ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จอมใจจอมมาร(จบ)

    ลำดับตอนที่ #15 : บุรุษผู้รื่นรมย์

    • อัปเดตล่าสุด 24 มิ.ย. 67




    ไกลออกมาจากสองชายหญิงกับหนึ่งนกประหลาดตัวใหญ่

    บนเชิงเขาสูงขึ้นไปปรากฏเงาร่างของชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งนั่งเอนกายอยู่บนต้นไม้เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืนแห่งรัตติกาล สายตาเรียวคมชื่นชมดวงจันทร์เต็มวงนวลกระจ่างอย่างรื่นรมย์ เขามีนามว่า เฟิงหลิว

    เฟิงหลิวเป็นชายหนุ่มผู้รักอิสระดั่งกระแสน้ำไหล แม้จะเป็นถึงบุตรชายแห่งชินอ๋องครองเมือง ฝีมือเชิงยุทธ์นับว่าไม่ด้อย เป็นหนึ่งในชาวยุทธ์ที่มีผู้คนกล่าวถึง

    แต่กระนั้นเขากลับไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเมืองหลวงหรือฝ่ายยุทธภพ

    ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังชื่นชมจันทร์งามคืนวันเพ็ญที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้ากว้าง ดวงตาดอกท้อที่บ่งบอกความเจ้าสำราญพลันเหลือบไปเห็นนกประหลาดตัวใหญ่

    เมื่อหรี่ตาเพ่งมองดีๆ จึงได้เห็นชายงามสง่าผู้หนึ่งอยู่ไกลๆ ข้างกายแกร่งมีสตรีบอบบางนั่งอยู่ด้วยกัน ฝ่ายสตรีนั้นเขาไม่เห็นหน้า เพราะว่านางนั่งขดตัวพิงต้นไม้คล้ายกับหลับใหล หากแต่ฝ่ายชายนั้นกลับน่าสนใจ เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้พานพบมาก่อน

    เฟิงหลิวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในห้วงคำนึงพลันนึกถึงครั้งที่ตนเองมีโอกาสเดินทางไปชมการประลองของชาวยุทธ์ ครานั้นจัดขึ้นที่หุบเขาไร้เมตตา เป็นการประลองที่จัดขึ้นมาเพื่อคัดเลือกผู้นำสาขาของสำนักแห่งหนึ่งที่สิ้นผู้นำกะทันหัน เขาไปกับอาจารย์ของเขาที่ต้องเข้าประลองเช่นกัน

    ครั้งนั้นผลการประลองเป็นเช่นไรเขามิได้สนใจ หากแต่สายตาของเขากลับติดตรึงอยู่ที่ชายหนุ่มผู้หนึ่ง

    ชายผู้นั้นนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุดของเวทีการประลอง

    เหล่าชาวยุทธ์น้อยใหญ่ล้วนยำเกรง ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ของเขา

    เมื่อถามอาจารย์อย่างใคร่รู้จึงได้ความว่า ชายผู้นั้นมีนามว่า หงซือกวน เขาคือเจ้าแห่งสำหนักหมื่นโลกันต์ ซึ่งทุกสำนักล้วนต้องสยบให้เขา

    กลุ่มอิทธิพลมืดทุกสายล้วนมีเขาเป็นเจ้าชีวิต 

    สายตาของเฟิงหลิวพลันหรี่เล็กแคบลง มิคาดว่าเขาจักมีบุญได้เจอกับจ้าวยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่โดยบังเอิญ

    ด้วยวิสัยของชาวยุทธ์ที่มักจะชมชอบผู้เก่งกาจมากฝีมือ เฟิงหลิวจึงอยากมีโอกาสชมสักครั้ง ว่าชายผู้นี้จะมีฝีมือสูงส่งปานใด แต่หากเขาแสดงตัวขอท้าประลอง คงไม่แคล้วเอาชีวิตมาทิ้งกระมัง

