คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #34 : ตอนพิเศษ: แรกพบ
กลางตลาดแห่งหนึ่งที่กำลังคับคั่งไปด้วยเหล่าชาวบ้านร้านตลาด
มีบุคคลคนหนึ่งกำลังเดินปะปนกันไปกับบรรดาชาวบ้านเหล่านั้นด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์คล้ายๆกับบุรุษ
แต่ทว่า...
หากใบหน้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น
บุคคลผู้นี้มีนามว่าหลิวหลี
วันนี้หลิวหลีแค่อยากมาเดินตลาดเพื่อเลือกซื้อผ้าสักผืนสองผืนนำไปตัดอาภรณ์ตามคำสั่งของบิดามารดาเพื่อนำไปใส่ให้สมกับฐานะของคุณหนูตระกูลใหญ่ในวันเฉลิมฉลองของวังหลวงในยามค่ำคืนก็เพียงเท่านั้น
หลิวหลีได้ข่าวมาว่านอกเมืองอย่างนี้มักจะมีผ้ามากมายหลากหลายจากชนเผ่าต่างๆนำเข้าเอามาขาย
ซึ่งอาจจะหาได้ยากยิ่งหากเป็นตลาดภายในเมืองหลวง
วันนี้หลิวหลีเลือกเดินทางออกมาไกลจากตัวเมืองมากมายไร้การติดตาม
นางใช้วิธีการปลอมตัวจนคล้ายกับบุรุษอยู่หลายส่วนแล้ว คงไม่มีใครสังเกตเห็นคุณหนูตระกูลใหญ่อย่างนางออกมาเดินเตร็ดเตร่แบบนี้หรอกกระมัง
นางชอบอย่างนี้
นางชอบที่จะทำตัวตามใจอย่างนี้ สาวใช้ของนางมักจะคอยห้ามปรามนางอยู่เสมอ
นางจึงไม่ชอบที่จะมีสาวใช้ติดตามเวลาไปไหนมาไหน ท่องเที่ยวคนเดียวสนุกดี
ในขณะที่หลิวหลีกำลังเดินซื้อหาของอย่างเพลิดเพลินตามริมทางเดินอย่างสบายใจอยู่นั้น
หญิงสาวพลันสะดุ้งตกใจเมื่อมีสัญญาณเตือนภัยให้ได้ยิน
“มีกบฏ
มีกบฏ”
เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่วิ่งมาจากทิศทางหนึ่งอยู่ไกลๆ
ทำเอาชาวบ้านรอบกายของหลิวหลีต่างพากันวิ่งหนีกระจัดกระจายกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง
หลิวหลีเองก็เช่นเดียวกัน
มันเกิดสิ่งใดกัน
มีกลุ่มกบฏที่ถือเอาโอกาสที่วังหลวงกำลังจะมีการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่เช่นนั้นหรือ
หลิวหลีคิดไปพลางเมียงมองหาที่หลบภัยไปอยู่อย่างนั้น
ทันใดนั้น
ร่างทั้งร่างของนางพลันถูกกระตุกยกขึ้นจนตัวลอยในขณะเดียวกันก็มีหอกเล่มหนึ่งพุ่งเฉียดใบหน้างามของนางไป
หญิงสาวถึงกับหลับตาลงตามสัญชาตญาณ
และเมื่อนางลืมตาขึ้น
นางก็พบว่าร่างของนางกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ตัวหนึ่งโดยถูกบุคคลผู้หนึ่งโอบอุ้มเอาไว้
อา...เขาช่วยนาง...
จากคมหอกอันนั้น...
