ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ขอเพียงใจรักมั่น真诚的爱[จบ]

    ลำดับตอนที่ #34 : ตอนพิเศษ: แรกพบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.78K
      226
      29 มี.ค. 61

                กลางตลาดแห่งหนึ่งที่กำลังคับคั่งไปด้วยเหล่าชาวบ้านร้านตลาด มีบุคคลคนหนึ่งกำลังเดินปะปนกันไปกับบรรดาชาวบ้านเหล่านั้นด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์คล้ายๆกับบุรุษ

    แต่ทว่า...

    หากใบหน้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น  

    บุคคลผู้นี้มีนามว่าหลิวหลี

    วันนี้หลิวหลีแค่อยากมาเดินตลาดเพื่อเลือกซื้อผ้าสักผืนสองผืนนำไปตัดอาภรณ์ตามคำสั่งของบิดามารดาเพื่อนำไปใส่ให้สมกับฐานะของคุณหนูตระกูลใหญ่ในวันเฉลิมฉลองของวังหลวงในยามค่ำคืนก็เพียงเท่านั้น หลิวหลีได้ข่าวมาว่านอกเมืองอย่างนี้มักจะมีผ้ามากมายหลากหลายจากชนเผ่าต่างๆนำเข้าเอามาขาย ซึ่งอาจจะหาได้ยากยิ่งหากเป็นตลาดภายในเมืองหลวง

    วันนี้หลิวหลีเลือกเดินทางออกมาไกลจากตัวเมืองมากมายไร้การติดตาม นางใช้วิธีการปลอมตัวจนคล้ายกับบุรุษอยู่หลายส่วนแล้ว คงไม่มีใครสังเกตเห็นคุณหนูตระกูลใหญ่อย่างนางออกมาเดินเตร็ดเตร่แบบนี้หรอกกระมัง

    นางชอบอย่างนี้ นางชอบที่จะทำตัวตามใจอย่างนี้ สาวใช้ของนางมักจะคอยห้ามปรามนางอยู่เสมอ นางจึงไม่ชอบที่จะมีสาวใช้ติดตามเวลาไปไหนมาไหน ท่องเที่ยวคนเดียวสนุกดี

                ในขณะที่หลิวหลีกำลังเดินซื้อหาของอย่างเพลิดเพลินตามริมทางเดินอย่างสบายใจอยู่นั้น หญิงสาวพลันสะดุ้งตกใจเมื่อมีสัญญาณเตือนภัยให้ได้ยิน

                “มีกบฏ มีกบฏ” เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่วิ่งมาจากทิศทางหนึ่งอยู่ไกลๆ ทำเอาชาวบ้านรอบกายของหลิวหลีต่างพากันวิ่งหนีกระจัดกระจายกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง

    หลิวหลีเองก็เช่นเดียวกัน

    มันเกิดสิ่งใดกัน มีกลุ่มกบฏที่ถือเอาโอกาสที่วังหลวงกำลังจะมีการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่เช่นนั้นหรือ  

    หลิวหลีคิดไปพลางเมียงมองหาที่หลบภัยไปอยู่อย่างนั้น

    ทันใดนั้น ร่างทั้งร่างของนางพลันถูกกระตุกยกขึ้นจนตัวลอยในขณะเดียวกันก็มีหอกเล่มหนึ่งพุ่งเฉียดใบหน้างามของนางไป หญิงสาวถึงกับหลับตาลงตามสัญชาตญาณ

    และเมื่อนางลืมตาขึ้น นางก็พบว่าร่างของนางกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ตัวหนึ่งโดยถูกบุคคลผู้หนึ่งโอบอุ้มเอาไว้

    อา...เขาช่วยนาง...

    จากคมหอกอันนั้น...

    เมื่อหญิงสาวพิศมองดูบุคคลผู้นี้

    นางจึงได้เห็นเขา

    เขาสวมใส่ชุดเกราะ บนชุดเกราะมีคราบเลือดเปื้อนเปรอะ และกำลังควบม้าไปตามทาง

    มือข้างหนึ่งของเขาถือดาบอันยาวใหญ่ไล่ฟันกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุของความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเขากำลังจับบังเหียนเพื่อควบม้าให้วิ่งไปตามทาง

    โดยมิได้แตะต้องตัวนางแต่อย่างใด

    หลิวหลีที่นั่งอยู่บนหลังม้าจึงต้องพยายามหาที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้ด้วยตัวเอง

    สิ่งนั้นก็คือร่างอันใหญ่โตของเขา นางเพียงต้องจับยึดเขาเอาไว้ด้วยฝ่ามือน้อยๆของนางจับอยู่กับแขนข้างหนึ่งของเขาที่กำลังบังคับบังเหียนของม้าตัวนี้

