คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่9 พึงใจ
ประกาศ! นิยายเรื่องนี้มีฉบับอีบุ๊คแล้ว
|
สัมพันธ์ชายหญิงเป็นปริศนา ถ้ามีพรหมลิขิตต่อกัน เจ้าจะรู้ทันที เมื่อได้มองสบตา[1]
แสงตะวันส่องสว่างลงมา ผ่านหมู่พฤกษาคล้ายแสงโคมหลายร้อยดวงที่ลอดผ่านช่องเล็กๆ ลงกระทบพื้นหญ้า
กลางพนาเขียวขจี หนึ่งบุรุษหนุ่มแน่นหนึ่งสตรีนางน้อย ต่างจ้องมองสบประสานสายตา
ฝ่ายหนึ่งนั่งสง่าบนหลังอาชาสีดำ บนอาภรณ์สีม่วงเข้มมีคันศรสีทองเหลืองอร่ามบ่งบอกถึงความสูงศักดิ์อันน่าเกรงขาม
ฝ่ายหนึ่งยืนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้นหญ้า สวมใส่เสื้อผ้าซอมซ่อ หน้าตามอมแมม ดูคล้ายแมวป่าตัวน้อย
บุรุษหนุ่มยกยิ้มบาง เจือแววถือดีในแววตา ทั้งเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ หากแต่ฝ่ายสตรีกลับมีดวงตาที่สดใสและสุกสกาวเสมือนดวงดาว ไร้เดียงสาอย่างที่สุด
นี่คือครั้งที่สองที่เจิ้งเซียวเล่อได้เจอบุตรสาวบุญธรรมของเสด็จลุงเจิ้งเทียนฉี
เขากำลังยอมรับว่าครั้งแรกที่เจอกัน สตรีผู้นี้มิได้มีความน่าสนใจใดๆ นางมีดีแค่หน้าตางดงาม กิริยาท่าทางสูงส่งเท่านั้น ไม่ได้ชวนให้หัวใจรู้สึกหวามไหว ยิ่งมิใช่สตรีในแบบที่เขาชอบ เขาจึงไม่เคยไปพบนางอีก แค่ส่งของกำนัลไปให้ตามมารยาท
ทว่าพบกันครั้งนี้..
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว แววตาเจ้าเล่ห์ยามสำรวจดรุณีตรงหน้า
เขากำลังค้นพบว่า การเจอกันครานี้
ช่างน่าสนใจ...
นางไม่คล้ายเสแสร้งเหมือนในศาลาวันนั้น
ยามนี้ใบหน้าของนางดูมอมแมม เสื้อผ้าที่ใส่ก็ธรรมดาทั้งสกปรกด้วยฝุ่นละอองและเก่าคร่ำมอซอ มีหญ้าแห้งแซมอยู่ในเส้นผมที่ยุ่งเหยิง มีเศษดินติดอยู่บนใบหน้า
สตรีชั้นสูงต่อให้ตกต่ำเพียงใดก็คงไม่อยู่ในสภาพทุลักทุเลอย่างนี้เป็นแน่
ทว่าท่าทางปราดเปรียวซึ่งขัดกับชุดที่สวมใส่เช่นนั้น...
เจิ้งเซียวเล่อหรี่ตา นึกถึงประวัติของสตรีตรงหน้าโดยละเอียด เขานึกขึ้นมาได้ว่านางเคยอาศัยในป่าก่อนที่จะได้เจอกับชินอ๋องเจิ้งเทียนฉี
เช่นนั้น...นางคงเป็นสตรีที่มีสองบุคลิกกระมัง
ยามอยู่ในวังก็เสแสร้งแกล้งทำตัวสูงส่งตามมารยาสังคม แต่บางครั้งยังแอบหนีมาเที่ยวป่าแล้วเผยตัวตนแท้จริงออกมา
องค์ชายหนุ่มสูงศักดิ์เพิ่งค้นพบว่า เขากำลังรู้สึกชื่นชอบว่าที่คู่หมั้นที่ได้พบพานในครั้งที่สองนี้
เจิ้งเซียวเล่ออยู่บนหลังม้าก้มมองเฟิงลี่ไม่วางตา เขามองประเมินนางเงียบๆ รู้สึกพึงใจในตัวนางมากขึ้นเรื่อยๆ
