บาเยิร์น บาวาเรีย เยอรมัน มันจริงๆ ตอนที่ 1 - บาเยิร์น บาวาเรีย เยอรมัน มันจริงๆ ตอนที่ 1 นิยาย บาเยิร์น บาวาเรีย เยอรมัน มันจริงๆ ตอนที่ 1 : Dek-D.com - Writer

    บาเยิร์น บาวาเรีย เยอรมัน มันจริงๆ ตอนที่ 1

    ผู้เข้าชมรวม

    289

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    289

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 ก.ค. 56 / 11:18 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      บาเยิร์น บาวาเรีย เยอรมัน มันจริงๆ

      11-19 May 2013

               เอาเธอว่าอยากไปไหน ผมตัดสินเองว่าไปโรแมนติกโร้ด เยอรมันตอนใต้ เธอว่าอยากเที่ยววังของลุดวิกให้ครบด้วยทั้ง 3 วัง ตกลงเยอรมันของเราเที่ยวนี้ บินด้วยEtihad Airwaysไปลง Munichขับรถมาทางตะวันออกเริ่มที่เมืองPrien ชมปราสาทHerrenchiemsee นอนพักที่โรงแรมสวยบนเนินสูงชมวิวทะเลสาบที่ Bernau am chiemsee วันต่อมาขับรถไกลจากตะวันออก มาทางตะวันตกเฉียงใต้ของมิวนิค มาทะเลสาบ Eibseeขึ้นกระเช้าไปชมยอดเขาที่สูงที่สุดของเยอรมันThe Zugspitzeแล้วแวะลงมาชมEttal Abbey (Kloster Ettal)บ่าย ไปชมปราสาทที่สมบูรณ์แบบของลุดวิกLinderhof Palace นอนที่เมืองเล็กๆแสนสวยOberammergauวันที่สาม ขับรถวนเข้า ชมทะเลสาบPlansee แล้วมาชมNeuschwanstein Castle ที่บนเขาHohenswangau Castle ที่เชิงเขา นอนพักกันที่เมืองFüssen วันที่ 4มาชมโบสถ์วีส์The Rococo Wies ChurchแวะชมRottenbuch Monastery church  ชมเมืองLandsberg am Lech แล้วมานอนพักที่  Augsburgวันที่ 5 แวะDonauwörth มาปีนหอสูงชมเมืองหลุมอุกกาบาศNördlingen แวะชมเมืองDinkelsbühlแล้วมานอนโรงแรมท้องถิ่นในเมืองเก่ายุคกลางแสนโรแมนติกRothenburg ob der Tauber บนเส้นทางโรแมนติกโร้ด วันที่6 เราแวะRöttingen แล้วมาชมปราสาทสวยที่ Weikersheimสุดท้ายของเราที่อาจเป็นเมืองเริ่มต้นของคนอื่น เรามาเที่ยวที่Würzburg แล้วตีรถยาวมานอนพักที่เมืองNuremberg วันกลับของเรา ภาคเช้าแวะเที่ยวที่เมืองนี้Nuremberg บ่ายขับรถมาเที่ยวนอกเมืองมิวนิค แวะที่  Dachau Palaceมาเที่ยวชมปราสาทสวยที่มีคนไทยพูดถึงกันน้อยมากคือSchleißheim Palace คืนรถที่สนามบินมิวนิค เดินทางกลับกรุงเทพ แบบเรียบร้อย สงบสงบ สบาย สบาย มาตรฐานสูงจริงๆของเยอรมัน