    หลิวหลีสำรวจบุคคลผู้นี้ไปจนถึงใบหน้าของเขา ใบหน้าคมคายของเขามีเลือดเปื้อนเปรอะ ดวงตาของเขาคมเข้มฉายชัด แววตาของเขาทอประกายมั่นคง สีหน้าของเขาสงบเรียบนิ่งเฉยชาแม้ยามที่เขากำลังฆ่าฟัน

    เขากำลังมองไปยังทิศทางข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นหมายมาดโดยมิได้มองมาทางหลิวหลี

    ใบหน้าคมเข้มของเขา ทั้งดวงตา ทั้งจมูก ทั้งริมฝีปาก หลิวหลีกำลังจดจำอย่างไม่รู้ตัว

    ซักพักต่อมาบุคคลผู้นี้ก็โน้มตัวก้มลงตวัดฝ่ามืออุ้มเด็กชายคนหนึ่งขึ้นมาซ้อนเอาไว้โดยให้เด็กชายได้นั่งอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกันกับหลิวหลีอีกหนึ่งคนตรงด้านหน้าของหลิวหลีที่อยู่ทางด้านหน้าของเขาอีกทีหนึ่ง

    “จับเด็กคนนี้เอาไว้” เสียงทุ้มต่ำของเขาเอ่ยสั่งการหลิวหลีที่ได้นั่งอยู่แล้วก่อนหน้าให้โอบอุ้มเด็กชายเอาไว้ยามที่เขาตะบึงควบม้าไล่ตามเหล่าคนร้าย

    แน่นอนว่าเขาคงคิดว่านางเป็นบุรุษเพราะว่ายามนี้นั้นนางได้แต่งกายปลอมตัวเป็นบุรุษเพื่อที่จะได้เดินทางมาท่องเที่ยวไกลออกมาจากตัวเมืองหลวง


    เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่

    หลังการจลาจลสงบลงโดยการที่กลุ่มคนร้ายถูกกลุ่มทหารกลุ่มใหญ่ไล่ต้อนจนกลุ่มคนร้ายพวกนั้นถูกล้อมเอาไว้และโดนไล่ต้อนไปที่ทุ่งหญ้าโล่งกว้างหลังหมู่บ้านแห่งนี้

    หลิวหลีและเด็กชายคนหนึ่งจึงถูกบุรุษเจ้าของฝ่ามือที่กระตุกหลิวหลีขึ้นมานั่งอยู่บนหลังม้าตัวนี้ก่อนหน้านั้นจึงได้ถูกปลดปล่อยให้หลิวหลีกับเด็กชายเป็นอิสระจากบนหลังม้า

    “รองแม่ทัพจู” เสียงทหารนายหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับทำความเคารพมายังบุรุษผู้ที่หลิวหลีกำลังจ้องมองเขาอยู่

    “เจ้ากลุ่มพวกนี้มิใช่กบฏ แต่เป็นชนเผ่าๆหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามชายแดนที่เข้ามาหมายก่อความวุ่นวายเพื่อดึงความสนใจให้พรรคพวกของมันเข้าปล้นชิงอีกทางหนึ่ง” บุคคลที่นายทหารเรียกว่ารองแม่ทัพจูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำน่ายำเกรง

    “ตรงนี้มิได้มีอาณาเขตติดกับชายแดน ใยถึงเข้ามาได้กัน” หลิวหลีโพล่งถามขึ้นตามที่ตนสงสัยขณะยืนอยู่ไม่ไกลกับบุรุษนามว่ารองแม่ทัพจู

     รองแม่ทัพจูท่านนั้นหันหน้ามามองหลิวหลีด้วยสายตาคมเข้มดุดันพลางเอ่ยเสียงต่ำ “หากคิดจะปลอมตัวเป็นบุรุษก็ควรจะทำให้แนบเนียน มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะไม่รอด” จบคำก็สะบัดชายผ้าเดินจากไปไร้ซึ่งคำตอบใดๆที่หลิวหลีเอ่ยถามไปเมื่อครู่

    หลิวหลีถึงกับถลึงตามองอย่างไม่พอใจ ก็นางเพียงปลอมตัวเป็นบุรุษครั้งแรกจะให้แนบเนียนร้ายกาจได้อย่างไร หญิงสาวนึกถกเถียงอยู่ในใจ พลางเดินตามเขาไปเสียอย่างนั้น