    เมื่อชายหนุ่มคิดได้ดังนั้น จึงเอื้อมมือแตะเซียวหยก[1] ที่ห้อยไว้ข้างเอว มุมปากพลันยกโค้งบางเบา ก่อนจะหยิบเอาเซียวขึ้นมาไล้แผ่วที่ริมฝีปาก

    ยามเมื่อลมอุ่นร้อนจากริมฝีปากได้รูปส่งออกมา เสียงกังวานทุ้มลึกพลันดังจากลำปล้องเซียว เพียงเค่อเดียวก็ปรากฏดวงตาเรียวรีมากมาย เจ้าของดวงตาเหล่านั้นคือหมาป่าสายพันธุ์อันตราย

    พวกมันล้วนเป็นสัตว์นักล่าที่มีนิสัยโหดร้าย มีแรงกัดมหาศาลด้วยกรามอันหฤโหด สามารถไล่ล่าเหยื่อระยะทางหลายลี้ด้วยคมเขี้ยวที่ขย้ำได้กระทั่งกระดูกของสัตว์ใหญ่

    จอมโหดเหล่านี้ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมาฝูงหนึ่ง เดิมทีพวกมันจำศีลอยู่ในป่าลึกห่างไกลเมือง หากแต่มันถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงของเซียวหยก คล้ายถูกสะกดด้วยมนต์ดำ การเคลื่อนตัวอันทรงพลังพร้อมความเร็วที่เหนือชั้น ทำให้พวกมันมาปรากฏตัวได้ดังใจ

     

    บนต้นไม้ที่มีนกประหลาดเฝ้ายามอยู่พลันสะบัดปีกพึ่บรับรู้ถึงพลังของสัตว์ร้าย พร้อมๆ กับประสาทสัมผัสของหงซือกวนก็รับรู้ได้เช่นกัน

    ชายหนุ่มเพียงหลับตาฟังต้นทางแห่งเสียงย่ำปลายเท้าที่กำลังพากันย่างกรายเข้ามาใกล้ เมื่อแน่ใจในระยะทางจึงลืมตาขึ้นอย่างสงบเยือกเย็น เขาปรายสายตาคมดำมองสตรีที่นั่งหลับอยู่ข้างกายกันนิ่งๆ

    แม้ว่ากลิ่นเหม็นสาบไม่พึงประสงค์จะย่างกรายคุกคามเข้ามาใกล้ทุกที หากแต่หงซือกวนยังคงใจเย็น เขาคิดว่าตนเองไม่เคยเลยที่จะต้องสนใจสิ่งใดยามภัยมาถึงตัว หากแต่ยามนี้มิรู้ได้ว่าทำไม...

    ชายหนุ่มขมวดคิ้วฉงนพลางหรี่ตาคมมองร่างบางที่หลับตาพริ้มพิงต้นไม้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือแตะไหล่นางเบาๆ

    “อือ...” เสียงตอบกลับจากสตรีผู้หลับใหลมีเพียงเท่านั้น เหม่ยหลินหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดทั้งสิ้น

    หงซือกวนยิ่งหรี่ตามอง ก่อนจะจ้องนิ่งที่นางอีกครา อึดใจต่อมาจึงโน้มตัวจับอุ้มนางไว้แนบอกแล้วลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ความนุ่มนิ่มจากเนื้อนวลที่ปะทะแผงอกแข็งแกร่ง ความหอมกรุ่นที่ปะทะจมูกโด่งสัน ทำให้เขาพลันเกิดกระแสประหลาดสายหนึ่งวูบผ่าน ปลายเท้าของร่างสูงพลันชะงัก ใบหน้าคมคายถึงกับก้มมอง สายตาโฉบเฉี่ยวจ้องนิ่งที่ใบหน้างาม สรรพสิ่งรอบกายคล้ายกับไร้ตัวตนไปหนึ่งลมหายใจ

    เสียงกระพือปีกของนกประหลาดดังขึ้น บ่งบอกให้รู้ว่าภัยคุกคามกำลังเข้าใกล้ ชายหนุ่มจึงนำหญิงสาวในอ้อมแขนไปวางเอาไว้ในรถม้า ก่อนจะเบนสายตาคมดำมองสัตว์ร้ายที่มาเยือน

