คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่8 รักแรกพบ
วังฝูอ๋อง...
บ่ายวันนี้ซือเร่อรู้สึกหูตาพร่างพรายคล้ายกำลังมีดอกไม้เบ่งบานเต็มไปหมด เพราะตำหนักอ๋องมีแขกพิเศษมาเยือน
เขาคือเจิ้งซงหยวน องค์ชายลำดับที่หนึ่ง ผู้ซึ่งได้ครองตำแหน่งรัชทายาทอันสูงส่ง
เขาผู้นี้ทั้งหล่อเหลาสง่างาม เปี่ยมเสน่ห์ลึกล้ำเหนือผู้คน เป็นที่รักใคร่ของฮ่องเต้และฮองเฮา
ตามคำเล่าขาน เขาคือองค์ชายรูปงามที่สุดในโอรสทั้งสี่ เป็นที่ชมชอบและใฝ่ฝันถึงขั้นหมายปองของอิสตรีทั่วบ้านทั่วเมือง
ดูเถิด บุรุษดีเลิศเช่นนี้ จะมิให้เปิดหูเปิดตาได้อย่างไร?
ตั้งแต่เมื่อวาน ซือเร่อบังเอิญได้ล่วงรู้ถึงเทียบขอเข้าพบชินอ๋องจากเจิ้งซงหยวน เมื่อคืนนางจึงเตรียมเสื้อผ้าแพรพรรณและเครื่องประดับเอาไว้พร้อมพรั่ง
พอฟ้ายังไม่ทันสว่างนางก็รีบลุกขึ้นแต่งตัวงดงาม ยามสายก็มาเดินทอดน่องเฉิดฉายโดดเด่นที่หน้าตำหนักท่านอ๋องคล้ายบังเอิญ เมื่อรัชทายาทหนุ่มปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าตำหนักก็ได้เห็นท่านหญิงหยี่ซินผู้เลอโฉมอย่างคาดไม่ถึง
ภายใต้ใบหน้าจิ้มลิ้มที่แต่งแต้มอย่างประณีตเหมาะสม ไม่มีใครล่วงรู้ว่าซือเร่อกำลังรู้สึกหน้ามืดตาลายหูตาพร่างพรายกับความรูปงามที่เปล่งประกายเหนือใครของเจิ้งซงหยวน
ไม่เอ่ยถึงความสูงศักดิ์ที่เป็นถึงองค์รัชทายาท ไม่ต้องบอกว่ามีตำแหน่งสูงส่งเป็นถึงว่าที่องค์ราชัน แค่ได้เห็นท่าทางสุขุมเยือกเย็น กิริยาบ่งบอกถึงความเป็นสุภาพชน แววตาเรียวคมทอแววอบอุ่น วงหน้าหล่อเหลาอ่อนโยน รูปร่างสูงเพรียวสง่างาม ซือเร่อก็ให้รู้สึกหัวใจใกล้ละลายแล้ว
เด็กสาวอายุใกล้สิบหกปี เวลากระชั้นชิดเข้ามาทุกที นางต้องเลือกว่าที่สามีให้ดี รัชทายาทผู้นี้ซือเร่อไม่อาจไม่ใส่ใจ
แม้บุรุษคนแรกจะเป็นถึงองค์ชายที่ท่านอ๋องหมายตา ใบหน้าหล่อเหลา สูงศักดิ์เทียมกัน แต่เขามีฉายาน่ากลัวปานนั้น นิสัยแข็งกระด้างใจคอโหดเหี้ยมเกินไป ซือเร่อรู้สึกไม่ชอบใจนัก
หากเป็นรัชทายาทผู้อบอุ่นอ่อนโยนย่อมดีกว่าแน่นอน
วันนี้ตลอดช่วงบ่าย ชินอ๋องจึงได้เห็นบุตรสาวบุญธรรมแต่งกายประทินโฉมปานนางสวรรค์ คอยดูแลปรนนิบัติรินน้ำชาด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานไม่ห่างกาย
เมื่อเหลือบตาไปมองหลานชายรูปงามอีกฝั่ง ยังเห็นเขายกยิ้มน้อยๆ แต่แววตาอบอุ่นแฝงความเร่าร้อนมองมาไม่ขาดสาย
เรียวคิ้วสีดอกเลาเริ่มขมวดเข้าหากัน เจิ้งเทียนฉีรู้สึกได้ถึงความผิดปกติระหว่างหนุ่มสาวทันที
อ๋องเฒ่ากระแอมเบาๆ ค่อยๆ กล่าว “วันนี้รัชทายาทให้เกียรติมาเยี่ยมเยือน เกรงว่าคงมีเรื่องสำคัญกระมัง”
สำหรับชินอ๋องเจิ้งเทียนฉี หลานชายที่เขาสนิทสนมที่สุดคือเจิ้งเซียวเล่อ ส่วนหลานชายคนอื่นๆ กลับมีระยะห่างเหินพอควร คำเรียกขานจึงเป็นไปตามศักดิ์ฐานะของอีกฝ่าย
