูงก็หายไปจากจุดที่นั่งอยู่

             “เฮ้ย” ฉันตกใจผงะถอยหลังอีกครั้งจนเกือบตกเตียง เมื่อตาแวมไพร์หายตัวมานั่งอยู่ด้านหน้าฉัน มือเย็นทั้งสองข้างของเขาจับใบหน้าของฉันให้เงยขึ้นสบตากับดวงตาคู่สีแดง 

            “เจ้าคือใคร ทำไมถึงไปอยู่ที่นั่นตอนนั้นได้” ไอเย็นสบายแฝงกลิ่นหอมอ่อนๆ แผ่ออกมาจากร่างแวมไพร์หนุ่ม ดวงตาสีแดงสดจ้องมองมาอย่างคาดคั้น

            “อย่าแวบไป แวบมาอย่างนี้สิ! มันตกใจนะ” ฉันจับข้อแขนของตาแวมไพร์ไว้แน่น แล้วออกแรงดึงให้ออกห่างจากใบหน้าของตัวเอง แต่มันกลับยังคงค้างอยู่ที่ใบหน้าของฉัน 

             เสียงหัวใจของฉันเต้นดัง ตุบๆๆ ????????  อย่างตื่นเต้น กลัวว่าเขาจะจับฉันดูดเลือดอีก

             “เจ้าทำให้ข้าต้องโดนจองจำ” ใบหน้าหล่อนิ่งสงบมีเพียงดวงตาที่หรี่ลงอย่างใช้ความคิด น้ำเสียงเข้มขึ้นเน้นทุกถ้อยทุกคำที่เอ่ยออกมา ฟังดูเหมือนกำลังโกรธ

             “ขอความกระจ่างหน่อยได้ไหม?” ฉันเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม

             “ก็ตอนที่ข้ากำลัง....”

             “สู้กับหมาป่า” ฉันเติมให้

             “ใช่ เจ้าอยู่ที่นั่น ทำให้ข้าถูกเจ้าตัวมีขนนั่นจองจำไว้ชั้นใต้ดินของปราสาท”

             “ฉันจะไปอยู่ที่นั่นได้ยังไงละ ฉันก็แค่ฝันเห็นมันเท่านั้นเองนะ” ฉันออกแรงดึงข้อมือแข็งแรงอีกครั้งแต่ก็ยังเหมือนเดิม มือเย็นของเขายังคงค้างอยู่บนใบหน้าของฉันช่วยยืนยันได้ว่าฉันไม่ได้ฝันอยู่ แม้ทุกครั้งที่ฝันมันจะเหมือนจริงมาก ทว่าฉันรู้ว่านี่คือความจริง ต่อให้ทำใจปฏิเสธว่าไม่ใช่ความจริง แต่ยังไงความจริงก็คือความจริง 

              ว่าแต่หมอนี่รู้เรื่องความฝันของฉันเมื่อครู่ได้ไง -*-

             “ไม่!” น้ำเสียงฟังดูโมโหนิดๆ ก้องกังวานไปทั่วห้อง “เจ้าอยู่ที่นั่น”

             “-*-” จะเอาให้ชนะเลยใช่ไหม “แล้วตอนที่นายถูกจองจำมันกี่ปีมาแล้วละ” ฉันถามขึ้นเมื่อนึกได้ว่าสภาพป่าที่เห็นในแต่ละครั้งจะไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไหร่ ครั้งแรกมันรกมากมีแต่ซากต้นไม้ที่ยืนต้นตาย แต่พอครั้งที่ฉันได้ไปเจอจริงๆมันไม่ได้รกขนาดนั่น แล้วในฝันครั้งล่าสุดนั่นป่าดูเขียวชอุ่ม มีชีวิตชีวามาก

             “ปี 1XXX”

            “หะ! -*- นั่นมันพันปีที่แล้วเชียวนะ?” 

