คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่11 กลอนแทนใจ1
ย่างเข้าเดือนที่แปดให้หลังจากนั้น...
เหอหย่งหมิงก็เดินทางกลับจวนของตน หลังจากไปประจำยังชายแดนอันทุรกันดารห่างไกลนานถึงครึ่งปี โดยครั้งนี้มิได้ให้ใครแจ้งเพ่ยจีล่วงหน้า ด้วยเพราะระยะทางช่างห่างไกลเหลือเกิน เดินทางแต่ละคราทั้งขาไปและขามา กินเวลาเกือบสองเดือน เขาจึงมิรู้ได้ว่าจะกลับถึงจวนวันใด
เมื่อกลับเข้าจวนมาก็ต้องแปลกใจ เมื่อเพ่ยจีมิได้อยู่ภายในจวน
อันที่จริงนางมิได้มารอรับหน้าประตูเหมือนเช่นทุกครั้งก็พอเข้าใจได้ เพราะเขามิได้ส่งคนมาแจ้งล่วงหน้าว่าจะกลับวันใด หากแต่ในเรือนส่วนตัวก็ไม่อยู่ ส่วนใดของจวนก็ไม่เห็นแม้เงา ถามบ่าวไพร่จึงรู้ว่านางมิได้กลับจวนมาหลายวันแล้ว
แม่ทัพหนุ่มนึกแปลกใจไม่เบา กับการที่สตรีออกเรือนแล้วแต่ยังกล้าไปนอนค้างแรมที่อื่น นับได้ว่าไม่เหมาะอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มจึงออกตามหาหญิงสาวผู้เป็นภรรยาด้วยตนเอง นึกกลัวเกรงว่าจะเป็นเหมือนลี่เหยาถิง ที่ทิ้งเขาไปไม่ไยดี ทั้งๆ ที่นางบอกว่ารักเขา
เหอหย่งหมิงคิดถึงภรรยาคนแรกโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด ขณะที่ออกตามหาภรรยาคนปัจจุบัน
และแล้วเขาก็ได้ล่วงรู้ความจริงบางประการที่ทำให้เขาประหลาดใจมากโข ซึ่งไม่คาดฝันว่าสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานจักคิดกระทำการเช่นนั้นได้
ความจริงนั้นก็คือ เมื่อเหอหย่งหมิงไปตามหาเพ่ยจีที่บ้านของพ่อตา นึกเพียงว่านางอาจจะกลับไปเยี่ยมบ้าน ทว่าบ้านหลังนั้นกลับกลายเป็นบ้านร้าง ไร้ผู้อยู่อาศัยไปเสียแล้ว
เหอหย่งหมิงจึงสอบถามจากเพื่อนบ้านใกล้กัน จึงได้รู้ว่า หลังจากที่เพ่ยจีแต่งงานกับเขาจนได้เป็นฮูหยินแห่งจวนแม่ทัพ นางก็ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ใช้ชีวิตหรูหราราวกับเป็นฮองเฮา
วันๆ เอาแต่ใช้อำนาจข่มเหงผู้คนในบ้านบิดาของนางกับภรรยาใหม่ของบิดาจนหนำใจ สร้างความวุ่นวายให้ครอบครัวบิดาจนระส่ำบ้านแตก
กระทั่งเด็กเล็กตาดำๆ ก็ไม่เว้น