เจิ้งซงหยวนหาได้แปลกใจอันใด เขายังคงไว้ซึ่งท่าทางสุขุมเยือกเย็นดุจเดิม พลางเอ่ยเสียงทุ้มเบาอ่อนโยนว่า
“หลานไม่ขอปิดบังเสด็จลุง เสด็จพ่อทรงเป็นกังวลเรื่องพระชายา จึงเร่งรัดจัดหาสตรีคู่ควรให้ไม่เว้นวัน หลานจึงต้องหาสถานที่ขอหลบมาทำใจ วังของเสด็จลุงนับว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว เสด็จพ่อไม่คิดมาวางอำนาจที่นี่แน่นอน”
เจิ้งเทียนฉีเลิกคิ้ว “เจ้ายังไม่อยากแต่งงาน”
เจิ้งซงหยวนยิ้มรับ “ไม่ผิด”
เขายกชาขึ้นจิบอึกหนึ่งก่อนกล่าวคำอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“หลานยังไม่มีหญิงใดในดวงใจ...” เนตรเรียวคมค่อยๆ ปรายมองซือเร่อช้าๆ รัชทายาทหนุ่มเอ่ยยิ้ม ๆ แต่น้ำเสียงราบเรียบว่า “พระชายาของหลาน ย่อมเป็นคนที่หลานมีรักปักใจ มิใช่ใครที่ไหนก็ได้”
วาจาแม้ราบเรียบทุ้มเบา ทว่ากลับคล้ายเป็นก้อนหินลูกไฟขนาดใหญ่กระแทกใส่กลางหัวใจของซือเร่อจนรุ่มร้อน แววตาของนางถึงกับฉายความออดอ้อนเว้าวอนอยู่เนืองๆ
เด็กสาวมองรัชทายาทหนุ่มด้วยสองตาหวานฉ่ำปานน้ำผึ้งหยาดหยด
นางอยากเป็นสตรีผู้นั้นของเขา...
ริมศาลาสายลมโชยแผ่วไล้ยอดหญ้าจนไหวเอน ทว่าบุคคลในศาลากลับนั่งนิ่งตัวตรง ไร้ซึ่งวาจา ชายหนุ่มหญิงสาวมองตากันเงียบงัน มีความเปล่งประกายบางอย่างในแววตานั้น
หากกล่าวตามจริง สิ่งที่พวกเขาแสดงออกมา ล้วนมีความหมายถึงคำว่า ‘รักแรกพบ’ ที่รู้กันเฉพาะพวกเขา
ชินอ๋องมิได้รับรู้อันใด เขาจึงกล่าวเนิบนาบ
“หากรัชทายาทเห็นว่าวังของข้าเป็นสถานที่หลบภัยชั้นดี เห็นทีคงปรารถนาจะอยู่ที่นี่สักระยะจนกว่าจะสบายใจกระมัง”
เจิ้งซงหยวนจำต้องละสายตาจากสะคราญโฉม เอ่ยตอบชายชราอย่างนอบน้อมว่า “หลานคงไม่รบกวนเสด็จลุงนานนัก แค่อยากพักผ่อนชั่วครู่แล้วค่อยกลับไปเผชิญหน้ากับเสด็จพ่อ”
ซือเร่อเกรงว่ารัชทายาทหนุ่มจะรีบกลับ นางจึงรีบเอ่ย
“ท่านพ่อบุญธรรม พระองค์ทรงให้หม่อมฉันพารัชทายาทเดินชมสวนบุปผาดีหรือไม่? กลิ่นหอมโชยกรุ่น ทิวทัศน์งามตา ไยมิใช่พาให้ใจสงบลงได้”
ชินอ๋องยังไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ชายหนุ่มพลันเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ย่อมดี ตกลงตามนี้”
เมื่อได้ยินคำตอบรับจากเจิ้งซงหยวน ซือเร่อก็เม้มปากก่อนจะค่อยๆ แย้มยิ้มงาม พวงแก้มแดงเรื่อ ท่าทางเขินอายยิ่งนัก แต่ประกายตากลับวาววับสมใจ
เจิ้งเทียนฉีหรี่ตามิใคร่จะเห็นพ้องเท่าใด ตัวเขาค่อนข้างหวงแหนบุตรสาวบุญธรรมราวกับไข่ในหิน แต่การจะหักหน้ากันย่อมมิใช่สิ่งควรกระทำ ทั้งยังมิใช่วิสัยสุภาพชน เพราะอีกฝ่ายคือหลานชายและเป็นถึงองค์รัชทายาท การให้เกียรติกันจึงสมควร
เขาเอ่ยเสียงขรึม “ตามใจเถิด...”