            สนามบินมิวนิคไม่วุ่นวาย ไม่นานก็ออกมาเดินที่เทอร์มินัล 1 เมื่อเวลา 7 โมงเช้า คนยังน้อยมาก เดินถามหาที่ขายซิมมือถือจนเจอ เธอก็หาร้านขายน้ำ แล้วก็ออกมาเจอบริษัทรถเช่าCARO เจ้าหน้าที่เค้าจะมาพบที่ด้านนอกของเทอร์มินัล 2 ฝั่งขาเข้า จองโฟร์คกอล์ฟ แล้วก็ได้เกีย ซี้ด Kia ceed 1600 ซีซีแทน ภายในตัวรถกว้างขวาง ขับสนุก คุณจีทำหน้าที่อย่างดี แบบที่ว่าติดมากับตัวรถ ไม่ได้เป็นจีพีเอสที่ต้องมาต่อเพิ่ม ต้องเสียบไฟจากที่จุดบุหรี่แบบนั้น เราเลือกเมืองPrien เป็นเป้าหมาย แล้วก็ออกเดินทาง พวงมาลัยด้านซ้าย ขับรถชิดขวา ไม่ได้เหมือนบ้านเรา ตั้งสติ สมาธิมั่นกับการขับรถตลอดทุกวันของเรา ให้มีเรื่องตื่นเต้น ตระหนก ตกใจบ้าง เธอต้องเล่าให้เพื่อนฟังถึงกับใช้คำว่า เอาชีวิตรอดปลอดภัยกลับมาได้ อย่างนั้น รถเกียแล่นนุ่ม นิ่งเงียบ ถนนออโต้บาร์นดีมาก จนไม่อาจบอกได้ว่า รถดีเกาะถนนเยี่ยมหรือว่าถนนดี ดูดรถเอาไว้ให้แล่นไปได้อย่างสุดยอด แล้วเราก็มาถึงเมืองPrien เราเลือกไปยังท่าเรือ เรียกว่าPrien stock ลงเรือไปยังเกาะผู้ชายHerreninsel ฟ้าหม่นสีหมอง ฝนร่วงหล่นมาเป็นระยะ เดินผ่านสวนใหญ่เขียวสวยแบบใบไม้ผลิยุโรป สบายใจเป็นที่ยิ่ง แล้วก็ได้รอบเข้าชมเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเข้าชมภายในของปราสาทHerrenchiemsee เค้าว่าที่นี่เป็นปราสาทใหม่ สร้างไม่เสร็จของ King Ludwig II แห่งบาวาเรีย ภายในแต่ละห้องหับก็คล้ายแวซายส์ ที่เค้าว่าก็อปปี้กันมาด้วยความนิยม ศรัทธาอย่างสูงของลุดวิกต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เราเห็นภาพหนึ่งที่เป็นภาพวาดของคณะทูตไทยเดินทางไปเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ด้วย ก็สวยงามดีมาก เยอรมันดูแลรักษาสมบัติของชาติเหล่านี้ไว้เป็นอย่างดี เธอว่าดีกว่าที่ฝรั่งเศสเสียอีก ที่นั่นเหมือนไม่ใส่ใจดูแล ไปเห็นมาครั้งสุดท้ายมีศิลปะการ์ตูนของญี่ปุ่นไปจัดแสดงให้ชมด้วยในแวซายส์ แล้วเราก็แวะลงมาชม King Ludwig II-Museum ที่จัดแสดงไว้ในตัวปราสาทได้เห็นเค้าโครงปราสาทหลักทั้ง 3 แห่งของคิงลุดวิก ฝนยังลงมาต่อเนื่องเป็นสายๆ เราเดินผ่านสวนสวย ไปชมส่วนอื่นๆของเกาะ แล้วมาลงเรือต่อไปชมเกาะผู้หญิงFraueninsel ให้ความรู้สึกเหมือนไปชมเกาะเกร็ด นนทบุรี ไม่มีปราสาทที่นี่ มีแต่บ้านเรือนผู้คน ที่พัก โบสถ์ เดินรอบๆเกาะชมบ้านเรือนน่ารัก ร้านรวงต่างๆ ชมภายในโบสถ์ แล้วมารอเรือกลับเมืองPrien  การลงเรือชมทะเลสาบchiemseeสามารถเลือกลงได้จากท่าเรือหลายแห่งด้วยกัน ที่นี่เป็นที่มีชื่อเสียงที่สุด ฝนตกลงมาแรงมากเมื่อถึงท่าเรือ ต้องวิ่งหนีฝนมาขึ้นรถ เค้าจะเรียกดูตั๋วเมื่อเดินทางกลับมาถึงท่าเรือ ทีแรกยังบอกเธอว่าไม่มีตรวจตั๋วเลยแฮะ ฝนซาลงบ้างเราจึงขับรถด้วยความระวังขั้นสูงมายังBernau am chiemsee เพื่อเข้าพักที่ Hotel Seiseralm & Hof โรงแรมตั้งอยู่บนเนินสูง สวยมาก เห็นวิวทะเลสาบ เกาะกลางทะเลสาบ บรรยากาศเขียวไปทั่ว อาหารเช้าที่นี่ก็ดี ขนมปังเยอรมัน เจ้าแห่งแฮมเบอร์เกอร์ อยู่แล้ว ของที่นี่ขนมปังกรอบนอก และเหนียวนุ่มข้างใน คิดถึงแล้วยังอร่อยติดปากอยู่เลย

