คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : ตอนที่30 คิดต่าง
การเดินทางจากวัดฉือหนิงกลับเข้าเมืองหลวงยังคงใช้เวลาหลายวัน เฉกเช่นเมื่อตอนเดินทางจากมาในคราแรก
แต่ที่แตกต่างไปคือบุคคลในรถม้ากลับมีฐานันดรผิดสามัญ และการแวะพักที่ริมทางยังเลือกพักเฉพาะบริเวณที่มีทิวทัศน์งดงามหาได้เป็นโรงเตี๊ยมไม่
เวลายามบ่ายของวัน มีแสงแดดร้อนแรงส่องสะท้อนกับม่านน้ำสีใสในสายธารเย็นฉ่ำ ที่ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ สารถีรูปงามนามว่า เฟยหลงเซียนเห็นอย่างนั้นจึงหยุดรถม้าโดยไม่ถามไถ่ใครทั้งสิ้น
เมื่อรถม้านิ่งสนิทดีแล้ว เขาจึงลงจากรถม้าแล้วเดินมารอรับคนงามให้ลงมาชมทิวทัศน์ด้วยกัน
หนิงเหมยได้แต่ขมวดคิ้วน้อยๆ นึกสงสัยอยู่ในใจ ชายผู้นี้จะแวะเที่ยวชมต้นไม้ทุกต้นและลำธารทุกที่เลยหรือไร
หญิงสาวยอมลุกออกมาจากรถม้าแต่โดยดี เพราะตนเองก็ไม่ต้องการถึงบ้านเร็วจนเกินไปนัก
อีกทั้งเรื่องแต่งงานนั้น นางได้ขอร้องให้รัชทายาทส่งข่าวไปว่าขอจำศีลที่วัดถึงสามเดือน แต่กลับออกจากวัดมาภายในสามวัน เรื่องนี้ถือว่าให้ความเท็จต่อองค์เหนือหัว จะมีความผิดโทษฐานใดบ้าง นางก็สุดจะหยั่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น นางควรจะต้องตามใจชายผู้นี้ไปก่อน
ริมสายน้ำสีใสเห็นปลาลวดลายหลากหลายแหวกว่ายไปมา ธรรมชาติช่างงดงาม บรรยากาศช่างร่มรื่น นำพากลิ่นอายบางอย่างให้รู้สึกอุ่นซ่านอยู่ในอก เหมาะยิ่งนักสำหรับคู่รักพากันเดินชม
เฟยหลงเซียนก้าวเท้าอย่างมั่นคงเคลื่อนกายสูงสง่านำหน้าหนิงเหมยเพื่อเดินเล่นไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็นอยู่ริมลำธาร
บรรยากาศโดยรอบเรือนกายให้ความรู้สึกดี มีใบไม้ปลิดปลิวยามลมโบกโชย กลีบดอกไม้โปรยปรายล่องลอยตามสายลม เกิดเป็นภาพน่าชมเมื่อมีชายหนุ่มรูปงามเดินนำทางหญิงสาวโฉมสะคราญ
“อาเซียน...” หนิงเหมยเรียกขานนามบุรุษตรงหน้าตามคำสั่งของเขาที่ให้เรียกแบบนี้นอกวัง และยังต้องคุยกันแบบธรรมดาสามัญ
นางเอ่ยสิ่งที่นางกลัวเกรงยิ่ง “ฝ่าบาทจะไม่ทรงกริ้วใช่หรือไม่? เรื่องข่าวที่ท่านแจ้งไปก่อนหน้ากับความเป็นจริงในยามนี้ เรื่องการถือศีลที่วัดฉือหนิง”
เฟยหลงเซียนหยุดเดินแล้วหันมาก้มหน้ามองนางก่อนถามหยั่งเชิง “พระองค์อาจจะทรงกริ้ว หากเจ้าไม่รีบออกจากวัดเสียที”
“แต่ว่าข้ายังไม่พร้อม” หนิงเหมยยังคงมีจุดยืนในการประวิงเวลา ถึงแม้ว่าจะยอมจำนนแล้วก็ตามที “ถึงแม้ว่าข้ายอมแต่งงานกับท่านแล้ว แต่ว่าท่านควรให้เวลาข้าได้เตรียมใจ ได้หรือไม่?”
รัชทายาทหนุ่มถึงกับถอนหายใจ แต่ก็ยอมตามใจนางแต่โดยดี “ข้าจะไม่บอกเสด็จพ่อ ว่าเจ้าเดินทางออกจากวัดแล้ว ดีหรือไม่?”
“ทำเช่นนั้นนับว่าปิดบังเบื้องสูง ไม่ดีแน่!”