            “....” คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน มือเย็นค่อยๆ เลือนหลุดออกจากใบหน้าฉัน

             “นายลองคิดดูสิ นั่นมันเมื่อพันปีที่แล้วนะฉันจะไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง” ฉันค่อยๆ ก้าวขาไปด้านหลัง ลงจากเตียงอย่างช้าๆ  “แล้วฉันก็เป็นแค่มนุษย์คงไม่มีอายุถึงพันปีแน่ๆ” ค่อยๆ ทรงตัวยืนให้มั่นคงด้วยความยากเย็น เพราะทุกครั้งที่ออกแรงมากไปจะทำให้เจ็บที่ข้อเท้าอย่างแรง

            “นั่นสิ” ใบหน้าหล่อที่ก้มลงไปอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับฉัน “เจ้าคิดว่าถอยห่างออกจากข้าแล้วข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้รึ” คิ้วที่ขมวดกันอยู่ของเขาหยักขึ้นเป็นเชิงถาม

            “ก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้บ้างละ” ฉันก้าวถอยไปอีกก้าว ไม่คิดว่าเขาจะรู้ด้วยว่าฉันพยายามขยับออกห่างจากเขา

           “แต่ข้ามั่นใจว่านั่นคือเจ้าแน่ๆ”

           “...” ฉันไม่ได้ตอบแต่หันไปมองนาฬิกาบนหัวเตียงทางด้านหลังของตาแวมไพร์

           “เรื่องจะกระจ่างแน่ถ้าข้าเจอไอ้ตัวมีขนนั่น”  

           “ดูสิ! O[]O ดูสิๆ จะเจ็ดโมงครึ่งแล้ว” ฉันกระทืบเท้าไปมาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะหยุดกึกเพราะความเจ็บ

    อู้ย~~~ไม่น่าเลยเรา T^T

            “แล้วทำไมรึ?”

            “ข้าเอ้ย ฉันต้องไปโรงเรียนนะสิ” ฉันเริ่มจะสับสนเกี่ยวกับสรรพนามที่ใช้ “อ้อ เจ้าตัวขนที่ว่าหมายถึงหมาป่าตัวใหญ่ๆ นั่นน่ะเหรอ?” ฉันวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ (อย่างระวัง) ขณะที่ส่งเสียงถามไปด้วย พอหันมาก็เห็นตาแวมไพร์พยักหน้าหงึกๆ 

           “ห้ามแอบดูฉันอาบน้ำล่ะ” ว่าแล้วก็ปิดประตูห้องน้ำพร้อมลงกลอนอย่างแน่นหนา นวดขมับตัวเองอยู่หน้ากระจกไปมา 

    ตกลงนี่มันเรื่องจริงใช่ไหมเนี่ยยยยย อยากจะตะโกนออกมาให้มันสุดเสียงแต่ก็เพียงส่งเสียงร้องไห้อยู่ในใจ

     

           “นายจะตามมาทำไมเนี่ย” ฉันพูดโดยไม่หันไปมองร่างสูงที่เดินตามมาข้างหลัง 

            คนที่เดินสวนกับฉันพากันมองไปข้างหลังฉันกันใหญ่ ชุดท่านเคาท์กับผมยาวสีเงินบวกกับดวงตาสีแดงทำให้หมอนั่นดูสะดุดตาเหมือนกำลังถ่ายแบบชุดโบราณอยู่ยังไงยังงั้น แถมหน้าตาไร้อารมณ์กับความซีดขาวบนใบหน้าก็เหมือนพวกนายแบบแข็งทื่อตามแฟชั่นโชว์เสื้อผ้าต่างๆ อีกด้วย เทรนการทาคิ้วสีขาวก็สุดๆ ไปเลย แม้นั้นจะเป็นสีคิ้วของเขาจริงๆ ก็เถอะ

            “ข้าว่ายันต์ในตัวของเจ้าเกิดขึ้นจากเจ้าตัวมีขนนั่น มันจะต้องเป็นคนใกล้ตัวเจ้าแน่ๆ”

            “เอ้า-*-” ฉันหยุดกึกกลางซอยที่จะเดินไปถึงถนนใหญ่  พูดโดยไม่หันไปมอง “แล้วทำไมถึงมีอยู่ในตัวฉันละ แล้วมันเป็นยันต์อะไรกัน”

            “มันคือยันต์คุ้มครองจากพวกสิ่งที่จะทำให้ผู้มียันต์เป็นอันตราย” ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ข้างฉัน