             วันที่ 2 ของเรา เราเลือกขับรถจากตะวันออกเฉียงใต้มายังตะวันตกเฉียงใต้ของมิวนิค เราจะไปชม Zugspitzeยอดเขาที่ว่าสูงที่สุดในเยอรมัน สูงถึง  2,962 เมตรจากระดับน้ำทะเล เราไปถึงทะเลสาบEibsee กันก่อน เกือบ 11 โมงแล้ว ขับรถมากันไกลพอควร บางเส้นทางก็มีการปิดถนนอาศัยคุณจีแม่นยำมากมาจนถึงในที่สุด ขึ้นกระเช้าที่เรียกว่า Eibsee-Seilbahn cable car ตั๋วคนละ 50 ยูโรขาดตัว กระเช้าโรยตัวขึ้นช้าๆ เห็นวิวทะเลสาบมุมสูงสวยงาม เดี๋ยวเดียวหิมะก็โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด จนมาถึงยอดเขาZugspitze เราเดินทางด้วยเคเบิ้ลคาร์ต่อลงมาชมที่ยอด Glacierออกไปถ่ายรูป ท้าทายความหนาวเหน็บ ยามลมแรงพัดเอาหิมะโปรยไปทั่ว สะท้านกายหนาวสนุกดี แล้วเราก็กลับขึ้นกระเช้าไปชมยอดที่เดอะพีคกันอีกที พาเธอเดินขึ้นบันได ออกไปชมยอดเขา หนาว มองไปทางใด หิมะขาวโพลนไปทั่ว นี่เป็นยอดเขาที่เค้ามาเล่นสกีกัน แล้วเราก็ลงเคเบิ้ลคาร์มาชมทะเลสาบEibsee ชมอยู่ที่มุมสูงก็สวยมาก เดินริมๆทะเลสาบก็งั้นๆ จากนั้นก็ขับรถผ่านเมืองท่องเที่ยวชื่อเสียงดีชื่อเมือง Garmisch-Partenkirchenเพื่อมาแวะชมวิหารใหญ่มาก ชื่อว่า Ettal Abbey (Kloster Ettal)ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ โบสถ์นี้ชมฟรี เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา Benedictที่หมายต่อไปที่สำคัญของเราคือLinderhof Palace เราจะแวะมาชมปราสาทที่แม้จะเล็กกว่า แต่ว่า เป็นปราสาทที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ สานฝันของลุดวิกให้กลายเป็นจริง ขับรถมาจนถึงที่ตั้งแล้วยังไม่เห็นตัวปราสาท ปราสาทตั้งอยู่กลางหุบเขากราสวังGrasswang เราได้ตั๋วเข้าชมภายในตัวปราสาทที่ไม่ต้องรอนานนัก ฝนฝอยๆยังมีอยู่ตลอด ได้เวลาชมภายใน พบว่าไม่แตกต่างจากปราสาทกลางทะเลสาบมากนัก คล้ายๆกัน แต่ตัวเองว่าที่นี่สวยกว่า เธอว่าเหมือนเป็นบ้านคน ให้มาอยู่อาศัยได้จริงๆ แล้วเราก็ออกมาชมสวน เธอว่าเราต้องดูถ้ำของที่นี่ให้ได้ เดินขึ้นเนินเขามาจนถึง  Venous Glotto ภาษาไทยของหลายคนว่าที่นี่เป็นถ้ำเทียม ถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยภายใน มีการตกแต่งโดยฝีมือคนเพิ่มเติมเข้าไปด้วยให้สามารถแสดงละครโอเปร่าที่พระองค์ทรงโปรดมาก โดยเฉพาะผลงานของว้ากเน่อร์ เราเข้าไปชมเห็นเรือหงส์ จอดอยู่ ก็แปลกตาและสวยงามไปอีกอย่าง เหมือนผู้คนฝันไว้ อยากเห็นแบบนี้ก็ทำขึ้นมาให้เห็นเป็นจริง

