คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่2 หนิงเหมย
คฤหาสน์สกุลหลิ่งของหลิ่งหมิงคหบดีหนุ่มรูปงามผู้มั่งคั่ง
หลิ่งหมิงกับหนิงเยว่ซินรักกันมาก ทั้งสองคนคบหากันจนกระทั่งแต่งงานกันและได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข
แต่วันคืนอันแสนสุขช่างสั้นนัก หลังจากแต่งงานได้เพียงครึ่งปี หลิ่งหมิงยังคงรักหนิงเยว่ซินเป็นอย่างมาก หากแต่วันหนึ่งเขากลับพาสตรีงดงามดูบอบบางเข้ามาในคฤหาสน์ด้วยเหตุผลที่ว่าเจอนางระหว่างที่เดินทางกลับบ้านแล้วได้ช่วยเหลือกันยามเกิดเหตุไม่คาดฝัน
สตรีนางนั้นมีนามว่า เจียวลู่
พวกเขาเจอกันในวันที่หลิ่งหมิงถูกโจรป่าฉกชิงทรัพย์สินและถูกโจรป่าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ หลิ่งหมิงได้เจียวลู่เข้าช่วยเหลือในครานั้น เมื่อรักษากันมาระหว่างทางจนหลิ่งหมิงหายดีเขาจึงพานางเข้าบ้านและแต่งนางเป็นภรรยารอง
จู่ๆ หนิงเยว่ซินก็ได้เป็นภรรยาเอก
หลิ่งหมิงผู้รักมั่นก็แต่งอนุเข้ามา
หนึ่งชายหนึ่งหญิงที่รักกันอย่างมั่นคงตลอดมาก็เริ่มแปรเปลี่ยน
คืนมงคลที่หลิ่งหมิงยืนอยู่ในเรือนหลังเล็กกับเจียวลู่ท่ามกลางโคมไฟสีแดงและแสงเทียนสีนวล ถึงแม้จะไร้ซึ่งงานมงคลสมรสอันเอิกเกริกหากแต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ใครบางคนเสมือนถูกแหวกอกแล้วดึงหัวใจกระชากออกมาฉีกทึ้งแล้วใช้ฝ่าเท้าเหยียบย่ำอีกคราหนึ่ง
เขาเหยียบย่ำจนแหลกลาญ แหลกเหลว
ใครคนนั้นคือหนิงเยว่ซิน
นางตัดสินใจออกมาแอบมองดูพวกเขาเหมือนหญิงบ้ามิรู้ความ นางยืนมองเขาจากมุมเฉลียงของเรือนเล็กหลังนั้น นางยืนมองพวกเขาอยู่ในความมืดมิดนอกเรือนกระทั่งพวกเขาดับเทียนภายในเรือนและต่อมาก็มีเสียงหอบครางดังระงม
ในยามนั้นหนิงเยว่ซินได้กลายเป็นเศษผ้าที่ถูกฉีกขาดไม่มีเหลือแม้เพียงเส้นด้ายให้ถักทอสานต่อใหม่ นางมีเพียงลมหายใจที่ว่างเปล่าและหัวใจที่หนักอึ้งคล้ายมีเลือดซึมจากการถูกกรีดลึกด้วยเสียงครางนั้น
ตั้งแต่คืนนั้นนางจึงเหลือเพียงร่างที่ไร้วิญญาณ
“ข้าเกือบตายไปแล้วที่ป่านั่น หากมิได้เจียวลู่เข้าช่วยเหลือ เจ้าก็คงจะเสียข้าไปแล้วตลอดกาล” เสียงทุ้มนุ่มของหลิ่งหมิงยังคงดังก้องกังวานในใบหูของหนิงเยว่ซิน
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือที่จะทดแทนคุณ มีเพียงต้องรับนางเป็นอนุเท่านั้นหรือไร?” นางถามออกไปด้วยใจไม่ใคร่จะยินยอม
“นางตัวคนเดียว ไม่มีใคร แต่หากจะให้นางเป็นเพียงสาวใช้คงไม่เหมาะกระมัง หรือกระทั่งให้เป็นเมียบ่าวก็คงมิควร”
“ความหมายของท่านก็คือไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องเก็บนางเอาไว้ข้างกาย นางก็ต้องอยู่กับท่านเท่านั้นหรือไร ช่วยเหลือกันเสร็จสิ้นก็แยกย้ายกันไม่มิได้รึ การตอบแทนกันมีเพียงวิธีนี้หรือไร นางต้องการเงินเท่าไหร่ ข้าจะไปแลกตั๋วเงินให้นางเดี๋ยวนี้”
“เยว่ซิน!” เสียงของเขาเริ่มหงุดหงิด “เจ้าเป็นอะไรไป สตรีที่จิตใจดีมีเมตตาไปไหนเสียแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าใจ หากมิได้นางเข้าช่วยเหลือข้ายังจะได้กลับมาหาเจ้าหรือไม่ หากมิได้นางเจ้าคงเป็นเพียงสตรีม่ายสามีตายไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน ลองตรองดูเถิด!”