เพิ่งสิ้นเสียงอนุญาต ทั้งหลานชายและบุตรสาวบุญธรรมต่างก็พากันลุกขึ้นทำความเคารพทันที เดินออกจากศาลาทันใด
พวกเขาเดินชมนกชมไม้ด้วยท่าทางเว้นระยะพอควร กิริยาถูกต้องเหมาะสมอยู่บนครรลองคลองธรรมเป็นอย่างดี
เจิ้งเทียนฉีนั่งมองคนทั้งสองครู่ใหญ่กระทั่งวางใจว่าจะไม่เกิดเรื่องเกินงามจึงสั่งคนสนิทให้เข็นเก้าอี้เข้าตำหนักส่วนตัว
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าสดใสเหมือนทุกวัน ทว่าในหัวใจของซือเร่อกลับสดใสกว่าทุกวัน
เพราะวันนี้ มีคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้เป็นสหายของซือเร่อส่งคนมาขออนุญาตชินอ๋องอย่างถูกต้องตั้งแต่ฟ้าสางว่าจะพานางเที่ยวเล่นชมเมืองตามวิสัย ทั้งมีรถม้าหรูหรามารอรับนางถึงหน้าประตูวังอ๋องพร้อมคนคุ้มกัน
หลังจากได้รับอนุญาตจากชินอ๋อง ซือเร่อก็แต่งกายงดงามเฉิดฉาย เดินไปขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางทันที
มิคาดว่า บนรถม้าจะมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่
“รัชทายาท เหตุใดท่าน?”
เมื่อชายหนุ่มรูปโฉมสง่างามปรากฏกายตรงหน้า ซือเร่อนึกว่าภาพลวงตา จึงเอื้อมมือขึ้นจับแก้มตัวเองเบาๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงเรียวนิ้วเย็นๆ ที่ข้างแก้มตนจึงรู้ว่าอีกคนมีอยู่จริง
ซือเร่อเบิกตาโตมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก ที่แท้นี่คือแผนการของเขาหรือ?
เจิ้งซงหยวนมองยิ้มๆ “อะไรของเจ้า?”
ซือเร่อกะพริบตา เม้มปากอย่างขัดเขิน ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “หม่อมฉันไม่คิดว่ารัชทายาทจะนั่งรอหม่อมฉันอยู่ในรถม้าเพคะ”
ชายหนุ่มได้ฟังจึงหลุดหัวเราะเสียงหนึ่ง เขากล่าวเสียงทุ้มนุ่ม “ตามธรรมเนียมปฏิบัติต้าเจิ้ง ชายหญิงที่ยังไม่ออกเรือน แม้มีใจผูกสัมพันธ์ แต่การนั่งรถม้าคันเดียวกัน ออกจะไม่สมควร แต่ข้าอยากพบหน้าเจ้าให้เร็วขึ้นสักหน่อย การนั่งต้องรอเจ้าที่เหลาอาหาร มิสู้นั่งรอเจ้าอยู่ในนี้ ได้นั่งรถม้าคันเดียวกันกระทั่งถึงที่หมาย ไยมิใช่ใช้เวลาได้คุ้มค่ากว่ามากนัก”
ประโยคเกี้ยวพายาวเหยียด ซือเร่อได้ยินก็ให้รู้สึกเขินอาย โดยเฉพาะคำว่า ‘มีใจผูกสัมพันธ์’
หลังจากสนทนากันเมื่อวาน ความสนิทสนมก็เริ่มต้นและเพิ่มขึ้นอย่างทบทวีจนน่าตกใจ แม้ว่ามันออกจะเร็วไปสักหน่อย ทว่ายามนี้ เด็กสาวคล้ายเป็นกองหิมะเจอแสงตะวันกลางคิมหันต์ หากเขายังเอ่ยต่ออีกคำ เกรงว่านางคงละลายจนเหลวเป็นน้ำ ปรารถนาไหลซึมไปหลอมรวมกับเรือนร่างสง่างามของเขาแล้ว
ซือเร่อจึงเอ่ย “เรารีบไปเถิดเพคะ หากกลับเข้าวังผิดเวลา ท่านพ่อบุญธรรมย่อมเคืองพระทัย”
ประเดี๋ยวไม่ให้นางออกไปเที่ยวอีก จะแย่!