               ทีนี้มารู้จักบทละครโอเปรา ที่ริชาร์ด ว้ากเนอร์ดัดแปลงจากตำนานของ Garin le Loherain ในยุคกลาง ชื่อเรื่องโลเฮ็นกรินหรือเรื่องอัศวินหงส์ขาวกันสักหน่อย เรื่องมีอยู่ว่า โลเฮ็นกรินเป็นบุตรของปาร์ซิวอล เป็นอัศวินปกป้องจอกศักดิ์สิทธิ์ ถูกส่งให้เดินทางไปด้วยเรือที่ลากโดยหงส์ เพื่อไปช่วยหญิงสาว นามว่า เอลซ่า พระราชธิดาในกษัตริย์บราแดนท์ ที่เสด็จสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาทชาย ณ แท่นบรรทมก่อนเสด็จสวรรคต กษัตริย์บราแดนท์ได้ให้ทุกคนสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อพระราชธิดา แต่เคานท์เทรามันท์ไม่ยอมรับพระราชธิดาเอลซ่าเป็นประมุข แต่เพื่อเป็นการรักษาคำมั่น เคานท์จึงจะแต่งงานกับพระราชธิดาเอลซ่า และขึ้นเป็นกษัตริย์เอง ทันใดนั้นเอง โลเฮ็นกรินก็ปรากฏตัวขึ้นและช่วยเหลือพระราชธิดาเอลซ่า อัศวินหงส์ก็ได้แต่งงานกับเอลซ่า ก่อนเดินทางกลับ เขาให้เธอสัญญาว่าจะไม่ถามว่าเขามาจากไหน หากเธอผิดคำมั่น เขาจะหายไปจากเธอตลอดกาล เมื่อลูก ๆ 2คนโตขึ้น เธอเกิดสงสัยและเอ่ยถามขึ้น หงส์ที่พาโลเฮ็นกรินมาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและพาเขาจากเธอไป

             เราขับรถย้อนทางกลับมาเข้าเส้นทางไปยังเมืองOberammergauโอเบอร์อัมมาเกา เรียกที่นี่ว่าหมู่บ้านแสนงามภาพฝาผนังเฟรสโก เราเลือกนอนพักที่Gästehaus Hildegardเจ้าของที่พักที่นี่ช่วยเหลือดูแลเราเป็นอย่างดี แล้วเราก็มาเดินชมเมืองเล็ก ฝาผนังเป็นภาพเฟรสโก มีให้ชมไปทั่ว เธอแวะร้านรองเท้า ไม่ได้รองเท้าได้ที่หนุนรองเท้ารับความโค้งของฝ่าเท้าแบบนั้น เราแวะกินพิซซ่าที่ซื้อติดมือจากร้านข้างทาง มากินกันที่หน้าโบสถ์ในบรรยากาศสวนสวยเล็กๆ แล้วจึงกลับที่พัก เช้าเห็นทหารหลายคนกินอาหารเช้าโรงแรมที่เราพักด้วย เค้าว่าเป็นนักเรียนมาเรียนวิชาทหารที่เมืองนี้กัน กินอาหารเช้าเสร็จ เจ้าของที่พักยังมีการบอกให้ห่ออาหารเอาไปกินระหว่างทางที่จะไปชมปราสาทนอยชวานสไตน์ด้วย บอกว่าที่นั่น ของกินแพง เธอของผมประทับใจมาก