เมื่อหญิงสาวพิศมองดูบุคคลผู้นี้
นางจึงได้เห็นเขา
เขาสวมใส่ชุดเกราะ
บนชุดเกราะมีคราบเลือดเปื้อนเปรอะ และกำลังควบม้าไปตามทาง
มือข้างหนึ่งของเขาถือดาบอันยาวใหญ่ไล่ฟันกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุของความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเขากำลังจับบังเหียนเพื่อควบม้าให้วิ่งไปตามทาง
โดยมิได้แตะต้องตัวนางแต่อย่างใด
หลิวหลีที่นั่งอยู่บนหลังม้าจึงต้องพยายามหาที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้ด้วยตัวเอง
สิ่งนั้นก็คือร่างอันใหญ่โตของเขา
นางเพียงต้องจับยึดเขาเอาไว้ด้วยฝ่ามือน้อยๆของนางจับอยู่กับแขนข้างหนึ่งของเขาที่กำลังบังคับบังเหียนของม้าตัวนี้
หลิวหลีสำรวจบุคคลผู้นี้ไปจนถึงใบหน้าของเขา
ใบหน้าคมคายของเขามีเลือดเปื้อนเปรอะ ดวงตาของเขาคมเข้มฉายชัด
แววตาของเขาทอประกายมั่นคง สีหน้าของเขาสงบเรียบนิ่งเฉยชาแม้ยามที่เขากำลังฆ่าฟัน
เขากำลังมองไปยังทิศทางข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นหมายมาดโดยมิได้มองมาทางหลิวหลี
ใบหน้าคมเข้มของเขา
ทั้งดวงตา ทั้งจมูก ทั้งริมฝีปาก หลิวหลีกำลังจดจำอย่างไม่รู้ตัว
ซักพักต่อมาบุคคลผู้นี้ก็โน้มตัวก้มลงตวัดฝ่ามืออุ้มเด็กชายคนหนึ่งขึ้นมาซ้อนเอาไว้โดยให้เด็กชายได้นั่งอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกันกับหลิวหลีอีกหนึ่งคนตรงด้านหน้าของหลิวหลีที่อยู่ทางด้านหน้าของเขาอีกทีหนึ่ง
“จับเด็กคนนี้เอาไว้”
เสียงทุ้มต่ำของเขาเอ่ยสั่งการหลิวหลีที่ได้นั่งอยู่แล้วก่อนหน้าให้โอบอุ้มเด็กชายเอาไว้ยามที่เขาตะบึงควบม้าไล่ตามเหล่าคนร้าย
แน่นอนว่าเขาคงคิดว่านางเป็นบุรุษเพราะว่ายามนี้นั้นนางได้แต่งกายปลอมตัวเป็นบุรุษเพื่อที่จะได้เดินทางมาท่องเที่ยวไกลออกมาจากตัวเมืองหลวง
เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่
หลังการจลาจลสงบลงโดยการที่กลุ่มคนร้ายถูกกลุ่มทหารกลุ่มใหญ่ไล่ต้อนจนกลุ่มคนร้ายพวกนั้นถูกล้อมเอาไว้และโดนไล่ต้อนไปที่ทุ่งหญ้าโล่งกว้างหลังหมู่บ้านแห่งนี้
หลิวหลีและเด็กชายคนหนึ่งจึงถูกบุรุษเจ้าของฝ่ามือที่กระตุกหลิวหลีขึ้นมานั่งอยู่บนหลังม้าตัวนี้ก่อนหน้านั้นจึงได้ถูกปลดปล่อยให้หลิวหลีกับเด็กชายเป็นอิสระจากบนหลังม้า
“รองแม่ทัพจู”
เสียงทหารนายหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับทำความเคารพมายังบุรุษผู้ที่หลิวหลีกำลังจ้องมองเขาอยู่
“เจ้ากลุ่มพวกนี้มิใช่กบฏ
แต่เป็นชนเผ่าๆหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามชายแดนที่เข้ามาหมายก่อความวุ่นวายเพื่อดึงความสนใจให้พรรคพวกของมันเข้าปล้นชิงอีกทางหนึ่ง”
บุคคลที่นายทหารเรียกว่ารองแม่ทัพจูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำน่ายำเกรง
“ตรงนี้มิได้มีอาณาเขตติดกับชายแดน
ใยถึงเข้ามาได้กัน”
หลิวหลีโพล่งถามขึ้นตามที่ตนสงสัยขณะยืนอยู่ไม่ไกลกับบุรุษนามว่ารองแม่ทัพจู
รองแม่ทัพจูท่านนั้นหันหน้ามามองหลิวหลีด้วยสายตาคมเข้มดุดันพลางเอ่ยเสียงต่ำ “หากคิดจะปลอมตัวเป็นบุรุษก็ควรจะทำให้แนบเนียน มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะไม่รอด” จบคำก็สะบัดชายผ้าเดินจากไปไร้ซึ่งคำตอบใดๆที่หลิวหลีเอ่ยถามไปเมื่อครู่
หลิวหลีถึงกับถลึงตามองอย่างไม่พอใจ
ก็นางเพียงปลอมตัวเป็นบุรุษครั้งแรกจะให้แนบเนียนร้ายกาจได้อย่างไร
หญิงสาวนึกถกเถียงอยู่ในใจ พลางเดินตามเขาไปเสียอย่างนั้น
มันช่วยไม่ได้
เขาพานางมาเสียไกล เขาควรจะพานางกลับไปถึงจะถูก
“พี่ชาย
