คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : ตอนที่ 12-2 เรารักกันมาก2
ตอนที่
12-2
เรารักกันมาก2
ภายในศาลาริมสระบัวหน้าเรือนกลางของจวนตระกูลฟง
ฮูหยินฟงกำลังนั่งบรรเลงเพลงพิณอยู่ภายในศาลาโดยมีผู้นำตระกูลฟงยืนกอดอกฟังภรรยาอย่างตั้งใจด้วยแววตาที่มิเคยเสื่อมแววรักใคร่อยู่ในนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาจะอายุเข้าวัยกลางคนและมีบุตรชายบุตรสาวโตมากแล้ว
เสียงเพลงพิณอันเป็นเอกลักษณ์ของฟงฮูหยินทั้งยังไพเราะเสนาะหูดังแว่วมาตามสายลมทำให้พี่น้องตระกูลฟงที่เดินมาตามทางระหว่างเรือนที่ปูด้วยหินอ่อนต่างพากันเดินมาตามเสียงเพลงนั้นอย่างเหม่อลอยโดยมิได้นัดหมาย
“ท่านพ่อตกหลุมรักท่านแม่ด้วยเพลงนี้ล่ะ ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟังเมื่อครั้งแรกที่พวกท่านเจอกัน ท่านแม่กำลังบรรเลงเพลงพิณในงานสมโภชแห่งวังหลวง” เสียงหวานใสของฟงลี่หลินเอ่ยขึ้นมา
“อ่า...แล้วท่านแม่ตกหลุมรักท่านพ่ออย่างไร” ฟงจินหมิงเริ่มเอ่ยตามอย่างเข้าใจความนัยของน้องสาว
“ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อเป็นคนเดินเข้ามาบอกรักกับท่านแม่แบบตรงๆ อย่างองอาจเยี่ยงชายชาติทหารต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้และข้าราชบริพารหลายคน นั่นจึงทำให้ท่านแม่ประทับใจในความกล้าหาญของท่านพ่อ การบอกรักใครสักคนต่อหน้าพยานมากมายเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง” ฟงลี่หลินรีบตอบคำ
“อืม...” ฟงจินหมิงยักคิ้วให้ฟงลี่หลินเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “แล้วพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้เล่า รักกันอย่างไร”
คำถามนั้นคล้ายเข็มแหลมต้องไฟจนร้อนแล้วจี้ได้ตรงจุดไปตามเนื้อตัวของสองสามีภรรยาที่เดินตามมาให้สะดุ้งอยู่ในอก
“เริ่มจากอาซ้อก่อน ข้าให้เกียรติฝ่ายหญิง” ฟงลี่หลินเริ่มจี้มาทางหลิงเวย
หญิงสาวถึงกับตาโตตกใจก่อนรีบประมวลผลแล้วตอบออกไปโดยมิทันได้เตรียมตัวอันใด
“เอ่อ...คงเป็นแผงอกกระมังรวมถึงรอยแผลเป็นนั่นด้วย” นางตอบออกไปด้วยระลึกถึงภาพของเขาเมื่อครั้งแรกที่เจอกัน
“แล้วพี่ใหญ่เล่า” เสียงแหลมใสถามคนตัวโตในทันทีโดยไม่มีการเว้นจังหวะ
ฟงชินหยางที่ยังไม่ทันได้เตรียมคำตอบอันใดกับหลิงเวยได้เป็นเรื่องเป็นราวก็เริ่มประมวลผลตามภาพที่ระลึกได้
“กลิ่นหอม นางตัวหอมดี”
“...”
ฟงลี่หลินกับฟงจินหมิงถึงกับเงียบงันมองหน้ากันไปมาเมื่อได้ยินคำตอบแปลกประหลาด
นี่พวกเขาเจอกันครั้งแรกที่ใด!?
ฟงชินหยางเห็นท่าไม่ดีจึงส่งสายตาพิฆาตมาทางหลิงเวยให้รีบเดินตามเขาไปให้ห่างไกลสองพี่น้องสุดอันตรายตรงหน้า
เมื่อชายหนุ่มหญิงสาวเดินออกมาจากน้องรองและน้องเล็กพอประมาณฝ่ายสามีจึงหรี่ตามองฝ่ายภรรยาแล้วเอ่ยเสียงเบา “รอยแผลเป็นตรงแผงอกหรือ?”
ฝ่ายภรรยาก็ไม่น้อยหน้านางถึงกับเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “ตัวหอมหรือ?”