นางว่าจ้างอันธพาลมาทุบตีภรรยาใหม่ของบิดาจนเดินไม่ได้ เมื่อบิดามาห้ามปรามและเอ่ยปากขอร้องว่ามีอะไรให้ลงที่บิดาเพียงผู้เดียว เพ่ยจีก็ชี้นิ้วสั่งทุบตีบิดาจนขาพิการทั้งสองข้าง จากนั้นก็ยึดเงินทองของบิดาไปจนสิ้นราวกับโจรป่าเข้าปล้นชิง แล้วไล่ทุกชีวิตออกจากบ้านเยี่ยงหมูหมา หากไม่ไปก็ขู่ว่าจะฆ่าให้ตายทั้งหมด ทุกชีวิตของบ้านหานซึ่งมิได้มียศศักดิ์หรืออำนาจใด เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา จึงพาลูกหลานหนีตายไปอย่างลนลาน
ชายหนุ่มจึงแอบไปดูที่ตลาดห่างออกจากบ้านหลังนั้นไปสองลี้ จึงได้เห็นพ่อตาและเด็กน้อยที่เป็นน้องชายต่างมารดาของเพ่ยจี กำลังนั่งขอทานอยู่
เขาทำได้เพียงเดินเข้าไปหาแล้วโยนเงินสิบตำลึงลงในชามกระเบื้องบิ่นๆ
พ่อตาไม่ได้เงยหน้ามองเขา เพียงโขกศีรษะแล้วกล่าวคำขอบคุณและอวยพรให้เขามั่งมีศรีสุข
เขาค้อมศีรษะรับ เอ่ยคำใดไม่ออกแม้ครึ่งคำ ได้แต่เดินจากมาเงียบๆ
เขาไม่ได้คิดว่าเงินเท่านี้จักช่วยอะไรได้ แต่อย่างน้อยคงพออิ่มท้องได้เป็นเดือน
อันที่จริง เขาก็พอรู้มาบ้างถึงพฤติกรรมบิดาของเพ่ยจีในอดีต เพราะว่านางเคยเล่าให้เขาฟังอย่างเคียดแค้นชิงชังแล้วร่ำไห้ปานขาดใจ เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่าสตรีอ่อนหวานและอ่อนโยนตลอดเวลาเช่นนาง จะแก้แค้นได้โหดเหี้ยมเยี่ยงนี้ แม้แต่เด็กน้อยอ่อนแอยังไม่เว้น
จิตใจนางทำด้วยอะไร?
เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้เหอหย่งหมิงตัดสินใจเข้าพบกับมารดาของเพ่ยจีที่สละชีวิตบั้นปลายเฝ้าพระศพของอดีตไทเฮาที่สุสานหลวงในทันที เพื่อบอกข่าวการกระทำนี้หมายขอคำชี้แนะ ด้วยเห็นว่าท่านคือญาติผู้ใหญ่หนึ่งเดียวของบ้านเหอในยามนี้
และแล้วเขาจึงได้รู้ความจริงอีกหนึ่งประการ ว่ามารดาของเพ่ยจีได้ตัดสัมพันธ์แม่ลูกกันจนสิ้น แม้ตายก็ไม่เผาผี ด้วยเหตุที่เพ่ยจีแต่งงานกับเขา
แม่ทัพหนุ่มถึงกับอึ้งด้วยคาดไม่ถึงกับคำตอบที่ได้รับจากแม่ยาย ด้วยเพราะเข้าใจมาตลอดจากคำบอกกล่าวของเพ่ยจีว่า มารดาของนางต้องเฝ้าสุสานองค์ไทเฮา ไม่อาจออกจากสุสานหลวงได้ตลอดชีวิต จึงมิอาจก้าวก่ายเรื่องการแต่งงานของนางได้
เดิมทีเขาก็นึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะการแต่งงานนับเป็นเรื่องใหญ่ แต่เมื่อฟังเหตุผลจากน้ำเสียงนุ่มละมุนของเพ่ยจีว่า หน้าที่เฝ้าสุสานหลวงสำคัญยิ่ง ไม่อาจละเลยได้ เขาจึงแต่งนางเข้าจวนโดยไร้มารดาของอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
“กลับไป ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า!”
