ลำดับตอนที่ #56
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #56 : เรื่องผีๆ
ผีเฝ้าต้นมะม่วง
โดย ดาวนนท์
จากหนังสือ “ตายแล้วไปไหน”
เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่ผมประสบมาด้วยตนเอง สมัยที่ผมอายุ ๑๓ ปี บ้านผมอยู่ใกล้วัด และผมกับเพื่อน ๆ ก็ชอบไปเล่นกันที่วัด ไปอาบน้ำบ้าง ไปขโมยมะม่วงบ้าง ซึ่งสร้างความรำคาญให้กับพระ เณร เป็นประจำ พระ เณรจึงชอบไล่ตีพวกเรา แต่ที่เรากลัวที่สุดก็คือ หลวงตา ที่มีกุฏิอยู่แถวนั้น
ตอนที่ผมเจอผีนี้ มันเป็นหน้ามะม่วงพอดี ผมกับพวกเพื่อน ๆ มักจะปีนขึ้นไปขโมยมะม่วงกินประจำ บางครั้งกำลังเก็บมะม่วงอยู่ดี ๆ หลวงตาไม่รู้โผล่มาจากที่ไหน ท่านจะถือไม้เรียวรออยู่ที่โคนต้น เพื่อนผมบางคนลงมาไม่ทัน ก็ถูกหลวงตาตีบ่อย ๆ แต่พวกเราก็ไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจ เพราะความอยากกินมะม่วง
ตอนหลังพวกเราก็ได้ใช้หนังสติ๊กยิงบ้าง ใช้ไม้ปาขึ้นไปบ้าง สุดแท้แต่จะให้มะม่วงหล่นลงมาเท่านั้น แต่พวกเราก็ต้องระวังตัวอย่างหนัก เพราะบางทีหลวงตาวิ่งไล่ไม่ทัน ก็จะขว้างพวกเราด้วยก้อนหิน หรืออะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้มือ
ทั้ง ๆ ที่กลัวแสนกลัว แต่พวกเราก็ไม่เคยเข็ดหลาบ การขโมยมะม่วงชักลำบากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหลวงตารู้แกว ท่านจะคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลา ทำให้พวกเราไม่มีโอกาสได้กินมะม่วง อย่าว่าแต่ไปขโมยมะม่วงเลย แค่เฉียดไปแถว ๆ นั้น ก็โดนหลวงตาเล่นงานแล้ว
ผมไม่ได้กินมะม่วงมาหลายวัน มะม่วงก็กำลังออกลูกดกน่ากิน พวกเราก็ได้แต่มองอย่างจนปัญญา แล้ววันหนึ่ง ผมก็เกิดความคิดขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าเป็นความคิดที่วิเศษสุดคือ ต้องไปขโมยมะม่วงตอนกลางคืน ผมจึงได้ชวนเพื่อนรักของผมคนหนึ่งชื่อ จิง เป็นคนจีน อายุอ่อนกว่าผม ๒ ปี เรื่องนี้ผมไม่ยอมบอกใครเลย เพราะกลัวคนอื่นจะแย่งกิน
คืนนั้นพอสี่ทุ่มกว่า ผมกะว่าพระ เณรนอนหลับกันหมดแล้ว เราก็มุ่งหน้าเข้าไปในวัด โดยอาศัยแสงจันทร์สลัว ๆ นำทาง เพราะบริเวณวัดมืดมาก บรรยากาศเงียบวังเวง ไม่มีเสียงพระคุยกันเหมือนเป็นใจ ผมกับจิงย่องไปที่ต้นมะม่วงทองดำที่หมายตาไว้ทันที มะม่วงต้นนี้อยู่ไกลกุฏิหลวงตาที่สุด คือมันอยู่ไปทางโกดังเก็บศพ และอยู่ห่างจากกุฏิหลวงตาประมาณ ๓๐ เมตร มะม่วงต้นนี้ใหญ่โตพอสมควร มีใบดกหนาปกคลุม จนบริเวณนั้นดูมืดไปหมด