นั่นคือประโยคสนทนาครั้งล่าสุดก่อนที่เขาจะแต่งนางเป็นอนุและเข้าหอกันอย่างเผ็ดร้อนทั้งหอบทั้งครางดังระงมที่ทำให้หนิงเยว่ซินต้องมานอนอย่างเดียวดายบนเตียงอันกว้างใหญ่ของเรือนหลัก นางนอนร้องไห้มิได้พัก ไม่แม้แต่จะหลับตาได้ลง
เช้าวันต่อมาหนิงเยว่ซินยังต้องมานั่งรอที่โต๊ะอาหารเพื่อกินข้าวด้วยกันตามคำสั่งของหลิ่งหมิง
นางนั่งรอสองชายหญิงที่ผ่านค่ำคืนเสพสมที่ทำให้นางต้องทุกข์ระทมตลอดทั้งคืน
หลิ่งหมิงเดินเข้ามาที่ห้องอาหารก่อนและนั่งลงที่ข้างนางยังตำแหน่งเดิมของเขาที่เคยนั่ง เขายิ้มให้นางอย่างอบอุ่นเหมือนเคย สายตามองนางอย่างอ่อนโยนเหมือนเคย แววตาที่ทอดมองเจือความรักใคร่เหมือนเคย หากแต่ที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเคยก็คือเราสองไม่อาจกินข้าวได้ทันทีเมื่อสองเรานั่งพร้อมกันที่โต๊ะอาหาร เพียงเพราะสตรีอีกนางหนึ่งยังไม่มา พวกเราจึงต้องรอให้พร้อมหน้าสามสามีภรรยาถึงจะกินอาหารได้
หญิงสาวถึงกับกำมือแน่นขอบตาร้อนผ่าว
และเมื่อเจียวลู่เดินเข้ามายังห้องอาหาร หนิงเยว่ซินก็อดไม่ได้ที่จะไล่น้ำสีใสให้จางหายไปเพื่อมองเจียวลู่ให้เต็มตา
นางเห็นเจียวลู่มีสีหน้าอิ่มเอิบดวงตากระจ่างใสหากแต่ร่างบอบบางกลับดูอ่อนแรงยิ่งนัก นางคล้ายกับกำลังพยายามเดินมาอย่างยากลำบาก ท่าทางที่อ่อนโยนอ่อนหวานมากอยู่แล้วยิ่งดูหวานล้ำมากขึ้นไปอีก
หนิงเยว่ซินยิ้มขื่นปวดร้าวสุดแสน
แน่นอนว่าเจียวลู่คงเพลียมากนักเนื่องจากต้องผ่านการร่วมรักกับสามีของนางมา...ทั้งคืน
ท่วงท่าและลีลารักของหลิ่งหมิงมีหรือนางจักนึกไม่ออก ริมฝีปากของเขาชอบจูบส่วนใด ฝ่ามือของเขาร้อนเร่าปานใด ท่อนขาและท่อนแขนของเขาวาดกระบวนท่าอย่างไร นางล้วนนึกภาพออกทั้งสิ้น
“ขออภัยที่ลู่เอ๋อร์มาช้าหวังว่าท่านพี่คงไม่ถือสา” เสียงอ่อนหวานเจือกระแสออดอ้อนของเจียวลู่เอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล เห็นได้ชัดว่าเสียงของนางฟังดูอ่อนแรงและแหบแห้งเพราะเหตุใด
หนิงเยว่ซินแค่นเสียงอยู่ในลำคอ นางเห็นท่าทางของเจียวลู่ช่างอ่อนต่อโลกแลไร้เดียงสามากนัก หากแต่เมื่อคืนกลับร้องครางประหนึ่งเป็นสตรีกร้านโลกกระนั้น
ยิ่งได้มองเห็นลำคอขาวผ่องของเจียวลู่ที่มีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ สีดอกกุหลาบ เป็นรอยฝากรักจากริมฝีปากของใครบางคน ในใจของหนิงเยว่ซินยิ่งคล้ายกับมีเลือดสาดอยู่ในเบ้าตา กลิ่นคาวน้ำกามาพลันคละคลุ้งในห้วงคำนึง นึกสะอิดสะเอียดเกินทน
นางไม่อาจทนได้อีกต่อไป
พอกันที!
