ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจข้า[จบ]

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่7 เดือดดาล

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 25.88K
      985
      21 พ.ย. 66

    ร่างสูงใหญ่กร้าวแกร่งแฝงไปด้วยความเย็นชาตามธรรมชาติกำลังยืนรับลมกระแสเย็นบนเชิงเขาอยู่เงียบๆ

    สายตาคมปลาบมองออกไปยังทิวทัศน์อันงดงามที่ลากยาวไปไกลโพ้นเบื้องหน้า

    เหอหย่งหมิงยังจำได้ดี ที่นี่คือสถานที่ที่เขาเจอกับเพ่ยจีจนกระทั่งถูกโจรป่าเข้ามาทำร้าย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นทหารฝีมือดี หากแต่ยามที่มีศัตรูไม่รู้หน้าเกินคาดการณ์กรูเข้ามากันมากมายอย่างมิทันได้ตั้งตัว กอปรกับมีสตรีอ่อนแอไร้ซึ่งทางหนีทีไล่ก่อเกิดเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ เขาจึงพลาดท่าอย่างไม่น่าให้อภัย

    แต่กระนั้นก็ยังได้เห็นน้ำใจนางที่เฝ้าดูแลกันไม่ห่างหาย

    ยามที่เขาถูกตีจนสลบไป ได้นางถอดเครื่องประดับและเงินทั้งหมดที่มีให้เจ้าโจรไปเพื่อช่วยชีวิตเขา

    เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มพลันถอนหายใจออกมาอย่างปลดปลง

    เหตุที่เหอหย่งหมิงมาตามนัดของเพ่ยจีในวันนี้ก็เพราะว่าเขาคิดมาแล้วเป็นอย่างดี ในการตัดขาดความสัมพันธ์กับนาง     มิให้ค้างคาอันใดต่อกัน

    ด้วยเห็นว่าตนเองไม่อาจเป็นบุรุษที่รักษาคำมั่นได้ว่าจะมีนางเพียงผู้เดียวดั่งที่นางต้องการ และที่สำคัญเขาก็แต่งภรรยาพระราชทานซึ่งไม่มีวันเลิกราหรือหย่าขาด

    ยิ่งกว่านั้น เขายังร่วมเรียงเคียงหมอนกับภรรยาพระราชทานไปแล้ว ต่อให้เป็นเพราะยาปลุกกำหนัดก็ตาม

    คำกล่าวก่อนหน้านี้ที่บอกว่าจะไม่แตะต้องภรรยาพระราชทานและจะรับเพ่ยจีเป็นภรรยารองนั้น พลันต้องตกไป

    ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน นับตั้งแต่เริ่มเปิดใจคบหากับเพ่ยจีเพียงไม่นานก็ได้สมรสพระราชทานโดยมิคาดฝัน

    เรื่องเหล่านี้ทำเขาหัวหมุนไม่น้อย

    แต่หลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่ที่ค่ายทหารโดยไม่กลับจวนและมิได้ติดต่อเพ่ยจี เขาก็ได้ครุ่นคิดถึงความจริงที่ต้องเป็นไป

    เขากับเพ่ยจีมิอาจเป็นไปได้ และหลังจากนี้เขาก็แค่เป็นสามีอยู่กับภรรยาพระราชทานไปตามยถากรรมก็เท่านั้น

    ชั่วจังหวะที่เหอหย่งหมิงกำลังสรุปใจความสำคัญที่ต้องคุยกับเพ่ยจีในวันนี้ เสียงแว่วหวานของสตรีในห้วงคำนึงพลันดังขึ้นที่ด้านหลัง

    “หย่งหมิง...”

