คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่1 สองพี่น้องกลางพนา
ประกาศ! นิยายเรื่องนี้มีฉบับอีบุ๊คแล้ว
|
ภูเขาเหลิ่งซานกว้างใหญ่ไพศาลหนาวเหน็บตลอดปี
ยิ่งเหมันต์มาเยือน หิมะยิ่งตกหนักจนเย็นเยียบถึงกระดูก อากาศจะดีขึ้นมากเมื่อเข้าฤดูคิมหันต์ แต่สายลมราตรีที่พัดโชยจากยอดเขายังคงหนาวเย็นเสียดแทงข้างแก้มจนแห้งตึงอยู่ดี
ทางเดินบ้างลาดชัน บ้างขรุขระ บ้างราบเรียบ บ้างรกทึบ แต่ทุกที่ยามนี้กลับเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนเหมือนกัน
เหมือนจนแยกไม่ออกว่าทางใดมีลักษณะพื้นดินเช่นใด ทุกทิศยามนี้เหมือนกันไปหมด หากจะเดินทางจำต้องใช้ความชำนาญอย่างยิ่งยวด มิเช่นนั้นย่อมหลงทางโดยง่าย
ท่ามกลางป่าในหุบเขาที่มีสัตว์นานาชนิดพากันส่งเสียงตามสัญชาตญาณบ่งบอกเวลาหาอาหาร ตามรายทางในหุบเขาพลันปรากฏรอยเท้าเล็กๆ เหยียบลงบนผืนหิมะสีขาวที่ปกคลุมยอดหญ้า ฝากรอยน่ารักๆ สองคู่เอาไว้ตลอดทาง แยกไม่ออกว่ารอยเท้าใคร รู้เพียงว่าเด็กหญิงสองคนกำลังเดินหาอาหารตามสัญชาตญาณเช่นกัน
แม่นางน้อยทั้งสองปีนี้อายุเก้าปีเท่ากัน รูปร่างเล็กบาง ผิวขาวราวหิมะ มีใบหน้าจิ้มลิ้มละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างมาก
…มากเสียจนแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร
แม้คนจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันและถนนหนทางจะขาวโพลนเหมือนกัน ทว่ามีเพียงพวกนางเท่านั้นที่แยกแยะได้ดี ว่าใครเป็นใคร และทางใดเป็นทางใด
เด็กหญิงทั้งสองเป็นพี่น้องฝาแฝดที่กำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเป็นเพียงทารกวัยแบเบาะ
ยามที่สองเด็กน้อยไม่รู้ชะตาชีวิตของตัวเองอยู่ในห่อผ้าเปื้อนเลือดภายใต้ซากศพท่ามกลางเถ้าถ่านที่เหลือจากการถูกไฟลุกท่วมหมู่บ้านเมื่อครั้งเกิดสงครามชายแดนเผาผลาญผู้คนจนวอดวาย กลับได้รับเมตตาหรือชะตากรรมมิอาจทราบจากสวรรค์ ให้ถูกเก็บมาเลี้ยงโดยชายเร่ร่อนผู้หนึ่งนามว่า หานไต้
เด็กหญิงคนพี่มีนามว่า ซือเร่อ
เด็กหญิงคนน้องมีนามว่า เฟิงลี่
เดิมทีชายผู้เก็บสองพี่น้องมาเลี้ยงดูก็ไม่รู้เช่นกันว่าใครพี่ใครน้อง เพราะว่าเขามิได้เจอยามพวกนางกำลังคลอดจึงยากจะแยกแยะหรือรับรู้ว่าใครเกิดก่อนและใครเกิดหลัง แต่คาดว่าคงเกิดห่างกันไม่นานแน่นอน