ทั้งสองเพียงยืนจ้องหน้ากันและกันนิ่งงันใบหน้าเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่เจอกันในวันนั้น บนเตียงนอนนั่น
แผงอกกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามกำลังขยับขึ้นลงกับหน้าอกหยุ่นนุ่มกลิ่นกายหอมกรุ่นกำลังเกิดขึ้นในห้วงแห่งความคิดคำนึงของบุคคลทั้งสอง
นี่พวกเขาไม่มีสิ่งอื่นใดดีกว่านี้ให้คิดถึงแล้วหรือไร!?
ทั้งสองยิ่งเงียบงันจ้องมองตากันด้วยสติดิ่งลึกพยายามนึกถึงความดีระหว่างกัน
นางมีดีอันใด? นอกจากรูปโฉมงดงามและมารยาเหนือชั้นทั้งยังชอบบีบน้ำตาบังคับเขา ฟงชินหยางคิดการได้อย่างนั้นกับภรรยาของตน
เขามีดีอันใด? นอกจากมีนิสัยดุร้ายป่าเถื่อนเอาแต่ใจกับนางและข่มขู่นางสารพัดไม่คิดถนอมบุปผาเลยสักนิด หลิงเวยคิดการได้อย่างนั้นกับสามีของตน
ทั้งสองถึงกับต้องถอนหายใจใส่หน้ากันด้วยความอ่อนใจเหลือเกิน
“กลับเรือนกันก่อน” ฟงชินหยางกระซิบกระซาบดุดันใส่ใบหน้านางผู้เป็นภรรยาเพื่อชักชวนนางให้กลับฐานที่มั่น เพื่อที่ว่าจะได้เข้าไปตระเตรียมแผนการให้ดีกว่านี้เพื่อรับมือกับสมาชิกในครอบครัวของตน
แต่หลิงเวยไม่ต้องการอยู่กับฟงชินหยางสองต่อสอง
นางไม่ชอบอยู่กับเขาเพียงลำพัง เพราะว่าเขาชอบแยกเขี้ยวใส่นางคล้ายเสือล่าเนื้ออย่างนั้น แต่ว่ายามอยู่ต่อหน้าทุกคนในครอบครัวเขาทั้งยิ้มทั้งจับประคองนางอย่างทะนุถนอมผิดกับตอนที่อยู่กันสองต่อสองยิ่งนัก เช่นนั้นแล้วนางจะไม่อยู่เพียงสองต่อสองกับเขาอย่างเด็ดขาด!
อีกครั้งที่สองสามีภรรยาต้องยืนจ้องหน้ากันด้วยความหมายทางสายตาไปคนละทิศละทางความคิดแตกแยกเข้ากันได้ยากยิ่ง
“มากันแล้วหรือ?” เสียงของซินหรูเอ่ยทักทายลูกๆ จากด้านในศาลาเมื่อการบรรเลงพิณจบลง “เข้ามานี่กันก่อน”
ทั้งสี่คนจึงต้องเดินเข้ามายังศาลาตามคำเรียกขานของสตรีผู้เป็นมารดาแต่โดยดี
เมื่อบ่าวรับใช้เข้ามาเพิ่มถ้วยชาและรินน้ำชาลงถ้วยให้ตามจำนวนเจ้านายในศาลาเป็นที่เรียบร้อยบทสนทนาตามประสาคนในครอบครัวจึงเกิดขึ้น
หลิงเวยชมชอบบรรยากาศของครอบครัวนี้เป็นอย่างยิ่งนางจึงไม่คิดที่จะไปทางใด นางขออยู่ตรงนี้ให้นานๆ เสียหน่อย ถึงแม้ว่าจะถูกสายตาคาดคั้นของคนตัวใหญ่ให้ออกจากวงสนทนาเป็นระยะๆ ก็ตาม
ฟงชินหยางเริ่มเข่นเขี้ยวหลิงเวยเต็มทีเมื่อรับรู้ได้ว่านางเริ่มดื้อดึง ดูนางเถิด นางช่างกล้าเล่นลูกไม้กับเขา