หนิงเยว่ซินถึงกับลุกขึ้นแล้วตบโต๊ะเสียงดังก่อนจะจับยกโต๊ะอาหารทั้งหมดนั้นให้ล้มครืนไปต่อหน้าต่อตา
จานชามตกแตกเสียงดังเพล้งๆ ติดๆ กัน อาหารในจานชามสาดกระจุยกระจายเกิดความเสียหายแก่ห้องอาหาร
“เจ้าทำบ้าอันใด เยว่ซิน” เสียงของหลิ่งหมิงโกรธเกรี้ยว
“ข้าไม่ต้องการ” หนิงเยว่ซินเสียงสั่น “ข้าไม่อาจใช้สามีร่วมกับนาง ข้ารับไม่ได้” นางชี้กราดไปที่ใบหน้าซีดขาวของเจียวลู่
“ท่านพี่...” เจียวลู่ถึงกับร้องไห้ออกมา น้ำตาของนางช่างผลิตได้รวดเร็ว “สามีรับอนุแปลกที่ใด ข้าเองยอมลดตัวเองแล้ว แต่เหตุใด...” นางหยุดคำพูดเพื่อปิดปากร้องไห้อย่างน่าสงสาร
หนิงเยว่ซินกล้ำกลืนน้ำตาของตนให้ไหลกลับเข้าเบ้าตาเมื่อเจอมารยาของสตรีตรงหน้าก่อนกล่าวออกมาอย่างเหลืออด “ไสหัวออกไป!” นางไล่สตรีเจ้ามารยาตรงหน้าอย่างไม่ไยดี
“เยว่ซิน!” หลิ่งหมิงตวาดหนิงเยว่ซินเสียงดัง
“ข้าไม่ต้องการให้ท่านมีใคร ข้าต้องการให้ท่านมีข้าคนเดียว ได้ยินหรือไม่” หนิงเยว่ซินตะโกนใส่หน้าหลิ่งหมิง
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร เราคุยกันแล้วมิใช่รึ ไยเจ้าถึงใจแคบนัก เจ้าเปลี่ยนไป” หลิ่งหมิงต่อว่าหนิงเยว่ซินด้วยคำรุนแรง
หญิงสาวถึงกับเบิกตากว้าง “ใช่! ข้าบ้า” นางเสียงดังมากกว่าเดิม “เป็นข้าที่เปลี่ยนไป ใช่แล้ว เป็นข้าเองที่เปลี่ยนไป” หนิงเยว่ซินคำรามทั้งน้ำตา “ย่อมเป็นข้าที่เปลี่ยนไป ข้ามิใช่เยว่ซินผู้อ่อนหวานคนเดิม ข้าเกลียดท่าน หลิ่งหมิง ข้าเกลียดท่าน”
หนิงเยว่ซินร้องไห้โฮด่าทอตนเองกระทบสามีอย่างจงใจก่อนจะวิ่งหายไปจากเรือน
วันแล้ววันเล่าที่หนิงเยว่ซินเอาแต่ร่ำไห้อยู่ในห้องโดยไม่ยอมพบหน้าของหลิ่งหมิงอีกถึงแม้ว่าเขาจะมาหานางทุกวัน แต่กระนั้นหนิงเยว่ซินก็ยังคงเอาแต่ร้องไห้ทำใจมิได้เรื่องของเขา
“ข้ารักเจ้ามิได้ลดน้อยลงเลย หากแต่ความรับผิดชอบของข้ายังคงต้องมี เยว่ซิน...เหตุใดเจ้าไม่เข้าใจ”
นั่นคือประโยคสุดท้ายหลังบานประตูที่หนิงเยว่ซินได้ยิน
หญิงสาวเริ่มรับรู้ได้ว่านางเริ่มเปลี่ยนไป สภาวะอารมณ์ของนางผันแปรไปไม่เหมือนเดิม นางทั้งอารมณ์ร้ายทั้งชอบโวยวาย นางโมโหร้ายไม่ยอมใครทั้งนั้น จนกระทั่งหลิ่งหมิงเริ่มเอือมระอานางขึ้นมาจริงๆ เพราะเขาบัดนี้มีสตรีเปรียบเทียบกันอย่างชัดเจน
หนึ่งคือสตรีอารมณ์ร้ายไร้ความอ่อนโยนอ่อนหวานอย่างที่ควรเป็นกับอีกหนึ่งสตรีช่างน่ารักน่าทะนุถนอมคอยเอาอกเอาใจทั้งยังหวานล้ำในยามค่ำคืน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครแพ้ใครชนะ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลิ่งหมิงจักเลือกใคร