เช่นนี้...เขาจึงเอาเด็กสองคนที่ยามนั้นนอนดิ้นขลุกขลักไม่รู้เรื่องราวในห่อผ้าวางเรียงกันแล้วนำท่อนไม้เล็กๆ มาตั้งชันบนพื้นดิน ปล่อยมือจากไม้ท่อนนั้นเห็นปลายไม้ชี้ไปทางเด็กคนใด คนนั้นจึงเป็นพี่สาว
หานไต้ใช้วิธีสุ่มเอาแบบง่ายดาย
มันก็เหมือนการเลือกเดินทางพเนจรไปทั่วดินแดนอย่างไร้จุดหมายของเขาก็สุ่มเอาเฉกเช่นเดียวกันและเมื่อเจอเด็กหญิงถึงสองคนเขายังเลือกสถานที่พำนักด้วยการเสี่ยงทายด้วยท่อนไม้
จอมยุทธ์มักไร้หลักแหล่งยากพบเจอและล่วงรู้ตัวตน ทว่าจอมยุทธ์บางคนเมื่อต้องปักหลักเพื่อเลี้ยงทารกถึงสองคน เขาจำต้องกลายร่างเป็นเพียงตาเฒ่าไร้แขนขาผู้หนึ่งแล้ว
หานไต้เลิกร่อนเร่พเนจร เลือกปักหลักที่หุบเขาเหลิ่งซาน ซึ่งมีปราการปกป้องจากธรรมชาติรอบด้าน
ห่างออกไปไม่ไกลยังมีหมู่บ้านที่ค่อนข้างเจริญมิได้ทุรกันดาร ไม่ใกล้ชายแดน ไม่เคยเกิดสงคราม ถัดจากหมู่บ้านนั้นยังเป็นเมืองเจริญหลายเมืองที่เชื่อมต่อกับเมืองหลวง
เรียกได้ว่าทำเลดีและปลอดภัย ห่างไกลจากเมืองหลวงแต่ก็ไม่ห่างหายจากความเจริญจนเกินไป
ไม้ท่อนนี้ที่เขาเลือกเสี่ยงทายช่างคล้ายสวรรค์มีตายิ่ง
ส่วนนามของพวกนาง หานไต้ก็ตั้งให้จากการสังเกตอุปนิสัยใจคอยามหิวโหย
คนหนึ่งใจร้อนกราดเกรี้ยว ส่วนอีกคนใจร้อนออดอ้อน
เฟิงลี่ใจร้อนกราดเกรี้ยวทรงอำนาจราวพายุแรงลมสมชื่อ ส่วนซือเร่อใจร้อนออดอ้อนเฉลียวฉลาดคล้ายอากาศร้อนชื้นในเดือนแสนแห้งแล้ง สรุปก็คือใจร้อนแล้วก็เอาแต่ร้องไห้เหมือนกัน
ยามหิวไม่ได้กินดั่งใจ เฟิงลี่จะคลานเข้ามาคว่ำชามข้าว แสดงถึงอำนาจที่ต้องการป่าวประกาศว่าตนหิวแล้ว
ซือเร่อจะใช้มือโกยกินกันเองโดยไม่รอให้หานไต้ป้อน ทว่าสายตาออดอ้อนของนางก็ทำให้เขาโกรธไม่ลงเลยสักครา
ทว่าแท้ที่จริงแล้ว เหตุที่เฟิงลี่แสดงอำนาจคว่ำชามข้าวอย่างเกรี้ยวกราดนั้นก็เพื่อให้พี่สาวของตนได้กินนั่นเอง
หานไต้มิได้ล่วงรู้จิตใจลึกซึ้งของเด็กน้อย เขาเห็นเพียงแค่เฟิงลี่ผู้น้องช่างเก่งกาจ ชามข้าวอยู่สูงบนชั้นไม้ยังปีนขึ้นไปจนได้
กระนั้นด้วยความเหมือนกันทุกสิ่งกระทั่งนิสัยจึงทำให้เขายากจะแยกแยะพวกนาง จำต้องสลักชื่อลงบนไม้กฤษณาห้อยคอไว้ ยังไม่ลืมปักชื่อลงบนผ้าให้แต่ละคนยามห่อหุ้มเรือนกาย
เรียกได้ว่าหานไต้ผู้นี้เป็นทั้งบิดาและมารดาเลยทีเดียว
ทว่าเพราะเคยชินการจับกระบี่ ฝึกกล้ามเนื้อเพื่อต่อสู้ ฝีเข็มจึงบิดเบี้ยวย่ำแย่นัก ผ้าของเฟิงลี่จึงปักอักษร ‘เฟิงลี่’[1] หากแต่ผ้าของซือเร่อกลับปักได้แค่อักษร ‘เร่อ’[2] คำเดียว ผลที่ได้คือผ้าทั้งสองกลับอ่านยาก แยกไม่ออก เหมือนใบหน้าเจ้าของเลย