    ยามเมื่อปลายเท้าแตะลงที่พื้นดินข้างรถม้า เสียงสวบสาบพลันกระชั้นเข้าประชิด อึดใจเดียวหมาป่าฝูงใหญ่พลันกระโจนเข้ามาดังห่าฝน ทุกตัวตนของพวกมันมาพร้อมคมเขี้ยวหมายขย้ำให้เลือดสาด

    สายตาคมเฉี่ยวของชายหนุ่มเพียงมองสัตว์ร้ายอย่างเย็นชา ปรายหางตามองไปรอบทิศทาง ร่างสูงสง่าแค่ก้าวเท้าห่างออกจากรถม้าอย่างสงบ คล้ายไม่ใส่ใจกับหมาป่าลึกลับขนาดใหญ่ที่พากันกระโจนตัวเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด เสียงขู่กรรโชกรุนแรงมิได้ต่างจากเสียงแมวเลยสักนิดในความคิดของเขา

    ทางฝั่งหนึ่งที่เฟิงหลิวกำลังนั่งเอนหลังอยู่บนต้นไม้พร้อมส่งสำเนียงเสียงเซียวหยกเพื่อควบคุมกลุ่มหมาป่า หมายลองเชิงผู้เยี่ยมยุทธ์เหนือใครในใต้หล้าให้ประจักษ์แก่สายตาดูสักครั้ง ทว่าชั่วขณะที่กำลังบรรเลงเพลงไพเราะ นกประหลาดตัวใหญ่พลันพุ่งกายทะยานคล้ายสายฟ้าฟาดปราดเข้ามา มันสยายปีกออกพึ่บกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่ชายหนุ่มนั่งอยู่พลันขาดสะบั้น ดวงตาดอกท้อของเฟิงหลิวถึงกับเบิกกว้าง จังหวะเดียวกับดวงตาแววแดงของนกประหลาดประชิดเข้ามา

    ทั้งๆ ที่วิชาตัวเบาของเขาไม่เป็นสองรองใคร แต่กลับช้าไปเมื่อเจอกับเจ้านกทมิฬดำทะมึน

    ชั่วเวลานั้นเสียงทุ้มลึกหวานใสของเซียวหยกพลันเงียบงัน ขณะเดียวกันเฟิงหลิวต้องกระโดดตัวลอยหลบปีกปานเหล็กกล้าของนกประหลาดตรงหน้าพัลวัน

    เจ้านกตัวใหญ่สยายปีกกว้างก่อเกิดพลังมหาศาลคล้ายแรงพายุโหม ทำให้กิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่ขาดสะบั้นกระเด็นปลิวว่อนไปทั่ว

    เฟิงหลิวต้องกระโจนตัวหลบกิ่งไม้ทั้งหลาย ที่บัดนี้มิต่างจากคมมีดกระจัดกระจายพุ่งปลายแหลมคมอยู่รอบกายเขา และแล้วชายหนุ่มจึงได้ประจักษ์

    มิต้องเห็นฝีมือของผู้เป็นนาย แค่สมุนที่เป็นเพียงนกประหลาดยังเก่งกาจปานนี้ 

     

    ถึงแม้ในมือของหงซือกวนจะไร้ซึ่งอาวุธใดๆ

    หากแต่พลังอันกล้าแกร่งที่มองไม่เห็นราวผุดมาจากขุมนรก ก็ทำให้หมาป่าล้มตายระเนระนาดปานดอกไม้ถูกเด็ดทิ้ง เศษซากของสัตว์ร้ายเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากเศษหญ้าถูกเหยียบย่ำ

    พวกมันยังมิทันได้แสยะเขี้ยวเพื่อขย้ำเสียด้วยซ้ำ หากแต่กลับต้องมาตายในพริบตา

    ทว่ายามเมื่อเสียงเซียวขาดหาย เหล่าหมาป่าที่ยังไม่ตายจึงเสียการควบคุม จากเดิมที่พุ่งตัวมายังเป้าหมายหนึ่งเดียวคือบุรุษสูงใหญ่ พวกมันจึงเริ่มวิ่งกระจัดกระจายไปแบบไร้ทิศทาง

