คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 11 เรารักกันได้อย่างไร3
ตอนที่
11
เรารักกันได้อย่างไร3
ภายในรถม้าประจำจวนของตระกูลฟง
หลิงเวยยังคงนั่งเงียบงันมองบุรุษร่างกำยำที่นั่งกอดอกอยู่ข้างกายกันภายในรถม้า
นางเห็นเขานั่งหน้านิ่งด้วยมาดเย็นชาสายตาคมกล้าถูกซ่อนอยู่เบื้องหลังเปลือกตาภายใต้เรียวคิ้วเข้มหนาตลอดเวลาคล้ายครุ่นคิดหนักหน่วง นางจึงได้แต่นั่งมองเขาอย่างใคร่รู้แต่ไม่กล้าเอ่ยถามอันใด นางจึงได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วเอียงหน้าน้อยๆ มองเขาอยู่อย่างนั้น
“จะมองข้าอีกนานหรือไม่” เสียงทุ้มใหญ่กดต่ำดังออกมาพาเอาร่างบางพลันสะดุ้งตกใจถอยหลังจนศีรษะชนกับผนังรถม้าเสียงดังป๊อก
“อ๊ะ!” หลิงเวยหลุดอุทานเจ็บแปลบตรงศีรษะตน
“ซุ่มซ่าม” ฟงชินหยางบ่นออกมาขณะยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น
หลิงเวยเริ่มหน้าง้ำแอบบ่นในใจ เพราะใครกัน?
หญิงสาวทำได้แค่มองคนปากร้ายตาปริบๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเสมองผ้าม่านรถม้าเงียบกริบเจ็บศีรษะตุบๆ
ฟงชินหยางลืมตาคมกริบขึ้นมาเพื่อมองภรรยาของตนอย่างจริงจังแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เรารักกันได้อย่างไร?”
“หือ!?” คำถามของคนข้างกายทำเอาหลิงเวยต้องหันหน้ามามองเขาอีกคราอย่างตื่นตะลึง
“หากคนที่บ้านของข้าถามเจ้า ว่าเรารักกันได้อย่างไร เจอกันที่ใด ทำไมถึงรักกัน เจ้าจะบอกพวกเขาว่าอย่างไร” ชายหนุ่มถามอีกครั้ง
หลิงเวยตาโตตกใจถึงขั้นคิดหนัก
“เรามิได้รักกัน” นางเอ่ยตามตรง “เรื่องของเรามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น บิดาของข้าหมายยกระดับตระกูลจึงทำผิดต่อท่าน ข้ามิได้รักท่าน”
“แน่นอน! เรื่องของเรามันผิดธรรมชาติเป็นข้าที่ตกหลุมพรางของตระกูลเจ้าและเรามิได้รักกัน” ฟงชินหยางหรี่ตาทวนคำเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแบบไร้สาเหตุ “แต่ข้าถามว่า หากมีคนถามเรื่องของเราแล้วเจ้าจะบอกพวกเขาว่าอย่างไร” เขาเริ่มคำรามเสียงดังหงุดหงิดเสียจริง
ครานี้เป็นหลิงเวยบ้างที่เริ่มครุ่นคิดหนักหน่วงเรียวคิ้วโค้งสวยเริ่มขมวดเป็นปม
“ข้าไม่เคยรักใคร คนรักกันเขาต้องรักกันอย่างไร ข้าไม่รู้หรอก” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบานึกอับอายเล็กน้อยที่ต้องคุยกับบุรุษตรงหน้าในเรื่องแบบนี้
ฟงชินหยางมองใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อสองข้างแก้มนวลของคนงามข้างกายจึงหรี่ตาลงยิ่งกว่าเดิมแล้วเอ่ย
“เจ้างดงามถึงเพียงนี้ ไม่เคยมีคนรัก กระทั่งคนตามเกี้ยวก็ไม่มีหรือ” เขาถามเสียงเบามากกว่าเดิมเริ่มรู้สึกดีขึ้นมา
หลิงเวยพยักหน้าหงึกหงักตอบกลับเสียงเบา “บุรุษตามเกี้ยวย่อมมี”
อีกครั้งที่ใครบางคนเริ่มมีสีหน้ามืดครึ้มอารมณ์ขุ่นมัว
ไม่รู้ว่าทำไม!
“เจ้ามีดีอะไร” ฟงชินหยางเลือกที่จะเปลี่ยนคำถามเมื่อมีความรู้สึกบางอย่างกับคำถามก่อนหน้า “เผื่อข้าจะใช้อ้างได้บ้างว่าเรารักกันได้อย่างไร”
ถึงแม้คนถามคล้ายกับไม่ได้คิดอะไรแต่คนฟังกลับอึ้ง
นางมีดีอะไรเช่นนั้นหรือ?