“หากเสด็จพ่อทรงทราบว่าเรามิได้ถือศีลที่วัดแล้ว ราชโองการย่อมตามมาที่บ้านของเจ้าในทันที” ชายหนุ่มตอบคำพลางหันหลังกลับไปก้าวเท้าเดินนำหน้าหญิงสาวเช่นเดิม
“อืม...” หนิงเหมยจึงเดินตามแผ่นหลังกว้างใหญ่พลางก้มหน้าน้อยๆ อย่างใช้ความคิดจนหัวคิ้วขมวดพันกัน นางหาได้สนใจนำพาธรรมชาติอันงดงามแห่งนี้ไม่ บรรยากาศแสนดีก็เช่นกัน นางไม่นำพาเลยสักนิด
จนชายหนุ่มตรงหน้านางต้องหยุดเดินอีกครั้ง แล้วก้มมองนางด้วยสายตาหงุดหงิด นึกโกรธกรุ่นขึ้นมา
หนิงเหมยมิได้มองทางจึงชนเข้าไปในแผงอกของเขาเต็มแรง
“อ๊ะ!” ใบหน้างามถึงกับฝังไปในแผงอก
เฟยหลงเซียนได้ทีจึงโอบนางเอาไว้ทั้งสองวงแขน รัดร่างนุ่มนิ่มของนางเอาไว้แน่น แอบกินเต้าหู้นางเสียเลย
กลิ่นอายเข้มข้นของบุรุษเพศและอ้อมแขนแกร่งที่โอบล้อมเรือนร่าง หญิงสาวรู้สึกได้ว่ามันไม่ถูกต้อง! มันไม่สมควร! นางจึงหยิกเอวของเขาเต็มแรง
“โอ๊ย!” เฟยหลงเซียนรีบปล่อยคนในอ้อมแขนแทบไม่ทัน
“เจ้าหยิกข้าทำไม?”
“ท่านลวนลามข้า” หนิงเหมยหน้าแดงก่ำ ส่งค้อนวงใหญ่
“แต่เรากำลังจะแต่งงานกันนะ”
“แต่ข้าไม่ชอบท่านนี่”
อีกครั้งที่ชายหนุ่มเริ่มนึกขัดเคืองหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมาอีกครา “เจ้าจะรังเกียจอะไรข้านักหนา”
หญิงสาวส่ายหน้าแล้วเอ่ย “ข้ามิได้รังเกียจท่าน ข้าแค่ไม่ชอบท่าน”
“แล้วทำไมถึงไม่ชอบข้าเล่า”
“ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ท่านนี่!”
“แต่ข้าชอบเจ้านะ”
“แต่ข้าไม่ชอบท่าน”
“แต่เรากำลังจะแต่งงานกัน”
“ข้าไม่อยากแต่ง”
“เราตกลงกันแล้ว คนของเจ้าชนะการประลอง”
“ข้าก็ยอมรับแล้วอย่างไรเล่า”
“แต่เจ้ารังเกียจข้า” ชายหนุ่มวกกลับมาที่เดิม
“ข้ามิได้รับเกียจท่าน ข้าแค่ไม่ชอบท่าน” หญิงสาวพาวกเช่นกัน
และแล้วทั้งสองก็เถียงกันไปมาด้วยประโยคเดิมๆ ซึ่งก็มักจะเป็นเช่นนี้มาตลอดทาง บรรยากาศอันดีงามมิได้ช่วยอันใดเลยสักนิด
หยวนคังและหนี่ม่านที่คอยเดินตามอยู่ห่างๆ เพื่อรอรับใช้เจ้านายของตนจึงได้แต่มองอย่างห่วงๆ ไปตลอดทางเช่นเดียวกัน
สองบ่าวจึงหันหน้ามองกันพลันบังเกิดความคิดที่จะต้องหาวิธีเพื่อช่วยเหลือเจ้านายทั้งสอง
“รัชทายาทชอบคุณหนูของเจ้า” หยวนคังกระซิบกับหนี่ม่าน
“คุณหนูของข้าก็ต้องการไม้ใหญ่” หนี่ม่านตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“ยากนักที่พระองค์จะชอบใคร” หยวนคังยังคงเอ่ย
“ยากนักที่คุณหนูจะยินยอม” หนี่ม่านยังคงเสียงใส
“แต่คุณหนูของเจ้าไม่ชอบนายของข้า”
“คุณหนูเพียงต้องการเวลา”
“เราควรช่วยกัน”
“หากให้ข้าช่วยอีกครั้งท่านต้องมีของมาแลก”
“...!?”
