ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สาวใช้พระกาฬ

    ลำดับตอนที่ #37 : ตอนที่34 ปวดใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 21.85K
      1.96K
      31 พ.ค. 66

    ประโยคของแม่รองที่ว่า

    ท่านพ่อเรียกหาแม่รอง แต่แม่รองเห็นว่าหนิงเหมยกลับมาแล้วจึงเรียกให้นางเดินไปหาท่านพ่อด้วยกัน

    นั่นหมายความว่า ท่านพ่อมิได้เป็นฝ่ายเรียกหานาง แต่เป็นแม่รองจงใจพานางไปพบท่านพ่อ

    ในขณะที่หนิงเหมยกำลังครุ่นคิดถึงเป้าหมายที่แม่รองเรียกตนมาอย่างใคร่รู้ เสียงอ่อนหวานของแม่รองก็ดังขึ้น

    “กำหนดการถือศีลสำนึกผิดต้องเป็นระยะเวลาสามเดือนมิใช่หรือ? เหตุใดเหมยเอ๋อร์ถึงได้กลับมาเร็วนัก เช่นนี้แล้วจะไม่เป็นไรหรือ?

    น้ำเสียงของแม่รองช่างอ่อนโยนนัก แต่หนิงเหมยกลับรับรู้ได้ถึงโทษทัณฑ์ที่จะตามมา

    เสียงของเจียวลู่ดังขึ้นอีกครา “เจ้าควรเดินทางกลับไปที่วัดเพื่อสำนึกผิดให้ครบกำหนด เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาและโทษทัณฑ์หนักหนาที่จะตามมา”

    น้ำเสียงสดใสของลี่จูพลันเอ่ยเสริม “ใช่เจ้าค่ะพี่ใหญ่ ท่านควรรีบเดินทางกลับไปที่วัดเพื่อสำนึกความผิดของตน ท่านยังไม่ควรรีบกลับมาแบบนี้ มิรู้ได้ว่า หากท่านพ่อเห็นหน้าพี่ใหญ่ในยามนี้จะโกรธหรือไม่ ที่พี่ใหญ่บังอาจขัดคำสั่งของท่านพ่อ”

    ประโยคนั้นคล้ายเห็นใจคล้ายตักเตือนผสมปนเป แต่ที่หนิงเหมยแน่ใจ ก็คือท่านพ่อยังไม่รู้ว่านางกลับมา แต่แม่รองกับน้องรองกำลังพานางไปให้ท่านพ่อได้รับรู้โดยเร็ว

    หนิงเหมยเพียงยกยิ้มเล็กน้อย ดวงตาคู่หวานของนางเรียบเฉย ท่าทางของหญิงสาวในยามนี้ให้ความรู้สึกไม่คุ้ยเคยในครรลองสายตาของคู่สนทนา

    เจียวลู่ให้นึกแปลกใจ แต่ยังไม่ว่ากระไร

    หากแต่ลี่จูกลับนึกขัดเคืองลูกนัยน์ตานัก นางยังไม่ทันได้สานต่ออันใดกับพี่เหวินหลางได้มากมายเลย ไยพี่สาวต้องรีบกลับมา!

     

    เวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูปทุกคนจึงเดินมายังเรือนใหญ่ของนายท่านหลิ่ง

    เรือนแห่งนี้ค่อนข้างกว้างใหญ่กว่าเรือนทุกหลังในคฤหาสน์ ด้านนอกของตัวเรือนมีน้ำตกจำลองและสระบัวสวยงาม มีศาลาริมสระบัวขนาดใหญ่ ทุกอย่างช่างวิจิตรประณีตและงดงามอย่างลงตัว หากบอกว่าเรือนหลังนี้ เป็นของสตรีผู้อ่อนหวานรักธรรมชาติก็คงไม่แปลกอันใด หากแต่เรือนนี้กลับเป็นของนายท่านผู้ยิ่งใหญ่แห่งคฤหาสน์สกุลหลิ่ง