“คนอย่างข้าไม่มีดีอะไรเลย” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมองคนถามตรงๆ
“ไม่มีดีอะไรเลย” หลิงเวยเริ่มประชดประชันอยากร้องไห้เสียจริง
“อืม...” ฟงชินหยางพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงยอมรับแลเห็นด้วยตามนั้นไม่คิดโต้เถียงอันใด และนั่นยิ่งเพิ่มระดับความรู้สึกย่ำแย่ให้ใครบางคนได้เป็นอย่างดี
“เช่นนั้นแล้ว เรารักกันได้อย่างไร จะบอกกับคนในครอบครัวข้าว่าอย่างไรดี” อีกคราที่ฟงชินหยางต้องครุ่นคิดอย่างหนักหน่วงสีหน้าเคร่งเครียด
หลิงเวยได้แต่มองบุรุษข้างกายด้วยความรู้สึกเกินบรรยาย อยากร้องไห้ขึ้นมาจับใจ แต่นางทำได้แค่เพียงเม้มริมฝีปากจนแก้มป่องพองเรียวคิ้วขมวดกันแน่นแล้วหันหน้าพรืดไปทางอื่นที่มองไม่เห็นเขา นางขยับกายเล็กน้อยเพื่อหันหลังให้เขาเสียเลย เขาช่างโหดร้ายยิ่งนัก...
ฟงชินหยางมองตามพฤติกรรมแปลกประหลาดของนางผู้เป็นภรรยาอย่างไม่เข้าใจอันใด ไยทำท่าทางน่าขันเยี่ยงนั้น?
“เป็นอะไร?” เขาถามเสียงเย็น
“เปล่า” นางตอบเสียงเบาหน้าชนผนังรถม้า
“มิได้เป็นอะไรก็นั่งดีๆ”
“ข้านั่งดีแล้ว”
“นั่งให้ดีกว่านั้น”
“ข้าจะนั่งอย่างนี้”
“...”
ชายหนุ่มมองหญิงสาวตาปริบๆ นึกเข่นเขี้ยวกับอาการดื้อดึงนั่นของนาง
นางช่างกล้า!
ถึงแม้ฟงชินหยางจะคิดอย่างนั้นแต่มิได้ต่อคำอันใดพลันสายตาก็สบกับเรือนผมของนางที่เขาเป็นคนขมวดม้วนให้เมื่อยามเช้า
มวยผมของนางนั้นเมื่อมองเปรียบเทียบกับมวยผมของสตรีออกเรือนในตลาดวันนี้นับว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นั่นจึงทำให้เขาเริ่มเข้าใจว่าเหตุใดเมื่อเช้าคนในบ้านถึงมองนางตรงศีรษะแล้วหลุดหัวเราะขำขันออกมา
เดิมทีเรื่องเรือนผมของสตรีนี้มิใช่เรื่องที่เขาใคร่สนใจไม่ว่าจะเป็นของมารดาหรือของน้องสาว แต่ว่ากับทรงผมของคนตรงหน้าคล้ายกับว่าเป็นความรับผิดชอบของเขา
มันเป็นความรับผิดชอบของเขาแต่เพียงผู้เดียว
ชายหนุ่มเริ่มครุ่นคิดอีกคราแต่ทว่าเรื่องที่คิดพลันเปลี่ยนไป
เขามีนิสัยเถรตรงมีความรับผิดชอบสูงส่งในทุกๆ เรื่องมาแต่ไหนแต่ไร
เรื่องของคนตรงหน้าก็เช่นเดียวกัน
เขาคิดอย่างนั้นก่อนจะค่อยๆ เอื้อมฝ่ามือใหญ่หนาของเขาขึ้นจับมวยผมของภรรยาแล้วดึงปิ่นปักผมออกมาจนเส้นผมดำขลับของนางหลุดลุ่ยสยายปรกแผ่นหลังก่อนจะเริ่มต้นมวยผมให้นางใหม่
หลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจจนจมูกน้อยๆ ของตนชนกับผนังรถม้าเมื่อจู่ๆ มวยผมของนางถูกจับดึงออกอย่างนั้น
“ท่านทำอะไร!?” นางถามพลางทำท่าจะหันหน้ากลับมาหาคนข้างหลัง
ฟงชินหยางจับตรึงศีรษะของหลิงเวยเอาไว้ไม่ให้หันมาแล้วเริ่มดึงเส้นผมของนางอย่างตั้งใจจริงจัง
“อยู่เฉยๆ” เขาเอ่ยเสียงเข้มใบหน้าขึงเครียดกับเรื่องยากเย็นตรงหน้า
หญิงสาวได้ยินอย่างนั้นจึงนั่งตัวตรงไม่กล้าขยับเขยื้อนพร้อมข่มความเจ็บยามเส้นผมถูกดึง