เจ้าของประโยครุนแรงนี้เป็นของมารดาเพ่ยจี ที่เอ่ยกับ เหอหย่งหมิง ทำเอาร่างสูงยิ่งเงียบงันไร้ซึ่งวาจาใด
และยิ่งเย็นเยียบเสียดเข้าหัวใจเมื่อเจอกับสายตาเย็นชาและสีหน้ารังเกียจกันจากมารดาของเพ่ยจี
นางเอ่ยประโยคตัดพ้อเขาว่า “สงสารคุณหนูเหยาถิงเหลือเกิน เวรกรรมจริงๆ โธ่เอ๋ย! คุณหนูของบ่าวไม่น่าต้องมาพบเจอชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้เลย ให้ตายเถิด”
เหอหย่งหมิงถึงกับตัวชา ใบหน้าหล่อเหลาไร้ความรู้สึกโดยพลัน เขาจึงล้มเลิกการออกตามหาเพ่ยจีไป
ชายหนุ่มตัดสินใจกลับเข้าจวนมา
หากแต่ก็พบว่าเพ่ยจีกลับมาแล้วเช่นกัน
นางกำลังรอเขาอยู่ในเรือนส่วนตัวเหมือนเช่นทุกครั้ง ทว่าเขายังไม่ต้องการพบหน้าของภรรยาผู้นี้แต่อย่างใด
เขาจึงเดินไปอีกทางหนึ่งอย่างครุ่นคิด โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองได้เดินมาทางเรือนของอดีตภรรยาที่ตายจาก
ท่ามกลางสวนรกทึบ ต้นไม้ไร้การตกแต่ง ดอกไม้โรยราแห้งเฉา ตรงกลางมีเรือนทรุดโทรมปิดตายไร้การดูแลหลังหนึ่ง
เรือนหลังนี้คือเรือนของลี่เหยาถิง ซึ่งปิดเอาไว้นานแล้วตั้งแต่นางตายไป
ทันใดนั้นสายตาคมพลันเหลือบไปเห็นสาวใช้คนหนึ่งกำลังทำลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าเรือนแห่งนั้น ก่อนจะเข้าไปด้านใน
เพียงชั่วครู่ก็ออกมาพร้อมผ้าปักลาย รองเท้าหนังที่เย็บอย่างประณีต รวมทั้งภาพวาดอีกหนึ่งแผ่น
ชายหนุ่มให้นึกแปลกใจกับการกระทำเช่นนี้ของสาวใช้ เขาจึงแอบสะกดรอยตามไป จึงได้เห็นว่า สาวใช้นางนี้นำของทุกสิ่งไปส่งให้เพ่ยจีที่เรือนของนาง
เหอหย่งหมิงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ไม่คิดถามไถ่อีกฝ่ายแต่อย่างใด ด้วยแน่ใจว่า ต่อให้ถามไปก็คงมิได้รับคำตอบที่แท้จริงอยู่ดี
ชายหนุ่มจึงย้อนกลับไปยังเรือนของลี่เหยาถิง
สถานที่ที่เขาเคยมาเหยียบเพียงครั้งเดียวคือคืนเข้าหอ เพราะไม่เคยคิดจะมาเหยียบอีกเลย เขาจึงได้พบกับความแปลกใจเกินจะหยั่งเมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือนหลังนี้
เพราะภายในห้องด้านใน ล้วนเต็มไปด้วยผ้าปักลายวิจิตร รองเท้าตัดเย็บประณีต ภาพวาด โคลงฉันท์กาพย์กลอน ที่ถูกจัดเก็บเอาไว้บนชั้นไม้อย่างเป็นระเบียบ
เมื่อพินิจมองที่โคลงกลอนต่างๆ จึงคุ้นเคยกับลายมืออันงดงามพวกนี้ยิ่งนัก
เพราะว่ามันเป็นลายมือเดียวกันกับที่เพ่ยจีมอบให้เขาในหลายครั้งหลังจากที่เขากลับเข้าจวนมา
ฝีมือการเย็บผ้าก็เช่นกัน ทุกลวดลายล้วนประณีตวิจิตรไม่แตกต่างกับที่เพ่ยจีทำให้เขา หรือจะพูดว่าเป็นฝีมือของคนๆ เดียวกัน กับที่ทำให้เขาก็ว่าได้
หากแต่จะเป็นเพ่ยจีที่เป็นคนทำให้เขาแล้วแอบมาเก็บเอาไว้ที่นี่หรือไม่นั้น
เขายังต้องพิสูจน์อีกที…
*******
นิยายเรื่องนี้ฉบับ E-Book คลิกเลยค่า >>>www.mebmarket.com
ตอนพิเศษหวานฉ่ำบอกรักกันไม่มีเบื่อมีให้เล่มแล้วนะคะ
|
ความคิดเห็น