หนี่ม่านแหงนหน้ายักคิ้วยกยิ้ม
หยวนคังก้มหน้าจ้องมองนางจนปลายจมูกเกือบชนกัน
ฮึ! เจ้าเล่ห์นัก!
รถม้าคันเดิมที่ห่างออกมาจากทิวทัศน์ริมลำธารอันสวยงาม
ซูเจินยังคงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ภายในรถม้า เพื่อพักผ่อนอย่างเต็มที่กักเก็บพลังของตนเอาไว้เป็นอย่างดี นางย่อมไม่ออกแรงหากไม่จำเป็น
หยางเหอจินเข้ามานั่งในรถม้ากับน้องน้อยของเขา จึงได้เห็นนางเอนกายพิงผนังรถม้าหลับตาคล้ายผ่อนคลายอย่างสบายอกสบายใจอย่างนั้น เขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างคนปลงตก
การจะห้ามปรามมิให้นางเข้าวังหลวงคงมีแต่จะแตกหัก ซึ่งเขาไม่อาจทำ เขามีแต่จะอยู่ข้างเดียวกับนางก็เท่านั้น เพราะว่านางไม่มีใคร นางตัวคนเดียวเยี่ยงนี้จะต่อกรกับใครได้
ในขณะที่หยางเหอจินกำลังนั่งนิ่งมองนางที่กำลังหลับใหล เสียงหวานใสของนางพลันเอ่ยออกมา “ท่านมีสิ่งใดจะบอกกับข้าหรือไม่?”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยมองนางที่กำลังลืมตา
ซูเจินกะพริบตากลมโตมองพี่ชายตรงหน้านิ่งๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ ไร้วี่แววคลื่นอารมณ์อันใด
“เจ้าอยากฟังสิ่งใด?” หยางเหอจินถามออกไปพลางเอนหลังพิงผนังรถม้าอีกฟากหนึ่งด้วยท่วงท่าสบายๆ หาได้เคร่งเครียดอันใด หากแต่ภายในใจกลับลุ้นระทึก
เขามั่นใจว่านางเริ่มระแวงแล้วว่าเขาเป็นใคร มีฐานะอะไรในราชวงศ์เฟยหลง เมื่อฐานะของเฟยหลงเซียนเปิดเผย และเขากับรัชทายาทก็สนิทสนมกันยิ่งนัก
หากนางถาม เขาย่อมตอบ หากนางโกรธ เขาก็แค่ปล่อยให้นางโกรธ แต่เขาไม่ปล่อยนางไปแน่
ความเงียบงันพลันบังเกิดระหว่างสองชายหญิงในรถม้า
ดวงตาคู่คมซ่อนแววลึกล้ำยามมองสบกับดวงตาคู่โตของนางตรงหน้า
ซูเจินเลื่อนสายตามองต่ำมาที่หยกลวดลายพยัคฆ์เคียงหงส์ที่เอวของหยางเหอจิน พลางนึกถึงประโยคสนทนาที่ได้ยินยามเมื่อเขาคุยกับเฟยหลงเซียน
รัชทายาทเรียกเขาว่าท่านอา...
รัชทายาทคือลูกชายของฮ่องเต้เฟยหลงจวิ้น ท่านอาที่ถูกเรียกขานย่อมต้องเป็นน้องชายของฮ่องเต้ผู้นั้น
พวกเขาคือคนของราชวงศ์เฟยหลง ราชวงศ์ที่ท่านพ่อเคยคลุกคลีมาก่อนทั้งสิ้น
หยกที่เอวของเขาเป็นไปได้ว่าคือหยกของท่านพ่อ น้ำหนักของพี่ชายผู้นี้ในใจของท่านพ่อคงสำคัญไม่น้อย
หญิงสาวสามารถสรุปทุกสิ่งอย่างด้วยตัวเองอยู่ภายในใจ หากแต่สายตากลมโตที่ทอดมองไปยังชายหนุ่มกลับเรียบเฉย
แน่นอนว่านางกำลังคิดการใหญ่ การจะหาใครสักคนที่จริงใจนับได้ว่าสำคัญยิ่ง
ยามนี้...เป้าหมายของนางยิ่งชัดเจนมากกว่าเดิมนัก
ซูเจินมั่นใจในอะไรบางอย่างมากขึ้นจึงถามเสียงเข้ม
“ท่านมีเมียแล้วหรือไม่?”
หยางเหอจินที่ตั้งใจฟังคำถามเหลือเกินถึงกับสำลักลมหายใจ
เดี๋ยว! มันไม่ควรเป็นคำถามนี้!
|
ความคิดเห็น