    เมื่อเดินผ่านสวนหน้าเรือนเข้ามาก็เจอกับตัวเรือนขนาดใหญ่ ด้านในเป็นห้องโถงโอ่อ่า ไม่บอกก็รู้ว่า เจ้าของคฤหาสน์ร่ำรวยปานใด

    เจียวลู่ให้รู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก ที่ได้เดินเข้ามาหาเจ้าของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ซึ่งก็คือสามีหนึ่งเดียวของนาง และนางก็เป็นภรรยาหนึ่งเดียวของเขา

    ลี่จูก็เช่นกัน นางทั้งมีความสุขและนึกกระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อระลึกอยู่เสมอว่า คฤหาสน์อันงดงามตระการตาแห่งนี้เป็นของบิดานาง และสมบัติส่วนใหญ่ก็คือของนาง หาใช่ของพี่สาวผู้ไร้ค่าไม่

    หนิงเหมยเพียงเดินตามหลังแม่รองกับน้องรองอยู่นิ่งๆ แววตาสวยหวานของนางยังคงเรียบเฉย นางมิได้นึกชมชอบคฤหาสน์แห่งนี้เลยสักนิด

    ซูเจินเมียงมองรอบทิศด้วยความคิดที่ว่า ธรรมชาติจำลองแห่งนี้คล้ายของจริงที่บ้านนาง 

    แต่...อืม...ที่นี่เล็กไปหน่อยนะ  

    อึดใจนางก็ค่อยๆ เดินช้าลง ปล่อยให้สาวใช้นางอื่นเดินขึ้นหน้าไปจนหมด เมื่อเหลือตัวคนเดียวรั้งท้าย นางจึงหมุนกายหายตัวไปทางด้านน้ำตกจำลอง นางกำลังคิดถึงบ้านเหลือเกิน

    ส่วนหนี่ม่านนั้น นางกำลังเดินตามหนิงเหมยด้วยจิตใจไม่สงบสักเท่าไหร่ ด้วยเพราะห่วงใยเหลือเกินว่าคุณหนูจะถูกทำโทษแบบใด และบางทีอาจจะเป็นนางเองที่ถูกโบย อืม...นางแอบยัดหญ้าแห้งเอาไว้ที่แผ่นหลังแล้ว หวังว่าคงช่วยได้ไม่มากก็น้อย

    แต่เดี๋ยวนะ!

    ยามถูกโบย ต้องถูกจับถอดเสื้อผ้าใช่หรือไม่!?

    อา...นางลืมไป บัดซบแล้ว!

    บ้านของซูเจิน


     เมื่อเดินเข้าห้องโถงมาจึงได้เจอกับบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง นั่งจิบชาอยู่ที่เก้าอี้ไม้สลักเคลือบเงาลวดลายหรูหรา

    “ท่านพี่” เสียงหวานเหลือเกินเอ่ยออกมา เจียวลู่รีบเดินคล้ายไม่รีบเร่งอันใดเข้าไปหาบุรุษท่านนั้นด้วยท่วงท่างดงามแลดูเรียบร้อยสมวัย แต่ให้ความรู้สึกสดใสเยาว์วัยกว่าอายุมากโข

    นางยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ความนุ่มนวลอ่อนหวานไม่เคยจางหาย กิริยายามมองให้รู้สึกสบายใจสบายตายังคงเดิม ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด

    เมื่อสตรีคนแรกเอ่ยทักทาย อึดใจจึงตามด้วยน้ำเสียงกังวานแว่วหวานอันแสนสดใสของลี่จู

    “ท่านพ่อ!” หญิงสาวผู้บริสุทธิ์ผุดผาดรีบเดินเข้าไปหาบุรุษท่านนั้น แล้วคุกเข่ากอดขาเขาด้วยท่าทางออดอ้อนน่ารักน่าใคร่

    บุรุษท่านนั้นคือ หลิ่งหมิง เขายกยิ้มเล็กน้อยด้วยมาดสุขุมนุ่มลึกกับภรรยาและบุตรสาวอันเป็นที่รักของเขา