    มันช่วยไม่ได้ เขาพานางมาเสียไกล เขาควรจะพานางกลับไปถึงจะถูก

    “พี่ชาย พาข้ากลับบ้านด้วย” เด็กชายที่ถูกยกตัวลอยมากับหลิวหลีเอ่ยคำพลางกระตุกชายเสื้อของหลิวหลี

    “ข้าจะพาเจ้ากลับด้วยกัน ตามมา” หลิวหลีเอ่ยแค่นั้นพลางจับจูงมือของเด็กชายให้เดินตามมา

    หลิวหลีและเด็กชายเดินมาจนถึงตัวของรองแม่ทัพจูก่อนจะพากันสะกิดแผ่นหลังของเขาอยู่ครู่หนึ่ง

    รองแม่ทัพจูผู้นั้นเพียงปรายสายตาคมกริบหันมามองนางกับเด็กชายเพียงนิดก่อนจะหันหน้าไปสั่งการอะไรบางอย่างกับทหารครู่หนึ่งจึงหันหน้ากลับมาสนใจหลิวหลีกับเด็กชาย

    “ท่านอา ข้าอยากกลับบ้าน” เด็กชายเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน

    “เจ้าพาเด็กกลับไป” เขาหันมาสั่งการหลิวหลี

    “ได้อย่างไร ท่านพาพวกเรามา ก็ต้องพาพวกเรากลับไป” หลิวหลีเอ่ยอย่างไม่ยินยอม หากต้องเดินกลับไปแล้วเมื่อไหร่จะไปถึงกัน

    “เช่นนั้นก็ต้องรอ” เขากล่าวเสร็จก็เดินไปคุมสถานการณ์ตรงหน้ากับเหล่าทหารของเขา

    หลิวหลีกับเด็กชายจึงยืนรอเขาตามคำเนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น

    อันที่จริงนางควรจะขอบคุณเขาที่เขาได้ช่วยชีวิตของนางเอาไว้เมื่อครู่ แต่ท่าทางแข็งกระด้างของเขาทำนางนึกเคืองจึงยังไม่เอ่ยขอบคุณเขาแต่อย่างใด


    เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่  

    เด็กชายรอจนเผลอหลับไป หลิวหลีจึงนั่งลงกับพื้นให้เด็กชายได้อาศัยไหล่น้อยๆของนางได้หลับใหลอยู่ตรงมุมที่ไม่ไกลกันกับพวกเหล่าทหารที่กำลังรุมล้อมพวกผู้ร้ายอยู่ในขณะนี้

    หลิวหลีเพียงนั่งมองการทำงานของเหล่าทหารเหล่านี้ด้วยใจที่คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้พบเห็นได้ง่ายๆ

    หญิงสาวสังเกตเห็นรองแม่ทัพจูผู้นั้นกำลังยืนตระหง่านอย่างงามสง่าด้วยมาดทรงพลังคุมเชิงเหล่าลูกน้องทหารทั้งหลายด้วยท่วงท่าองอาจสมชายอกผายไหล่ผึ่งประหนึ่งว่าเป็นเทพแห่งสงครามกระนั้น

    ชุดเกราะของเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด ใบหน้าคมเข้มของเขาก็ด้วย มีแต่ริ้วรอยของฝุ่นดินและรอยเลือดผสมกันจนเต็มไปหมด

    ในขณะที่เหล่าทหารหลายนายมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    หลิวหลีจึงได้นั่งคิดวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ผ่านมา

    เมื่อยามที่กำลังหาที่หลบภัยอย่างไม่รู้ทิศอยู่นั้น

    นางสังเกตได้ว่านางไม่เห็นเหล่าทหารเลยสักคน แล้วจู่ๆก็มีหอกพุ่งมาทางนางในขณะที่รองแม่ทัพผู้นี้เข้ามาช่วยนางเอาไว้ นางก็ยังไม่เห็นเหล่าทหารเลยสักคน นางเห็นแต่เหล่าคนร้าย

    นั่นก็แสดงให้เห็นว่า รองแม่ทัพจูผู้นี้เป็นผู้ที่นำหน้าฟาดฟันเหล่าศัตรูให้กับบรรดาเหล่าทหารทั้งหลายของเขา

    รอยเลือดที่มีมากกว่า ฝุ่นดินที่มีเยอะกว่า สิ่งเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่ารองแม่ทัพจูผู้นี้กล้าหาญชาญชัยเพียงใด

    มิใช่ว่าเขาจะต้องอยู่กลางกลุ่มขบวนหรอกหรือ มิใช่ว่าเขาจะต้องให้เหล่าทหารออกประจัญบานล่วงหน้าหรอกหรือ