พาข้ากลับบ้านด้วย” เด็กชายที่ถูกยกตัวลอยมากับหลิวหลีเอ่ยคำพลางกระตุกชายเสื้อของหลิวหลี
“ข้าจะพาเจ้ากลับด้วยกัน
ตามมา” หลิวหลีเอ่ยแค่นั้นพลางจับจูงมือของเด็กชายให้เดินตามมา
หลิวหลีและเด็กชายเดินมาจนถึงตัวของรองแม่ทัพจูก่อนจะพากันสะกิดแผ่นหลังของเขาอยู่ครู่หนึ่ง
รองแม่ทัพจูผู้นั้นเพียงปรายสายตาคมกริบหันมามองนางกับเด็กชายเพียงนิดก่อนจะหันหน้าไปสั่งการอะไรบางอย่างกับทหารครู่หนึ่งจึงหันหน้ากลับมาสนใจหลิวหลีกับเด็กชาย
“ท่านอา
ข้าอยากกลับบ้าน” เด็กชายเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
“เจ้าพาเด็กกลับไป”
เขาหันมาสั่งการหลิวหลี
“ได้อย่างไร
ท่านพาพวกเรามา ก็ต้องพาพวกเรากลับไป” หลิวหลีเอ่ยอย่างไม่ยินยอม หากต้องเดินกลับไปแล้วเมื่อไหร่จะไปถึงกัน
“เช่นนั้นก็ต้องรอ”
เขากล่าวเสร็จก็เดินไปคุมสถานการณ์ตรงหน้ากับเหล่าทหารของเขา
หลิวหลีกับเด็กชายจึงยืนรอเขาตามคำเนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น
อันที่จริงนางควรจะขอบคุณเขาที่เขาได้ช่วยชีวิตของนางเอาไว้เมื่อครู่
แต่ท่าทางแข็งกระด้างของเขาทำนางนึกเคืองจึงยังไม่เอ่ยขอบคุณเขาแต่อย่างใด
เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่
เด็กชายรอจนเผลอหลับไป
หลิวหลีจึงนั่งลงกับพื้นให้เด็กชายได้อาศัยไหล่น้อยๆของนางได้หลับใหลอยู่ตรงมุมที่ไม่ไกลกันกับพวกเหล่าทหารที่กำลังรุมล้อมพวกผู้ร้ายอยู่ในขณะนี้
หลิวหลีเพียงนั่งมองการทำงานของเหล่าทหารเหล่านี้ด้วยใจที่คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้พบเห็นได้ง่ายๆ
หญิงสาวสังเกตเห็นรองแม่ทัพจูผู้นั้นกำลังยืนตระหง่านอย่างงามสง่าด้วยมาดทรงพลังคุมเชิงเหล่าลูกน้องทหารทั้งหลายด้วยท่วงท่าองอาจสมชายอกผายไหล่ผึ่งประหนึ่งว่าเป็นเทพแห่งสงครามกระนั้น
ชุดเกราะของเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด
ใบหน้าคมเข้มของเขาก็ด้วย มีแต่ริ้วรอยของฝุ่นดินและรอยเลือดผสมกันจนเต็มไปหมด
ในขณะที่เหล่าทหารหลายนายมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลิวหลีจึงได้นั่งคิดวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ผ่านมา
เมื่อยามที่กำลังหาที่หลบภัยอย่างไม่รู้ทิศอยู่นั้น
นางสังเกตได้ว่านางไม่เห็นเหล่าทหารเลยสักคน
แล้วจู่ๆก็มีหอกพุ่งมาทางนางในขณะที่รองแม่ทัพผู้นี้เข้ามาช่วยนางเอาไว้
นางก็ยังไม่เห็นเหล่าทหารเลยสักคน นางเห็นแต่เหล่าคนร้าย
นั่นก็แสดงให้เห็นว่า
รองแม่ทัพจูผู้นี้เป็นผู้ที่นำหน้าฟาดฟันเหล่าศัตรูให้กับบรรดาเหล่าทหารทั้งหลายของเขา
รอยเลือดที่มีมากกว่า
ฝุ่นดินที่มีเยอะกว่า
สิ่งเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่ารองแม่ทัพจูผู้นี้กล้าหาญชาญชัยเพียงใด
มิใช่ว่าเขาจะต้องอยู่กลางกลุ่มขบวนหรอกหรือ
มิใช่ว่าเขาจะต้องให้เหล่าทหารออกประจัญบานล่วงหน้าหรอกหรือ
เพื่อรักษาบุคคลสำคัญที่มีตำแหน่งสูงส่งเหล่าทหารชั้นล่างย่อมต้องนำหน้าฟาดฟันก่อนมิใช่หรือ
หลิวหลีคิดไปพลางเมียงมองสังเกตการณ์เหล่าทหารคนอื่นโดยรอบทิศทางอยู่อย่างนั้น
“จะกลับหรือไม่”
เสียงห้วนๆของรองแม่ทัพจูเอ่ยขึ้นทำเอาเด็กชายพลันสะดุ้งตกใจจนหัวของเขาเกือบตกออกจากไหล่ของหลิวหลี
“เอ่ยดีๆไม่ได้หรือไร
เด็กตกใจแล้วเห็นหรือไม่” หลิวหลีดุใส่รองแม่ทัพจูอย่างไม่ชอบใจ ดวงตากลมโตของนางจ้องเขม็งใส่รองแม่ทัพผู้นี้อย่างไม่ยินยอมให้เขาทำนิสัยแข็งกระด้างใส่นาง
รองแม่ทัพจูไม่เอ่ยตอบคำใด
เขาเพียงก้มหน้าโน้มตัวลงมาใกล้ๆหลิวหลีที่นั่งอยู่กับพื้น
หลิวหลีถึงกับถลึงตาโตตกใจ
เขาจะทำสิ่งใดนาง!?