วันนี้อากาศเย็นจัด หิมะตกหนัก หานไต้เป็นหวัดนอนซมอยู่ภายในบ้านหญ้าฟางที่ขุดโพรงเอาไว้แล้วนำดินเหนียวมาพอกให้สูงพอให้คนเข้าไปนอนได้ หลังจากหิมะหยุดตก เขาจึงอนุญาตให้เด็กหญิงสองคนห่อตัวเป็นบ๊ะจ่างออกหาอาหารตามใจชอบ
หานไต้ยามนี้อายุหกสิบปีนับว่าชรามากแล้ว จำต้องฝึกให้เด็กหญิงตัวน้อยหาอาหารเอง เผื่อวันหนึ่งเขาไม่อยู่ให้เห็นหน้า เจ้าเด็กทั้งสองจะได้ไม่อดตาย ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะอดมื้อกินมื้ออยู่แล้วก็ตาม เขาก็ยังมีความหวังว่าพวกนางจะไม่ต้องอดอาหารหลายมื้อติดต่อกันจนหมดโอกาสเติบโต
บนพื้นที่ราบกลางหุบเขา ไม่ไกลจากตีนผา เฟิงลี่เห็นภาพตรงหน้าคล้ายมีคนตัวใหญ่นอนจมกองหิมะอยู่ แม่นางน้อยจึงเบิกตาเพ่งมองให้ชัด ก่อนจะชี้ชวนให้ซือเร่อมองตาม
“พี่ซือซือ ข้าคิดว่ามีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ตรงนั้น”
เฟิงลี่ใจร้อนวู่วาม นางไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไตร่ตรองว่าภาพที่เห็นจักนำภัยหรือไม่ แต่กลับวิ่งไปจนเกือบถึงตัวคนแล้ว
บนพื้นหิมะสีขาว มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนอนขดตัวนิ่ง เห็นชัดเจนว่าสลบไสลสิ้นสติอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันใดนั้น ไม่ไกลจากตัวเขาพลันมีฝูงหมาป่ากระโจนเข้ามายืนตระหง่านล้อมเอาไว้ สัตว์ร้ายคล้ายเห็นอาหารอันโอชา ดวงตาของพวกมันเปล่งประกายวาบวับพร้อมขย้ำเหยื่อตรงหน้าในเสี้ยวเวลา พวกมันเคลื่อนตัวทรงพลังจนพื้นหิมะกระเพื่อมไหว คมเขี้ยวของพวกมันมีน้ำลายไหลยืด หมายมาดกัดให้จมเขี้ยว ฉีกกระชากเนื้อสดๆ จนเลือดสาด ทึ้งกระดูกให้แหลกเหลวแล้วเคี้ยวเล่นอย่างสำราญ สะบั้นหัวให้หลุดจนลอยกระเด็นให้ไกล
ตัวหนึ่งพุ่งใส่ชายผู้นั้นทันที
เฟิงลี่ไม่รอช้า รีบชักคันธนูที่ทำขึ้นเองออกมาน้าวสุดสายแล้วยิงออกไปอย่างฉับไวแม่นยำ
เด็กหญิงเติบโตในป่า หากินกับขุนเขา สัตว์ร้ายเหล่านี้มิใช่ว่าไม่เคยเจอ ปลายธนูยังอาบยาสลบเอาไว้
ตัวแรกถูกยิงกระเด็นไป ตัวที่สองไม่สนใจเสียงร้องโหยหวนของพวกพ้อง มันพุ่งเข้าใส่ชายผู้นั้นอีกคำรบ กลับถูกธนูของเฟิงลี่ยิงกระเด็นไปอีกตัว