    หนิงเหมยเดินมาหยุดยืนมองภาพบาดใจ ด้วยท่าทางเรียบเฉยเหมือนเคยดังเช่นที่ผ่านมา ความเจ็บปวดร้าวลึกยังคงเกิดขึ้นเหมือนเดิมไม่เคยจางหาย ดวงตาของนางสะท้อนความขมขื่นเต็มไปหมด แต่นางจำต้องเก็บกักความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ให้ลึกสุดใจ เพราะรู้ดีว่า การเผยมันออกมา หาได้มีประโยชน์อันใด มีแต่จะน่าสมเพชมากยิ่งขึ้นก็เท่านั้น

    “ท่านพ่อ พี่ใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ” ลี่จูรีบฟ้องทันที “ยังไม่ครบกำหนดเลยพี่ใหญ่ก็กลับมาเสียแล้ว” นางตีสีหน้าใสซื่อดวงตาสดใสใส่ความจริงใจคล้ายห่วงใยถึงกฎบ้านอันเคร่งครัด สื่อความนัยว่า หนิงเหมยแหกกฎบ้านอันไม่ต่างจากกฎหมายบ้านเมือง อาจนำพาให้เจ้าบ้านปกครองคนในบ้านไม่ได้อีกต่อไป

    หลิ่งหมิงเพียงปรายสายตาคมมองมาทางธิดาของภรรยาเอกที่ตายไปของตนเองนิ่งๆ มิได้กล่าวคำใด หากแต่มีความเย็นชามากมายอยู่ในสีหน้า หาได้มีสิ่งอื่นใดมากไปกว่านั้น

    หนิงเหมยมองบิดาของตนอย่างเห็นแจ้งและประจักษ์ ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงแผ่วเบา นางรู้สึกเพียงความเจ็บปวดไปทั่วทั้งใจ ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านมานานเท่าใด ความทรมานเช่นนี้ไม่เคยลดทอนลงเลย

    ทำไมกัน! ท่านพ่อ...

    “เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?” หลิ่งหมิงเอ่ยปากถามหนิงเหมยด้วยน้ำเสียงเฉยชา แววตามีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีความรักใคร่สักเล็กน้อยอยู่ในนั้น

    หนิงเหมยรีบปรับความรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ ที่เกาะกุมให้หมดไป ลอบหัวเราะเยาะตนเองอยู่ในใจอย่างขมขื่น พลางลืมตาขึ้นช้าๆ

    นี่นางกำลังหวังสิ่งใด?

    “เหมยเอ๋อร์ รีบบอกนายท่าน ว่าเจ้ากำลังจะกลับไปที่วัด โทษหนักจะได้ไม่เกิดขึ้น” เจียวลู่กล่าวคล้ายกับจะช่วยเหลือ แต่หนิงเหมยรู้ดี แม่รองกำลังไล่ตนให้ออกไปอย่างสุดความสามารถ

    หญิงสาวมองผู้เป็นบิดาด้วยสายตาว่างเปล่า บนใบหน้างามไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาทั้งสิ้น นางเพียงยกยิ้มเล็กน้อยแต่งดงามมากนักยามเอ่ย “พวกท่านโปรดฟังข้าก่อนเถิด ถึงเหตุผลที่ข้าต้องกลับมา”

    นางยังคงมีกิริยานอบน้อมเฉกเช่นวันวาน ทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติของนางหาได้ปรุงแต่ง นางมักจะต้องทำตัวอย่างนี้ตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะในทุกรูปแบบ นางจึงอยู่มาได้จนทุกวันนี้

    หญิงสาวเอ่ยต่อเสียงเรียบ “ข้าเดินทางได้เพียงไม่กี่วัน แต่ก่อนที่จะถึงวัดปลายทาง กลับถูกพวกใจหยาบช้า ว่าจ้างโจรป่า หมายย่ำยีเจ้าค่ะ”

