นั่งรถไฟเที่ยวไปในแคนาดาตะวันออก 4
ผู้เข้าชมรวม
135
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เช้าวันพฤหัสที่ 10 ตุลาคม เป็นวันท่องเที่ยววันที่ 8 ของเราในแคนาดา ต้องเก็บของเตรียมตัวเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม จะต้องนอนในรถไฟคืนนี้ เที่ยวกลับจากมอลทรีลไปโตรอนโต แม่บ้านของผม เธอเก่งมากกับการเก็บของ งอกกระเป๋าเดินทางใบใหม่ เก็บความรัก ความสุขจากการมาเที่ยวใส่ไว้ในใจอีกกระบุง เช็คเอาท์ พร้อมกับต้องฝากของไว้ที่นี่ก่อน จวบจน 3 –4 ทุ่ม รถไฟจึงจะออกจากสถานีรถไฟมอลทรีล ออกเดินเช่นเคย เราเดินเรียบริมฝั่ง แม่น้ำเซนท์ลอเรนซ์กัน ที่นี่แหละเมืองมอลทรีลแท้ มอลทรีลเป็นเมืองที่มีแม่น้ำอยู่ทางใต้ ด้านเหนือเป็นเขา Mont Royal ที่เป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่ไปมาเมื่อวานไง Mont Royal นี่แหละเป็นที่มาของชื่อเมือง Montreal ในภาษาฝรั่งเศสนั่นเองครับ สวนสาธารณะสวยรับกับแสงแดดแรง วันนี้บรรยากาศริมฝั่งน้ำ ที่ผู้คนได้พัก หยุด มองดูใจ ผ่อนคลายสมองที่อ่อนล้า มองทางซ้ายหนุ่มสาวคู่นั้นนั่งทานแซนวิช ตรงนู้นรำมวยจีนผ่อนคลายจิตใจ เดินมาไม่นาน เราก็เลือกเข้าชม พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งมอลทรีล ที่ชื่อ Pointe-a-Calliere Archeological Museum ที่นี่จะมีการทัวร์ที่ชั้นใต้ดินก่อน แสดงให้เราชม ชั้นดิน สิ่งของโบราณต่างๆ เดินจากตึกหนึ่ง มาขึ้นที่อีกตึกอย่างนั้น
ให้คิดถึงอินเดียน่า โจนส์ วัตถุโบราณทั้งหลายจะช่วยบอกกล่าวให้หลายคนสนใจชีวิตมนุษย์ ที่มีการขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงไม่รู้หยุด อินเดียนแดงที่เคยอยู่แถบนี้ จะรู้รึเปล่าว่า ทุกวันนี้ อินเดียนแดงก็เป็นจุดขายวัฒนธรรม เสียงเพลง พื้นความรู้ ภูมิปัญญา นำมาสู่การจัดจำหน่ายของที่ระลึกอินเดียนแดงหรือกีฬาบางอย่างก็พัฒนา จากกิจกรรมของอินเดียนแดง ให้คนปัจจุบันนำมาแข่งขันกัน ระบบขนส่งมวลชนที่เชื่อมต่อกันทั้งปวงทำให้ตั๋วรถไฟใต้ดินที่ซื้อไว้ นำมาใช้โดยสารรถเมล์ได้ เลือกสายรถเมล์ที่วิ่งในแนวจากทิศใต้ขึ้นไปทางทิศเหนือของถนนเซนท์ลอเรนซ์ ถนนเส้นนี้จะมีชุมชนเป็นหย่อมๆ เดี๋ยวเป็นกลุ่มชาวจีน เดี๋ยวเป็นแขก เดี๋ยวเป็นอิตาลี เดี๋ยวเป็นไอริช อยากให้นึกตามว่าจากทิศใต้เราขึ้นทิศเหนือนี้ เป็นแนวขึ้นเนิน ขึ้นภูเขาที่สูงกว่า เมื่อนั่งรถเมล์ เรารู้สึกได้ว่ารถวิ่งขึ้นเนิน เราโดยสารเพื่อเราจะมาชม มองรอแยล Parc Mont- Royal ที่นี่ยามค่ำเป็นแหล่งชมวิวที่มองลงมาก็จะเห็นแสงสี มอลทรีลนั่นเอง