หมาป่าทั้งหมดมีสี่ตัว ยังไม่ทันพุ่งใส่ชายปริศนาสำเร็จต่างพากันถูกธนูยิงจนกระเด็นร้องโหยหวนแล้ววิ่งหนีไปไกลลิบ คาดว่าคงพากันไปนอนหลับเพราะฤทธิ์ยาที่ใดสักแห่ง
เฟิงลี่เก็บธนูแล้วรีบวิ่งเข้าหาชายผู้สลบไสลเพื่อช่วยเหลือ เห็นเขาสลบไสลมิได้สติคล้ายตายจาก เสื้อผ้าเนื้อดีมีคราบเลือดติดอยู่ทั่วตัว
โดยเฉพาะบริเวณท่อนขาทั้งสองข้างมีเลือดออกเยอะมากกว่าบริเวณอื่น สีแดงฉานของมันตัดกับสีขาวของหิมะชัดเจน
เฟิงลี่ร้อนใจนัก “เขาบาดเจ็บ พี่ซือซือ...มาเร็ว ช่วยเขา”
แม้อยากรู้เช่นเห็นชัดเช่นกัน แต่ซือเร่อกลับยังลังเล ไม่ยอมเดินเข้าไป เพียรซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังพุ่มไม้มิดชิด
ด้วยเด็กหญิงไม่แน่ใจว่าปลอดภัยหรือไม่ นางจึงหยุดยืนนิ่งๆ เพียงมองอยู่ห่างๆ มิได้อยากเข้าช่วยเหลือหรืออะไร
นางคิดในใจว่าหากคนผู้นั้นเป็นคนชั่วแล้วลุกขึ้นมาทำร้ายคน ตนยังสามารถวิ่งหนีไปก่อน แล้วค่อยวกกลับมาพร้อมอาวุธในมือเพื่อช่วยน้องสาวได้ แม้ยังไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรก็ตาม แต่ตัวเองปลอดภัยไว้ก่อนจะดี
เฟิงลี่เห็นพี่สาวยืนตัวสั่นหลบอยู่เยี่ยงคนขลาดเขลาจึงถอนหายใจเงียบๆ รีบหันมาประเมินคนเจ็บโดยเร็ว
คนเจ็บบนพื้นหิมะยังคงนอนแน่นิ่งพร้อมตายได้ทุกเมื่อ ลมหายใจรวยรินขาดห้วงบางจังหวะ เฟิงลี่มิได้คำนึงถึงอันตรายเฉกเช่นซือเร่อ นางรีบนั่งลงข้างๆ คนเจ็บประเมินอย่างใกล้ชิด เอื้อมปลายนิ้วเล็กๆ เข้าไปที่ซอกคอของเขาเพื่อจับสัญญาณชีพ ก่อนจะพบว่าย่ำแย่เต็มที หากช้ากว่านี้เขาต้องตายแน่ๆ
นางจึงใช้เข็มเงินที่ชอบพกพากับสุรายามเข้าป่าแช่เข็มไว้ในสุราครู่หนึ่งก่อนนำมันมาฝังไว้เฉพาะตำแหน่งบริเวณศีรษะของคนเจ็บตามที่ได้เรียนรู้มาจากหานไต้
แม้มิใช่การรักษาแบบได้ผลชะงัดเฉกเช่นหมอเทวดา ทว่ากลับช่วยยื้อชีวิตของเขาเอาไว้ได้ ทำให้ร่างกายที่กำลังบาดเจ็บสาหัสพ้นภาวะวิกฤตใกล้ตายในเสี้ยวลมหายใจ หากคิดช่วยเหลือยังพอมีเวลา ไม่ตายคามือนางแน่นอน
เด็กหญิงดึงเข็มเงินออกก่อนถือวิสาสะเปิดเสื้อผ้าของเขาเพื่อสำรวจบาดแผลทั่วตัว พบว่ามีบาดแผลถลอกเต็มไปหมด แต่สาหัสมากคือที่ขาทั้งสองข้างของเขา ซึ่งเป็นบาดแผลฉกรรจ์ คาดว่าคงถูกหินคมบาดกระทั่งกระดูกยังหักเสียแล้ว
เด็กหญิงไม่รอช้า รีบฉวยโอกาสยามที่เขายังไม่ได้สติทำความสะอาดบาดแผลอย่างลึกล้ำก่อนจะล้วงเข้าอกเสื้อตนเองหยิบห่อยาสมุนไพรสมานแผลออกมา