หนิงเยว่ซินได้แต่ช้ำใจจนกระทั่งนางได้ล่วงรู้ถึงสาเหตุของอารมณ์ที่เปลี่ยนไปจากสตรีอ่อนหวานเป็นสตรีร้ายกาจของตนเอง
นางกำลังตั้งครรภ์!
สตรีตั้งครรภ์มักจะมีอารมณ์อ่อนไหวมากกว่าสตรีที่มิได้ตั้งครรภ์ ยิ่งเมื่อมีเรื่องมากระทบจิตใจกันเยี่ยงนั้น แน่นอนว่าย่อมรุนแรง
เมื่อนางรับรู้ถึงอีกหนึ่งชีวิตน้อยๆ ในท้องของตน นางจึงคิดจะบอกกล่าวแก่สามี คืนวันดีๆ ของสองเราอาจจะกลับมา
แต่ทว่านางกลับคิดผิดไป
หลายวันหลายคืนที่ผ่านมาที่นางเอาแต่ร่ำไห้ปานขาดใจอยู่ให้เหย้าในเรือนกินเวลาอยู่เป็นเดือน ในยามนี้ที่นางอายุครรภ์ได้เพียงสามเดือน เจียวลู่ที่เข้าหอกับหลิ่งหมิงเรื่อยมาก็ตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือน
เรื่องนั้นเปรียบเสมือนฟ้าผ่าลงกลางหน้าผาก
ข่าวการตั้งครรภ์ของเจียวลู่ที่ส่งถึงหลิ่งหมิงก่อนหน้านางทำให้นางถึงกับลิ้นจุกปาก
นางเดินมายังมิทันได้ถึงเรือนของหลิ่งหมิง นางก็เห็นหลิ่งหมิงกับเจียวลู่ยิ้มแย้มให้กันแลดูมีความสุขอยู่ในศาลากลางสวน ฝ่ามือของหลิ่งหมิงลูบท้องของเจียวลู่อย่างอ่อนโยน
หนิงเยว่ซินยืนมองภาพนั้นด้วยใจที่หนาวเหน็บเย็นจัดไปถึงกระดูก
ภาพของสามีแห่งตนยืนประคองกอดกับหญิงอื่นว่าเจ็บปวดมากแล้ว ยังมิเท่าภาพของสามีตนเองยืนลูบคลำท้องของสตรีผู้นั้นอย่างยินดีปรีดา
เสียงครวญครางที่นางได้ยินยามพวกเขาทำรักกัน นางคิดว่าเจ็บปวดมากแล้ว ก็ยังมิเทียบเท่ากับเสียงหัวเราะของพวกเขาในยามนี้
ช่างเจ็บปวดสิ้นดี ช่างเจ็บปวดเกินทานทน เจ็บเสียจนจวนเจียนใกล้สิ้นใจ
นับแต่บัดนั้น หนิงเยว่ซินจึงได้ตัดสินใจ
นางเลือกที่จะอยู่กับลูกในครรภ์ นางเลือกที่จะอุ้มท้องอย่างเข้มแข็งแม้โดดเดี่ยว นางเลือกที่จะไม่บอกกล่าวแก่หลิ่งหมิง นางเลือกที่จะขังตนเองไว้ในเรือนหลักไม่ออกมาพบหน้าของสามีอีกเลย ชีวิตของนางจะมีเพียงลูกก็เท่านั้น นางจะมีชีวิตอยู่เพื่อลูกเท่านั้น
หากแต่สวรรค์คล้ายกลั่นแกล้งกัน
ในวันที่หนิงเยว่ซินคลอดลูกออกมา วันนั้นคือวันสุดท้ายที่นางได้มองโลกผ่านม่านตาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำสีใสก่อนจะจากลาโลกนี้ไปโดยทิ้งเอาไว้เพียงธิดาหนึ่งเดียวแห่งตน
หนิงเหมย คือเด็กน้อยอาภัพคนนั้น
หนิงเหมยอยู่ในครรภ์มารดาในวันที่บิดาพาสตรีคนใหม่เข้าเรือน
ในวันที่มารดารับรู้ถึงตัวตนของหนิงเหมยในครรภ์ก็คือวันที่มารดาต้องช้ำตรมระทมสุดแสน