พอไปถึงโคนต้นมะม่วง ผมก็ย่อตัวให้จิง เหยียบบ่าแล้วยืนขึ้น เพื่อให้จิงโหนตัวขึ้นไป เพราะจิงตัวเล็ก แล้วผมจึงปีนตามขึ้นไป
“เฮ้ย กินให้อิ่มไปเลย แล้วอย่าเสียงดังนะ”
ผมกำชับเบา ๆ เมื่อปีนขึ้นไปนั่งบนกิ่งมะม่วง จึงเด็ดมะม่วงใกล้ ๆ มือ มาแนบแก้ม
“พรุ่งนี้มาใหม่นะ” จิงค่อย ๆ กระซิบอย่างดีใจ
“เออ” ผมรับปาก แล้วปีนขึ้นไปที่สูงกว่า ผมเลือกเก็บมะม่วงลูกใหญ่ ๆ ใส่ในถุงผ้าที่เตรียมมาอย่างไม่รีบร้อนเท่าไหร่ เพราะมันมืดแล้ว แต่ต้องเสียเวลาคอยปัดมดแดง ที่จู่โจมเข้ามาเป็นชุด ๆ
ผมค่อย ๆ ปีนไปตามกิ่งต่าง ๆ เอื้อมมือไปเปะปะเพราะมองไม่ค่อยเห็น ส่วนใหญ่จะใช้มือคลำเอา ผมเด็ดมะม่วงไปเรื่อย ๆ แล้วผมก็เอื้อมมือไปถูกสิ่งหนึ่ง พอจับดูก็รู้สึกเย็น ๆ นิ่ม ๆ เหมือนเนื้อคน ผมคลำดูก็รู้ว่าเป็นขาคน
“เฮ้ย ขาเอ็งทำไมเย็นจังวะ” ผมถามเบา ๆ เพราะคิดว่าเป็นขาจิง
“ฮ่ง ฮ่ง บรู๊ววว์...ๆ......ๆ......ๆ” พลันก็มีเสียงหมาเห่ากระโชกอย่างดุร้าย และหอนกันเกรียว ผมเงี่ยหูฟังรู้สึกเสียงนั้นจะดังมาจากบริเวณใต้ต้นมะม่วง เสียงนั้นดังขึ้นทุกที
“เฮ้ย กลับก่อนเถอะ” ผมชวนจิง เพราะฟังดูก็รู้ว่าเสียงหมาที่เห่าหอนดังอยู่ใต้ต้นมะม่วงจริง ๆ คงจะมีคนมา อีกอย่างหนึ่งมะม่วงในถุงผ้าของผมก็มี ๑๐ กว่าลูกแล้ว
ผมรีบปีนลงมา พอปีนลงมาได้หน่อยก็ได้ยินเสียงเคี้ยวดังจับ จับ ที่แท้เป็นจิงกำลังนั่งกินมะม่วงอยู่บนกิ่งถัดไปอย่างสบายอารมณ์
“ทำไมเอ็งปีนลงมาเร็ววะ” ผมถามด้วยความแปลกใจ
“ลงจากไหน” จิงถามงง ๆ
“อ้าว ก็เมื่อกี๊เอ็งยังนั่งอยู่ข้างบนไม่ใช่เหรอ”
“เปล่า ข้านั่งอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว ยังไม่ได้ไปไหนเลย”
“เฮ้ย งั้นใครวะ”
“สงสัยผีมั๊ง”
จิงบอกแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ แต่ผมใจหายวาบ ถ้าไม่ใช่จิง แล้วจะเป็นใคร ความรู้สึกบอกตัวเองว่า ต้องเป็นผีแน่ ๆ
“เฮ้ย ลงโว๊ย” ผมชวนจิง เพราะตอนนี้เสียงหมาหอนดังลั่นไปหมด ทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“เก็บได้เยอะมั๊ย” จิงถามอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร ส่วนผมทั้งกลัวผี ทั้งโมโหจิง ที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