บุรุษผู้หนึ่งกำลังล่าสัตว์กับกลุ่มองครักษ์ส่วนตัวตามวิสัย บังเอิญได้เจอว่าที่คู่หมั้นของตนในป่าใหญ่ให้รู้สึกนางคล้ายกับแมวป่าตัวน้อยที่น่าสนใจ ...จะไม่ทักทายได้อย่างไร
ท้ายที่สุดก็หมุนกายลงจากหลังม้า ยังผลให้ผู้ติดตามต้องเหวี่ยงกายลงจากหลังม้าเช่นกัน
องค์ชายหนุ่มเดินขึ้นหน้าห่างจากสาวน้อยราวห้าก้าวพลางเรียกขาน
“ท่านหญิงหยี่ซิน”
กระแสเสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นและนามเรียกขานที่ทักทาย ดึงสติของเฟิงลี่ให้กลับคืนมาได้ทันที
นางหลุบตาลง ขนตากระเพื่อมเล็กน้อย พยายามสะกดความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกลงไป ก่อนจะคิดทบทวนในใจ
ท่านหญิงหยี่ซิน คือนามของพี่ซือซือที่นางแอบสืบมาได้ระหว่างเดินทาง
ก่อนมาถึงเมืองหลวง นางมองไปทั่วเพื่อสำรวจคนของทางการ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีจึงพักเหนื่อยที่โรงเตี๊ยมชานเมือง
ระหว่างกินข้าวนางถอดหมอกออกกระทั่งเผยโฉมของตน ต่อมาก็มีบุรุษหลายคนเหม่อมอง บางคนถึงขั้นเข้ามาเกี้ยวพา
นางจึงถือโอกาสสืบข่าวโดยการถามด้วยคำถามเดียวกันว่ารู้จักวังฝูอ๋องหรือไม่?
พวกเขาต่างมีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวแล้วมองนางอย่างพิจารณาด้วยสองตาสั่นไหว ครู่หนึ่งเสมือนจำใบหน้านางได้ พวกเขาต่างอุทานเรียกนางว่า ‘ท่านหญิงหยี่ซิน’
จากนั้นก็รีบขอโทษที่ล่วงเกินนางด้วยเนื้อตัวสั่นเทา แล้วกล่าวว่าพวกเขาไม่คิดไม่ฝันว่าจักมีบุญที่ได้พบท่านหญิง
คนแรกจนถึงคนสุดท้าย รวมแล้วประมาณห้าคนที่เข้ามาเกี้ยวนางระหว่างทาง ต่างมีท่าทางเฉกเช่นเดียวกัน ท้ายที่สุด บุรุษทุกคนก็หนีนางไป คล้ายกับว่าได้กระทำความผิดใหญ่หลวง หากยังอยู่ต่อหน้านางอีกแม้ชั่วครู่อาจหัวหลุดจากบ่าได้ทุกเวลา
นางแค่คิดจะถามเส้นทางยังทำมิได้ทั้งสิ้น
ทว่าจากเหตุการณ์เช่นนั้นทำให้นางล่วงรู้สิ่งหนึ่งที่สำคัญ นั่นก็คือพี่ซือซือได้เป็นถึงท่านหญิงหยี่ซินแห่งวังชินอ๋องเจิ้งเทียนฉี
ชายเศรษฐีที่บาดเจ็บผู้นั้นย่อมเป็นท่านอ๋องสูงศักดิ์ และเพื่อตอบแทนเด็กหญิงที่ช่วยชีวิตจึงพากลับมาดูแลจนเติบใหญ่ มอบฐานะและฐานันดรให้อย่างสูงส่งเทียมฟ้า
เฟิงลี่ปะติดปะต่อเรื่องราวจนกลายเป็นภาพอันสมบูรณ์
หลังจากครุ่นคิด ดวงตาที่หลุบต่ำก็ค่อยๆ ช้อนขึ้นมา ดวงตาคู่งามของเฟิงลี่เปล่งประกายเจิดจ้า เมื่อชายตรงหน้าก็ทักทายนางด้วยนามเดียวกัน
เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักพี่ซือซือ...
