คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่5 เกี้ยวพาราสี
รถม้าคันเดิมที่มีหนี่ม่านใช้แส้สะกิดม้าหาได้เฆี่ยนตีมันไม่
ฝ่ามือน้อยๆ ของหนี่ม่านกำบังเหียนม้าเอาไว้แน่นคล้ายกับว่าหากปล่อยมือไปม้าพวกนี้จะหยุดวิ่งกระนั้นหาได้บังคับม้าให้วิ่งไปแบบปกติไม่
ภายในรถม้าที่ยังคงวิ่งไปแบบไร้จุดหมายเสียงแว่วหวานยังคงเอ่ยคำเรียบเรื่อยใส่กัน “ข้ามีนามว่าหนิงเหมย สาวใช้ของข้ามีนามว่าหนี่ม่าน แล้วเจ้าเล่า”
“เรียกว่าข้าอาเจินก็ได้”
“อืม...อาเจิน”
ซูเจินกึ่งนั่งกึ่งนอนในท่วงท่าสบายๆ มือหนึ่งถือขนมส่งใส่ปากเคี้ยวแก้มพอง อีกมือหนึ่งถือหนังสืออ่านอย่างเพลินเพลิน
ในขณะที่หนิงเหมยกำลังนั่งนิ่งๆ ฝ่ามือน้อยๆ วางซ้อนกันบนหน้าตักอย่างสำรวมเฉกเช่นคุณหนูผู้ดีดังปกติตามวิสัย สายตาคู่สวยยังคงจับจ้องที่ใบหน้าเรียวเล็กน่ารักของซูเจิน นางกำลังสังเกตว่าสตรีตรงหน้ามีรูปลักษณ์ที่ดีมากนัก ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก ดวงตากลมโต แก้มนวลน่าหยิก แต่ทำไมถึงได้…
“จะจ้องข้าอีกนานหรือไม่?” ซูเจินเอ่ยถามออกมาในที่สุดเมื่อถูกสตรีตรงหน้าจ้องมองไม่วางตา
หนิงเหมยถึงกับสะดุ้งเฮือก
“สงสัยอันใดก็ถามมา หากข้าตอบได้ข้าจะตอบ” ซูเจินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตากลมโตจ้องมองคู่สนทนาตรงๆ
ไม่รู้ว่าทำไมหนิงเหมยถึงรู้สึกถูกชะตากับสตรีน่ารักแต่โหดเหี้ยมนางนี้หนักหนา นางจึงคลี่ยิ้มอ่อนโยนจริงใจส่งให้ ก่อนเริ่มชวนคุยคล้ายหยั่งเชิงลองภูมิ “ข้าช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ ข้านับว่าเป็นเจ้าชีวิตของเจ้า”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
“เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะไม่วิธีตอบแทนข้าอย่างไร”
“เจ้าช่วยชีวิตของข้าเอาไว้ เจ้าต้องการให้ข้าตอบแทนสิ่งใดจงบอกมา หากข้าทำได้ข้าย่อมทำ” ซูเจินกล่าวจบเพียงไหวไหล่น้อยๆ กินขนมต่ออย่างอร่อยก็เท่านั้น
“เหตุที่เจ้าพูดอย่างนี้เพราะว่าข้าเป็นสตรีเช่นเดียวกับเจ้าใช่หรือไม่”
“...”
ซูเจินละสายตากลมโตจากหนังสือในมืออีกคราเพื่อมองไปยังหนิงเหมยนิ่งๆ “อันใดของเจ้ากัน?”
“แล้วหากว่าข้าเป็นบุรุษเล่า ข้าช่วยชีวิตของเจ้าแล้ว เจ้าจะยอมเป็นเมียของข้าหรือไม่”
“...”