ในวันที่หนิงเหมยคลอดออกมาดูโลกคือวันที่มารดาต้องลาจากโลกไปตลอดกาล
หนิงเหมยคือต้นเหตุที่ทำให้มารดาตายจาก
หนิงเหมยคือสาเหตุที่ทำให้มารดาเปลี่ยนไปจากสตรีที่สุขุมเยือกเย็นจิตใจดีงามกลับกลายเป็นสตรีอารมณ์ร้ายขี้โมโหชอบใช้ความรุนแรง
หนิงเหมยคือบุตรีที่บิดามองมาด้วยแววตาเย็นชาตั้งแต่เกิด
นางคือสตรีที่เติบโตมาท่ามกลางสายตาว่างเปล่าของทุกคน
ทุกคราที่นึกถึงนัยน์ตาของนางร้อนผ่าว น้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ สัมผัสได้เพียงความเจ็บปวด ราวกับหัวใจฉีกขาดจนเป็นแผลกว้าง แผลนั้นเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันจางหาย ทั้งยังกลัดหนองเจ็บหน่วงตลอดเวลา
แม่นมซือเสียนคือสาวใช้คนสนิทของหนิงเยว่ซินและเป็นผู้ที่เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้หนิงเหมยฟังจนกระจ่างแจ้งแก่ใจถึงเรื่องราวที่หนิงเหมยสงสัยใคร่รู้และควรจักรู้เมื่อจำความได้
จนกระทั่งในวันที่หนิงเหมยอายุได้สิบเจ็ดปี แม่นมซือเสียนผู้เป็นคนเดียวที่อยู่กับหนิงเหมยตลอดมาต้องมาตายจากไปเนื่องจากถูกเจียวลู่ลงทัณฑ์โทษฐานที่ขโมยปิ่นทองคำและไข่มุกเม็ดงามไปขายทอดตลาดโดยมีหนิงเหมยรู้เห็นเป็นใจ
แม่นมซือเสียนที่มีอายุมากแล้วจึงมิอาจทนต่อการถูกโบยอย่างหนักเยี่ยงนั้นได้ ในขณะที่หนิงเหมยถูกเจียวลู่ส่งตัวไปลงทัณฑ์ยังวัดอันห่างไกลเพื่อไปชำระล้างจิตใจ
หญิงสาวถูกสั่งให้ถือศีลกินเจปฏิบัติธรรมที่วัดวัดฉือหนิงอันห่างไกลและทุรกันดารตั้งอยู่นอกเมืองโดยมีหลิ่งหมิงผู้เป็นบิดาเห็นชอบกับการตัดสินใจของเจียวลู่ผู้เป็นภรรยารองแห่งเขา
หนิงเหมยไม่แปลกใจว่าเหตุใดเจียวลู่ถึงได้ชิงชังนางนัก ด้วยเพราะว่าเจียวลู่เป็นเพียงภรรยารองตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้ามาจวบจนกระทั่งวันนี้
วันที่ถึงแม้ว่าภรรยาเอกอย่างหนิงเยว่ซินจะตายจากไปนานแล้ว แต่เจียวลู่ก็ยังคงเป็นได้เพียงภรรยารองของบิดานาง
นั่นจึงทำให้หนิงเหมยที่อยากจะเกลียดบิดาแต่ก็ไม่สามารถเกลียดท่านได้ลง ถึงแม้ว่าบิดาจะเย็นชากับนางเสมอมา
เห็นได้ชัดว่าบิดารักมารดามากเพียงใด หากแต่ด้วยอารมณ์ที่อยู่เหนือเหตุผลของมารดาและความเป็นชายที่หยิ่งทระนงตนของบิดา จึงทำให้ทุกชีวาต้องมาอยู่ยังจุดนี้ มีสภาพเยี่ยงนี้
หนิงเหมยได้แต่ก้มหน้ารับกรรมแห่งโชคชะตาของตนเอง
นางทำได้เพียงเท่านั้น
นางไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากไปกว่านี้...
