เคยซื้อปากกาหมึกซึมมาด้ามหนึ่ง เพราะอยากมีของแพงกับเขาบ้าง ซื้อเสร็จก็เอามาทดลองด้วยความชื่นชม นานๆก็เอามาลองเขียนสักที
มีอยู่วันหนึ่ง ทำปากกาหมึกซึมด้ามนั้นตกพื้น ตรงด้านปลายแหลมหด ปลายปากเบ้ออกจากกันเล็กน้อย ตอนนั้นรู้สึกเสียดายมากเพราะเขียนไม่ได้แล้ว หมึกไม่ออก เลยไม่แตะต้องมันอีกแล้วเก็บมันไว้ในซอกหนึ่งของลิ้นชัก
เวลาผ่านไปกว่า 2 ปี นึกสนุกอะไรไม่รู้ หยิบปากกาในกรุทั้งหมดมานั่งขีดเขียนเล่น ลองเปลี่ยนหัว เติมหมึก แช่น้ำร้อน ดีบ้างไม่ดีบ้าง จนกระทั่งมาถึงปากกาหมึกซึมที่เราลืมไปแล้วว่าเคยมี
นั่งมองอยู่ตั้งนานก็เลยคิดว่าจะลองเอามันมาขีดเขียนอีกสักที แต่หมึกมันแห้งแล้วนี่นา... ก็เลยเปลี่ยนกลักหมึกใหม่
พอกดหมึกรีฟิลลงไปเท่านั้น “แป็ก!” ไอ้ส่วนที่เป็นปลายแหลมของปากกาที่หดลงไปก็โผล่ออกมา ????
พอเอามาเขียนก็เขียนได้ ปลายที่เบ้ออกไม่มีผลอะไรกับตัวหนังสือ อ้าว! แล้วกัน!!! ทำไมเมื่อ 2ปีก่อน เราไม่เคยคิดที่จะทำอะไรกับมันเลยฟ่ะ?
ทำให้คิดว่า เรานี่มัน..???..จริงๆ ทำไมไม่ลองเปลี่ยนหมึกเสียตั้งแต่ทีแรกน๊า? จะได้รู้ว่าหัวปากกามันยุบเข้าไปเท่านั้น และตอนนั้นหมึกมันคงจะหมดพอดี ของแพงขนาดนั้นน่าจะทนไม้ทนมือหน่อยสิ
ทำไมเราไม่กล้าแตะต้องปากกาเสียตั้งแต่คราวนั้น?
ไม่อย่างนั้นเราคงได้ใช้ปากกาด้ามนี้ตั้งสองปีก่อนแล้ว
คงเป็นเพราะกลัว ยอมรับการสูญเสียไม่ได้ และไม่กล้ายอมรับความจริง ก็เลยถึงเก็บปากกามันไว้ในลิ้นชัก ทิ้งไว้จนลืม
พอมาถึงตอนนี้ก็เพราะคงคิดว่า ถึงอย่างไร...ปากกามันก็ใช้งานไม่ได้แล้ว ถ้าจะลองทำอะไรอะไรกับมัน อย่างมากก็เสมอตัว มันก็เสียเหมือนเดิม (ซึ่งจริงๆแล้วสถานะของปากกาไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไปจากเมื่อสองปีก่อน) คนที่เปลี่ยนนะ ตัวเราต่างหาก!
บางที ถ้าเรากล้า! ที่จะทำอะไรสักอย่าง
บางที...เราอาจจะได้....อย่างที่เราควรจะได้?
และบางที...เราอาจจะไม่ได้...ในสิ่งที่เราไม่ควรได้
ปล่อยเนิ่นนานไปอาจจะทำให้เราเสียโอกาส เพราะโอกาส...อาจไม่ได้นอนรอเราในซอกของลิ้นชักเหมือนกับปากกาหมึกซึมด้ามนั้น...
ความคิดเห็น
เราเข้าใจดีเลยนะ คือมันเสียจนไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
ถ้าได้ก็กำไร ถ้าไม่ได้ก็คือเท่าทุนนั่นล่ะ เฮ้อออ
เมื่อได้เรียนรู้ ทดสอบ ก็ไม่มีสิ่งใดค้างคาใจ และไม่มีความเสียดายจนต้องเก็บเอาไว้อีกต่อไป