ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love story รักร้ายนายแวมไพร์ตัวป่วน

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ ความฝันครั้งที่หนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 66


    บทนำ

     

             แสงจันทร์สีเงินในคืนที่จันทร์เต็มดวงสาดส่องกระทบร่างบางซึ่งนอนคว่ำหน้าสลบอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งสีน้ำตาล ผมดำยาวของเธอสยายไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งกรอบนั้น ยามเมื่อแสงจันทร์สาดส่องกระทบกับเรือนผมดำมันของเธอก็เกิดเป็นประกายระยิบระยับเหมือนน้ำทะเลยามค่ำคืนที่ถูกแสงจันทร์สาดแสงกระทบ เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่เป็นชุดนอนพีจามัส(ชุดนอนแขนยาวขายาวทรงกระบอกแบบของผู้ชาย) สีเขียวอ่อนแขนยาว ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่นักในสมัยนี้ นิ้วมือเรียวยาวสีน้ำผึ้งของเธอโผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อตัวยาวที่สวมใส่ 

          กร๊อบแกร๊บ 

          ใบไม้สีน้ำตาลกรอบส่งเสียงดังออกมาเมื่อมือเล็กใต้ผมดำมันขยับ ผมสีดำยาวเคลื่อนไหวไปมาตามศีรษะที่เคลื่อนไหวของหญิงสาว 

           “อืม” น้ำเสียงที่บ่งบอกว่าหงุดหงิดนิดๆ ดังออกมาจากเรียวปากสีชมพู ความเย็นชื้นจากพื้นที่สัมผัสแก้มทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวขึ้น เธอใช้มือสองข้างยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ขนตาดำเป็นแพกระพริบถี่เพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงอันน้อยนิดจากจันทรา 

    ดวงตาคมจ้องมองไปยังประตูไม้ตรงหน้าที่มีไม้เลื้อยนานาชนิดเกาะเต็มไปหมด จนแทบจะดูไม่ออกว่ามีประตูอยู่ตรงนั้น ไม่เลื้อยสีน้ำตาลปกคลุมประตูไว้อย่างแน่นหนาถึงดูเหมือนมันจะตายไปแล้วแต่คงไม่ใช่เรื่องงายที่จะเปิดประตูบานนี้ 

            หญิงสาวจ้องมองอยู่นานก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างที่ยังคงยันพื้นอยู่ดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ดวงตาเรียวกวาดมองรอบตัว สิ่งที่เห็นคือรอบตัวของเธอนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่ไม่คุ้นตาทั่วบริเวณ พวกมันเหมือนต้นไม้ที่ขาดน้ำมากๆ จนยืนต้นตาย แห้งกรอบเป็นสีน้ำตาลไปทั่วบริเวณ บนต้นไม้ไม่หลงเหลือใบไม้อยู่สักใบมีเพียงกิ่งก้านแห้งๆ เต็มไปหมด นั่นยิ่งช่วยเพิ่มบรรยากาศให้ดูวังเวงสุดๆ  

            ถัดมาจากต้นไม้สูงคือหญ้าสูงเท่าเอวที่แห้งตายแล้วเหมือนกัน มันปลกคลุมไปทั่วบริเวณรอบๆ ตัวของเธอ ยกเว้นจุดที่เธอยืนอยู่เป็นพื้นที่กว้างมีใบไม้ปลกคลุมไปหมด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีใบไม้ที่พื้นเยอะขนาดนี้ นั่นเพราะรอบตัวเธอที่เห็นมีแต่ต้นไม้ยืนต้นตายทั้งนั้น 

            เธอหันกลับมาสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าเรียวแหงนมองขึ้นไป ปราสาทสูงตระการตาที่สร้างด้วยหินปรากฏสู่สายตา ตัวปราสาทมีไม้เลื้อยที่ตายแล้วปลกคลุมเต็มไปหมดเกือบทุกตารางนิ้ว เธอเพิ่งจะสังเกตว่าที่ๆ เธอยืนอยู่คือพื้นไม้ยกสูงที่ปกติจะมีซุ้มหลังคาคุมอยู่แต่ตอนนี้หลังคาหายไปแล้ว เสาที่ค้ำยันอยู่ก็ไม่มีเพราะคงผ่านการเวลามาเนิ่นนานเกินทน 

            ที่เธอเพิ่งจะรู้ก็เพราะใบไม้ที่ปลกคลุมอยู่ที่บริเวณเท้าของเธอถูกลมพัดปลิวไปทำให้เห็นตัวไม้ผุๆ ที่เท้าของเธอได้บางส่วน ลมที่พัดมาทำให้ขนที่หลังของหญิงสาวลุกซู่ทั้งที่อากาศมันไม่ได้เย็นถึงขนาดนั้น ขนาดที่ว่าจะทำให้เธอหนาวถึงกระดูกได้เลยด้วยซ้ำ  

            ยังไม่ทันได้คิดว่าอะไรเป็นอะไร เท้าเปล่าเปลือยของเธอก็ก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่ฟังสมองที่สั่งการ

            กร๊อบแกร๊บ????????????????????