    เพื่อรักษาบุคคลสำคัญที่มีตำแหน่งสูงส่งเหล่าทหารชั้นล่างย่อมต้องนำหน้าฟาดฟันก่อนมิใช่หรือ  

    หลิวหลีคิดไปพลางเมียงมองสังเกตการณ์เหล่าทหารคนอื่นโดยรอบทิศทางอยู่อย่างนั้น

    “จะกลับหรือไม่” เสียงห้วนๆของรองแม่ทัพจูเอ่ยขึ้นทำเอาเด็กชายพลันสะดุ้งตกใจจนหัวของเขาเกือบตกออกจากไหล่ของหลิวหลี

    “เอ่ยดีๆไม่ได้หรือไร เด็กตกใจแล้วเห็นหรือไม่” หลิวหลีดุใส่รองแม่ทัพจูอย่างไม่ชอบใจ ดวงตากลมโตของนางจ้องเขม็งใส่รองแม่ทัพผู้นี้อย่างไม่ยินยอมให้เขาทำนิสัยแข็งกระด้างใส่นาง

    รองแม่ทัพจูไม่เอ่ยตอบคำใด เขาเพียงก้มหน้าโน้มตัวลงมาใกล้ๆหลิวหลีที่นั่งอยู่กับพื้น

    หลิวหลีถึงกับถลึงตาโตตกใจ

    เขาจะทำสิ่งใดนาง!?

    หญิงสาวถึงกับกระโดดตัวลอยหลบออกจากระยะที่รองแม่ทัพจูก้มใบหน้าคมคายของเขาและโน้มตัวของเขาลงมา

    เด็กชายที่นั่งพิงไหล่ของหลิวหลีอยู่ถึงกับล้มตัวหน้าทิ่มลงพื้นดิน

    “โอ๊ย! ข้าเจ็บนะ พี่ชาย” เด็กน้อยถึงกับโวยวายใส่หลิวหลีพลางยกมือน้อยๆลูบหัวลูบหน้า

    รองแม่ทัพจูกระตุกยิ้มตรงมุมปากเพียงนิดพลางปรายหางตาคมเข้มมองมาทางหลิวหลีแล้วเอ่ย “ข้าแค่จะก้มลงอุ้มเด็ก เจ้าคิดไปถึงไหนกัน”

    หลิวหลีถึงกับชะงักไป

    รองแม่ทัพจูเพียงอุ้มเด็กชายเอาไว้แนบอกก่อนจะเดินไปยังม้าตัวใหญ่ หลิวหลีเห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินตามเขาไป

    เมื่อรองแม่ทัพจูวางเด็กชายเอาไว้บนหลังม้าแล้วจึงหันหน้ามาทำท่าจะอุ้มหลิวหลีให้ขึ้นนั่งบนหลังม้า

    “ไม่ต้อง” หลิวหลีรีบห้ามปราม “ข้าขึ้นเองได้” จบคำนางก็พยายามกระโดดขึ้นม้าอย่างทุลักทุเล

    ม้าตัวใหญ่เหลือเกิน หลิวหลีคิด

    เวลาผ่านไปซักพักหลิวหลีจึงขึ้นนั่งบนหลังม้าได้อย่างเรียบร้อยสวยงาม

    “เจ้าลงมาก่อน” รองแม่ทัพจูเอ่ยขึ้นมาทางหลิวหลีที่นั่งอยู่บนหลังม้าเรียบร้อยดีแล้ว

    หลิวหลีถึงกับกระพริบตาปริบๆ ก่อนถาม “ทำไม”

    รองแม่ทัพจูไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เขาเพียงยืนรอนิ่งๆให้นางลงจากหลังม้าตามคำด้วยมาดเย็นชาแต่ทว่า...สายตากลับกดดัน

    “ลงก็ได้” หลิวหลีเอ่ยเสียงเบาก่อนกระโดดลงอย่างเสียไม่ได้ เขาควรจะบอกนางตั้งแต่แรกแล้วมิใช่ให้นางพยายามปีนขึ้นบนหลังม้าตัวใหญ่ตัวนี้เสียนาน หลิวหลีคิดอย่างขุ่นเคืองจนเรียวคิ้วของนางขมวดกันมุ่น ริมฝีปากของนางขบเม้มกันแน่น

    “อ๊ะ!” นางถึงกับเสียหลักล้มลงเพราะมัวแต่รู้สึกขัดใจบุรุษหน้าตายตรงหน้า

    และทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น รองแม่ทัพจูอะไรนี่ก็ไม่คิดที่จะช่วยเหลือนาง ไม่ว่าจะเป็นยามที่นางปีนขึ้นไปบนหลังม้า และยามที่นางกำลังลงจากหลังม้า เขาเพียงยืนมองนางนิ่งๆปล่อยให้นางลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองอยู่อย่างนั้น

    ใจร้ายเกินไปหรือไม่ แข็งกระด้างเกินไปหรือไม่ เย็นชาเกินไปหรือไม่ หลิวหลีคิดอย่างขุ่นเคืองอยู่ในใจหลายประโยค ทั้งๆที่เขารู้ว่านางเป็นสตรีปลอมตัวมา หึ!