ป้ายรถเมล์ที่เราลง เธอพบว่ามีร้าน 1 ดอลตั้งอยู่ สินค้าในร้านทุกอย่างหยิบมาแล้ว จะมีราคา 1 ดอล แม่บ้านอดใจไม่ได้ทุกที ซื้อหาแล้วต้องแบกไปด้วย เนินเขานี้ เป็นสวนสาธารณะใหญ่กว้างขวางมาก เราชื่นชมกับใบไม้เปลี่ยนสี แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงนัก สาดสอดรอดแนวใบไม้ บนพื้นหญ้าเขียว มีใบเมเปิ้ลร่วงหล่น บ้างแดง บ้างเหลือง บ้างเขียว ร่มรื่น เป็นร่มเงา สุขสงบ เชื่อว่า คนที่นี่ต้องแข็งแรงมาก เพราะสวนสาธารณะกว้างขวาง เหมาะให้ออกกำลังนานาชนิด นอกจากจะเดิน จะวิ่งแล้ว การขี่จักรยานเป็นที่นิยมมากของแคนาดาชน แวะทานอาหารว่างกันนิดๆเพื่อไม่ให้กระเป๋าหนัก พร้อมกับพักเอาแรง เตรียมตัวออกแรงเดินขึ้นภูเเขา มอง รอแยล
เรา 2 คนเป็นนักเรียนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เราเดินขึ้นดอยกันคนละหลายครั้ง เกือบทุกครั้งเราจะมีเพื่อนร่วมเดินทางกันหลายๆคน เรารู้ว่า อีกใกล้ไกลเท่าไรกว่าจะถึง แต่ที่นี่ เดินมานาน เดินมาไกล คนอื่นๆที่เดินแซงเราไปแล้ว ทางเดิน ทิวเขา ต้นไม้ ใบไม้ สวยมาก เมื่อนานพอแล้ว เราตัดสินใจเลือกการเดินกลับดีกว่า มองรอแยลจึงกลายเป็นมอง ที่มองไม่ถึง ไม่ได้ไปเห็น หมดแรงก่อนนั่นเอง
ทางลงของเรา จากแผนที่ที่เขียนไว้ว่าไม่ไกลหรอกให้เดินทางนี้นะ เลยได้ลงมาอยู่ในชุมชนมหาวิทยาลัย แมคกิล แคมปัสที่กว้างขวางใหญ่โตมาก เราเดินผ่านหลายหอพัก หลายคณะ หลายตึกแล้วเราจึงมองเห็นแนวถนน เดินลงสถานีรถไฟใต้ดินได้ถูกเล่นเอาเหนื่อย มหาวิทยาลัยแห่งนี้คล้ายเป็นหยดน้ำภาษาอังกฤษ บนดินแดนฝรั่งเศสในมอลทรีล ที่แมคกิลสอนเป็นภาษาอังกฤษ การจัดประชุมที่เรามาร่วมประชุมก็ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้ คนที่พูดกันด้วยภาษาฝรั่งเศสจนเป็นภาษาถิ่นของที่นี่ เมื่อการศึกษาที่ดีของอังกฤษเข้ามาเผยแพร่ การใช้ภาษาก็เปลี่ยนไป มีการใช้ภาษาอังกฤษแทรกเข้ามาเป็นยาดำ แต่ก็กลายเป็นว่า คนแคนาดาเมืองนี้ คนที่พูดได้ทั้ง 2 ภาษาหางานได้ง่ายกว่าใช้ได้ภาษาเดียว
หลังจากเดินจนเหนื่อยหมดแรงขนมปังไปแล้ว นั่งรถไฟใต้ดินกลับมาถึงโรงแรม อีก 10 นาทีจะ 2 ทุ่มครับ แม่บ้านยังคิดถึงเกี๊ยวน้ำเป็นที่สุด ข้างๆโรงแรมยังมีร้านเปิด เจ๊ขายเกี๊ยว เห็นหน้าแกว่าเสียงดังว่า เราจะปิดร้าน 2 ทุ่มนะ รีบๆกินหน่อย สองคนได้อาหารไม่ช้าเลย รีบกินตามที่เจ๊แกบอก คิดถึงห้องพักโรงแรมถ้ายังมีเราเอากลับไปกินที่ห้องสบายๆได้เลยไม่ต้องรีบอย่างนี้ อิ่มตามที่เจ๊แกต้องการ แกถามว่ามาจากไหน สองคนตอบมาจากเมืองไทย เวลาเก็บตังค์แกเลยสอนให้รู้จักทิปให้แกด้วย ราคาทั้งหมด 12 ดอลนะ ทิปนี่ต้อง 10 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นต้องจ่ายให้แกทั้งหมดประมาณ 13.5 อย่างนั้น ท่าทางภาษากายที่เราอ่านได้ก็เป็นเรื่องความจริงใจที่อยากบอกให้เรารู้ จะได้ทำให้ถูกนะกระเหรี่ยง มากกว่าท่าทางตะกละตะกรามจะเอาเงินจากเราให้มากที่สุดแบบนั้น เมื่อกินเร็วต้องนั่งผึ่งพุงที่ล็อบบี้โรงแรมสักครู่ เอากระเป๋า เรียกแท็กซี่