ขนมถึงกับตกจากมือของซูเจิน
“แล้วหากว่าเจ้าเป็นบุรุษ ส่วนข้าเป็นสตรีที่ช่วยเหลือเจ้า และข้านั้นก็ต้องการให้เจ้าตอบแทนข้าโดยการรับข้าเป็นเมีย เจ้าจะยอมหรือไม่”
ครานี้ซูเจินถึงกับสำลักขนมในปาก
หลังจากจิบชาล้างคอจนหยุดไอจากอาการสำลัก ซูเจินจึงเริ่มต่อความ “ไม่ว่าใครจักเป็นฝ่ายช่วยเหลือใคร การตอบแทนกันย่อมมิใช่การเป็นเมีย บ้ารึ? ข้ามิได้ใจง่ายปานนั้น ช่วยกันเสร็จแล้วก็แยกทางกัน โอกาสตอบแทนกันย่อมมีในสักวันอยู่แล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้าชอบข้า เจ้าบ้าไปแล้ว ถึงแม้เจ้าจะงามมากนัก ใบหน้าจะอ่อนหวาน รอยยิ้มจะล่อลวงใจหนักหนา แต่ว่าข้าชอบบุรุษนะ อ้อมแขนของบุรุษอบอุ่นกว่าอ้อมแขนของสตรีแน่ๆ ข้าจำได้ อ้อมแขนของท่านพ่ออบอุ่นที่สุด เจ้าต้องบ้าแน่ๆ ดูแขนของเจ้าเถิด เรียวเล็กเยี่ยงนั้น จะโอบกอดข้าได้อย่างไรกัน” ซูเจินบ่นยาวเหยียดไม่ไว้หน้าเลยสักนิด
หนิงเหมยถึงกับมองซูเจินตาปริบๆ นางรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เลยทีเดียวเมื่อถูกบ่นขนาดนั้น
ซูเจินรู้สึกขนลุกยิ่งนักและกำลังคิดว่ามันไม่ถูกต้องอย่างยิ่งยวด “เจ้าเอาเรื่องของใครมาถามข้ากัน”
หญิงสาวอมยิ้มน้อยๆ “ก็แค่เรื่องราวบุรุษคนหนึ่งกับสตรีนางหนึ่ง” นางตอบตามตรง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางมิได้ถือว่าเป็นความลับอันใด มันคล้ายกับเรื่องเล่าประโลมโลกก็เท่านั้น “บุรุษผู้หนึ่งมีภรรยาอยู่แล้ว วันหนึ่งเขาได้รับบาดเจ็บแล้วมีสตรีนางหนึ่งได้ช่วยเหลือเขาเอาไว้ บุรุษผู้นั้นจึงตอบแทนนางด้วยการรับนางเป็นภรรยาอีกคนหนึ่ง จนภรรยาคนแรกของเขาต้องตรอมใจตาย”
“อ่อ...” ซูเจินก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “แล้วอย่างไร?”
หนิงเหมยอมยิ้มน้อยๆ สีหน้าปลดปลง ส่ายหัวไปมา “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ต้องการรู้ในเรื่องที่ข้าสงสัยว่าข้าเข้าใจไปเองคนเดียวหรือไม่ กับการที่สตรีกับบุรุษมีบุญคุณต่อกันจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องรับเป็นเมียเพื่อหยามสตรีอีกคน
ซูเจินเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวแบบคิดเอาเอง “สตรีนางนั้นเคยช่วยเหลือพ่อของเจ้าก็เลยมีบุญคุณต่อกัน ต่อมาสตรีนางนั้นก็ทำให้พ่อเจ้าหลงรักหัวปักหัวปำจนนอกใจแม่ของเจ้า ใช่หรือไม่?”
“...”
หนิงเหมยถึงกับอึ้งงันตาโต ด้วยไม่คิดว่าคู่สนทนาจะฉลาดเป็นกรดถึงเพียงนี้
ซูเจินยังคงครุ่นคิดประหนึ่งว่าเป็นเรื่องของตน “แม่ของเจ้าตรอมใจตายเพราะพ่อของเจ้านอกใจไปรักกับสตรีนางนั้น ใช่หรือไม่?”