“เจ้าเล่นพิณเป็นหรือไม่” ซินหรูถามมาทางลูกสะใภ้ของตนที่กำลังนั่งใกล้กันเหลือเกินในยามนี้คล้ายกับไม่อยากจากกันไปที่ใด นางเคยได้ข่าวว่าบุตรีของตระกูลหลิงผู้หนึ่งเล่นพิณได้ไพเราะจนถูกใจองค์รัชทายาทกระทั่งได้เข้าวังถวายตัว เช่นนั้นพี่น้องคงไม่ต่างกันมากนัก
“เจ้าค่ะท่านแม่” หลิงเวยรีบรับคำในทันที การเล่นพิณเป็นสิ่งที่นางชื่นชอบยิ่งนัก
“เช่นนั้นลองแสดงฝีมือให้ทุกคนได้ดูชมดีหรือไม่” ซินหรูยิ้มแย้มพลางลุกขึ้นจับประคองลูกสะใภ้ให้เข้าไปนั่งยังตำแหน่งหลังเครื่องสาย
หลิงเวยนั่งลงตามคำของแม่สามีก่อนจะเริ่มวาดนิ้วไปบนพิณตรงหน้า นางลองดีดเส้นสายของมันเพื่อประเมินเสียงแต่ละเส้นครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงที่ตนเคยแต่งเอาไว้ใช้บรรเลง
ภาพของสตรีงดงามท่วงท่านุ่มนวลอ่อนช้อยหวานล้ำกำลังนั่งอยู่หลังพิณแกะสลักแสนวิจิตรตามด้วยเส้นเสียงของเครื่องสายที่สั่นเบาๆ ตามจังหวะเรียวนิ้วของหญิงสาวสร้างบรรยากาศคล้ายสรวงสวรรค์ให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็นให้เกิดขึ้นภายในศาลา
เพลงที่หลิงเวยใช้บรรเลงนั้นเป็นเพลงที่นางเขียนขึ้นด้วยตนเอง นางบอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกเดียวดายคล้ายนกน้อยในกรงเล็กที่ต้องการอิสระได้โผบินไปกับผองเพื่อนที่รู้ใจ
นางจินตนาการว่าได้บินไปในท้องฟ้ากว้างใหญ่ด้วยความรู้สึกเย็นสบายยามเมื่อสายลมโบกโบยผ่านปีกเล็กๆ ของนาง
ภายใต้ท้องฟ้าอันเวิ้งว้างมีนกหลายตัวที่โผบินไปกับนาง กางปีกเคียงข้างกันถลาไปด้วยกันอย่างจริงใจ ซึ่งในชีวิตจริงแล้วนางหาได้มีอย่างนั้นไม่ บทเพลงนี้จึงปิดท้ายลงด้วยทำนองที่ค่อนข้างเศร้าสร้อยเพราะเรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความฝันทั้งยังไม่ใกล้ความจริงแต่อย่างใด นางขยับเรียวนิ้วให้พลิ้วไหวไม่กี่อึดใจตามจังหวะบทเพลงที่บ่งบอกแก่นางว่าทุกสิ่งอย่างเป็นแค่เพียงฝันไป นางควรตื่นจากความฝันอันสวยงามกลับสู่ความเป็นจริง
เมื่อเสียงพิณจบลงเสียงปรบมือชื่นชมจึงดังตามมา
หลิงเวยใช้เวลาปรับอารมณ์ของตนให้ออกจากพิณตรงหน้าแล้วลุกขึ้นยืนน้อมรับเสียงปรบมืออย่างนอบน้อมจากใจ
“เยี่ยมมากเลยอาซ้อ งดงามยิ่งนัก” เสียงหวานกังวานใสดังมาจากฟงลี่หลินเป็นคนแรก นางมองพี่สะใภ้ของนางช่างงดงามจับตาอยู่หลังเครื่องสายยามบรรเลงเพลงพิณ หากว่าพี่สะใภ้ของนางเป็นนางฟ้าพี่ใหญ่นี่จอมมารแน่แล้ว
ฟงจินหมิงถึงกับตกตะลึงใบหน้าแดงก่ำจ้องมองหลิงเวย นิ่งงัน ทำไมเขาไม่เจอพี่สะใภ้ก่อนพี่ใหญ่ ทำไมกัน!?