    ชายหนุ่มหันหน้าไปมองตามเสียง แต่แล้วหัวคิ้วคมเข้มพลันขมวดเข้าหากันมุ่น เมื่อได้เห็นใบหน้าอ่อนหวานของนางมีริ้วรอยบวมช้ำเป็นรูปฝ่ามือสีแดง น้ำสีใสไหลกลิ้งจากดวงตาหยดแล้วหยดเล่าจนชุ่มแก้มเนียนไปทั่ว

    “เกิดอะไรขึ้น?” เหอหย่งหมิงเอ่ยถามเพ่ยจีเสียงเข้มทันที

    หญิงสาวส่ายหน้าเบาเป็นเชิงบอกว่านางไม่เป็นไรแล้วเอ่ยปากเล่าเสียงเบาว่า “ในใจข้ารู้ดีว่าเรื่องของเราเป็นไปมิได้ และข้าก็ยอมตัดใจ จึงต้องการเป็นเพียงสหายกับท่านแต่โดยดี และที่ข้านัดพบกับท่านในวันนี้ แท้จริงแล้วข้านัดพบกับภรรยาของท่านด้วย ทว่านางกลับ...”

    เพ่ยจีหยุดวาจาอันสั่นเครือเพียงเท่านั้น ฝ่ามือน้อยเอื้อมขึ้นลูบแก้มตนเองอย่างเจ็บปวด แลดูน่าสงสารจับใจ

    เหอหย่งหมิง จึงตีความได้ไม่ยากเย็น รอยนิ้วที่ฝากบนแก้มนางจักเป็นฝีมือใครไปได้ หากมิใช่สตรีที่นางเอ่ยถึง

    แน่นอนว่าการเป็นสหายกันคือบทสรุปที่ดีของเราสอง หากแต่เหตุใดสตรีอีกนางหนึ่งถึงได้ร้ายกาจเหลือเกิน...

    สตรีที่ถูกตราหน้าว่าร้ายกาจเหลือเกินเพียงเดินมาหยุดอยู่ไม่ไกลจากชายหญิงทั้งสอง และถ้อยคำที่เพ่ยจีกล่าวออกมา  ลี่เหยาถิงล้วนได้ยินจนสิ้น

    นางแผ่กลิ่นอายเย็บเยียบรอบร่างระหง แล้วแค่นเสียงต่ำในลำคออย่างไม่สบอารมณ์เลยสักนิด นางปั้นหน้าเสแสร้งไม่ได้อีกต่างหาก อารมณ์นางพร้อมแผดเผาป่าเขาตรงนี้เลยด้วยซ้ำ

    หญิงสาวจึงยืนเชิดหน้าด้วยท่าทางหยิ่งทะนงดั่งนางพญาหงส์ที่มีอยู่ในกระแสเลือดเต็มเปี่ยม แม้ไร้ยศศักดิ์ใดให้ภาคภูมิใจ แต่กระนั้นยามอยู่ในวังนางก็มักมีท่าทางเช่นนี้ เพื่อข่มขวัญทุกคนที่หาญกล้ามาต่อกร กล้างัดข้อกับนาง

    ท่านยายเองยามอยู่กับนางหรือกับฮ่องเต้ก็ยังเป็นสตรีนุ่มนวล หากแต่ยามอยู่ต่อหน้าธารกำนัล ท่านยายก็จะมีท่าทีเช่นนางยามนี้นั่นล่ะ

    หาได้แปลกอันใดไม่!

    อย่างไรก็ตาม ลี่เหยาถิงย่อมรู้ซึ้งดีว่าไม่ควรด่าทอสตรีเจ้าเล่ห์มากมารยาสารพัดพิษอย่างเพ่ยจีต่อหน้าเหอหย่งหมิงอีก เพราะว่าจะทำให้นางยิ่งดูเลวร้ายในสายตาของเขาไปกันใหญ่ นางจึงยืนนิ่ง กัดปากแน่น มองสองชายหญิงด้วยประกายตาเย็นเยียบเสียดแทงไปถึงกระดูกแทน