    เจียวลู่รีบเอ่ยหลังจากชะงักไปแวบหนึ่ง “มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือเหมยเอ๋อร์ ไม่น่าเป็นไปได้” ท่าทางยามตกใจของนางช่างงดงามนัก

    หนิงเหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุจเดิม “มันเป็นไปแล้วเจ้าค่ะ”

    ลี่จูรีบกล่าวแทรก “หากเป็นเช่นนั้นจริง พี่ใหญ่คงถูกโจรป่าย่ำยีจนป่นปี้ คงไม่มีหน้ากลับมาให้ราคีเปื้อนบ้านหรอก ด้วยนิสัยของพี่ใหญ่ ข้ารู้ว่าต้องบวชชีหนีอายไม่มีทางกลับมา” กล่าวจบนางก็หัวเราะเสียงใส คล้ายว่าโลกทั้งใบมีแต่สิ่งที่สวยงาม “พี่ใหญ่คงโกหกเพื่อหาเหตุกลับบ้านมากกว่า ใช่หรือไม่เจ้าคะ?

    หนิงเหมยขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาเสมองไปยังบิดา

    ชั่วครู่ต่อมา หลิ่งหมิงจึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำทรงพลัง

    “หากกลับมาแล้วก็พักผ่อนเสีย อย่าหาเรื่องให้มากความ อยู่ในที่ของตนก็พอ” เขาเอ่ยด้วยท่าทีเย็นชา สายตาเรียบเฉย ไม่มีอะไรเลยมากกว่านั้น กล่าวจบก็โบกมือให้ทุกคนออกไปแล้วหมุนกายไปทางห้องหนังสือ หาได้สนใจอีกต่อไป

    หนิงเหมยได้แต่มองตามหลังบิดา

    หากคิดไม่ผิด ท่านพ่อคงเห็นพ้องต้องกันกับสองแม่ลูก เพราะว่าหากนางเกิดเหตุใดขึ้นมาจริงดังกล่าว การบวชชีหนีอายเป็นทางเดียวเท่านั้นที่นางจะทำ นางไม่มีวันกลับมา  

    แต่ในเมื่อนางกลับมา นั่นหมายความว่า เรื่องเล่าย่อมเป็นเพียงเรื่องโกหก เป็นเพียงช่องทางตามคำกล่าวอ้างที่ลี่จูเอ่ยมาทั้งสิ้น

    ทุกครั้งที่เกิดเรื่องกับนางเมื่อยามเด็ก นางเคยมาแจ้งแก่ท่านพ่อ แต่ก็ถูกเจียวลู่กับลี่จูเบี่ยงเบนประเด็นไปเสียทุกครั้ง แล้วจบลงที่นางโกหก ตามด้วยท่านพ่อไม่ใส่จะลงโทษอันใด เขาแค่บอกให้นางกลับห้องไป อย่าได้ก่อเรื่องอีก

    หนิงเหมยหลับตาลงอีกครา เรื่องทำนองนี้ย่อมเหมือนกับทุกครั้ง ไม่ว่านางจะเกิดเรื่องอันใด นางก็แค่แสร้งแพ้พ่ายไป เพราะสุดท้ายแล้ว นางก็ยังอยู่ดี มิได้บุบสลายอะไร เพียงแต่ถูกท่านพ่อเข้าใจผิดไปก็เท่านั้น

    ทุกคราในทุกเรื่องราวที่นางกล่าวไป จึงเป็นเพียงเรื่องโกหก ไม่ว่านางจะพูดอะไร ทุกคำกลับเป็นเพียงเรื่องปั้นแต่ง นางมักจะถูกมองว่าเป็นคนโกหก นางโกหกว่าเกิดเรื่องกับตนเอง นางมักจะโกหกว่าถูกกลั่นแกล้ง เพื่อเรียกร้องความสนใจ

