เรื่องซึ้งๆ จากชีวิตจริงของคนอื่น - เรื่องซึ้งๆ จากชีวิตจริงของคนอื่น นิยาย เรื่องซึ้งๆ จากชีวิตจริงของคนอื่น : Dek-D.com - Writer

    เรื่องซึ้งๆ จากชีวิตจริงของคนอื่น

    อ่าซึ้งอ่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    835

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    835

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 ส.ค. 50 / 16:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ......ฉันเกิดที่ต่างจังหวัด เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอแถวภาคตะวันออก ที่บ้านมีอาชีพรับจ้างทำสวนผลไม้

           แต่ละวันพ่อของฉันต้องตื่นแต่ตีห้า พร้อมกับน้องชาย เพื่อนำผลไม้จากสวน ไปขายที่อำเภอ พอฟ้าสาง น้องฉันจะรีบกลับมาอาบน้ำ แต่งตัว เพื่อไปโรงเรียน พร้อมกับนำอาหาร ที่ซื้อจากในเมืองเตรียมไว้ให้ฉัน บนโต๊ะ อย่างเรียบร้อยทุกเช้า

          น้องชาย อายุน้อยกว่าฉัน 3ปี ( แม่ฉันเสียไปตั้งแต่น้องอายุได้ 2 ขวบ )

          เหตุการณ์ในวันหนึ่งที่ฉันไม่อาจลืมได้ชั่วชีวิตคือ ฉันได้ขโมยเงินของพ่อ เพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน

          จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง ว่ามีเงินในบ้านหายไป

         พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
      โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
      " ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
      ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
      พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
      " ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
      ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

      พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น จะตีฉันเป็นคนแรก

          ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
      แล้วพูดว่า
      "ผมขโมยเองครับ"

          ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉัน  อย่างต่อเนื่อง
      พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
      จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
      พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน

      " ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
      แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

         คืนนั้น ฉันนอนเฝ้าน้องชายทั้งคืน
      หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
      แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

          กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
      น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
      " พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว ผมทนได้" น้องฉันยิ้มแล้วบอกต่อว่า "แต่ผมจะเจ็บกว่านี้ ถ้าพี่เป็นคนถูกตี"

         แต่ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
      ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

      .... หลายปีผ่านไป
      แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

         ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
         ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 10 ปี ส่วนฉันอายุ 13 ปี...

          เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
      เขาได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนที่โรงเรียนชั้นนำของจังหวัด ในขณะที่ฉันซึ่งจบ ม.ปลาย และสอบเข้าคณะบัญชี มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ได้

      คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

         ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "พี่เรา เรียนหนังสือเก่งนะ แต่ปีนี้ราคาผลไม้ไม่ดีเลย ค่าแรงเราเจ้าของสวนก็ยังไม่จ่าย คงไม่มีเงินส่งให้ใครไปเรียนที่กรุงเทพฯได้หรอก "


         ทันใดนั้น น้องชายของฉันเดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
      "ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

        พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
      "ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
      ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
      พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

          คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านชาวสวนที่รู้จักกัน
      ทั่วทั้งหมู่บ้าน เพื่อขอยืมเงิน แต่ทุกคนก็ประสบภาวะเดียวกัน เป็นหนี้เป็นสิน จากการลงทุน และผลผลิตที่ได้ก็ราคาตกต่ำแทบติดดิน


         คืนนั้น ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
      " ต้องให้น้องได้เรียนต่อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

         แต่ในขณะเดียวกัน
      ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ คณะที่ฉันสอบเข้าได้ เป็นที่ใฝ่ฝันของใครหลายๆคน แม้แต่เด็กในกรุงเทพฯเอง

      ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
      น้องชายของฉันได้หนีออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

         ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ
      " พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ .... ผมจะไปหางานทำ แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

         ฉันนั่งอยู่บนเตียง
      อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ...
      ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 15 ปี ส่วนฉันอายุ 18 ปี .

          ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
      รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามตามไซท์ก่อสร้าง
      ...พอดีช่วงนั้น อีสเทิร์น ซีบอร์ด กำลังบูม มีงานก่อสร้างมากมาย
      ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

         วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
      เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ
      อยู่ข้างนอกแน่ะ"

         ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
      ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
      ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
      ...
      ฉันถามเขาว่า
      " ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

         น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
      ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

         ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
      และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
      " พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

          จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาถุงหูหิ้ว.....
      ...เป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง
      " ผมเห็นสาวๆ ที่กรุงเทพฯมีกันทุกคน ผมเลยอยากให้พี่มีบ้าง"

          ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
      ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 18 ปี ส่วนฉันอายุ 21 ปี .

         ปี 4 หลังจากเพิ่งเรียนจบ ก่อนรับปริญญา ฉันพาแฟนไปแนะนำให้พ่อรู้จัก วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า
      หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

      เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

         หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับพ่อว่า
      " พ่อไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
      เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

          พ่อยิ้ม แล้วพูดว่า " พ่อไม่ได้จ้างหรอก
      น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน  ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
      น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

          ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
      ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

          ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" ฉันถาม

         "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
      มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
      แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
      และ..."

           น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
      น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 19 ปี ส่วนฉันอายุ 22ปี...

         หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ กรุงเทพฯ
      หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯด้วยกัน

         แต่พ่อกับน้องปฏิเสธ
      พ่อบอกว่า ไม่คุ้นกับชีวิตที่กรุงเทพฯ
      น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อย้ายออกไป
      ...
      เขาบอกกับฉันว่า
      "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
      ผมจะดูแลพ่อทางนี้เอง"

          สี่ปีต่อมา พ่อของฉันเสียชีวิตลง ในขณะเดียวกับที่ สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
      เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท ( ลืมบอกไป สามีของฉันจบวิศวกรไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเดียวกับฉัน )
      ...
         แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขายอมทิ้งงานก่อสร้าง เข้ามาเป็นพนักงานบริษัทของสามี แต่ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

          วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
      และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
      เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

          ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
      น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
      ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

         "ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
      ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
      ดูตัวเองซิ
      เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

          คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
      ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
      " พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน จบวิศวกรจากมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย"

           "ส่วนผมจบ ม. 3 ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ มีลูกน้องทั้ง ม. 6 ปวส. ปริญญาตรี "
      คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

          น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .
      ฉันบอกกับน้องว่า
      "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

         "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
      น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

         เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 28 ปี
      เขาได้แต่งงานกับพนักงานในบริษัทเดียวกัน

         ในงานแต่งงาน พิธีกรในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
      "ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

         พิธีกรหันหน้าไปมองเจ้าสาว ซึ่งคิดว่าคือคำตอบ

         น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ ผมคงไม่มีวันนี้ ถ้าไม่มีเธอ" .

         และเขาก็พูดต่อว่า "แม่ผมเสียตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้ เรามีกันสองคนพี่น้อง และผมสาบานกับตัวเอง ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีที่สุด และจะทำดีกับเธอ"

         เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
      สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน พิธีกร เดินถือไมค์มาสัมภาษณ์ความรู้สึก

         คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้
      คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

          ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...ความหลังครั้งเก่าๆผุดขึ้นมามากมาย และอยากจะบอกเขาว่า พี่ก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน ถ้าไม่มีเธอ



      จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
      วันในชีวิตของคุณและเขา
      คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
      น้อยๆ
      แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
      .. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
      พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
      หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

      อย่าคิดว่า ต้องมีเงินแสน เงินล้าน ก่อน ชีวิตถึงจะมีความสุข

      อย่าปล่อยให้ความรักหายไปจากคุณ เพียงเพราะยังไม่ถึงเป้าหมายของชีวิต 



      ขอขอบคุณคุณแม่ที่กรุณาส่งเรื่องนี้มาให้ข้าพเจ้า

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×