    หลายตัวหนีตายราวหนูเจอราชสีห์ แต่หลายตัวกลับเลือกสัญชาตญาณสัตว์ร้ายพุ่งเข้ามา หงซือกวนเพียงสะบัดมือไปอีกครา เหล่าหมาป่าพลันพากันกระเด็นไปไกล

    แต่สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด เมื่อมีหมาป่าบางตัวบังเอิญฉลาดปราดเปรื่องเลือกที่จะจู่โจมม้าที่เชื่องช้ากว่ามัน

    พวกมันพุ่งตัวไปกัดฝังเขี้ยวเอากับเจ้าม้าตัวใหญ่ที่คันรถ ยังผลให้ม้าตัวนั้นบาดเจ็บและตื่นตกใจพลันเตลิดจนเชือกที่ผูกกับต้นไม้ขาด แล้ววิ่งตะบึงตะบันอย่างไม่คิดชีวิต

    เหม่ยหลินที่เดิมทีนั่งหลบอยู่ในรถม้าตั้งแต่ตื่นจนเต็มตายามเมื่อได้ยินเสียงขู่กรรโชกรุนแรง ทำได้เพียงจับยึดผนังรถม้าเอาไว้แน่นยามที่มันเคลื่อนตัวด้วยความเร็วแบบไร้ทิศทาง  

    ความเลวร้ายมิได้มีเพียงเท่านั้น เมื่อด้านหน้าหลังพุ่มไม้รกทึบมิใช่พื้นดินให้เกือกม้าเหยียบย่ำ หากแต่เป็นเพียงอากาศอันว่างเปล่า ที่เบื้องล่างเป็นหน้าผาสูงชันบรรจบกันกับน้ำเย็นเฉียบเชี่ยวกราก

    “พี่หง!

    เสียงกังวานแว่วหวานเรียกขานนามเดียวได้แค่นั้น ยามเมื่อรถม้าพุ่งตัวทิ้งดิ่งลงไปยังหุบเหวเบื้องล่างที่กินระยะทางถึงพันจั้ง

    เหนือสิ่งอื่นใด เหตุการณ์ไม่คาดคิดยิ่งกว่านั้นพลันบังเกิด ที่แม้กระทั่งเจ้าตัวยังไม่คิดว่าเขาจะทำ หงซือกวนเลือกที่จะพุ่งตัวตามเสียงเรียกขานนั้นในทันใด

    นกประหลาดกับเฟิงหลิวที่กำลังพัลวันพันตูกันอยู่ยังต้องชะงัก ทั้งสองพากันจ้องเขม็งไปยังบุรุษร่างใหญ่ที่พุ่งตัวไป แล้วกระโจนดิ่งทิ้งร่างสู่ก้นเหว

    เจ้านกทมิฬจึงหันกลับมามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา

    “ข้ามิได้ตั้งใจนะ”

    เฟิงหลิวรีบแก้ตัวเสียงอ่อนพร้อมรอยยิ้มประจบ ประหนึ่งดั่งนกตรงหน้าเป็นสาวงาม...



    [1] เซียวมีรูปร่างคล้ายกับขลุ่ยไม้ไผ่ มักจะทำด้วยไม้ไผ่สีม่วง ไม้ไผ่สีเหลืองหรือไม้ไผ่สีขาว มีหลายชนิด เช่นเซียวไม้ไผ่สีม่วง เซียวหยก เสียงของเซียวมีความไพเราะ ระดับเสียงต่ำออกเสียงทุ้มลึก ระดับเสียงกลางออกเสียงใส มักจะใช้บรรเลงเพลงที่พรรณนาทิวทัศน์สวยงามและอารมณ์ความรู้สึกในใจ


    *****

    หากใครเคยอ่าน นางร้ายพ่ายรัก(ดวงใจรัชทายาท) แล้ว เฟิงหลิวคือพ่อของเฟิงเหวินนะคะ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×