    นั่นจึงกลายเป็นเรื่องที่เด็กเช่นนางทำตัวเรียกร้องตลอดเวลา ทำตัวไร้ค่าก็เท่านั้น นางถูกระอาจากบิดา จากคนรอบข้าง กระทั่งบ่าวไพร่ยังไม่นับถือ

    หลังจากที่หลิ่งหมิงเดินหายเข้าไปด้านใน โดยมิได้สั่งทำโทษหนิงเหมยแต่อย่างใด เจียวลู่กับลี่จูจึงทำได้เพียงเก็บอารมณ์ไม่พอใจเอาไว้ แล้วยิ้มเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรภาพครอบครัวอบอุ่นสามคนพ่อแม่ลูกเมื่อครู่ ช่างสวยงามมากนัก โดยเฉพาะยามอยู่ต่อหน้าหนิงเหมย  นับได้ว่างดงามขึ้นมากโข

    “อา...จริงสิ เหมยเอ๋อร์” เสียงอ่อนหวานของเจียวลู่ดังขึ้น

    “ข้ารู้มาว่าสาวใช้ของเจ้าทำกิริยาไม่เหมาะสม หลังจากที่นางเดินทางไปวัดกับเจ้า  แต่พอกลับมานางก็มีกิริยาก้าวร้าว เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนเสี้ยมเจ้าให้โกหกพกลม เพื่อหนีการลงโทษที่บังอาจหนีออกจากวัดมา” จบประโยคยาวเหยียดก็หันไปถามสาวใช้ของตน “คนไหนล่ะ เสี่ยวชิง สาวใช้ที่เจ้าบอกข้า”

    เสี่ยวชิงที่ยืนเยื้องอยู่ไกลออกไปเพื่อรอรับใช้ได้ยินอย่างนั้น จึงแสยะยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินหน้าออกมาสองก้าวก่อนชี้นิ้วมาทางหนี่ม่าน

    สาวน้อยผู้ถูกชี้หน้าพลันชะงัก

    เจียวลู่เอ่ยอีกครา “ใครอยู่ข้างนอก เข้ามาหาข้า”

    สิ้นเสียงของฮูหยินรอง บ่าวชายคนหนึ่งก็พุ่งมาจากประตูหน้าเรือน

    เจียวลู่เอ่ยสั่งการทันที “นำสาวใช้นางนี้ไปโบยแล้วขายออกไปเสีย”

    หนี่ม่านพลันเบิกตาโต อา...แย่แล้ว! นางทำใจเอาไว้แค่ถูกโบย มิได้คาดคิดว่าจะถูกขายนะ

    หนิงเหมยเห็นอย่างนั้น จึงเดินมาจับแขนของหนี่ม่านให้มายืนที่ด้านหลังตน ทำเอาบ่าวชายที่เดินเข้ามาพลันชะงัก ทำท่าอึกอักหันมองฮูหยินรองกับคุณหนูใหญ่สลับไปมา

    หนิงเหมยมีสีหน้าสงบนิ่ง หากแต่สายตาคู่หวานกลับทอประกายเด็ดเดี่ยวออกมา นางเพียงเอ่ยวาจาเสียงเรียบ “หากมีใครกล้าพาหนี่ม่านออกไป ข้าจะบอกความจริงเรื่องโจรป่ากับทางการ”

    เจียวลู่พลันขมวดคิ้ว “เหมยเอ๋อร์หมายความว่าอย่างไร”

    หนิงเหมยหาได้ตอบคำ นางเพียงยืนมองแม่รองนิ่งงัน

    เจียวลู่หรี่ตามองหนิงเหมยพลางครุ่นคิด เจ้าพวกนั้นมิได้มารับค่าจ้างในส่วนที่เหลือ แน่นอนแล้วว่าพวกมันรับส่วนแรกไปแล้วหนีงาน มิได้ทำงานให้สำเร็จลุล่วง นิสัยเยี่ยงโจรไยนางจะไม่รู้ หากพวกมันทำสำเร็จต้องกลับมาขอรับค่าจ้างสิ