จากนั้นยังใช้ใยต้นหม่อน[3]เย็บบาดแผลให้อย่างดี ฝีเข็มว่องไวประสานมือใจเป็นหนึ่ง ชีวิตในป่าล้วนสั่งสมประสบการณ์ เมื่อลงเข็มเสร็จก็ใช้ฟันกัดปลายใยต้นหม่อนจนขาด
บาดแผลอื่นก็โรยยาให้จนทั่วทุกแผลอย่างไม่หวงแหน ทว่ายาที่พกพายามเดินป่ามีน้อยนิดเพราะนางปรุงสำหรับตัวเองและพี่สาว พวกนางอายุยังน้อยรูปร่างเล็กบาง มีเนื้อหนังให้เกิดบาดแผลไม่มาก เมื่อเจอคนตัวใหญ่ยาจึงไม่พอใส่แผลให้เขา
เมื่อยาหมดนางจึงปิดเสื้อผ้ากลับเช่นเดิม ยังปลดผ้าป่านเนื้อหยาบที่ลำคอของตนมาพันรอบลำคอของชายวัยกลางคน เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้เขา เห็นใบหน้าซีดขาวเริ่มมีสีเลือดฝาดก็วางใจก่อนวิ่งไปอีกทางเพื่อมองหาท่อนไม้กับเชือกเถาวัลย์ ไม่นานก็กลับมา
นางนำท่อนไม้วางขนานกับท่อนขามัดด้วยเชือกเถาวัลย์อย่างแน่นหนาทั้งสองข้าง ยังไม่ลืมเตรียมไม้ยาวท่อนหนึ่งเอาไว้ เผื่อเขาฟื้นขึ้นมาจะได้ใช้พยุงตัวเดินพร้อมๆ กับมีนางช่วยแบก
หานไต้มักจะสอนสิ่งเหล่านี้ให้สองพี่น้องอย่างละเอียด เพื่อเอาชีวิตรอดในป่าใหญ่ เด็กทั้งสองฉลาดหัวไว จึงเรียนรู้ได้รวดเร็ว เพียงแต่เฟิงลี่คนน้องออกจะเก่งกาจมากกว่าสักหน่อย ยามนำมาใช้ประโยชน์ ยังแตกต่างจากซือเร่อคนพี่มากโข
เห็นได้ชัดเจนเมื่อเจอชายวัยกลางคนบาดเจ็บนอนสลบกลางหิมะขาวโพลนผู้นี้ หากเขามิได้เฟิงลี่ย่อมถูกหมาป่ารุมขย้ำทึ้งเนื้อกินไปแล้ว
หลังจากเฟิงลี่ดูแลรักษาคนเจ็บได้ดีระดับหนึ่งจึงเอ่ย “ยาของข้าหมดแล้ว แต่ยาของพี่ยังไม่ต้องนำมาใช้นะ เอาไว้เผื่อเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราจะได้นำมาใช้ยามฉุกเฉิน ระหว่างนี้พี่ช่วยเฝ้าเขาเอาไว้นะ ข้าจะเข้าป่าไปหาสมุนไพรมาพอกบาดแผลเล็กๆ ตามลำตัวให้เขา ยังต้องหาหญ้าโลหิตก่อกระดูกสำหรับรักษาขา อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย”
กล่าวจบก็หมุนตัววิ่งไป ทิ้งเอาไว้เพียงซือเร่อที่ยืนมองนิ่ง เด็กหญิงผู้พี่เห็นชัดเจนแล้วว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่เป็นอันตราย จึงเดินมานั่งลงข้างๆ ร่างใหญ่เพื่อเฝ้าเขาเอาไว้ตามคำน้องสาว
หุบเขากว้างใหญ่เต็มไปด้วยหิมะสีขาวหนาวจัด การหาสมุนไพรจึงนับว่ายุ่งยากและลำบาก ทั้งยังต้องใช้เวลาพอควร เฟิงลี่จึงเลือกงานลำบากนี้เอง ให้ซือเร่อนั่งรอสบายๆ