“เพลงนี้ชื่อว่าอย่างไรหรือเวยเอ๋อร” ซินหรูถามขึ้นนางชมชอบเพลงนี้ของสะใภ้ยิ่งนัก
“เพลงนี้ข้าแต่งเองมีชื่อว่าวิหคน้อยคืนเวหาเจ้าค่ะ” หลิงเวยตอบคำตามตรงด้วยสีหน้าภาคภูมิใจนางฝันว่าเป็นวิหคตัวนั้น
“แม่เคยได้ยินเพลงนี้เมื่อปีก่อนในพิธีปักปิ่นของบุตรีคนหนึ่งที่จวนตระกูลหลิง” ซินหรูเอ่ยขึ้นเมื่อจำทำนองของเพลงนี้ได้ “ในวันนั้นแม่กับท่านพ่อเข้าวังไปพอดีและได้รับเชิญพร้อมกับองค์รัชทายาทให้ไปร่วมพิธีนี้ในจวนของเสนาบดีหลิง และวันนั้นบุตรีของเขาที่บรรเลงเพลงนี้ก็ได้รับโอกาสให้ถวายตัวแด่องค์รัชทายาทในวันต่อมา”
หลิงเวยได้ฟังคำจึงกะพริบตาปริบๆ และเริ่มระลึกได้บางอย่าง
ซินหรูยังคงเอ่ยต่อ “วันนั้นบนเวทีการแสดงมีฉากกั้นถึงสองชั้น และบุตรีที่บรรเลงเพลงพิณผู้นั้นกลับแสดงสีหน้าไปคนละทางกับเสียงเพลงและหยุดเรียวนิ้วเกินไปหนึ่งจังหวะ” ซินหรูที่ถือได้ว่าเป็นเซียนด้านเพลงพิณเริ่มระลึกได้ถึงเหตุการณ์ในวันนั้นที่นางยังคงคาใจแต่มิได้พูดอันใดออกมา จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าบุตรีนางนั้นมิได้บรรเลงเพลงด้วยตนเอง”
หลิงเวยถึงกับเงียบงันเมื่อได้ยินอย่างนั้น นางจึงเริ่มระลึกได้แล้วว่านางพลาดไป
ในวันนั้นนางถูกบังคับให้มานั่งหลังฉากกั้นเพื่อบรรเลงเพลงให้น้องสาวต่างมารดาของนางที่ชมชอบองค์รัชทายาทผู้นั้นจนหมดใจแลกกับการที่นางไม่ต้องถูกบิดาบังคับเลือกให้เป็นหนึ่งในชายาขององค์รัชทายาท นางกับน้องสาวของนางจึงสลับบทบาทกันเพื่อที่นางจะได้เป็นอิสระและน้องสาวก็ได้เข้าวังสมใจ
ซินหรูถึงกับเข้าใจได้ไม่ยากเมื่อเมื่อมองเห็นใบหน้าของลูกสะใภ้แข็งค้างไปอย่างนั้น
ฟงชินหยางเองก็เช่นเดียวกัน เห็นหรือไม่! นางพลาดแล้ว
“นี่มิใช่หลอกลวงเบื้องสูงหรอกหรือ” ครานี้เป็นเสียงทุ้มใหญ่ทรงอำนาจของฟงซือหลางหัวหน้าตระกูลผู้เคร่งขรึมจริงจังทุกสรรพสิ่ง
หลิงเวยสะดุ้งเล็กน้อยเนื้อตัวชาวาบมองหาตัวช่วยที่กำลังมองมาทางนางเช่นเดียวกัน ฟงชินหยางที่มองหลิงเวยแบบจับผิดอยู่ตลอดเวลารีบเดินเข้ามาหานางในทันที
“หากเวยเอ๋อร์ไม่ทำอย่างนั้นงานในวันนั้นคงไม่สนุก เห็นได้ชัดว่านางบรรเลงพิณได้ดีมาก” ชายหนุ่มรีบเข้ามาจับประคองภรรยาแล้วพูดจาแก้ต่างให้นางอย่างเหนือชั้นแนบเนียน
หญิงสาวในอ้อมแขนของสามีรีบพูดสารภาพออกมาอย่างมิรู้ได้ว่าควรทำสิ่งใดได้มากไปกว่านี้ “ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ แต่หากข้าไม่ทำอย่างนั้นคงไม่แคล้วถูกโบยแล้วถูกส่งตัวเข้าวังไปถวายตัวให้องค์รัชทายาท”
ฟงชินหยางถึงกับหรี่ตามองสตรีข้างกายแล้วถามทางสายตาว่า ‘จริงหรือ?’
หลิงเวยเข้าใจภาษาสายตาของบุรุษข้างกายจึงตอบกลับไป ‘จริง!’
‘นับว่าองค์รัชทายาทยังโชคดี’ เขาก้มหน้ากระซิบประชดประชัน
‘...!?’
นางมองเขานิ่งงันนึกน้อยใจขึ้นมา
ทุกคนในศาลาต่างมองสองสามีภรรยาที่ช่วยกันแก้ต่างพลางกระซิบกระซาบไปมาแบบนั้นจึงเริ่มหัวเราะชอบใจด้วยเข้าใจว่าพวกเขาคงจะรักกันมากจึงทำอย่างนั้นเพื่อปกป้องความรักของตน บรรยากาศภายในศาลาจึงรื่นเริงได้อีกครั้ง
“แต่ว่า…” ซินหรูเริ่มเอ่ยคำไปทางสองสามีภรรยาอีกครา “บ้านนี้ไม่มีคนโกหก เจ้าทั้งสองไม่ควรทำอย่างนั้น”
“...!!!”
นั่นประไร...
ร้ายพ่ายกลายรัก ฉบับ E-Book คลิก>>>ร้ายพ่ายกลายรัก
|
|
|
ความคิดเห็น