หนิงเหมยยิ่งกะพริบตาพูดอันใดไม่ออกทั้งสิ้น
ซูเจินยังคงเอ่ย “สตรีนางนั้นต่ำช้ามาก นางกล้าใช้มารยากับพ่อของเจ้า แต่ว่า...ก็แค่มารยาชั้นต่ำของสตรีนางหนึ่ง เหตุใดพ่อของเจ้าต้องแต่งเข้าบ้านด้วยเล่า แค่บอกว่า...”
หญิงสาวกระแอมหนึ่งทีทำเสียงทุ้มต่ำคล้ายเสียงบุรุษ “ข้ามิอาจรับเจ้าเป็นเมียได้ แต่หากมีโอกาสข้าย่อมต้องตอบแทน” นางปรับเสียงให้เป็นปกติแล้วกล่าวต่อ “แค่นี้ยากอันใด หากนางอยากให้พ่อเจ้าตอบแทนโดยการรับนางนอนใต้ร่าง พ่อเจ้าก็แค่เพียงสนองนางให้แล้วก็จบๆ กันไป แค่นี้ใช้ได้แล้ว อยากให้ทำกี่ทีก็ไม่น่ามีปัญหา เหตุใดต้องพาเข้าบ้านมาหยามแม่ของเจ้าด้วยเล่า เฮ้อ!” หากเป็นท่านพ่อของนางก็คงทำอย่างที่นางว่ามานี่ล่ะ ตอบแทนกันเสร็จก็แยกย้าย พอใจกันทั้งสองฝ่าย
หนิงเหมยได้ฟังความเยี่ยงนั้นถึงกับสำลักอากาศที่ใช้หายใจ นางเป็นเพียงสตรีในห้องหอไหนเลยจะคุ้นเคยกับคำพูดตรงไปตรงมาเยี่ยงนี้กัน แต่ทว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ช่างตรงใจนางยิ่ง
“แต่ว่านะอาเจิน บุรุษที่ดีย่อมต้องรับผิดชอบสตรีที่ตนได้ครอบครอง พ่อของข้าย่อมต้องรับผิดชอบสตรีนางนั้น” หนิงเหมยยังคงสรรหาเหตุผลเข้าข้างบิดาแห่งตน ซึ่งอาจจะช่วยให้นางได้รู้สึกเคารพบิดาขึ้นมาบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี
“อ้อ...” ซูเจินลากเสียงยาว “เป็นเช่นนั้นรึ?” นางทำท่าครุ่นคิดไม่สร่างซา “เช่นนั้นแล้วหากข้าชอบบุรุษในเมืองสักคน ข้าแค่มารยาให้มากเข้าไว้ เขาก็คงรีบแต่งข้าแล้วกระมัง อา...ข้าคงต้องรีบหาสามีสักคนแล้ว จะได้ไม่ต้องระหกระเหินไร้บ้านเยี่ยงนี้” นางกล่าวพร้อมตบมือฉาดใหญ่ นิสัยและกิริยาล้วนได้มาจากซูหยางผู้เป็นบิดาทั้งสิ้น
หนิงเหมยถึงกับหัวเราะพรืด “เจ้าจักมารยาใส่บุรุษแบบใดกัน”
“อืม...” อีกครั้งที่ซูเจินต้องคิดหนัก “ต้องรูปงาม อืม...” หัวคิ้วขมวดเป็นปมดวงตากลมๆ จริงจังแน่วแน่ “ต้องร่ำรวยด้วย อืม...แล้วก็ต้องเป็นคนดี มีความรับผิดชอบ ที่สำคัญต้องไม่ฉลาดมากนัก หลอกง่ายหน่อยกำลังดี หึหึ!”