“อ๊ะ!” หลิงเวยถึงกับหลุดอุทานเมื่อฟงชินหยางมือหนักเกินไป
ชายหนุ่มช่างไม่รู้ตัวเอาเสียเลยว่าพละพลังของตนมีมากมายกับทุกๆ เรื่องกระทั่งเรื่องนี้ที่ควรจะนุ่มนวล
เขายังคงตั้งใจอยู่กับการม้วนผมให้ภรรยาจนไม่รู้กระทั่งว่ารถม้าได้หยุดตัวลง
หลิงเวยเองก็เช่นเดียวกัน สมาธิของนางกำลังอยู่ตรงฝ่ามือหนาหนักของคนทางด้านหลังที่กำลังตั้งมั่นเหลือเกินกับการม้วนผมให้นาง
นี่เขาเห็นนางเป็นตุ๊กตาหรือไรไยชอบเล่นผมนาง
ชายหนุ่มหญิงสาวยังคงอยู่ในท่าที่ฝ่ายชายนั่งม้วนผมและฝ่ายหญิงนั่งนิ่งยินยอมให้เขาเล่นหัว
ฝ่ามือใหญ่แข็งกระด้างเฉกเช่นนิสัยยังคงจับประคองกลุ่มเส้นผมที่ยาวสยายให้ความรู้สึกนุ่มสบายทุกสัมผัสยามเรียวนิ้วของเขาม้วนตลบไปมา
ในขณะที่เจ้าของเส้นผมรับรู้ได้ทั้งหมดทุกสัมผัสที่ฝ่ามือใหญ่หนากำลังเคลื่อนไคล้ไปมาพร้อมลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดศีรษะให้ความรู้สึกอุ่นสบาย
ความเงียบงันเกิดขึ้นพร้อมๆ กับเส้นสายใยบางเบาที่เริ่มก่อตัวโดยมีตัวเชื่อมต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลคือเส้นผมเรียบลื่นในแบบที่พวกเขาก็ไม่รู้ตัว…
ภายในรถม้าประจำจวนของตระกูลฟงอีกหนึ่งคันที่ขับเคลื่อนตามหลังคันแรกของสองสามีภรรยามาตามทาง
ฟงลี่หลินนั่งคิดอะไรเพลินๆ พลันถูกสะกิดจากพี่ชายคนรองที่นั่งข้างกันภายในรถม้า
“เจ้าคิดว่าพี่ใหญ่กับอาซ้อรักกันได้อย่างไร” ฟงจินหมิงยังคงคาใจสงสัยในทุกๆ เรื่องตามนิสัยของบัณฑิตใฝ่รู้ของตน
“อืม...” น้องเล็กเริ่มครุ่นคิดอย่างให้ความร่วมมือ “นั่นน่ะสิพี่รอง พี่ใหญ่ไม่เคยมีสตรีนางใดและไม่เคยสนใจใคร เขาปฏิเสธทุกคนกระทั่งองค์หญิงยู่ว์เจินและคุณหนูลูกเศรษฐีหลายนาง”
ฟงจินหมิงได้ยินจึงเสริม “ท่าทางอาซ้อกับพี่ใหญ่ช่างแตกต่างกันคนละขั้ว พี่ใหญ่นิสัยดุร้ายบ้าพลังดิบเถื่อนตั้งแต่เกิดมาก็จับดาบมากกว่าพู่กันอารมณ์เกี้ยวสาวไหนเลยจะมีอารมณ์สุนทรีไหนเลยจะทำได้ ส่วนอาซ้อก็นุ่มนิ่มนุ่มนวลเหนือคำบรรยายเกินกว่าที่จะนึกถูกใจกับบุรุษร้ายกาจอย่างพี่ใหญ่”
“อืม...จริง!” ฟงลี่หลินเริ่มเห็นด้วย “สองคนนี้ต่างกันมากเกินไปแล้วรักกันอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะเป็นรักแรกพบ”
“ต่อให้เป็นรักแรกพบแต่จะตกลงปลงใจง่ายดายคงยาก ทั้งสองแตกต่างกันปานนั้น คนหนึ่งเปรียบดั่งพระอาทิตย์ร้อนแรงพร้อมแผดเผาทุกสิ่งอย่างอีกคนเปรียบดั่งดวงจันทร์นวลเย้าเคล้าราตรีอ่อนโยนยิ่ง มิต้องกล่าวถึงความแตกต่าง แค่โคจรมาเจอกันก็ยากแล้ว”
ฟงจินหมิงเคาะนิ้วตรงต้นขาเป็นจังหวะที่บ่งบอกว่าคิดหนักและเคร่งเครียดมากมายประหนึ่งว่าเป็นข้อสอบจอหงวนพาเอาคนใกล้ตัวเริ่มคิดหนักมากขึ้นเช่นเดียวกัน
ร้ายพ่ายกลายรัก ฉบับ E-Book คลิก>>>ร้ายพ่ายกลายรัก
|
|
|
ความคิดเห็น