            เสียงใบไม้แห้งใต้เท้าเปล่าเปลือยพากันส่งเสียงเมื่อหญิงสาวย่ำเท้าลงไป คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน ในหัวคิดถึงเหตุผลต่างๆ นานาที่ทำให้ตัวเองมาอยู่ที่นี่ ครั้งล่าสุดเธอจำได้ว่าเธอนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง แต่ทว่าเมื่อตื่นมากับพบว่าตัวเองมานอนอยู่ในป่าอันรกล้างด้านหน้าของปราสาทที่เธอไม่คิดว่าน่าจะมีปราสาทอย่างนี้อยู่ในแถบที่เธออาศัยอยู่ 

            ปราสาทที่เก่าแก่น่าจะถูกทำให้เป็นมรดกของโลกไปแล้วแท้ๆ กลับยังไม่มีใครพบว่ามีอยู่ที่นี่ และยิ่งแปลกใจเมื่อเท้าของตัวเองไม่ยอมฟังคำสั่งของสมองเลยซักนิด 

            แอดดดดดด

            ประตูไม้ที่ถูกปลกคลุมด้วยไม้เลื้อยที่หนาแน่นเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ ไม้เลื้อยพวกนั้นค่อยๆ ขยับกิ่งแห้งๆ ของมันออกไปจากบริเวณประตูราวกับมันมีชีวิต คิ้วที่แทบจะพันกันอยู่แล้วยิ่งขมวดมุ่นเข้าไปใหญ่ด้วยความไม่เข้าใจกับสิ่งที่เธอกำลังเห็น เท้าของเธอยังคงก้าวไปข้างหน้านำพาร่างบางให้เข้าไปในตัวปราสาท แม้จะมีแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างก็ไม่ได้ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นสักเท่าไหร่ หน้าต่างแต่ละบานก็ใช่ว่าจะทำให้มีแสงสาดส่องเข้ามาได้เพราะถูกไม้เลื้อยแห้งๆ ปลกคลุมไปหมด

            ตุบ ๆ  

            เสียงหัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอกวาดตามองไปรอบตัวที่มีแต่ความมืด ใต้เท้ารู้สึกถึงฝุ่นละอองที่หนาสะจนให้ความรู้สึกเหมือนเธอกำลังเหยียบนุ่นนุ่มๆ เท้าของเธอยังคงก้าวเดินไปทีละก้าวพร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นแรงและเร็วขึ้นเรื่อยๆ  เต้นแรงซะจนเธอคิดว่าหัวใจของเธอนั้นจะกระโดดออกมานอกอกอยู่รอมร่อ 

            ไม่นานเธอก็มาหยุดอยู่หน้าบันไดยาวสุดลูกหูลูกตาซึ่งปลายทางนั้นหายเข้าไปในความมืดมิดของรัตติกาล ราวบันไดเป็นหินเช่นเดียวกับตัวบันไดมันถูกฝุ่นจับจองไปทุกอณูพื้นที่ บนยอดของราวทั้งสองข้างมีรูปปั้นการ์กอยล์ทำจากหินสีดำตั้งอยู่ หยากไย่สีเทาเกาะตามปีกและตามตัวของรูปปั้น   

            รูปปั้นการ์กอยล์แกะสลักอย่างสวยงาม แต่ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของหญิงสาวนั้นรื่นรมย์แต่อย่างใด มันยิ่งช่วยเพิ่มบรรยากาศวังเวงชวนขนลุกขนพองเข้าไปใหญ่ เท้าข้างหนึ่งของหญิงสาวก้าวขึ้นบันไดทั้งที่เธอไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้น 

            เท้าของเธอยังคงก้าวขึ้นไปต่อ ก้าวขึ้นไปทีละขั้นๆ นำพาร่างของเธอขึ้นไปอีกชั้นของตัวปราสาท