หนิงเหมยยิ่งหัวเราะชอบใจ
“ข้าคิดถูกรึ? ควรเป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่?” ซูเจินเริ่มตื่นเต้น อันที่จริงนั่นเป็นความคิดที่ดีทีเดียว หลังจากที่นางต้องบ้านแตกอยู่แบบไร้หลักเยี่ยงนี้ หนทางแก้แค้นยังยากนักและยังต้องใช้ปัจจัยเกื้อหนุน การจับบุรุษร่ำรวยสักคนเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว
“สตรีต้องมารยาเท่านั้น ต้องมารยาเข้าไว้ ถึงจะได้บุรุษมาครอบครอง อา...แล้วข้าต้องมารยาอย่างไรบ้าง?” นางเริ่มเห็นแสงสว่างในชีวิต
หนิงเหมยมองซูเจินนิ่งๆ สายตาเริ่มฉายแววร้าวลึก “ที่เจ้าว่ามาล้วนถูกต้องทั้งสิ้น หากแต่ข้ากลับคิดต่าง”
“หืม...”
หนิงเหมยถอนหายใจคำรบหนึ่ง “แน่นอนว่าสตรีย่อมมารยา มีสตรีนางใดบ้างที่ไม่มารยา แค่มองตาส่งยิ้มก็เรียกว่ามารยาได้ หากแต่ถ้าบุรุษหนักแน่นมากพอ ปัญหาทั้งหลายก็คงไม่เกิด” นางเอ่ยกับซูเจินด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยก็เท่านั้น “ความผิดทั้งหมดล้วนเกิดมาจากบุรุษทั้งสิ้น ไม่ว่าบุรุษผู้นั้นจะเป็นคนดีมีความรับผิดชอบปานใด หากบุรุษมีรักแท้ที่มั่นคงมากพอ ไม่ว่าเขาจักเจอสตรีสักกี่นาง เจอมารยาร้ายกาจสักเท่าใด การนอกใจต้องไม่เกิด เจ้าคิดว่าอย่างนั้นหรือไม่?”
ซูเจินกลอกตาไปมา “หากบุรุษฉลาดมากๆ เหมือนท่านพ่อของข้าทุกคนก็แย่น่ะสิ แล้วอย่างนี้ข้าจะหลอกล่อใครได้เล่า?”
หนิงเหมยได้ฟังพลันกะพริบตาปริบๆ ข้ากับเจ้ากำลังคุยเรื่องเดียวกันใช่หรือไม่?
ในขณะที่สองสตรีกำลังเริ่มจะคุยกันคนละทาง เสียงของหนี่ม่านพลันตะโกนเข้ามา “คุณหนูเจ้าคะ ม้าของเรามันไม่ยอมหยุดวิ่งเจ้าค่ะ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
ซูเจินกินขนมต่อมิได้สนใจ
หนิงเหมยเริ่มขมวดคิ้วสงสัย “มันวิ่งไปย่อมสมควร เจ้าจะให้มันหยุดเพื่อเหตุใด”
“หากมันไม่หยุด เราคงตกลงไปเจ้าค่ะ” หนี่ม่านเอียงหน้านึกครู่หนึ่งว่าเบื้องหน้าที่นางเห็นคืออันใด “บ่าวคิดว่าข้างหน้าของเราเป็นเหวเจ้าค่ะ แต่ว่าบ่าวหยุดม้าไม่ได้”
“...!?”