            “จะบ้ารึไง ตัวฉันไม่มียันต์ซะหน่อย ( ‘ ‘   )(   ‘ ‘ )( ‘ ‘   )” ฉันยก       แขนขึ้นดู เอี้ยวคอมองไปทางซ้ายทีขวาทีแล้วหันไปมองตาแวมไพร์

           “มันอยู่ในตัวเจ้าต่างหาก” ชายหนุ่มเอียงคอเหมือนเซงๆ 

     ไม่สิ ตานี่อายุเป็นพันปีได้แล้วม้างไม่น่าจะใช้คำว่าชายหนุ่มได้หรอก

           “นี่เปลี่ยนสรรพนามการพูดไม่ได้รึไง พูดอย่างนี้มันเป็นที่เตะตาอ่ะ ไหนจะการแต่งตัวหลงยุคของนายอีก” ฉันจับเสื้อสูทสีขาวของเขาที่ด้านหลังมีหางยาวสองหาง เป็นเสื้อสูทที่สมัยนี้ไม่ค่อยนิยมใส่กัน ที่เห็นซะส่วนใหญ่ก็จะมีใส่ไปงานเต้นรำเท่านั้น

            “เจ้าจะไม่ไปไอ้สิ่งที่เรียกว่าโรงเรียนรึ?” 

            “เออใช่ O.O” คำถามของเขาเตือนสติของฉัน จนลืมไปว่าเขายังไม่ยอมเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้ตามที่ฉันบอก “จะไปทันไหมเนี่ย เพราะนายแท้ๆ เลย -^-” โทษไปนั่น เป็นเพราะฉันตื่นสายเองต่างหาก

            “ไป” ยังไม่ทันรู้ว่าไอ้ที่ว่า ไป ที่เขาพูดหมายถึงอะไร เอวของฉันก็ถูกวงแขนแข็งแรงรวบไว้แล้ว เขาดึงตัวฉันเข้าไปหาจนตอนนี้ตัวเราติดกันหนึบ ยิ่งยังไม่ทันได้ร้องด้วยซ้ำร่างของฉันก็ทะยานขึ้นไปข้างบน 

            อึ้ย????  ไม่อยากจะมองลงไปด้านล่างเลยความสูงที่ฉันอยู่ตอนนี้ก็ราวๆ ตึกแปดชั้นได้ ดีที่โรงเรียนของฉันบังคับให้ใส่ชุดประจำโรงเรียนทุกวันที่กำหนดเท่านั้นซึ่งก็คือเมื่อวานนี้ วันนี้ฉันเลยใส่ชุดกางเกงวอมสีน้ำเงินกับเสื้อยืดสีขาวมาแทนชุดนักเรียน ก็เลยไม่ต้องห่วงหวอเปิดและดีที่ตอนนี้ไม่มีคนเดินผ่านไปผ่านมา ทำให้พวกฉันไม่เป็นที่สะดุดตาเท่าไหร่

            ฉันเอามือคล้องคอเขาไว้แน่น เหมือนกับรู้ว่าฉันกลัวตกแขนแข็งแรงเย็นสบายโอบรัดที่เอวแน่นขึ้นอีกนิด ฉันมุดหัวไปยังซอกคอขาวซีด กลิ่นไอความเย็นหอมอบอวนทำให้หัวใจที่เต้นระรัวของฉันสงบลงได้บ้าง

            “ตรงที่มีตึกเยอะๆ เมื่อออกมาจากป่า” ฉันบอกเพราะเขาคงไม่รู้ว่าโรงเรียนเป็นรูปร่างยังไง “ใกล้ป่าที่ปราสาทนายน่ะ” ฉันพูดเสียงอู้อี้อยู่ข้างลำคอหอมของเขา ตอนแรกที่ได้กลิ่นหอมเย็นนั้นฉันรู้สึกสงบใจได้บ้างแต่ตอนนี้ต้องเต้นแรงอีกครั้งเมื่อรู้ว่าตัวของเราติดกันจนไม่มีระยะห่างสักนิด แถมตอนนี้ฉันก็กำลังเอาหน้าซุกซอกคอเขาอยู่ด้วย 

            ตุบๆ  

            จะบ้าตายหัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะเลยคราวนี้

    แต่ฉันก็ไม่ได้อยากจะยื่นหัวออกมาข้างนอกซอกคอของเขา เดี๋ยวหัวได้กระเด็นไปตามลมที่พัดมาเป็นแน่