เวลาค่อยๆ คืบคลานอย่างเชื่องช้า ซือเร่อใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์โดยการสำรวจบาดแผลให้คนเจ็บ เมื่อสังเกตเห็นเชือกเถาวัลย์ผูกปมกับท่อนไม้ไม่เรียบร้อยเกรงว่าจะหลุดออกมา นางจึงช่วยจับแล้วขมวดปมอย่างบรรจงเพิ่มความแน่นหนา
จังหวะออกแรงดึงเชือกเถาวัลย์พลันได้ยินเสียงแหบโหย
“อ่า...เจ็บ”
ชายวัยกลางคนฟื้นขึ้นมาแล้ว
ซือเร่อชะงักปลายนิ้วที่กำลังช่วยมัดปมเชือกที่ขาให้เขา พลางกะพริบตามองอย่างไร้เดียงสา “ข้าขอโทษที่ทำท่านเจ็บ”
ชายวัยกลางคนเร่งปรับสายตาเพื่อคืนสติให้ตนเอง
เขาข่มความเจ็บแปลบทั่วร่างโดยเฉพาะที่ท่อนขา พยายามหยัดกายลุกขึ้นนั่ง พลันนั้นก็มีมือน้อยๆ ช่วยพยุง
ซือเร่อใช้สองมือเล็กๆ ช่วยจับท่อนแขนให้เขาลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยเสียงแหบแห้ง แต่กลับก้องกังวานและทรงพลังอย่างประหลาด
“ขอบใจเจ้ามากเด็กน้อย”
เด็กหญิงคลี่ยิ้ม สองตากระจ่างใสจ้องคนเจ็บไม่ขยับ
ท่าทางของเขาเหมือนเศรษฐีร่ำรวยที่นางเคยเห็นยามลงจากเขาไปเที่ยวในหมู่บ้าน
เมื่อพินิจโดยละเอียด ซือเร่อยังพบว่าเขาผู้นี้ดูร่ำรวยมหาศาล ทั้งอาจจะรวยมากกว่าเศรษฐีในหมู่บ้านแห่งนั้นทุกคน
ยามนี้เฟิงลี่ที่ไปหาสมุนไพรยังไม่กลับมา ซือเร่อจึงช่วยดูแลเขาแทนน้องสาวชั่วคราว เผื่อเขาจะมอบรางวัลที่ช่วยเหลือ
ชั่วจังหวะที่ซือเร่อกำลังคาดหวังถึงผลพลอยได้ พลันมีชายตัวโตชุดน้ำเงินปรากฏขึ้นตรงหน้าราวสิบคน พวกเขามีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ทว่ายังคงไว้ซึ่งท่วงท่าขึงขัง ทั้งปราดเปรียวทรงพลัง เมื่อมาถึงก็พากันคุกเข่าจนละอองหิมะปลิวว่อน
เด็กหญิงตัวน้อยมองเหตุการณ์ที่เกิดรวดเร็วนี้อย่างตกใจ
ชายผู้อยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยเส้นเสียงทุ้มต่ำมาทางชายวัยกลางคนว่า
“ทูลท่านอ๋อง พวกกระหม่อมมาช้า ขอทรงลงพระอาญา”
ซือเร่อกะพริบตาปริบๆ หันมองผู้ถูกเรียกว่า ‘ท่านอ๋อง’ อย่างสงสัย คงเป็นนามของเขากระมัง แต่ฟังแล้วเหมือนไม่ใช่
ชั่วจังหวะกำลังสงสัยได้ยินชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “กลับวังก่อน ค่อยว่ากัน”
เด็กน้อยเอียงคอนิ่งฟัง ‘วัง’
ใช่ที่คนเล่าว่าใหญ่กว่าเรือนทั่วไปหลายสิบเท่าหรือไม่?
ซือเร่อชอบฟังผู้คนในหมู่บ้านเล่าเรื่องราวต่างๆ นานา แล้วนำมาขบคิดทั้งยังเนรมิตเป็นภาพมายาคล้ายห้วงฝันในสมอง
หากมีโอกาส นางยังอยากไปเห็นของจริงสักครั้ง
ชายคนแรกถามอีกว่า “ท่านอ๋อง...เอ่อ...เด็กคนนี้คือ?”