ซูเจินลุกขึ้นทันใดจนหัวชนกับหลังคารถม้าเสียงดังโป๊ก ในขณะที่หนิงเหมยถึงกับตกใจตาโตทำสิ่งใดไม่ถูกทั้งนั้น ส่วนหนี่ม่านทำได้เพียงส่งยิ้มแห้งๆ อย่างโง่งม สตรีทั้งสามเริ่มชุลมุนวุ่นวาย ซูเจินคิดจะออกมาจากตัวรถม้าเพื่อบังคับม้าที่กำลังควบตะบึงไร้ทิศทาง
เสียงเกือกม้าวิ่งกระทบพื้นเสียงดังกุบกับๆ จนฝุ่นตลบอบอวลผสมผสานกับเสียงกรีดร้องของสองสตรีดังระงมวุ่นวาย
แต่ยังไม่ทันที่ซูเจินจะออกจากตัวรถม้าเพื่อตรงเข้าไปจับบังเหียนม้า รถม้าพลันเปลี่ยนทิศทางการขับเคลื่อน เพียงครู่ม้าที่กำลังเตลิดพลันสงบและค่อยๆ ชะลอตัวก่อนจะหยุดวิ่งคงเหลือเพียงการเดินเหยาะๆ ก็เท่านั้น
สตรีทั้งสามมองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเหตุใดม้าที่กำลังไร้การควบคุมถึงสงบลงได้
เมื่อแน่ใจว่ารถม้าหยุดเคลื่อนที่จนนิ่งดีแล้ว หนี่ม่านจึงเปิดผ้าออกมามองก่อนใคร แต่แล้วนางพลันชะงักไปก่อนจะทำตาโต ใบหน้าแดงซ่าน เหม่อมองเป็นนาน
สาเหตุที่ทำให้รถม้าหยุดนิ่งคือบุรุษหนุ่มรูปงามสองคน
คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีม่วงเข้ม ใบหน้าหล่อเหลา ท่างท่าเคร่งขรึม สีหน้าเย็นชา สมชายชาตรี
อีกคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าเนื้อดีเรียบลื่นมันวาวสีเงินยวง รูปโฉมงดงาม ผิวพรรณดั่งหยกสลัก ดวงตาเรียวคม ให้ความรู้สึกวาบหวามยามมองสบตา
หนี่ม่านถึงกับตาลาย อ้าปากเผยอ นางกำลังเจอเข้ากับเทพเซียนมาจุติยังโลกมนุษย์
“เป็นอะไรไปหรือหนี่ม่าน” หนิงเหมยเริ่มเป็นห่วงสาวใช้ของตนจึงเอ่ยถามพลางเดินออกมาจากรถม้า “หนี่ม่าน”
“เอ่อ...คุณหนู” หนี่ม่านยกนิ้วชี้ไปยังเทพเซียนด้านล่างรถม้าโดยที่สายตายังคงเหม่อมองไปที่สองบุรุษทั้งสองอย่างขัดเขิน
หนิงเหมยมองตามการชี้ชวนของสาวใช้
นางเห็นบุรุษสองคนยืนอยู่กับม้าด้านหน้าคันรถ คนหนึ่งยืนมองมาทางรถม้า ใบหน้าเรียบเฉยดวงตาดุดันเป็นประกายหมายจ้องมองเข้าไปในรถม้าที่มืดมิด ท่าทางของเขาดุดันน่าเกรงขาม
อีกคนหนึ่งรูปงามมากนัก เขากำลังลูบคอม้าอย่างอารมณ์ดี
“ท่านทั้งสองคงเป็นคนช่วยพวกเราไว้” หนิงเหมยคลี่ยิ้มส่งให้พร้อมกล่าวออกไปทางชายรูปงามทั้งสอง “ขอบคุณพวกท่านมาก”
หยางเหอจินมิได้ตอบคำอันใด เขายังคงหรี่ตามองเข้าไปในรถม้า ในนั้นมีสตรีนางหนึ่งที่เขาต้องการเห็นหน้า
เฟยหลงเซียนที่กำลังลูบคอม้าเพื่อให้มันสงบและเชื่อฟังสังเกตเห็นหยางเหอจินจ้องมองสตรีในรถม้าไม่วางตาอย่างนั้น เขาจึงเข้าใจได้ว่า ท่านอาของเขาคงเจอกับสตรีถูกใจเข้าแล้ว
ชายหนุ่มจึงเริ่มเอ่ยคำเพื่อเปิดทางให้อย่างหวังดี “แม่นาง...อย่าได้เกรงใจ พวกเราแค่คนผ่านมาเห็นสตรีงดงามกำลังลำบากมีหรือจะไม่ยื่นมือช่วยเหลือ”
ทั้งน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง ทั้งรอยยิ้มประดับใบหน้าที่มีเสน่ห์ตรึงใจหนักหนา หนี่ม่านถึงกับบิดตัวไปมาเขินอายเป็นที่สุด
หนิงเหมยมองบุรุษที่กำลังเอื้อนเอ่ยด้วยสายตาเย็นชาก็เท่านั้น หากแต่ริมฝีปากยังคงคลี่ยิ้มงดงาม น้ำเสียงนุ่มนวลเช่นเดียวกัน
“ข้าต้องขอบคุณท่านอีกครั้ง แต่คงไม่มีอะไรแล้วกระมัง เช่นนั้นพวกเราต้องขอตัว” หญิงสาวหันไปทางสาวใช้ที่ยืนบิดชายผ้าจนแทบขาดวิ่น
“หนี่ม่าน...เราเดินทางต่อเถิด”
หา!