    เพ่ยจีเห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าตกใจ ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ มองลี่เหยาถิงด้วยใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ พวงแก้มแดงก่ำดุจผลท้อสุก บ่งบอกได้ว่าเป็นคนดีที่กำลังถูกผู้ร้ายรุกฆาต

    เหอหย่งหมิงจึงเบี่ยงกายสูงใหญ่ของตนบดบังร่างระหงที่กำลังสั่งเทาของเพ่ยจีจากสายตาพิฆาตของลี่เหยาถิง

    สองสามีภรรยาจึงยืนประจันหน้ากันอยู่นิ่งๆ สบสายตาร้อนแรงกันอยู่เงียบๆ

    เพ่ยจีที่หลบอยู่ตรงแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเหอหย่งหมิง จึงแอบเอียงหน้าออกมาแสยะยิ้มส่งให้ลี่เหยาถิงแวบหนึ่ง

    แค่แวบเดียวเท่านั้น หากแต่ทำให้สติของลี่เหยาถิงถึงกับขาดผึง

    ดูเถิด...ดูนางปีศาจนี่!

    หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกมาก นางค่อยๆ หลับตาช้าๆ ทั้งๆ ที่หางคิ้วกำลังสั่นระริกจนแพขนตากระเพื่อมไหว ฝ่ามือกำลังกำเข้าหากันแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ

    นางเอ่ยเสียงเครียดลอดไรฟันกับเหอหย่งหมิง พยายามเหลือเกินที่จะไม่สนใจเพ่ยจี “ท่านไม่ควรเชื่อคำนาง”

    ชายหนุ่มหรี่ตาเงียบฟังไม่คิดต่อคำ

    ลี่เหยาถิงเห็นเหอหย่งหมิงท่าทางนิ่งเฉยเย็นชาใส่เช่นนั้นก็ยิ่งปวดหนึบในหัวใจ สายตาคู่คมที่เรียบเฉยไร้อารมณ์มองไม่เห็นก้นบึ้งเช่นนั้นที่มองมาทางนาง ยิ่งทำให้นางปวดแปลบไปทั่วโพรงอก นางค่อยๆ เอ่ยเสียงหนักข่มกลั้นไฟโทสะเอาไว้ยากเย็น

    “ท่านควรเชื่อข้า สตรีนางนี้มากมารยา เจ้าเล่ห์ร้ายกาจ นางกำลังหลอกลวงท่าน  มีเพียงข้าที่ท่านควรเชื่อ”

    ม่านตาดำขลับของเหอหย่งหมิงยิ่งหรี่เล็กแคบมากกว่าเดิม ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมเย็นชามากยิ่งขึ้น

    ไม่ว่าเขาจักเชื่อใคร แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจ คือเขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระพวกนี้ เพราะยังมีปัญหาผู้รุกรานต่างแคว้น ปัญหาของทหารในอาณัติ และยังปัญหาอีกมากมายที่รอให้ตัวเขาไปสะสาง

    ไหนเลยจักจำเป็นต้องสนใจกับเรื่องหยุมหยิมน่ารำคาญ

    เสียงเย็นชาจึงดังขึ้นจากฝ่ายชายหนุ่ม

    “ข้ากับนางไม่มีสิ่งใดต่อกันแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้ายังไม่พอใจให้เรื่องจบเพียงเท่านี้ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอันใดจะพูดให้มากความ ยังมีเรื่องอื่นอีกมากให้ข้าไปจัดการ หาใช่เรื่องไร้สาระเช่นเรื่องของเจ้าไม่”

    กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเสียงดังแล้วพาร่างสูงใหญ่เดินหันหลังจากไปทันที ไม่คิดเสวนากับสตรีนางใดทั้งสิ้น

    เพ่ยจีเห็นเช่นนั้นก็ให้รู้สึกตกใจและผิดหวัง ที่เหตุการณ์ตรงหน้ามิได้รุนแรงดังใจปรารถนา นางจึงพุ่งร่างเข้าใส่ลี่เหยาถิงแล้วแสร้งล้มลงกลิ้งอยู่ตรงพื้นดิน ร้องโอดครวญเสียงดัง