            “ตรงนั้นรึ” ร่างสูงกระโดดไปยังหลังคาบ้านแต่ละหลังอย่างคล่องแคล่วเพื่อเป็นแรงส่งตัวเองทะยานไปด้านบน

            “ชะ ใช่” ฉันผละใบหน้าออกมาเหล่ตาไปมอง ทว่าเมื่อเห็นความสูงที่ฉันอยู่ตอนนี้ก็รีบหลับตาลงอย่างรวดเร็วแล้วซุกหน้าลงไปที่เก่า            “ช่วยลงในที่ที่ไม่ค่อยมีคนหน่อยนะเดี๋ยวมีคนเห็นเข้าได้ซวยกันพอดี”

           “อืม” เขาตอบเสียงครางอยู่ในลำคอ แก้มของฉันที่แนบอยู่ตรงลำคอขาวซีดของเขารับรู้ได้ถึงการสั่นสะเทือนเล็กๆเมื่อเขาส่งเสียง อืม ออกมา 

            ผมยาวสีดำของฉันปลิวสยายเมื่อยางมัดผมสีเขียวหลุดลอยไปตามแรงลมฉันรีบเอามือรวบผมไว้เพราะเดี๋ยวผมจะไปทิ่มหน้าเขาเข้า

    “ขอโทษที” ฉันว่าแต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา 

     

            “ขอบใจ” เมื่อเท้าของฉันสัมผัสพื้นดินก็รู้สึกโล่งใจขึ้นทันที โล่งใจที่ไม่ต้องอยู่บนที่สูงอย่างนั้นต่อ

            “นี่น่ะรึ โรงเรียน” ใบหน้าขาวหันมองไปทางซ้ายทางขวาอย่างช้าๆ 

            “ใช่ เป็นที่ๆ ไว้ให้มนุษย์มาศึกษาหาความรู้กัน” ฉันอธิบายเพราะแวมไพร์พันปีอย่างเขาอาจจะไม่รู้จัก ฉันยกมือสางผมให้เป็นทรง เท้าค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ โดยไม่ให้เขารู้ตัว

            “....”.มองหน้าฉันนิ่งไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ 

            “ฉันต้องไปแล้ว บาย ^^” ส่งยิ้มหวานให้ แต่ในใจกำลังคิดว่า อย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลยยยย สาธุ! 

           “คิดว่าเจ้าจะหนีข้าไปได้จริงๆ นะรึ” มือเย็นจับข้อแขนของฉันไว้ก่อนฉันจะได้วิ่งออกไปด้วยซ้ำ

           “เปล่า ^^” ยังคงยิ้มจนตาหยี “แต่ฉันรีบ” แกะมือที่กำแน่นอยู่อย่างสุดกำลัง

            “....” เขาจ้องมาไม่ลดละด้วยดวงตาสีแดงสดจนขนที่หลังฉันลุกเกรียวไปหมด แถมยังไม่ยอมปล่อยมือฉันอีกต่างหาก

           “นี่ปล่อยเถอะนะฉันรีบจริงๆ ถ้าไปเข้าเรียนไม่ทันต้องแย่แน่ๆ” เริ่มส่งเสียงอ้อนวอน เข้าแถวก็คงไม่ทันแล้วละเวลาขนาดนี้เนี่ย แถมวิชาแรกยังเป็นของตาอาจารย์ติ้งต๊องนั่นอีกได้โดนใช้งานตายแน่ถ้าไปเข้าเรียนไม่ทัน

           “ไป”

           “เดี๋ยว” ฉันยกมือข้างที่ว่างอยู่ขึ้นมาห้ามเพราะรู้ทันสิ่งที่เขาจะทำ          “ห้องอยู่ใกล้ๆ ฉันเดินไปเองได้ ไม่งั้นมีคนเห็นได้ซวยตาย แล้วจะบอกให้นะว่านายห้ามมาเดินใกล้ฉันอีก ไม่งั้นฉันได้เป็นเป้าสายตาแน่”

           “ทำไม-*-” คิ้วสีเงินขมวดเข้าหากันทำให้ใบหน้าหล่อดูเข้มขึ้น

           “ยังจะมาถามอีกพ่อคู้น~~  ก็ดูนายแต่งตัวเข้าสิ แถมการพูดการจาก็โบร้าณโบราณอย่างเงี้ย” ไอ้ที่ไม่อยากให้เดินใกล้ก็เพราะเสียวคอตัวเองจะโดนดูดเลือดอีกนั้นล่ะ

           “...”