แต่เขากลับไม่ลนลานหรือวิ่งหนีไปเหมือนชายคนอื่น
ท่าทางของเขาเมื่อพินิจโดยละเอียดพบว่าไม่ธรรมดา มิใช่คุณชายสามัญทั่วไปที่นางเคยเจอตามรายทางแน่นอน
เด็กสาวมีความคิดชั่วร้ายผุดวูบขึ้นมาทันที
หากเป็นเช่นนี้ การสวมรอยเป็นพี่ซือซือย่อมทำให้นางสามารถสอบถามเส้นทางได้โดยละเอียด เพราะบางทีเขาอาจจะพานางไปหาพี่ซือซือจนถึงวังฝูอ๋องด้วยตัวเขาเอง
เมื่อไตร่ตรองเสร็จสิ้น เฟิงลี่ก็คลี่ยิ้ม
รอยยิ้มของเด็กสาวงดงามพร่างพราวดุจมีแสงแวววาวเป็นประกายระยิบระยับ เต็มไปด้วยความจริงใจ ปราศจากความเสแสร้งใดๆ ยิ้มเดียวละลายใต้หล้า
เฟิงลี่ไม่ชอบคนโกหก และนางก็ไม่อยากเป็นคนโกหก นางจึงทำได้แค่ยิ้ม
มิได้พูดออกมาสักคำว่านางคือท่านหญิงหยี่ซิน
ส่วนผู้อื่นจะเข้าใจว่าอย่างไร นั่นคือเรื่องของพวกเขา
เมื่อสตรียิ้ม บุรุษถึงกับเลิกคิ้ว
อาจเป็นเพราะรอยยิ้มสว่างจ้าของแม่นางน้อยตรงหน้า ที่ทำเอากลางป่ามืดครึ้มพลันสดใสขึ้นมาทันที
เจิ้งเซียวเล่อถามเสียงขรึม “เจ้ายิ้มแบบนี้เป็นด้วยหรือ?”
เฟิงลี่หยักหน้า ยอมรับความจริง “ข้ายิ้มเป็นแต่แบบนี้” เป็นเรื่องที่นางเท่านั้นที่รู้ เพราะนางไม่สามารถยิ้มแบบอื่นได้ ทั้งยิ้มประจบ ยิ้มเสแสร้ง ยิ้มกลบเกลื่อน ยิ้มเหี้ยมเกรียม แม้กระทั่งยิ้มอ่อนหวาน นางยังทำไม่เป็น
ชายหนุ่มก้มหน้ามองเด็กสาวนิ่งๆ มีรอยยิ้มยียวนประดับบนวงหน้าหล่อเหลา
เขาเดินวนรอบๆ ตัวนางที่สูงแค่แผงอกพลางเอื้อมมือแกร่งหยิบเศษหญ้าออกจากเรือนผมอันยุ่งเหยิงของนาง
เฟิงลี่รู้สึกวูบวาบเมื่อชายผู้นี้เดินวนรอบกาย กระแสอบอุ่นจนร้อนผ่าวทำนางขนลุกชูชัน
ช่างน่าแปลกยิ่งนักที่มันไม่น่ารังเกียจเหมือนความรู้สึกเมื่อครั้งที่หลิวอี้พยายามลวนลามนาง
เมื่อเห็นเด็กสาวสะดุ้งตัวเบาๆ เจิ้งเซียวเล่อจึงมองยิ้มๆ เอ่ยเย้าว่า “ข้าชอบที่เจ้ามีสภาพน่าขบขันเช่นนี้ ดีกว่าแต่งกายหรูหราแสบตาพรมน้ำมันให้กลิ่นกายหอมหวนชวนแสบคอ”
บุรุษก้มหน้ากระซิบที่ริมหูขาว “และรอยยิ้มแบบนี้ที่ดีกว่ารอยยิ้มเอียงอายอันจอมปลอมคล้ายออดอ้อนเช่นที่วังฝูอ๋อง”
เฟิงลี่ได้ฟังพลันกะพริบตาปริบๆ เขาคงหมายถึงพี่ซือซือ
แม้นางสองพี่น้องจะมีหน้าตาเหมือนกัน เป็นคนใจร้อนเอาแต่ใจเหมือนกัน แต่กลับแตกต่างกันที่รอยยิ้ม
พี่สาวมักจะยิ้มออดอ้อนให้ท่านตาหานไต้ตั้งแต่เด็กแล้ว จึงไม่แปลก หากพี่ซือซือจะถูกท่านตาตามใจมากกว่านาง
เฟิงลี่จึงหุบยิ้ม ไม่ปรารถนาให้เกิดข้อแตกต่างต่อคนผู้นี้ ประเดี๋ยวไม่รู้เรื่องพี่ซือซือกันพอดี
นางรีบเงยหน้าถามคนตัวสูงว่า “ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ? แล้วจะกลับหรือยัง? จะไปที่ใดต่อหรือไม่? ข้ากำลังหลงทาง หาทางกลับไม่เจอเจ้าค่ะ”
เด็กสาวถามยาวเหยียดเป็นชุดและจบลงที่ตนหลงทาง เพื่อประหยัดเวลาประจันหน้า หมายให้เขาไปส่งตนที่วังแห่งนั้น ทำเอาผู้ฟังถึงกับชะงักงัน
เจิ้งเซียวเล่อถึงกับงุนงง ต่อมายังเริ่มหงุดหงิด “ทำไม? เจอหน้าข้าก็จะรีบกลับเลยหรือ?”
