......ฉันเกิดที่ต่างจังหวัด เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอแถวภาคตะวันออก ที่บ้านมีอาชีพรับจ้างทำสวนผลไม้
แต่ละวันพ่อของฉันต้องตื่นแต่ตีห้า พร้อมกับน้องชาย เพื่อนำผลไม้จากสวน ไปขายที่อำเภอ พอฟ้าสาง น้องฉันจะรีบกลับมาอาบน้ำ แต่งตัว เพื่อไปโรงเรียน พร้อมกับนำอาหาร ที่ซื้อจากในเมืองเตรียมไว้ให้ฉัน บนโต๊ะ อย่างเรียบร้อยทุกเช้า
น้องชาย อายุน้อยกว่าฉัน 3ปี ( แม่ฉันเสียไปตั้งแต่น้องอายุได้ 2 ขวบ )
เหตุการณ์ในวันหนึ่งที่ฉันไม่อาจลืมได้ชั่วชีวิตคือ ฉันได้ขโมยเงินของพ่อ เพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง ว่ามีเงินในบ้านหายไป
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
" ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
" ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น จะตีฉันเป็นคนแรก
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
แล้วพูดว่า
"ผมขโมยเองครับ"
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉัน อย่างต่อเนื่อง
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"
คืนนั้น ฉันนอนเฝ้าน้องชายทั้งคืน
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว ผมทนได้" น้องฉันยิ้มแล้วบอกต่อว่า "แต่ผมจะเจ็บกว่านี้ ถ้าพี่เป็นคนถูกตี"
แต่ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
.... หลายปีผ่านไป
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 10 ปี ส่วนฉันอายุ 13 ปี...
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
เขาได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนที่โรงเรียนชั้นนำของจังหวัด ในขณะที่ฉันซึ่งจบ ม.ปลาย และสอบเข้าคณะบัญชี มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ได้
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "พี่เรา เรียนหนังสือเก่งนะ แต่ปีนี้ราคาผลไม้ไม่ดีเลย ค่าแรงเราเจ้าของสวนก็ยังไม่จ่าย คงไม่มีเงินส่งให้ใครไปเรียนที่กรุงเทพฯได้หรอก "
ทันใดนั้น น้องชายของฉันเดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
"ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านชาวสวนที่รู้จักกัน
ทั่วทั้งหมู่บ้าน เพื่อขอยืมเงิน แต่ทุกคนก็ประสบภาวะเดียวกัน เป็นหนี้เป็นสิน จากการลงทุน และผลผลิตที่ได้ก็ราคาตกต่ำแทบติดดิน
คืนนั้น ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
" ต้องให้น้องได้เรียนต่อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"
แต่ในขณะเดียวกัน
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ คณะที่ฉันสอบเข้าได้ เป็นที่ใฝ่ฝันของใครหลายๆคน แม้แต่เด็กในกรุงเทพฯเอง
... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
น้องชายของฉันได้หนีออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ
" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ .... ผมจะไปหางานทำ แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
ฉันนั่งอยู่บนเตียง
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ...
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 15 ปี ส่วนฉันอายุ 18 ปี .
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามตามไซท์ก่อสร้าง
...พอดีช่วงนั้น อีสเทิร์น ซีบอร์ด กำลังบูม มีงานก่อสร้างมากมาย
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ
อยู่ข้างนอกแน่ะ"
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...
ฉันถามเขาว่า
" ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาถุงหูหิ้ว.....
...เป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง
" ผมเห็นสาวๆ ที่กรุงเทพฯมีกันทุกคน ผมเลยอยากให้พี่มีบ้าง"
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 18 ปี ส่วนฉันอายุ 21 ปี .
ปี 4 หลังจากเพิ่งเรียนจบ ก่อนรับปริญญา ฉันพาแฟนไปแนะนำให้พ่อรู้จัก วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับพ่อว่า
" พ่อไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
พ่อยิ้ม แล้วพูดว่า " พ่อไม่ได้จ้างหรอก
น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" ฉันถาม
"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
และ..."
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 19 ปี ส่วนฉันอายุ 22ปี...
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ กรุงเทพฯ
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯด้วยกัน
แต่พ่อกับน้องปฏิเสธ
พ่อบอกว่า ไม่คุ้นกับชีวิตที่กรุงเทพฯ
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อย้ายออกไป
...
เขาบอกกับฉันว่า
"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
ผมจะดูแลพ่อทางนี้เอง"
สี่ปีต่อมา พ่อของฉันเสียชีวิตลง ในขณะเดียวกับที่ สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท ( ลืมบอกไป สามีของฉันจบวิศวกรไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเดียวกับฉัน )
...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขายอมทิ้งงานก่อสร้าง เข้ามาเป็นพนักงานบริษัทของสามี แต่ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
"ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
ดูตัวเองซิ
เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
" พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน จบวิศวกรจากมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย"
"ส่วนผมจบ ม. 3 ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ มีลูกน้องทั้ง ม. 6 ปวส. ปริญญาตรี "
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .
ฉันบอกกับน้องว่า
"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."
"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 28 ปี
เขาได้แต่งงานกับพนักงานในบริษัทเดียวกัน
ในงานแต่งงาน พิธีกรในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
"ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"
พิธีกรหันหน้าไปมองเจ้าสาว ซึ่งคิดว่าคือคำตอบ
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ ผมคงไม่มีวันนี้ ถ้าไม่มีเธอ" .
และเขาก็พูดต่อว่า "แม่ผมเสียตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้ เรามีกันสองคนพี่น้อง และผมสาบานกับตัวเอง ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีที่สุด และจะทำดีกับเธอ"
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน พิธีกร เดินถือไมค์มาสัมภาษณ์ความรู้สึก
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้
คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...ความหลังครั้งเก่าๆผุดขึ้นมามากมาย และอยากจะบอกเขาว่า พี่ก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน ถ้าไม่มีเธอ
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
วันในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
น้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม
อย่าคิดว่า ต้องมีเงินแสน เงินล้าน ก่อน ชีวิตถึงจะมีความสุข
อย่าปล่อยให้ความรักหายไปจากคุณ เพียงเพราะยังไม่ถึงเป้าหมายของชีวิต
ขอขอบคุณคุณแม่ที่กรุณาส่งเรื่องนี้มาให้ข้าพเจ้า
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น