           เขาเงียบไปซักพักก็ดีดนิ้วดังป๊อก ควันสีขาวลอยขึ้นมาโอบรอบๆ ตัวเขาไว้จนถึงศีรษะบดบังร่างสูงให้หายเข้าไปในกลุ่มควันนั้น มือของฉันที่ยังคงถูกกำอยู่หายเข้าไปในควันสีขาวนั้นด้วย ไม่ถึงสิบวินาทีควันสีขาวก็หายไป และร่างของตาแวมไพร์ก็ปรากฏออกมาในชุดนักเรียนของโรงเรียนฉัน แทนที่ชุดท่านเคาท์สีขาวชุดเก่า

           ฉันจ้องตาแทบถลน O_o

           “ฉันใช้เวทมนตร์ได้นิดหน่อย” เหมือนจะรู้ว่าฉันจะถามอะไรเขาก็ตอบออกมาก่อน

           “อย่างงี้สิ” ฉันใช้มือข้างที่ว่างตบไปที่ไหลเขาแรงๆ ทีหนึ่ง ฉีกยิ้มโดยไม่รู้ตัวคงเพราะมันเหมือนกับเวลาที่เราสอนหนังสือเด็กแล้วเด็กน้อยเข้าใจ ทั้งชุดทั้งการพูดการจาเปลี่ยนไปในเวลาอันสั้นเพียงชั่ววินาทีที่เขาหายเข้าไปในกลุ่มควันเท่านั้นเอง 

           หมอนี่ใส่อะไรก็ดูดีไปหมด 

            “ผมของนายก็สั้นลงด้วย” ฉันเอี้ยวตัวไปมองด้านหลัง ผมสีเงินยาวสลวยกลายเป็นทรงรากไทรซอยสั้น แอบนึกเสียดายอยู่นิดๆ เพราะผมหมอนี่สวยมาก แถมเขี้ยวของเขาก็ดูเหมือนจะเล็กลงด้วยเหลือแค่ดวงตาสีแดงเท่านั้นที่ยังคงไม่เปลี่ยน ไม่เป็นไรหลอกเพราะเดี๋ยวนี้มีทั้งคอนแทคเลนส์สีและยังจะบิ๊กอายอีก อย่างนี่คงไม่มีใครสงสัยแล้วล่ะ 

            “เธอรีบไม่ใช่เหรอ?” ปากหยักสวยกระตุกยิ้ม ดวงหน้าที่ประดับรอยยิ้มของเขายิ่งทำให้เขาดูดีขึ้นไปใหญ่ แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดอะไรอย่างนี้นอกจากคิดว่าจะแก้ตัวอย่างไงกับการมาสายครั้งนี้ของฉัน!

            “ใช่ๆ ช่ายๆ O.O ” ฉันตอบอย่างร้อนลนแล้วเดินนำไป โยนคำถามในสมองเรื่องที่เขารู้ได้ไงว่านักเรียนชายโรงเรียนฉันใส่ชุดอะไรทิ้งไป เพราะชุดที่เขาใส่อยู่คือชุดประจำของนักเรียนชายโรงเรียนฉันอย่างที่ไอ้คิงมันใส่เมื่อวานนี้ 
            ถึงแม้วันนี้ไม่ใช่เป็นวันบังคับในการใส่ชุดนักเรียนมาก็เถอะ ยังไงก็ดีกว่าชุดท่านเคาท์นั่นเป็นไหนๆ และก็เรื่องที่เขารู้ได้ยังไงว่าคำที่ใช้ในสมัยเมื่อพันปีก่อนกับสมัยนี้มีคำไหนต่างกันบ้าง ฉันได้โยนคำถามพวกนั้นทิ้งไปหมดแล้วเพราะกำลังหาคำมาแก้ตัวกับอาจารย์บ้าอำนาจเรื่องการมาสายในครั้งนี้

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×