หญิงสาวถึงกับกระโดดตัวลอยหลบออกจากระยะที่รองแม่ทัพจูก้มใบหน้าคมคายของเขาและโน้มตัวของเขาลงมา
เด็กชายที่นั่งพิงไหล่ของหลิวหลีอยู่ถึงกับล้มตัวหน้าทิ่มลงพื้นดิน
“โอ๊ย! ข้าเจ็บนะ พี่ชาย”
เด็กน้อยถึงกับโวยวายใส่หลิวหลีพลางยกมือน้อยๆลูบหัวลูบหน้า
รองแม่ทัพจูกระตุกยิ้มตรงมุมปากเพียงนิดพลางปรายหางตาคมเข้มมองมาทางหลิวหลีแล้วเอ่ย
“ข้าแค่จะก้มลงอุ้มเด็ก เจ้าคิดไปถึงไหนกัน”
หลิวหลีถึงกับชะงักไป
รองแม่ทัพจูเพียงอุ้มเด็กชายเอาไว้แนบอกก่อนจะเดินไปยังม้าตัวใหญ่
หลิวหลีเห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินตามเขาไป
เมื่อรองแม่ทัพจูวางเด็กชายเอาไว้บนหลังม้าแล้วจึงหันหน้ามาทำท่าจะอุ้มหลิวหลีให้ขึ้นนั่งบนหลังม้า
“ไม่ต้อง”
หลิวหลีรีบห้ามปราม “ข้าขึ้นเองได้” จบคำนางก็พยายามกระโดดขึ้นม้าอย่างทุลักทุเล
ม้าตัวใหญ่เหลือเกิน หลิวหลีคิด
เวลาผ่านไปซักพักหลิวหลีจึงขึ้นนั่งบนหลังม้าได้อย่างเรียบร้อยสวยงาม
“เจ้าลงมาก่อน”
รองแม่ทัพจูเอ่ยขึ้นมาทางหลิวหลีที่นั่งอยู่บนหลังม้าเรียบร้อยดีแล้ว
หลิวหลีถึงกับกระพริบตาปริบๆ
ก่อนถาม “ทำไม”
รองแม่ทัพจูไม่เอ่ยตอบสิ่งใด
เขาเพียงยืนรอนิ่งๆให้นางลงจากหลังม้าตามคำด้วยมาดเย็นชาแต่ทว่า...สายตากลับกดดัน
“ลงก็ได้”
หลิวหลีเอ่ยเสียงเบาก่อนกระโดดลงอย่างเสียไม่ได้ เขาควรจะบอกนางตั้งแต่แรกแล้วมิใช่ให้นางพยายามปีนขึ้นบนหลังม้าตัวใหญ่ตัวนี้เสียนาน
หลิวหลีคิดอย่างขุ่นเคืองจนเรียวคิ้วของนางขมวดกันมุ่น ริมฝีปากของนางขบเม้มกันแน่น
“อ๊ะ!”