แต่นั่นก็คือความคิดก่อนหน้าที่หนิงเหมยจักเจอกับบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งนามว่าเจิ้งเหวินหลาง
เจิ้งเหวินหลางเป็นชายที่มีรอยยิ้มอบอุ่น ทั้งอ่อนโยนและจริงใจ กลิ่นอายรอบเรือนกายของเขาให้ความรู้สึกปลอดภัยและเป็นสุขใจยามเมื่อได้อยู่ใกล้กัน
หนิงเหมยได้เจอกับเจิ้งเหวินหลางที่ตลาดในวันหนึ่ง เขาเข้ามาช่วยเหลือหญิงสาวในยามที่นางถูกขโมยถุงเงินไปโดยไม่รู้ตัวและไม่มีเงินจ่ายค่าเสื้อผ้าทำให้นางถูกด่าว่ากล่าวเสียงดังนำพาความอับอายมาให้
เจิ้งเหวินหลางเข้ามาปกป้องนางในวันนั้นและนับแต่นั้นมาหนิงเหมยกับเจิ้งเหวินหลางจึงตกลงคบหากันหมายสานสัมพันธ์จากสหายเป็นคนรักถึงขั้นคิดจะแต่งงานกันเมื่อพร้อมทั้งสองฝ่าย
หนิงเหมยตัดสินใจพาเจิ้งเหวินหลางเข้าบ้านเพื่อมาพบกับบิดาหมายเจรจาหมั้นหมาย
เจิ้งเหวินหลางเข้ามาที่บ้านของหนิงเหมยในฐานะคนรักแบบเปิดเผย
แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันพลันบังเกิด
เมื่อน้องสาวของนางนามว่าลี่จูบุตรสาวของเจียวลู่ได้เจอกับเจิ้งเหวินหลางในวันที่หนิงเหมยพาเขาเข้าบ้าน หลังจากนั้นเจิ้งเหวินหลางก็เริ่มเปลี่ยนไป
เจิ้งเหวินหลางที่เคยมีเวลาให้หนิงเหมยเริ่มไม่มีเวลาให้ จากที่เคยมีจดหมายฝากมาให้กลับเริ่มไม่มีเหมือนเคย จากที่เคยนัดเจอกันเที่ยวที่ตลาดกลับชอบที่จะมาบ้านของหนิงเหมย
เดิมทีหญิงสาวคิดว่าเจิ้งเหวินหลางสมกับเป็นชายที่เปิดเผย เมื่อได้เปิดตัวกับบิดาของนางแล้วจึงชอบมาหากันที่บ้าน แต่เปล่าเลย เวลาที่เจิ้งเหวินหลางนั่งคุยอยู่กับเหนิงเหมยก็มักจะมีลี่จูร่วมนั่งคุยอยู่ด้วยเสมอ พวกเรานั่งคุยกันสามคนด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อกันการถูกครหาระหว่างหนิงเหมยกับเจิ้งเหวินหลางที่เป็นเพียงคนรักหาใช่คู่สามีภรรยาที่ผ่านพิธีแต่งงานร่วมผูกผม
แต่หนิงเหมยมิใช่คนโง่
สายตาที่ลี่จูมองเจิ้งเหวินหลางไยนางจักไม่เข้าใจ
สายตาที่เปลี่ยนไปของเจิ้งเหวินหลางไยนางจักไม่เห็น
บุรุษก็เท่านี้
ไม่ว่าจะเป็นบิดาของนางหรือกับเจิ้งเหวินหลาง
ทุกคนเหมือนกันหมด!