เฟิงลี่ส่ายหน้าจริงจัง “ไม่ใช่แน่นอน แต่ข้ากำลังหลงทาง ท่านช่วยไปส่งข้ากลับวังฝูอ๋องได้หรือไม่?”
แววตาคมหรี่ลงเมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้าช่างเสแสร้งสิ้นดี แอบมาเที่ยวถึงที่นี่โดยไม่มีสาวใช้ติดตามยังกล้าบอกว่าหลงทาง
ใครจะเชื่อ!
ชายหนุ่มจึงเอ่ยเสียงเย็นกระด้างว่า “ไม่!”
“...!?”
ครานี้เป็นเฟิงลี่ที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
เด็กสาวจึงกลอกตาส่งค้อนแวบหนึ่งพลางแค่นเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์
นางเดินทางมาหลายวัน นอนในป่ามาหลายคืน คิดถึงเตียงนุ่มเต็มที ตั้งแต่ได้มาอาศัยอยู่ในเมือง สิ่งที่ได้เรียนรู้คือมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่อาจอยู่ในป่าเพียงลำพังไปจนตลอดชีวิต และนางมิได้เลือกลิขิตเส้นทางโดยการบำเพ็ญเพียรละซึ่งทางโลก
กระทั่งท่านตาหานไต้ยังใช้ชีวิตโลดโผนท่องหล้าช่ำชองไปทั่วสารทิศอย่างเป็นสุขและใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่หลายสิบปีจนพอใจ ถึงได้เลือกอยู่ในป่าแค่ไม่กี่ปีก่อนตาย
นางเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่เติบโตในป่าใหญ่มาสิบกว่าปีจึงไม่มีความคิดอยู่ในป่าไม้เขียวครึ้มไปตลอดชีวิต หลายสิบปีที่เหลือก่อนตายจึงขอเรียนรู้โลกกว้างอย่างมนุษย์ทั่วไปบ้าง
พี่ซือซือเองคงคิดเช่นกัน ถึงได้ทิ้งนางกับท่านตามาอยู่ในวังอ๋องและได้เป็นถึงท่านหญิง ใช้ชีวิตสุขสบายในเมืองหลวง
ทิ้งให้น้องต้องลำบากอยู่คนเดียว น่าโมโหจริงเชียว
ยิ่งคิดเฟิงลี่ก็ยิ่งพาล นางจึงบันดาลโทสะกับชายตรงหน้า “เหตุใดท่านถึงแล้งน้ำใจนัก แค่พาข้ากลับวังยากที่ใด?”
เมื่อเห็นเด็กสาวไม่สามารถเก็บข่มอารมณ์ได้เช่นนี้ เจิ้งเซียวเล่อให้รู้สึกอยากเอาชนะจึงออกคำสั่งอย่างทรงอำนาจว่า
“พาเจ้ากลับวังนั้นไม่ยาก หากแต่ที่ยากคือเวลาที่ได้เห็นเจ้ายามมิใช่ท่านหญิงสูงส่งจอมเสแสร้ง มิสู้เราอยู่ด้วยกันในป่าให้นานขึ้นหน่อย ข้าอยากเล่นกับเจ้าที่เป็นแบบนี้”
เฟิงลี่เม้มปากขมวดคิ้ว จ้องตาไม่กะพริบ “เล่น?”
เจิ้งเซียวเล่อเลิกคิ้ว สีหน้าเจ้าเล่ห์ถือดี “ใช่!”
เด็กสาวพยายามสะกดอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านลงไปก่อนถามเสียงห้วน “เล่นอะไร?”
ชายหนุ่มยกยิ้มอารมณ์ดี “เข้าป่าย่อมต้องแข่งขันล่าสัตว์ เป็นการละเล่นที่สมเหตุสมผลที่สุดมิใช่หรือ?”
เฟิงลี่ยิ่งขมวดคิ้วแน่น
นางไม่ได้มีอารมณ์เล่นล่าสัตว์เสียหน่อย ถึงแม้จะทำได้อย่างเก่งกาจก็ตามที
ทว่าแม้ในใจคิดอย่างนั้น แต่นางจำต้องตอบกลับสั้นๆ ว่า “ได้!”