“เฮ้ย หลวงตามา หนีเร็วโว๊ย” ผมหลอกเท่านั้นแหละ จิงก็รีบปีนตามผมลงมาอย่างรวดเร็ว พอปีนมาถึงกิ่งสุดท้าย ซึ่งสูงจากพื้นประมาณ ๓ เมตร เราก็หยุดเพื่อหาทางลง
“พวกมึงลงมาเดี๋ยวนี้นะ”
ผมสะดุ้งโหยง แล้วเพ่งตาฝ่าความมืดมองลงไป ก็เห็นผู้หญิงแก่คนหนึ่ง อายุราว ๖๐ ปี ยืนชี้หน้าผมกับจิงอยู่ที่โคนต้นมะม่วง หมา ๔ ๕ ตัว ยืนโก่งคอหอนไปทางยายแก่คนนั้น เสียงหอนโหยหวนเย็นยะเยือก ผมตกใจจนแทบช็อค เหงื่อแตก ความนึกคิดมันบอกผมว่า ต้องเป็นผีแน่นอน ผมกลัวจนพูดอะไรไม่ออก
“พวกมึงลงมาให้กูตีซะดี ๆ” หญิงแก่คนนั้นตะโกนขึ้นมาอีก
“เรื่องอะไรของยายล่ะ” จิงว่า
“มึงมาขโมยมะม่วงวัด ยังมาถามอีกเหรอ”
“มะม่วงของยายเหรอ ยายปลูกไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่” จิงเถียงไม่ลดละ ตอนนี้ผมชักใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพราะคิดว่าบางทีอาจไม่ใช่ผีก็ได้
“มึงจะลงมาให้กูตีดี ๆ หรือจะให้กูลากลงมา” ยายแก่แหงนหน้าถามอย่างโมโห
“ยายขึ้นมาตีเองก็แล้วกัน หน้าอย่างกะผีแน่ะ” จิงตะโกนท้ายายแก่
“ก็กูเป็นผีน่ะสิ” ยายแก่ว่า ทันใดร่างหญิงแก่คนนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้น หน้าตาและมือไม้บวมฉุ แล้วยืดตัว ยื่นหน้ามาหาผม ๒ คน ใบหน้าใหญ่เท่ากระด้ง หน้านั้นเหี่ยวย่นเหมือนคนอายุเป็นร้อย ๆ ปี นัยน์ตากลวงโบ๋ แสยะยิ้มมาที่เรา ๒ คน กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาปะทะหน้า มันเหม็นจนแทบจะอาเจียนออกมา
“หลวงตาช่วยด้วย ผีหลอก” จิงตะโกนลั่น
ยายแก่ส่งเสียงหัวเราะ “เหอ ๆ ๆ” อย่างชอบอกชอบใจ
ผมตกใจจนมือหลุดจากกิ่งไม้ แล้วหล่นตุ้บลงมา พร้อมกับความรู้สึกที่ดับวูบลง
“ช่วยด้วยผีหลอก” ผมร้องลั่นขณะที่ลืมตาขึ้น
“เฮ้ยผีไปแล้ว” จิงบอกพลางจับมือผมไว้ ผมจึงได้สติกวาดตาดูก็รู้ว่าขึ้นมาอยู่บนกุฏิหลวงตาแล้ว เห็นหลวงตาและพระ เณร หลายองค์ เฝ้ามองผมอยู่
“ข้าว่าแล้ว เอ็งต้องโดนเข้าสักวัน ทีนี้อย่าไปอีกนะ” หลวงตาว่าแล้ว ท่านก็ทำการปัดรังควานให้ พอรุ่งเช้า ผมก็หายเป็นปกติ ตั้งแต่วันนั้น ผมกับจิง ก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปในวัดอีกเลย ผมยังนึกชมจิงที่อุตส่าห์หลับหูหลับตา ตะโกนเรียกจนหลวงตาได้ยิน ทั้ง ๆ ที่ผีก็พยายามหลอกมัน แต่แปลก มันไม่เห็นเป็นอะไรเลย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น