หนี่ม่านอุทานในใจ นางคิดจะมองบุรุษรูปงามให้เป็นอาหารตาอาหารใจชดเชยที่เจอกับบุรุษอัปลักษณ์เมื่อครู่ก่อนหน้าเสียหน่อย
“ข้าคิดว่าม้าของแม่นางคงเดินทางไม่ไหวแล้วกระมัง ยามนี้ก็มืดค่ำมากแล้ว ถึงแม้จะมีแสงจันทราเต็มดวงส่องสว่างลงมา หากแต่ฝืนเกินไปคงไม่ดีเป็นแน่” เฟยหลงเซียนยังคงเอ่ยคำ เขามีแผนชายงามอยู่เต็มไปหมด สตรีร้อยทั้งร้อยย่อมสยบให้เขา
หนิงเหมยเริ่มหรี่ตา ไม่ว่าบุรุษคนใดก็เหมือนกันหมด หาดีไม่ได้สักคน นึกว่านางมองไม่ออกหรือไร แม้ในใจจะก่นด่าหากแต่ใบหน้ายังคงคลี่ยิ้มอ่อนหวาน “ปลายทางของข้าใกล้จะถึงที่หมายแล้ว มิได้มีเหตุผลอันใดต้องหยุดกลางทาง”
“อ้อ...เช่นนั้นรึ!” เฟยหลงเซียนเริ่มไปต่อมิได้ หากแต่สตรีที่เล่นตัวยิ่งยั่วยวนหนักหนา “เช่นนั้นให้พวกข้าไปส่งดีหรือไม่?”
“ไม่ดี!” หนิงเหมยตอบทันควัน
“...” เฟยหลงเซียนถึงกับเลิกคิ้วจ้องมอง
หนิงเหมยยังคงยกยิ้มตรงริมฝีปากสีชมพูสวยหวานแต่นัยน์ตาเริ่มไม่เป็นมิตร
ถึงแม้ว่านางจะค่อนข้างแน่ใจว่าบุรุษรูปงามแต่งกายดีตรงหน้าทั้งสองนี้จะไม่เหมือนพวกกักขฬะเมื่อครู่และมิใช่พวกที่ภรรยารองของบิดาจะมีความสามารถติดสินบนว่าจ้างมา แต่ทว่าขึ้นชื่อว่าบุรุษล้วนเหมือนกันทั้งนั้น ยิ่งได้เห็นสายตากรุ้มกริ่มเยี่ยงนั้นยิ่งไม่ต้องเสียเวลาคาดเดา พวกเขาหมายมาดสิ่งใด ไยนางจะไม่เข้าใจ น่ารังเกียจที่สุด!
เฟยหลงเซียนเริ่มจับกระแสไม่พอใจของสตรีงดงามรอยยิ้มอ่อนหวานของนางบนรถม้าได้และนั่นยิ่งทำให้เขาชอบใจ เขาจึงคิดจะเกี้ยวนางให้ฉ่ำอุรา แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอื้อนเอ่ยวาจา หยางเหอจินพลันพุ่งตัวขึ้นไปในรถม้าแล้วหายเข้าไปในรถม้า
“...!?”
หนิงเหมยกับหนี่ม่านถึงกับยืนแข็งมองตาค้าง
เฟยหลงเซียนก็เช่นกัน ไยท่านอาไม่เสียเวลาเกี้ยวพาราสีเสียหน่อยเล่า? ใจร้อนเสียจริง! นับถือยิ่งแล้ว...
|
ความคิดเห็น