ประโยคหลังซือเร่อเพียงคิดในใจมิได้เอ่ยออกมา
รอยยิ้มอบอุ่นยังคงประดับอยู่บนดวงหน้าเปี่ยมเสน่ห์ของเจิ้งซงหยวน เขาถามเสียงทุ้ม “เจ้าไม่อยากฟัง?”
เด็กสาวขมวดคิ้ว “ไม่ใช่เพคะ!”
จบคำพวงแก้มยิ่งแดงปลั่งดั่งจะคั้นน้ำสีกุหลาบออกมา
รัชทายาทหนุ่มหลุดหัวเราะเสียงเบา “ข้าพูดให้ฟังอีกนะ”
ซือเร่อยิ่งหน้าแดงก่ำราวกับซับสีเลือด “ไม่ต้อง”
เจิ้งซงหยวนยิ่งหัวเราะขบขัน “เอาล่ะ! ข้าไม่เย้าเจ้าแล้ว”
แม่นางน้อยเอ่ยอย่างแง่งอน “ย่อมดีเพคะ”
เสียงหัวเราะกลั้วเสียงหยอกล้อดังขึ้นผสานกับเสียงล้อบดถนนยามรถม้าเคลื่อนตัว
จื่อซิ่วกับเสี่ยวชุ่นที่เดินอยู่ด้านข้างรถม้าพากันส่งยิ้มพร่างพราวให้แก่กันอย่างรู้สึกมีความสุขร่วมกับนายสาวของตน
ข่าวว่ารัชทายาทเจิ้งซงหยวนทรงเป็นบุรุษทรงคุณธรรมเปี่ยมน้ำใจ ในตำหนักบูรพาก็ยังไม่มีกระทั่งอนุชายาสักคน
พวกนางบ่าวคนสนิททั้งสอง เริ่มเห็นเส้นทางสุกสว่างเรืองรองคล้ายโรยด้วยกลีบบุปผาแห่งความสุขหากได้ติดตามท่านหญิงหยี่ซินเข้าตำหนักบูรพาในภายหน้า
.
.
.
หลายวันแล้วที่เฟิงลี่เดินทางอยู่ในเมืองหลวงต้าเจิ้งอันกว้างใหญ่แห่งนี้ จากทิศใต้ค่อยๆ ขยับขึ้นทิศเหนือ
ระหว่างนั้นนางต้องระหกระเหินเร่ร่อน เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าขมุกขมัว สภาพย่ำแย่ไม่ต่างจากแมวป่าผลัดหลงกับฝูงตน กระทั่งเงินหมดลง ไม่มีให้ซื้อข้าวกิน เฟิงลี่ยามนี้กำลังหิวมากๆ จะให้ทำอย่างไร
เด็กสาวมองซ้ายแลขวาคิดวิธีหางานทำเพื่อแลกข้าวกิน ความคิดของนางมิได้ซับซ้อน เป้าหมายมีแค่หาข้าวกิน
สาเหตุที่นางคิดเช่นนี้เพราะเงินได้มาย่อมหมดในไม่ช้า แต่หากสามารถหาสถานที่พักพิงมีข้าวกินครบมื้อนั่นจึงดำรงอยู่ได้ยืนนาน จะได้ไม่หิวตายก่อนหาพี่สาวเจอ
อ้อ...ถ้าได้สถานที่ที่ไม่มีบุรุษมากรักด้วยจึงจะดี นางยังไม่อยากมีสามีกลายเป็นสตรีของผู้อื่นก่อนเจอพี่ซือซือ
สำหรับเฟิงลี่นั้น ยามนี้เหลือแค่ซือเร่อที่เป็นญาติคนเดียว ซึ่งเปรียบประดุจมารดา หากจะออกเรือนยังต้องเชื่อฟัง จะหวีผมม้วนมวยปักปิ่นครั้งแรกยังต้องให้พี่สาวทำให้
ยามนี้เด็กสาวค่อนข้างระวังตัวมากกว่าเดิม ระหว่างทางเคยเข้าของานทำที่โรงน้ำชา โรงหมอ เหลาอาหาร โดยเลือกเฉพาะร้านที่ไว้ใจได้ว่าจะไม่เจอบุรุษใจหยาบอีก
ทว่าไม่มีใครรับเลย พวกเขาบอกว่าไม่รับขอทานสกปรกเข้าทำงาน หากนางอยากได้ข้าวกินต้องไปนั่งนอกร้าน
“โน่น! นั่งห่างๆ ไป!”