แววตามืดดำของบุรุษพลันสว่างวาบอย่างไม่เคยเป็น
ภายใต้ท่าทีเย็นชาและเย่อหยิ่งถือตัวเช่นเดิม หากแต่ยามนี้เจิ้งเซียวเล่อให้นึกสนุกไม่น้อย เขาสั่งให้คนนำคันธนูเข้ามา ก่อนยื่นให้ตรงหน้าของดรุณีคนงาม
เฟิงลี่รับเอาไว้อย่างไม่เต็มใจนัก แต่เมื่อสังเกตคันธนูชัดๆ กลับรู้สึกถึงความเป็นอาวุธชั้นเลิศ ด้ามจับสีทองเส้นสายสีเงิน เปล่งประกายภายใต้แสงตะวัน ระยิบระยับจับตา ประดับประดาด้วยหยกสีเขียวมันวาวสลักลายเมฆมงคล ยามกุมไว้ในมือให้ความรู้สึกนุ่มละมุนแต่กระชับมั่นคงด้วยเชือกอย่างดีพันรอบด้าม
ความพึงพอใจผุดวูบในแววตา สีหน้าระบายความชื่นชม
นางเคยแต่ล่าสัตว์โดยการใช้อาวุธตามอัตภาพ ธนูยังต้องทำขึ้นเอง รูปร่างอัปลักษณ์นัก ลูกธนูยังไร้ประสิทธิภาพยิ่ง
เด็กสาวเงยหน้าจากคันธนู มองคนตัวใหญ่ด้วยสองตากระจ่างใสไร้ความขุ่นมัวเช่นก่อนหน้า แล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านคือชวนอวิ๋นเจี้ยน[2]”
ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าชมเกินไป ข้ามิกล้ารับ”
แน่งน้อยแทบพุ่งใส่คนตัวใหญ่ “ลูกธนูเล่า?”
คันธนูกับสายขึงยังชั้นเลิศขนาดนี้ ลูกธนูย่อมมีปลายศรที่แหลมเล็กและเป็นเหล็กกล้าชั้นยอดแน่นอน
เจิ้งเซียวเล่อสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางต่างๆ ของคนงามที่เป็นเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกสนุก จึงยกถุงหนังบรรจุลูกธนูขึ้นกลางอากาศ
“มีปัญญาก็เข้ามาเอา”
เฟิงลี่แหงนหน้ามองลูกธนูสีทองในถุงหนังที่ถูกแขนยาวๆ ของคนตัวโตยกขึ้นสูงก็ให้รู้สึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ท่านแกล้งข้า”
ชายหนุ่มเอียงหน้า “ใครแกล้งเจ้า? หากไร้ความสามารถก็อย่าได้โทษผู้อื่น”
เด็กสาวเบิกตา มองคนยียวนอย่างโกรธา นางคล้องธนูไว้บนไหล่ซ้าย ตั้งท่ากระโดดใส่ชายตรงหน้า เอ่ยเสียงลอดไรฟันว่า
“ได้...ท่านเริ่มปัญหานี้ก่อนนะ”
เจิ้งเซียวเล่อสะกดรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้แล้ว “ปัญหาหรือ?” แววตาบุรุษแฝงความเร่าร้อน เขาคำรามเสียงหนึ่ง “เข้ามา!”
แทนที่จะได้เห็นการละเล่นล่าสัตว์ กลุ่มองครักษ์ประจำเจี้ยนอ๋องเจิ้งเซียวเล่อกลับได้เห็นดรุณีน้อยนางหนึ่งกำลังไล่ล่าองค์ชายสูงศักดิ์ไปตามพื้นหญ้าและพุ่มไม้ คล้ายต้องการกัดกันให้จมเขี้ยวเลือดสาด
ทั้งสองคน หนึ่งวิ่งหนีหนึ่งวิ่งตาม แต่ท่าทางของคนวิ่งหนีดูสนุกสนานกว่ามาก มิคล้ายกำลังถูกตามล่า
เหล่าองครักษ์พากันยืนมององค์เหนือหัวอย่างพึงพอใจ พวกเขาไม่เคยเห็นเจ้านายได้ผ่อนคลายกลายร่างเป็นหนุ่มน้อยเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว
ความกดดันอันร้ายกาจที่ได้รับทั้งจากคนในราชนิกุลและจากศัตรูในสมรภูมิรบ ล้วนหล่อหลอมทำให้หนุ่มน้อยผู้หนึ่งเติบโตเป็นชายหนุ่มหยาบกระด้างและโหดเหี้ยมเย็นชาเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่กระนั้นพวกเขาที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชายังปรารถนาให้องค์ชายของตน ยังคงความเป็นตัวเองเอาไว้เฉกเช่นอดีต...
---
[1] อ้างอิงคำพูดบางส่วนจากนิยายเชิงประวัติศาสตร์หงส์เหนือมังกร
|
ความคิดเห็น