             วันที่ 3 เราขับรถออกจากโอเบอร์อัมมาเกา แบบอากาศดี แสงแดดจัดจ้า เรามาตามทางเดิม ผ่านทางเข้าปราสาทลินเดอร์ฮอฟมาไม่นานเราก็ถึง ทะเลสาบPlansee ที่อยู่ในดินแดนประเทศออสเตรีย ทะเลสาบใหญ่มากนี้เก็บภาพให้ครบถ้วนยากมาก แต่ก็สวยงาม บรรยากาศนิ่งเงียบสุขสงบ คนน้อยจริงๆ แล้วเราก็วกกลับมาเข้าเขตเมืองฟีสเซินFussen เป็นเมืองสุดทางของเส้นทางสายโรแมนติกแต่สำหรับเรา 2 คนเป็นเมืองตั้งต้นสู่เส้นทางสายนี้ เส้นทางที่ว่ามีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมากที่สุดของเยอรมัน มันจึงไม่ได้เป็นการเดินทางจาก เดอะเมน ไปยังเดอะแอลป์ แต่กลับเป็น from the Alps to the Main รวดเร็วกว่าที่คิด เหมือนไม่รู้ตัวเลย เราก็มาถึงที่จอดรถเพื่อเดินไปซื้อตั๋วแล้วจะขึ้นไปชมปราสาทนอยชวานสไตน์ ทั้ง 2 คนเคยเกือบได้ขึ้นปราสาทแห่งนี้มาแล้ว 2 หน แต่หิมะตกหนักบ้าง จราจรติดขัดมากบ้าง ไม่ได้เห็นปราสาทแห่งนี้ซะที ปราสาทเทพนิยายแห่งนี้เค้าว่าเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง มีผู้มาเที่ยวราว 1.4 ล้านคนต่อปี 

             Neuschwanstein Castle ปราสาทนอยชวานสไตน์ สร้างขึ้นตามบัญชาของลุดวิกที่ 2ให้เป็นเหมือนปราสาทเทพนิยายของอัศวินหงส์ขาวที่เล่าให้ฟังแล้ว สร้างไม่เสร็จนะครับ พอจอดรถเสร็จเรียบร้อย ทีนี้ก็เดินไกลพอสมควร มายังที่ขายตั๋วเข้าชม เราต้องรู้เวลาที่จะได้ชมนะครับ ใช้ตั๋ว 14 วันที่ให้ผู้ใหญ่ 2 คนเข้าชมภายในตัวปราสาทราคา 40 ยูโรดูได้หลายปราสาท ตั่วนี้มีชื่อว่าMehrtagesticket  จากนั้นมารอขึ้นรถเมล์ไปชมปราสาท เวลาเข้าชมของเราราว 11 โมงจึงไม่ได้เดินขึ้นไปถ่ายรูปที่สะพานMarienbrukeกันก่อน แต่เลือกเดินชมวิว แล้วไปรอเข้าชมภายในปราสาท แดดแรงมากวันนี้ ได้ดูซักที มาถึงที่นี่เป็นครั้งที่ 3 ครั้งแรกหิมะตกแรงมาก  ครั้งที่ 2 ปีใหม่รถติดมาก ทัวร์ที่ว่ามีคุณภาพแบบด่วนๆแต่ไม่มีความสามารถพามาถึงที่นี่ ครั้งนี้มาเอง ก็ต้องการเข้าไปชมภายในเป็นสำคัญ สวยงามดีครับมีหลายห้องคล้ายๆเหมือนๆ 2 ปราสาทของลุดวิกก่อนหน้านี้ที่เราไปชมมาแล้ว มีห้องหนึ่งแต่งเป็นถ้ำมีหินงอกหินย้อยแบบ Venous Glottoที่ลินเดอร์โฮฟ เค้าว่าตกแต่งตามจินตนาการในละครเพลงเรื่องTannhauser เมื่อเดินชมจนจบ ให้ตระหนักเลยว่าปราสาทเหล่านี้ต้องเดิน ต้องขึ้นบันได แบบนั้นคนที่มาต้องแข็งแรง จากนั้นเรามาเดินขึ้นเขาอีก ไปชม สะพานMarienbruke วิวมองไปยังปราสาททั้ง 2 คือปราสาทนอยชวานสไตน์ กับปราสาทโฮเฮนชวานเกา ที่ตั้งอยู่บนหน้าผาเหนือทะเลสาบแอลป์ซี  ช่างเป็นมุมที่งดงามน่าประทับใจจริงๆ