    หนิงเหมยเห็นกิริยาของแม่รองเป็นเช่นนั้น จึงคลี่ยิ้มบางเบาเอ่ยเสียงราบเรียบ “บ่าวชายที่ไปด้วยกับข้าถูกจับขังและยอมเป็นพยาน ส่วนโจรป่าที่จับตัวได้ก็ยังอยู่ครบ ยามนี้คนพวกนั้นถูกจับกุมตัวเอาไว้หมดแล้ว รอทางการสอบสวน” ในเมื่อนางถูกมองว่าเป็นคนโกหกมาแต่ไหนแต่ไร นางจึงโกหกหน้าตายได้ง่ายดายนัก “แม่รองคิดเห็นเป็นเช่นไร”

    เจียวลู่ถึงกับชะงัก

    หนิงเหมยคลี่ยิ้มมากกว่าเดิมยามเอ่ยอีกครา “แม่รองวางใจเถิด หากเหมยเอ๋อร์ที่เป็นเจ้าทุกข์ยังไม่สะดวกให้ไต่สวน คนของทางการก็จะยังไม่ทำอันใด” การพูดเช่นนี้ คนที่อาเจินฆ่าตายทั้งหมด ก็คือคนเป็น ที่มีประโยชน์ใช้ข่มขู่อีกฝ่าย นับว่าดีไม่น้อย

    หญิงสาวก้าวเท้าเข้าหาแม่รองของตนจนกระซิบให้ได้ยินแค่เพียงสองคน “แต่หากตัวการยังคงยืนยันที่จะยุ่งกับเหมยเอ๋อร์และคนของเหมยเอ๋อร์ ทางการอาจจะไม่นิ่งดูดายอีกต่อไป คงสาวตัวได้ไม่ยาก”

    เจียวลู่พลันเบิกตากว้างใบหน้าซีดเผือด เป็นไปได้อย่างไร ระหว่างทางอันทุรกันดาร ทางการไม่น่ายื่นมือไปถึง

    หนิงเหมยคลี่ยิ้มงดงาม ปรายสายตามองลี่จูชั่วครู่ เห็นนางผู้เป็นน้องสาวนั่งมองมารดาตาปริบๆ ท่าทางแลดูสดใสบริสุทธิ์ไม่สร่างซา

    เจ้าคงไม่รู้สินะ ว่ามารดากระทำเรื่องเลวทรามอันใด

    อึดใจ หนิงเหมยจึงเบนสายตามองเจียวลู่ พลางคิดถึงบุรุษอีกคนหนึ่ง

    ท่านพ่อก็คงไม่รู้เช่นกัน ว่าภรรยาของท่าน ชั่วร้ายปานใด

    หญิงสาวหลุบตาลงซ่อนสีหน้าแววตาหดหู่อ่อนล้า ท่านพ่อไม่เคยมองผู้ใดให้กระจ่างแจ้งแก่ใจ

    หนิงเหมยปรับสายตาและสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติก่อนจะหมุนกายดึงแขนหนี่ม่านเดินจากไป 

    ทิ้งไว้เพียง ตัวการ ให้มีสีหน้าดำคล้ำหมดความงามลงหลายส่วน



    นิยายสาวใช้พระกาฬ ฉบับจบบริบูรณ์ คลิก>>>สาวใช้พระกาฬ(ภาค 1)





    นิยายสาวใช้พระกาฬ ฉบับ E-Book คลิก>>>สาวใช้พระกาฬ

    https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTU0NTM5NSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijg1ODk5Ijt9

    Thumbnail Seller Link
    สาวใช้พระกาฬ
    หลี่หง
    www.mebmarket.com
    จะเป็นอย่างไรเมื่อทายาทสาวน้อยจ้าวยุทธ์ ต้องมาอยู่ในคราบสาวใช้ของนายสาวผู้อ่อนแอ..."คุณหนูท่านรักบุรุษผู้นั้น""ข้ากับเขาคบหากันมา...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×