            ดวงตาสีดำที่เป็นประกายในเงามืดมองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น แสงจันทร์อันน้อยนิดทำให้มองเห็นการตกแต่งภายในปราสาทได้บางส่วน ด้วยความที่ว่าเธอเรียนสถาปนิกทำให้เธอไม่อาจละสายตาจากการตกแต่งของปราสาทหรือโครงสร้างของตัวปราสาทได้เลย แม้เธอจะกลัวอยู่บ้างก็ตาม 

            ตุบๆ

            หัวใจที่เต้นแรงเพราะความกลัวและความตื่นเต้นผสมปนเปกันดังเข้ามาในหูของเธอ เท้าของเธอพาเธอเดินผ่านชั้นแต่ละชั้นในปราสาท ดวงตาคมแทบจะไม่กระพริบเพราะอยากจะจดจำลายละเอียดทั้งหมดให้ได้ ประตูสูงใหญ่ของแต่ละห้องทำจากไม้เนื้อดีแกะสลักได้วิจิตรตระการตาแต่มันเริ่มจะผุพังบ้างแล้ว เธอเดินผ่านมาด้วยความเสียดายเพราะอยากเข้าไปดูข้างในห้องของแต่ละห้องซึ่งอยู่หลังประตูผุๆ พวกนั้น แต่เท้าเจ้ากรรมก็ยังพาเธอเดินผ่านมันไป 

            ครืนๆ 

            เสียงฟ้าร้องทำให้หญิงสาวหันไปมองทางหน้าต่างหินที่กระจกแตกไปครึ่งบาน แสงจันทร์ที่ให้ความสว่างเริ่มมาๆ หายๆ เหมือนหลอดไฟที่ใช้การมานาน

            เมื่อครู่ยังไม่มีเค้าของฝนเลยนี่น่า หญิงสาวคิดขณะที่ดวงตายังคงจ้องมองที่หน้าต่างโดยไม่รู้ว่าเท้าของเธอพาเธอเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง

            เปรี้ยงงงงงง/กรี้ดดดดดดดด

    เสียงฟ้าผ่าลงมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องอันแสนเจ็บปวดดังออกมาจากประตูตรงหน้าของหญิงสาว เธอยกมือขึ้นปิดหูของตัวเองอัตโนมัติ ดวงตาคมหันกลับมาสนใจประตูตรงหน้าที่เท้าของเธอหยุดลงที่มัน ในตอนแรกเธอคิดว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของเธอ เพราะเธอก็ส่งเสียงกรีดร้องเหมือนกันแต่กลับพบว่าเธอไม่มีเสียงออกมาเลยสักแอะ 

    มีเสียงผู้หญิงดังออกมาจากข้างหลังประตู 

            คิ้วเรียวขมวดมุ่น แสงจากดวงจันทร์เริ่มหดหายเมื่อเมฆฝนเข้าปลกคลุมแผ่นฟ้ากลืนกินแสงจันทราไปจนหมด

            ตุบๆ  

            เสียงหัวใจของเธอเต้นเร็วแรงไม่เป็นจังหวะ  แสงจากฟ้าแลบ มาๆ หายๆ เหมือนไฟในหนังผีที่ดับๆ ติดๆ นั่นยิ่งทำให้หัวใจของหญิงสาวแทบกระเด็นออกมานอกอก อากาศเย็นเริ่มปลกคลุมไปทั่วปราสาทเมื่อเม็ดฝนเริ่มหย่อนตัวลงมาจากฟากฟ้า ทว่าใบหน้าเนียนสีน้ำผึ้งกลับมีเหงื่อผุดออกมาทั้งที่อากาศเย็นตัวลง 

            ดวงตาคมจ้องมองลายฉลุบนบานประตูไม้ที่เก่าแก่ตรงหน้า แม้จะเก่าแต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีแมลงใดกล้าแทะมันเลย มันต่างจากประตูบานอื่นๆ ที่เธอเห็น 

            ตุบๆ    ????????????

            หัวใจยิ่งเต้นแรงขึ้นเมื่อเธอรู้สึกว่าจู่ๆ ประตูไม้ก็แง้มเปิดออกเอง           แอ๊ดดดดดดดดดด

            กรี้ดดดดด


            (ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะค่ะจะลงตอนต่อไปเรื่อยๆ ตอนแรกๆอาจจะน่าเบื่อไปบ้างแต่ช่วงบทที่สองนางเอกจะได้พบกับพระเอกแล้วน่ะค่ะ ช่วยติดตามอ่านและคอมเมนให้ด้วยน่ะค่ะว่าเป็นยังไง ขอบคุณค่ะ)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×