    เมื่อหลิวหลีลงมาจากหลังม้าแล้วรองแม่ทัพจูจึงขึ้นนั่งบนหลังม้าโดยไม่สนใจหลิวหลี และเมื่อเขานั่งบนหลังม้าเรียบร้อยดีแล้วเขาเพียงนั่งรออยู่นิ่งๆให้หลิวหลีได้กระโดดขึ้นม้าอย่างทุลักทุเลอีกรอบ

    หลิวหลียังคงพยายามปีนขึ้นนั่งบนหลังม้าตัวใหญ่อย่างยากลำบากด้วยใบหน้าขัดเคืองฉายชัด

    รองแม่ทัพจูเพียงปรายสายตามองมาทางหลิวหลีอย่างนึกขันแต่ต้องเก็บซ่อนมันเอาไว้ภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉย

    เมื่อหลิวหลีขึ้นนั่งบนหลังม้าเรียบร้อยดีอีกครั้งหนึ่งแล้ว จึงเอ่ยตามตรงด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอม “ข้าไม่ลงแล้วนะ”

    รองแม่ทัพจูไม่กล่าวสิ่งใด เขาเพียงใช้มือข้างหนึ่งโอบกอดเด็กชาย และมืออีกข้างหนึ่งจังบังเหียนม้าเพื่อบังคับโดยไม่สนใจหลิวหลีที่นั่งอยู่ทางด้านหลังของเขาแต่อย่างใด

    ทันใดนั้น ม้าตัวนี้พลันกระตุก หลิวหลีถึงกับสะดุ้งตกใจเกือบตกม้าไปจนต้องรีบเอื้อมมือน้อยๆของตนโอบกระชับคนตัวโตที่อยู่ตรงหน้าของนางเอาไว้แน่น

    หึ! เขาแกล้งนาง

    หลิวหลีได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจ

     

    เวลาผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะมาถึงในหมู่บ้าน

    หลิวหลีรู้ดีว่ามันช่างใช้เวลานานมากกว่าคราแรกมากนัก กว่าจะเข้าถึงหมู่บ้านแห่งเดิม เนื่องจากว่าในคราแรกนั้นม้ามันวิ่งเร็วมากเพื่อที่จะต้องตามตะครุบคนร้าย แต่รอบนี้มันเพียงแค่วิ่งเหยาะๆก็เท่านั้น

    แต่ทว่า...ไม่รู้ทำไมหลิวหลีกลับรู้สึกได้ว่ามันเร็วเกินไป

    ใยถึงหมู่บ้านเร็วเกินไปนัก นางยังอยากจะนั่งมองแผ่นหลังของใครบางคนอีกครู่หนึ่ง ไม่ได้หรือไร

    หลิวหลียังคงนั่งเหม่อมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ของรองแม่ทัพจูอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้ตัว แล้วจู่ๆแผ่นหลังเปี่ยมเสน่ห์พลันหายไป

    หญิงสาวถึงกับกระพริบตากลมโตปริบๆ ขณะยังคงนั่งเก้ออยู่บนหลังม้า

    เมื่อหญิงสาวมองไปรอบๆทิศทางรอบตัว นางจึงได้เห็นรองแม่ทัพจูผูกม้าเอาไว้ทางหนึ่งแล้วเดินไปคุยอยู่กับชาวบ้านอีกทางหนึ่ง

    โดยที่นางยังนั่งอยู่บนหลังม้าอยู่เลย...

    อะไรกัน?

     

    “น้องชายท่านนั้นไม่ลงมาจากม้าหรือ” เสียงของชาวบ้านท่านหนึ่งถามไปทางรองแม่ทัพจูโดยวาดนิ้วชี้มาทางหลิวหลี

    “เขาบอกว่าจะไม่ลงมาจากหลังม้าอีก ท่านอย่าได้ใส่ใจ” เสียงทุ้มต่ำของรองแม่ทัพจูกล่าวตอบไปอย่างนั้น

    หลิวหลีได้ยินจึงนิ่งอึ้งไป

    หึ!

    เขาแกล้งนาง...

                
                หลิวหลีได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจขึ้นมาอีกครา
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×