ประโยคเดือดดาลตวาดลั่นช่างคล้ายคลึงกันยิ่ง
เฟิงลี่ได้ยินจนจำขึ้นใจ
เฮ้อ! คนเมืองหลวงนี่ก็กระไร ชอบมองคนแค่เปลือกนอก!
นางถูกขับไล่ออกมาไม่ต่างจากสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ท้ายที่สุด จึงไม่ประสงค์เดินวนเวียนอยู่ในตัวเมืองสักเท่าไหร่ หมวกกันลมก็รุ่มร่ามเกินไป มองทางหนีทีไล่ได้ลำบากลำบนมาก ยิ่งเห็นบุรุษในเครื่องแบบทหารเดินเป็นแถวยาวเหยียดอย่างขึงขังก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน เกรงว่าจะเป็นคนของทางการถูกสั่งมาให้จับกุมนางในข้อหาที่จิ่วเม่ยสร้างขึ้น
เมืองหลวงใหญ่โตยิ่งนัก นอกจากมีอาณาเขตกว้างขวาง ยังมีภูเขารอบด้าน นับว่าเป็นปราการปกป้องตามธรรมชาติอันยอดเยี่ยม
เฟิงลี่จึงเลือกเดินเลียบชานเมืองอันเป็นชายป่าเชิงเขา ถึงแม้จะลำบากกายทว่ากลับเดินทางได้สบายใจกว่ามาก เพราะชีวิตยากไร้สิบกว่าปีที่แล้วล้วนชาชินกับป่าเขาลำเนาไพร ยอมเหนื่อยเพิ่มอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป
เพียงแต่ในป่าแห่งนี้อุดมสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ
สาวน้อยเดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หิวก็หาอาหารป่ากิน เสื้อผ้าสีชมพูสดใสที่สวมใส่แต่เดิมเริ่มเปื้อนฝุ่นดินเป็นสีขมุกขมัว ชุดนี้เป็นผ้าไหมเนื้อดีและสวยงามสามารถเปลี่ยนหญิงยาจกให้กลายเป็นธิดาเศรษฐี จิ่วเม่ยเลือกซื้อให้เฟิงลี่อย่างเอาอกเอาใจหลิวอี้ก่อนเกิดเรื่องขึ้น แต่นั่นมิใช่สิ่งที่ต้องกังวล สิ่งที่กังวลคือความยาวรุ่มร่ามของมัน
ยามเดินเหินชายผ้ามักจะเกี่ยวกับกิ่งไม้ต้นหญ้าจนตึง ดึงรั้งดรุณีไปจนตลอดทาง ที่สำคัญ กางเกงกับแขนเสื้อด้านในค่อนข้างหลวมและโปร่งบาง อันอาจจะทำให้มีสัตว์ตัวเล็กๆ แอบเข้าไปใต้ร่มผ้าได้ เฟิงลี่จึงหาเชือกเถาวัลย์มารัดรอบแขนเหนือข้อมือและรอบขาเหนือข้อเท้าเอาไว้ หมวกกันลมยังโยนทิ้งไป เพื่อมิให้ปิดกั้นทัศนียภาพ ทำให้เดินทางได้คล่องตัวยิ่งขึ้น
ยามนี้ดรุณีน้อยร่างเพรียวยืนอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง พยายามเพ่งมองจับทิศทางท่ามกลางพนาที่กว้างใหญ่ไพศาล เมื่อรู้ได้ว่าทิศใดคือทิศเหนือและควรไปทางใดจึงปีนลงจากต้นไม้แล้วเดินทางต่อ
เฟิงลี่ไม่อาจล่วงรู้ว่าผืนป่านี้กว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ก็เพราะเป็นเขตอุทยานหลวง สำหรับเชื้อพระวงศ์เข้ามาล่าสัตว์