    ลี่เหยาถิงเห็นมารยาเช่นนี้ก็ยกเท้าถีบหน้าท้องนังปีศาจไปหนึ่งที อย่างหมั่นไส้เหลือเกิน

    เพ่ยจีถึงกับจุกจนร้องไม่ออกในบัดดล

    ลี่เหยาถิงถอนเท้าออกมาแล้วเลิกสนใจนังบ้าที่พื้นดิน นางยืนนิ่งมองเหอหย่งหมิง

    คิดไม่ตกว่าควรวิ่งตามเขาไปดีหรือไม่

    ทว่าจังหวะที่ลี่เหยาถิงกำลังยกเท้าก้าวขาเมื่อตัดสินใจได้ว่าควรตามเหอหย่งหมิงไป

    เพ่ยจีที่หายจุกแล้วกลับกลิ้งตัวเข้าหาลี่เหยาถิงแล้วจับเท้าอีกฝ่ายเอาไว้แน่น

    ทำให้ลี่เหยาถิงอยู่ในท่าเตรียมกระทืบเพ่ยจี

    “ไม่นะ อย่าทำข้า” เพ่ยจีร้องตะโกนลั่นเส้นเสียงแตกพร่า

    ทำให้เหอหย่งหมิงหันมาฉับพลัน เห็นจังหวะที่เท้าน้อยๆ ของลี่เหยาถิงกำลังอยู่เหนือร่างบอบบางของเพ่ยจีพอดิบพอดี

    เขาจึงรีบหันกายกลับมา แล้วผลักลี่เหยาถิงออกไป

    ถึงแม้การผลักนี้ไม่แรงมาก แต่ลี่เหยาถิงที่ยืนเพียงขาข้างเดียวและจังหวะนั้นเพ่ยจีก็ออกแรงเหวี่ยงขาอีกข้างของนางที่อยู่ในมือ ลี่เหยาถิงจึงเสียหลักจนร่างระหงในอาภรณ์สีเหลืองสดปักดิ้นเงินซวนเซล้มลงกระแทกพื้นดินอย่างแรง

    เหอหย่งหมิงไม่สนใจลี่เหยาถิงที่มารยาเสแสร้งแกล้งล้ม ด้วยมั่นใจว่าตนมิได้ผลักแรง เขาหันมาช่วยประคองร่างบอบช้ำที่กำลังงอตัวสั่นเทาและร่ำไห้อย่างน่าสงสารของเพ่ยจีให้ลุกขึ้น แล้วจ้องมองลี่เหยาถิงด้วยสายตาชิงชัง รังเกียจกันชัดเจน

    ลี่เหยาถิงที่ล้มลงกระแทกพื้นดินได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางข่มความเจ็บได้ แต่ไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนเองได้เลย

     ทั้งยังไม่เคยเท่าทันเล่ห์มารยาของนังปีศาจเพ่ยจีอีกด้วย ให้ตายเถิด!

    ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเครียดมาทางหญิงสาวผู้เป็นภรรยา

    “เจ้าจงกลับจวนไป แล้วอยู่ในที่ทางของเจ้าเสีย อย่ามายุ่งกับข้าอีก”

    ลี่เหยาถิงจึงข่มความเจ็บเอาไว้มิดชิด ฝ่ามือน้อยๆ กอบกุมซีกกำไลหยกสีแดงที่ท่านยายมอบให้ในวันสมรสเอาไว้แน่น เนื่องจากมันปริแตกยามนางล้มเมื่อครู่

    หากแต่นางมิให้ใครได้เห็น แล้วลุกขึ้นถามสามีเสียงขุ่น “แล้วท่านเล่า จะกลับจวนกับข้าหรือไม่?