นางถึงกับเสียหลักล้มลงเพราะมัวแต่รู้สึกขัดใจบุรุษหน้าตายตรงหน้า
และทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น
รองแม่ทัพจูอะไรนี่ก็ไม่คิดที่จะช่วยเหลือนาง
ไม่ว่าจะเป็นยามที่นางปีนขึ้นไปบนหลังม้า และยามที่นางกำลังลงจากหลังม้า
เขาเพียงยืนมองนางนิ่งๆปล่อยให้นางลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองอยู่อย่างนั้น
ใจร้ายเกินไปหรือไม่ แข็งกระด้างเกินไปหรือไม่
เย็นชาเกินไปหรือไม่ หลิวหลีคิดอย่างขุ่นเคืองอยู่ในใจหลายประโยค ทั้งๆที่เขารู้ว่านางเป็นสตรีปลอมตัวมา
หึ!
เมื่อหลิวหลีลงมาจากหลังม้าแล้วรองแม่ทัพจูจึงขึ้นนั่งบนหลังม้าโดยไม่สนใจหลิวหลี
และเมื่อเขานั่งบนหลังม้าเรียบร้อยดีแล้วเขาเพียงนั่งรออยู่นิ่งๆให้หลิวหลีได้กระโดดขึ้นม้าอย่างทุลักทุเลอีกรอบ
หลิวหลียังคงพยายามปีนขึ้นนั่งบนหลังม้าตัวใหญ่อย่างยากลำบากด้วยใบหน้าขัดเคืองฉายชัด
รองแม่ทัพจูเพียงปรายสายตามองมาทางหลิวหลีอย่างนึกขันแต่ต้องเก็บซ่อนมันเอาไว้ภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉย
เมื่อหลิวหลีขึ้นนั่งบนหลังม้าเรียบร้อยดีอีกครั้งหนึ่งแล้ว
จึงเอ่ยตามตรงด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอม “ข้าไม่ลงแล้วนะ”
รองแม่ทัพจูไม่กล่าวสิ่งใด
เขาเพียงใช้มือข้างหนึ่งโอบกอดเด็กชาย
และมืออีกข้างหนึ่งจังบังเหียนม้าเพื่อบังคับโดยไม่สนใจหลิวหลีที่นั่งอยู่ทางด้านหลังของเขาแต่อย่างใด
ทันใดนั้น
ม้าตัวนี้พลันกระตุก หลิวหลีถึงกับสะดุ้งตกใจเกือบตกม้าไปจนต้องรีบเอื้อมมือน้อยๆของตนโอบกระชับคนตัวโตที่อยู่ตรงหน้าของนางเอาไว้แน่น
หึ! เขาแกล้งนาง
หลิวหลีได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะมาถึงในหมู่บ้าน
หลิวหลีรู้ดีว่ามันช่างใช้เวลานานมากกว่าคราแรกมากนัก
กว่าจะเข้าถึงหมู่บ้านแห่งเดิม
เนื่องจากว่าในคราแรกนั้นม้ามันวิ่งเร็วมากเพื่อที่จะต้องตามตะครุบคนร้าย
แต่รอบนี้มันเพียงแค่วิ่งเหยาะๆก็เท่านั้น
แต่ทว่า...ไม่รู้ทำไมหลิวหลีกลับรู้สึกได้ว่ามันเร็วเกินไป
ใยถึงหมู่บ้านเร็วเกินไปนัก
นางยังอยากจะนั่งมองแผ่นหลังของใครบางคนอีกครู่หนึ่ง ไม่ได้หรือไร
หลิวหลียังคงนั่งเหม่อมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ของรองแม่ทัพจูอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้ตัว
แล้วจู่ๆแผ่นหลังเปี่ยมเสน่ห์พลันหายไป
หญิงสาวถึงกับกระพริบตากลมโตปริบๆ
ขณะยังคงนั่งเก้ออยู่บนหลังม้า
เมื่อหญิงสาวมองไปรอบๆทิศทางรอบตัว
นางจึงได้เห็นรองแม่ทัพจูผูกม้าเอาไว้ทางหนึ่งแล้วเดินไปคุยอยู่กับชาวบ้านอีกทางหนึ่ง
โดยที่นางยังนั่งอยู่บนหลังม้าอยู่เลย...
อะไรกัน?
“น้องชายท่านนั้นไม่ลงมาจากม้าหรือ”
เสียงของชาวบ้านท่านหนึ่งถามไปทางรองแม่ทัพจูโดยวาดนิ้วชี้มาทางหลิวหลี
“เขาบอกว่าจะไม่ลงมาจากหลังม้าอีก
ท่านอย่าได้ใส่ใจ” เสียงทุ้มต่ำของรองแม่ทัพจูกล่าวตอบไปอย่างนั้น
หลิวหลีได้ยินจึงนิ่งอึ้งไป
หึ!
เขาแกล้งนาง...
ความคิดเห็น