เมื่อนางลงจากต้นไม้แล้วก้าวเท้าได้เพียงครึ่งก้าว ลูกธนูพลันแหวกอากาศเฉียดศีรษะดังสวบ
สิ่งนี้นอกจากไม่ทำให้เฟิงลี่รู้สึกหวาดหวั่น สาวน้อยยังรีบหันขวับกลับไปมองตามทิศทางลูกธนูทันควัน
ทันใดนั้นนางพลันแตกตื่นในแววตา
ท่ามกลางป่าไม้สีเขียวรกชัฏ เด็กสาวเห็นบุรุษหนุ่มแน่นในอาภรณ์สีม่วงผู้หนึ่งนั่งสง่าอยู่บนหลังม้า
รูปร่างของเขางดงามสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เรียวคิ้วดกดำพาดเฉียง นัยน์ตาที่เรียวยาวคู่นั้นปลายเชิดเล็กน้อย ดูมีเสน่ห์บาดตาอย่างบอกไม่ถูก
ทว่าสีหน้าของเขากลับเคร่งขรึมเย็นชาอย่างมาก เป็นความเคร่งขรึมที่หาได้ยากในตัวบุคคลที่นางเคยพบพาน เป็นความเย็นชาที่ทำให้ใจคนร้อนรุ่ม ประดุจดอกไม้น้ำแข็งค้างที่ผลิบานอยู่กลางทะเลทรายอันร้อนแรงแต่กลับหนาวเหน็บ ทั้งสูงค่าและกล้าแกร่งอย่างหาใดเทียม เรือนกายยังแผ่กลิ่นอายคล้ายสัตว์ร้ายในป่าลึกเร้นลับ เกินกำลังที่จะจับต้องได้
ดรุณีนางน้อยแหงนหน้าเบิกตากลมโตมองชายหนุ่มเบื้องหน้าที่คล้ายดั่งภาพมายา นางรู้สึกเสมือนได้เจอเทพลงมาเยี่ยมเยือนยังแดนมนุษย์ ใจของนางเต้นแรงอย่างไม่อาจควบคุม ใบหน้าของนางร้อนผ่าว ลมหายใจสะดุด สายตามิอาจละจาก ได้แต่มีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นฉับพลัน
ความรู้สึกเช่นนี้ เฟิงลี่ไม่เข้าใจว่าคืออะไร
สายลมโชยแผ่วไล้ผ่านยอดหญ้า ทำสองหูถึงกับอื้ออึง ทุกสรรพเสียงรอบตัวอันตรธานหายไป แสงแดดที่กระทบใบหน้า ทำให้นางรู้สึกพร่าเลือนนัยน์ตา และแสงแดดที่ตกกระทบร่างเขา คล้ายสีทองสว่างจ้า ยิ่งทำให้นางลืมตาไม่ขึ้น
สรุปแล้ว ดวงตาของเฟิงลี่กำลังตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ นางกำลังมองเห็นอสูรร้ายตนหนึ่งเสมือนเทพเซียนจำแลง
ลมหุบเขาโชยผ่านเย็นยะเยือกปานนั้น กลีบดอกหญ้าปลิวว่อนประหนึ่งพิรุณโปรยปราย
ภายใต้ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา มีสายตาคล้ายตกหลุมรักเพียงแรกเห็นเช่นนี้ เป็นสิ่งที่บุรุษอย่างเจิ้งเซียวเล่อรับรู้ได้
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มบางเบา
นางตรงหน้ามิใช่ว่าที่คู่หมั้นของเขาหรือไร?
นิยายเรื่องนี้ฉบับอีบุ๊ค คลิก>>>พันธนาการรัดรึงใจ
|
ความคิดเห็น