รักหรือ? หึ!
และแล้วหนิงเหมยจึงได้เข้าใจในเรื่องราวความรักของมารดากับบิดาของนาง
ที่บอกว่าต้นเหตุเกิดจากหนิงเหมยนั้นจริงๆ แล้วมิใช่เลย
เพราะมารดาของนางเปลี่ยนไปจากเดิมหรือ? นิสัยโหดร้ายมากหรือ? อารมณ์ที่อยู่เหนือเหตุผลของมารดาและความเป็นชายที่หยิ่งทระนงตนของบิดาจึงทำให้ทุกชีวาต้องมาอยู่ยังจุดนี้มีสภาพเยี่ยงนี้หรือ?
ไม่ว่ามารดาของนางจักรักบิดามากมายปานใดย่อมไม่สำคัญ ไม่ว่ามารดาจะเปลี่ยนไปหรือไม่ ย่อมไม่สำคัญ ไม่ว่ามารดาของนางจะตั้งครรภ์นางหรือไม่มันไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือบิดาของนางต่างหากที่เปลี่ยนไป
ทุกอย่างล้วนเกิดจากใจชายทั้งสิ้น!
บิดาของนางรักมารดาของนางหรือ? หากรักแล้วเหตุใดยังยอมให้เจียวลู่แทรกเข้ามา การช่วยเหลือกันย่อมมิใช่ต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการรับเป็นเมียเพื่อย่ำยีสตรีอีกคน
เจิ้งเหวินหลางบอกว่ารักนางจะแต่งงานกับนางหรือ? หากรักนางจริงแล้วที่นั่งคุยกันสามคนในศาลาคืออันใด?
“พี่ใหญ่จะต้องไปถือศีลที่วัดในวันรุ่งแล้ว ข้าเป็นห่วงพี่ใหญ่เหลือเกินเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานใสของลี่จูเอ่ยขึ้นไปทางเจิ้งเหวินหลางที่นั่งอยู่ทางอีกฝากหนึ่งของโต๊ะกลมในศาลา ทั้งๆ รูปประโยคของลี่จูคุยเรื่องของหนิงเหมยแต่ลี่จูกลับมองแต่เจิ้งเหวินหลาง!
“เจ้าจะเดินทางไปพรุ่งนี้แล้วหรือเหมยเอ๋อร์ ไยถึงรวดเร็วนักเล่า” เจิ้งเหวินหลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มคล้ายไม่ยินดีที่หนิงเหมยจะต้องเดินทางไกล
“สามเดือนเชียวนะเจ้าค่ะ พี่เหวินหลาง” ลี่จูยังคงเอ่ยไปทางเจิ้งเหวินหลางทั้งๆ ที่หัวข้อเกี่ยวกับเหนิงเหมย
“สามเดือนเชียวรึ?” เจิ้งเหวินหลางมีสีหน้าตกใจสายตาจับจ้องอยู่ที่วงหน้าเรียวสวยของลี่จู
“เจ้าค่ะ สามเดือน” ลี่จูพยักหน้ากะพริบตาอย่างน่ารัก “นานทีเดียวเชียว พี่เหวินหลางคงเหงาแย่”
เจิ้งเหวินหลางคลี่ยิ้มอบอุ่นพูดจาอ่อนโยน “แน่นอนว่าข้าย่อมเหงา ข้าคงคิดถึงเหมยเอ๋อร์ทุกวัน” เขาปรายสายตาลึกล้ำมองมาทางหนิงเหมยเพื่อสื่อความนัยตามที่พูดก่อนจะหันไปยิ้มกับลี่จูแล้วเอ่ย “ข้าคงมิได้มาเจอกับเหมยเอ๋อร์ถึงสามเดือนเชียว”
ลี่จูกะพริบตาปริบๆ ทำตากลมโตยิ่งน่ามองยามสบตอบ