    ชายหนุ่มเอ่ยเสียงกดต่ำตอบกลับยามโอบกระชับร่างระหงของเพ่ยจี “ข้าจะไปที่ใดก็เรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

    ลี่เหยาถิงเห็นเหอหย่งหมิงประคองเพ่ยจีเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมเช่นนั้น ก็สุดจะทานทน

    “ท่านจะไปกับนางใช่ไหม?” นางชี้นิ้วกราดมาทางเพ่ยจี

    “แน่นอนข้าจะไปกับนาง เราไม่ควรเจอกันอีก เราควรต่างคนต่างอยู่ ไม่ข้องเกี่ยวกัน แต่หากเจ้าปรับปรุงตัวเป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้ บางทีข้าอาจจะเมตตา แล้วเราค่อยมาคุยกัน”

    “...”

    จบประโยคตัดรอนเย็นชาที่มีความหมายว่า ภรรยาผู้นี้มิใช่คน หากแต่เป็นตัวอะไรสักอย่างที่ต้องรอขอเศษอาหารจากผู้มีเมตตา ทำเอาลี่เหยาถิงถึงกับหน้าม้านอับอายขึ้นมาและยิ่งโกรธกรุ่นอย่างไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป เมื่อเห็นสามีโอบกอดประคับประคองหญิงอื่นอย่างอ่อนโยนรักใคร่ต่อหน้าต่อตา

    ในขณะที่เพ่ยจีลอบยิ้มสะใจแวบหนึ่ง

    ลี่เหยาถิงเห็นเช่นนั้นพลันเดือดดาล

    และด้วยเป็นคนอารมณ์ร้อน นิสัยไม่เคยยอมความใคร นางจึงตอบกลับเสียงหนักดุดันอย่างโกรธากับเหอหย่งหมิง

    “เจ้าคนงี่เง่า เจ้าคนบ้า ท่านมันคนโง่งม ดวงตามืดบอด ข้ารักท่านถึงเพียงนี้ แต่ท่านกลับโง่เง่าสิ้นดี ปล่อยให้นังจิ้งจอกดูดวิญญาณไปเถอะ คนบ้า!

    สายตานางสาดประกายความร้อนแรงดุจเปลวเพลิงแต่ในใจกลับเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง

    ลี่เหยาถิงจ้องเขม็งที่เหอหย่งหมิง

    ในสายตานางมิใช่แค้นเคือง หากแต่เป็นเย่อหยิ่งดูแคลนระคนเกลียดชัง ทั้งยังฉายแววเดียดฉันท์ รังเกียจกันชัดเจน

    นางกล่าวเสียงดังกราดเกรี้ยวอีกว่า “พอกันที กับความรักนี้ ที่ข้ามีต่อท่าน เชิญท่านไปรักกับนังปีศาจให้หนำใจเถิด”

    นางโกรธมาก จนมือที่กำซีกกำไลหยกสั่นเทา เศษหยกบาดอุ้งมือมีเลือดไหลซึม

    กล่าวจบก็หมุนตัววิ่งหนีไป ไม่เหลียวหลังกลับมามองชายหญิงทั้งสองอีกเลย

    เหอหย่งหมิงถึงกับชะงักเมื่อเห็นสายตารังเกียจกันและคำพูดรุนแรงเช่นนั้นของลี่เหยาถิง

    เขาได้แต่ยืนนิ่งตะลึงงัน มองตามแผ่นหลังนางที่วิ่งหนีไป


    *******

    นิยายเรื่องนี้ ฉบับอีบุ๊ค คลิก>>>



    ดวงใจข้า
    หลี่หง
    www.mebmarket.com
    ครั้งหนึ่งเขาตามืดบอด จึงไม่เห็นนางที่รักเขาอยู่ในสายตา แต่เมื่อวันนี้เขารักนางแล้วจนหมดใจ ใครหน้าไหน เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×