ชายวัยกลางคนที่เป็นถึงอ๋องยกยิ้มเปี่ยมเมตตาพลางเอ่ยมาทางซือเร่อว่า “นางเป็นคนช่วยชีวิตของข้า พานางกลับไปด้วย”
เด็กหญิงไม่ทันได้ปฏิเสธก็ถูกมือใหญ่อุ้มเอาไว้ทั้งตัว
ชายผู้นั้นมิได้ฉุดกระชากเพียงอุ้มนางอย่างทะนุถนอม รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นนุ่มนวลเอาใจใส่ นางจึงทำตัวเป็นเด็กน้อยในอ้อมแขนผู้ใหญ่ตัวโตอย่างเชื่อฟัง ส่วนคนอื่นๆ ช่วยกันพยุงชายวัยกลางคนอย่างระมัดระวังเช่นกัน
ดวงตากลมกระจ่างใสจ้องมองทุกคนอย่างไร้เดียงสา แม้ไม่เคยกลัวการออกจากป่า ทว่าพวกเขาไว้ใจได้หรือไม่? ปลอดภัยหรือเปล่า? คงได้กระมัง! แต่นางควรส่งข่าวบอกน้องสาวดีไหมว่าขอไปเที่ยวนอกหุบเขาสักหลายวันค่อยกลับมา
ซือเร่อครุ่นคิดในใจยามเพ่งมองกลุ่มผู้ใหญ่ เมื่อหันไปสบตากับชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าท่านอ๋อง
นางจึงเห็นสายตาอบอุ่นเต็มไปด้วยความปราณีและรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มจากเขาเอ่ยถามว่า
“เด็กน้อย...บิดามารดาของเจ้าอยู่ที่ใด?”
ซือเร่อส่ายหน้า ตอบตามสัตย์ “ข้าเป็นกำพร้า”
ผู้ถามพลันชะงักเล็กน้อย แน่นอนว่าท่าทางมอมแมมและการแต่งกายซอมซ่อของเด็กหญิง ทั้งยังอยู่กลางป่าแค่ลำพัง จะเป็นอะไรไปมิได้นอกจากคนเร่ร่อนที่พบได้บ่อยครั้งตามชายป่าซึ่งห่างไกลหมู่บ้านออกมาเช่นนี้ บางทียังพบเห็นเป็นขอทานตามละแวกในหมู่บ้านก็มี ไม่แปลกหากจะเป็นกำพร้าไร้สิ้นญาติพี่น้อง
หลังทำความเข้าใจได้ด้วยตนเองท่านอ๋องจึงเอ่ยอีกครา “เช่นนั้น...ข้าจะพาเจ้าไปหาอาหารโอชาและเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ อย่าได้เร่ร่อนไร้หลักแหล่งในป่าเขาอีกเลย”
สองตาใสกระจ่างคู่เดิมพลันทอประกายแวววาว
ซือเร่อยิ้มรับทันที ความคิดของเด็กหญิงนั้นเรียบง่าย
นางขอท่องเที่ยวอย่างสำราญจนหนำใจค่อยกลับมาเล่าให้ท่านตากับเฟิงลี่ฟังก็แล้วกัน
คล้อยหลังกลุ่มคนราวครึ่งชั่วยาม
เด็กหญิงตัวเล็กผู้หนึ่งวิ่งลงเขามาพร้อมสมุนไพรในมือ เมื่อมาถึง กลับต้องตื่นตะลึงกับความว่างเปล่าที่เห็น
เฟิงลี่ย่อมจดจำทิศทางได้ดีไม่มีสักคราที่จำผิดเพี้ยน
ตรงนี้ไม่ผิดแน่! คราบเลือดก็ยังอยู่
ทว่าตัวคนกลับหายไป
พร้อมพี่สาวของนาง...
หลังจากนั้นในทุกๆ วัน เด็กหญิงผู้หนึ่งจึงต้องออกตามหาพี่สาวของตนสลับกับต้องเฝ้าดูแลท่านตาเพียงลำพัง
กระทั่งห้าปีต่อมา...
หานไต้ที่นอนป่วยด้วยโรคชรามาโดยตลอดก็จากไป
เด็กสาววัยสิบสี่ปีจึงตัดสินใจออกจากป่าใหญ่เพื่อผจญโลกกว้างอย่างเด็ดเดี่ยว
หมายตามหาพี่สาวคนเดียวของตนอย่างจริงจัง
|
ความคิดเห็น