หนิงเหมยเพียงแต่นั่งเงียบรับฟังหัวข้อสนทนาของตนเองผ่านริมฝีปากของคนรักกับน้องสาวต่างมารดาด้วยกริยาสงบไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ สายตาเย็นชาบนใบหน้าเรียบเฉยมองไปยังงิ้วตรงหน้าที่แสดงโดยชายหญิงทั้งสอง
นี่มิใช่ครั้งแรกที่ชายหญิงตรงหน้าร่วมกันเล่นงิ้วกับนาง
ลับหลังนางพวกเขาเคยนัดเจอกันไยนางจะไม่รู้ ความหมายที่พวกเขาพูดออกมาไยนางจะไม่เข้าใจ
เหตุการณ์ขโมยปิ่นทองคำและไข่มุกเม็ดงามไปขายทอดตลาดจนแม่นมซือเสียนถูกโบยจนตายและนางต้องโทษทัณฑ์ให้ไปถือศีลยังวัดวัดฉือหนิงอันห่างไกลไยนางจะไม่ประจักษ์
การที่นางหายไปสามเดือนเป็นการเปิดโอกาสในหญิงโฉดชายชั่วตรงหน้าได้อยู่ด้วยกันโดยไม่มีนางคอยเป็นก้างขวางคอ!
ลี่จูต้องการให้เจิ้งเหวินหลางอยู่ห่างจากนางจึงเอาปิ่นทองคำและไข่มุกของเจียวลู่ที่รักหนักหนามาซ่อนในเรือนของนางและเนื่องจากเจียวลู่ได้รับของขวัญชิ้นนี้จากบิดาของนางในวันคล้ายวันเกิดที่ผ่านมาเมื่อไม่นานจึงยังชมชอบอยู่มากแรงโทสะจึงมีมากตามไปด้วย
แม่นมซือเสียนที่อายุมากแล้วทั้งยังมีโรคประจำตัวจะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่แน่จึงอาสาออกตัวรับโทษทัณฑ์เพื่อหมายปลิดชีพตนให้พ้นความทรมานจากโรครุมเร้าโดยการบอกกล่าวว่าตนเป็นคนขโมยเพื่อนำเงินมาซื้อหายา
หากแต่การตายของแม่นมยังนับว่าสูญเปล่าเพราะหนิงเหมย กลับถูกข้อกล่าวหาว่ารู้เห็นเป็นใจกับบ่าวประจำตัว
หนิงเหมยหลับตาลงซ่อนแววตาร้าวลึกกักเก็บเอาไว้ใต้เปลือกตาร้อนผ่าวมิให้ใครได้เห็นซึ่งความเจ็บปวดรวดร้าวใดๆ
นางไม่คิดจะแก้ตัวเรื่องขโมยปิ่นและไข่มุก นางไม่คิดจะปฏิเสธการเดินทางไปวัดอันห่างไกล นางไม่คิดจะอยู่กับใครที่ไม่รักนางจริง
สามเดือนหรือยังน้อยไปด้วยซ้ำ!
หนิงเหมยลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะมองไปยังลี่จูและเจิ้งเหวินหลางด้วยสายตาว่างเปล่า นางคลี่ยิ้มบางเบาออกมาให้ได้เห็นไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ยากแก่การคาดเดาถึงแก่นแท้แห่งห้วงความคิดที่คล้ายมีหลุมดำสนิทในดวงตา
สตรีบอบบางและอ่อนแอเช่นนางทำได้เท่านี้ แค่นี้เท่านั้น!
หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกนอกศาลาไปอย่างเงียบงันปล่อยทิ้งเอาไว้ให้สองชายหญิงได้นั่งเล่นงิ้วกันต่อไปไร้ใครนั่งดู นางเหนื่อยเหลือเกินที่ต้องนั่งชมภาพสะเทือนอารมณ์ตรงหน้า
พอกันที!
นิยายสาวใช้พระกาฬ ฉบับ E-Book คลิก>>>สาวใช้พระกาฬ
|
ความคิดเห็น