                เดินลงเขามายังป้ายรถเมล์ ที่บนเขาสูง นั่งพักดื่มน้ำกินขนมกันแล้วจึงเลือกเดินลงมาแทนนั่งรถเมล์  เดินก็ให้ร่างกายแข็งแรง แต่เธอของผมลงมาถึงข้างล่างแล้วให้เหนื่อยมาก รองเท้าเธอออกจะไม่สมประกอบ เราจึงไม่เดินไปชมปราสาทโฮเฮนชวานเกา เดินกลับมายังที่จอดรถ เลือกขับรถไปชมเมืองชวานเกา แล้วเข้ามายังเมืองฟีสเซิน เราหวังพึ่งโรงแรมที่พักชื่อว่าFamily Apart House L.A-Füssen เพื่อที่จะให้ข้อมูลเดินเที่ยวเมืองนี้ จีพีเอสพาไปจนถึง พบว่าที่นี่มีโทรศัพท์บ้านแบบไร้สายแขวนไว้หน้าบ้าน ให้เราโทรไปคุยด้วย เค้าว่าเราได้พักห้องเบอร์ 8 นะก็เท่านั้นเอง เราจึงต้องขับรถกลับมากลางเมือง จอดรถได้ใกล้แหล่งให้ข้อมูลท่องเที่ยว แล้วออกเดินเที่ยวเอง หลงทางนิดหน่อยก็เดินเข้าถนนReichenstrasseถนนคนเดินกลางเมืองเล็กๆน่ารักแบบฟิสเซิน ร้านรวงสวยงามเห็นไปทั่ว เธอจึงได้รองเท้าใหม่ เดินไปจนสุดถนน เห็นแล้วรูปปั้นเซนต์มังประดับอยู่เหนือน้ำพุ แล้วก็ได้ชมโบสถ์เซนต์มังSt.Mang Monastery and Church แล้วได้ขึ้นหอสูงของปราสาท Hohes schloss ที่นี่เป็นวังของเจ้าชายเอาก์สบูร์ก เห็นเมืองมุมสูงสวยไปอีกแบบ ที่นี่ยังจัดแสดงภาพวาด ภาพเขียนด้วย เราเดินชมเมืองฟิสเซิล จนมาถึงด้านหน้าโบสถ์สวย Holy Ghost Hospital Church แล้วมาชมวิวสะพานข้ามแม่น้ำ Lech จึงเดินกลับ เมืองเล็กนี้น่าชมจริงๆ จากนั้นเดินทางไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่เลยโรงแรมไปนิด ไม่มีไก่อบครับทริปนี้ เธอทำอาหารกินกันเองที่ที่พักแบบสงบสงบ อิ่มสักพัก เจ้าของที่พัก เสียงดังฟังชัดแบบเยอรมันก็มาเก็บเงิน บอกพรุ่งนี้เช้าวางกุญแจไว้เป็นอันเรียบร้อย เราเลือกจ่ายเป็นเงินสดเลย อิ่มแล้ว ฟ้ายังสว่างสวยใส จึงพาเธอไปชมวิวของทะเลสาบForggensee จีพีเอสให้เราขับรถไปตามถนนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำLech เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก เป็นเหมือนของหวานหลังอาหารเย็น ส่งท้ายเมืองฟิสเซินของเรา เราขับต่อไปจนถึงที่ที่เค้านิยมเอารถบ้านมานอนพักกัน แต่ไม่ได้วิวอะไรมากนัก แล้วจึงกลับเข้าที่พัก ห้องพักของเราอยู่ชั้นสูงสุด ห้องใต้หลังคา กลิ่นมาม่าของเราโชยไปทั่วให้รู้ว่าห้องเราอยู่ตรงไหน

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×