3 ทุ่มครึ่งเราก็ถึงสถานีรถไฟแล้ว รถออกตั้ง 5 ทุ่มครึ่ง อย่างไรก็นั่งรอกันที่นี่ มาก่อนดีกว่ามาสายน่า ผู้คนมาเหมือนเรากันหลายคน สาวน้อยหน้าตาสวยพอดูได้คนหนึ่ง ลืมแจ็กเก็ตเอาไว้ เราก็ดูให้เพราะแกเดินไปเล่นอินเตอร์เน็ต พอเราถามว่าของแกที่ลืมใช่มั้ย ก็ขอบอกขอบใจ ทีนี้แกจะเดินไปไหนอีกแกก็ออกปากไหว้วานให้เราดูของให้เลย Enterprize นามเดิมของรถไฟเที่ยวนี้ เคลื่อนตัวออกแล้ว เป็นตั๋วรถไฟเที่ยวสุดท้ายของเรา 2 คน ในแคนาดา หมดภารกิจของเวียเรล การรถไฟแคนาดาที่ต้องดูแลเราแล้ว รถไฟเคลื่อนเข้าสู่สถานีโตรอนโตช้าไปแค่ 10 นาที เราให้คะแนนรถไฟแคนาดาในใจกันว่าเค้าสอบผ่าน เธอขอว่าครั้งหน้าขอมาชั้น 1 บ้างจะได้เรียนรู้ว่าจะได้รับการดูแลดีเพียงไร เราขอขอบคุณ เวียเรล ชื่อของการรถไฟแคนาดานี้ เราจะจดจำภารกิจของคุณ แล้วจะกลับมาพบกันใหม่
9 โมงเช้าได้แล้ว เช่นเคยเราใช้บริการห้องน้ำสถานีรถไฟอย่างชำนาญ โทรศัพท์กลับบ้านอย่างสนุกเพราะวันนี้ วันที่ 9 ของเราในแคนาดา กำลังจะกลับบ้านแล้ว ฝากกระเป๋าเดินทางที่กลายเป็นกระเป๋า 3 ใบ แล้วเราหลงทางกันอีกจนได้ เมื่อตั้งใจเดินหาร้านขายอาหารใต้ดิน เดินอย่างไรก็ไปไม่ถึง ในที่สุดความหิวก็สั่งให้เราทานอะไรก็ได้ เราเลือกตั๋วรถไฟใต้ดินแบบตั๋วใช้เดินทางได้ 1 วันเลย คนละ 7 ดอล เพราะ ต้องการประหยัดแรงเดิน ขึ้นรถให้มากๆขึ้น แล้วที่หมายแรกของเราก็มาถึง ปราสาทโคซ่าโลมา ปราสาทที่สามัญชนสร้างไว้
หนังสือนำเที่ยวเอ่ยถึงปราสาทนี้ เราได้พิมพ์คูปองจากอินเตอร์เน็ตมาเสร็จ เพื่อใช้ลดราคาค่าบัตรเข้าชม จาก 10 ดอล ก็เหลือแค่ 8 ดอล จากสถานีรถไฟใต้ดิน Dupont เดินอีกอึดใจใหญ่ก็ถึง นับเป็นปราสาทที่บูรณะขึ้นมาได้น่ารักมาก ไม่แตกต่างจากวัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา บ้านเรา ที่เราเห็นแนวปูนซิเมนต์ที่มองออกว่าข้างล่างของเก่า ข้างบนพึ่งซ่อมเข้าไปใหม่ เดินชมจากชั้นล่างที่มีห้องสุดยอดเป็นห้องชื่นชมพันธุ์ไม้ดอกที่สวยมาก แหงนมองขึ้นไปชม กระจกสลับสี เป็นเหลื่อมสีที่สวยมาก ขึ้นไปชั้นบนเรื่อยๆก็จะได้ไปถึงยอดหอคอยต่างๆ วิวทิวทัศน์ที่สวยคุ้มราคาที่จ่ายเป็นค่าเข้าชมทีเดียว ห้องหับของเซอร์ เฮนรี่และภรรยา ก็ตระเตรียมไว้สวยงามน่าดู Sir Henry Pellatt สามัญชนที่เป็นทั้งนักการทหาร นักการคลัง นักการเมืองมีชื่อของแคนาดา สร้างปราสาทนี้ เมื่อปีค.ศ.1911 ประวัติเจ้าของมีดวงขึ้นดวงตก มั่งมีแล้วล้มละลายบ้าง ปราสาทกลายเป็นที่อยู่อาศัยส่วนตัว กลายเป็นโรงแรมบ้าง แล้วในที่สุดกลายมาเป็นของมูลนิธิ องค์กรการกุศลที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชม เดินจนหิว จนเดินมาถึงชั้นใต้ดินของประสาท จึงพบกับ แซนวิชปลาแซลมอล อร่อยจริงกับกาแฟที่หอมมาก อร่อยจนนึกออกจนถึงวันนี้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร
เดินกลับมาขึ้นรถไฟใต้ดิน วางแผนว่าจะขึ้นมาเที่ยวย่านศาลากลางเก่า ศาลากลางใหม่โตรอนโต จำเป็นต้องถามคนพื้นที่ว่าต้องเดินทิศใดจึงจะไปถึง ศาลากลางใหม่จะเป็นตึกโค้งกอดกันนั่นไง เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษก็ถูกปั้นเป็นสง่าบนลานหญ้าเขียว รถทัวร์คันใหญ่จอดให้นักท่องเที่ยว ลงมาถ่ายรูป คึกคักพอควร เลี้ยวไปเจอศาลากลางเก่าตึกสีน้ำตาลดูแข็งแรงมาก แล้วจะเจอโบสถ์น่ารัก หลังเล็กๆ ติดกับศูนย์การค้าใหญ่ที่ตั้งติดๆกัน อย่างไรเธอก็ยังชอบศูนย์การค้า ที่นี่ชื่อว่าอีตัน เราก็เข้าไปเดินชม ผมก็ขอนั่งพักเอาแรง ตอนนี้เป็นช่วงลดราคาของเขาพอดี ผมเลยได้รองเท้าใส่สบายที่ขอเปลี่ยนใส่เลยมาด้วย แต่เธอไม่ได้อะไรที่ต้องการเลย
บ่าย 2 โมงแล้ว จากศูนย์การค้า นั่งรถรางที่เป็นรถสตีทคาร์ของที่นี่ วิ่งในแนวจากทิศตะวันตกมายังทิศตะวันออก เราจึงได้ชมเมืองโตรอนโตอีกแบบ นั่งชมเมืองบนรถราง ตั๋ว 1 วันที่ซื้อมาใช้ได้ตลอดไม่เสียเงินเพิ่ม ที่หมายเราคือย่านคนจีน ไชน่าทาวน์ของโตรอนโต เราจะไปชิมติ่มซำที่ว่าอร่อยมาก ลงจากรถรางเดินนิดเดียวก็เจอร้านที่โฆษณาไว้บ่าย 3 โมงกว่าๆนี้เราเลยทานติ่มซำ นานาชนิดอร่อยเป็นพิเศษ สมราคาคุย ร้อนลวกปากลวกคอ อร่อยแบบจีนจริงๆ อิ่มกันแล้วเรานั่งรางจากย่านคนจีน แล่นผ่านแนวท่าเรือ Habour front แล้วกลับมาถึงสถานีรถไฟที่ฝากกระเป๋าไว้ คุณไม่เคยไปแคนาดาเลย ทำไมคุยรู้มากว่า รถเมล์ รถราง รถไฟใต้ดินมันจะวิ่งแบบนี้ อินเตอร์เน็ตทั้งนั้นเลยครับ ผมทราบข้อมูลเหล่านี้ตั้งแต่อยู่มนกรุงเทพ ไปถามยืนยันกับคนท้องที่อีกนิด ก็ดูเมือง ดูคน เสพบรรยากาศการท่องเที่ยวแบบนี้เองได้อย่างสนุกไม่น้อย
เอากระเป๋า 3 ใบแล้วลากจูงถูไถแบบหมดแรงขึ้นรถไฟใต้ดินมายังสถานีรถไฟ Lawrence West เหมือนตอนวันแรกที่มาถึง รู้ว่าต้องต่อรถไฟสาย 58 ถามคนพื้นที่คนหนึ่งแกบอกว่าแม่นแล้ว แกบอกเลยให้รอตรงนี้ เราก็รอรถกัน ผู้หญิงหน้าตาคล้ายชาวอินเดีย วัย 40 เศษ คนพื้นที่นี้ยังช่วยเหลือเรามากกว่านั้นอีก พอรถเมล์มาถึง แกยืนขวางที่ประตูทางขี้นรถ แล้วบอกให้เรา 2 คน ช่วยกันขนกระเป๋าเดินทาง 3 ใบแล้วเป้สะพายหลังตุงๆอีกคนละใบ ขึ้นไปจับจองที่นั่งบนรถก่อนคนอื่นๆ รถออกจากสถานีรถไฟใต้ดินแล้ว จะได้กลับบ้านเสียที อาบน้ำครั้งสุดท้ายจนถึงเวลาบนรถเมล์นี้ก็ 36 ชั่วโมงแล้ว นั่งบนเครื่องก็คงไม่ได้อาบอีกกว่า 18 ชั่วโมง คนข้างเคียงจะได้กลิ่นเรา 2 คนรึเปล่า....
รถเมล์ทำหน้าที่เหมือนตอนขามา เราจะกลับแล้ว งานจริง ชีวิตจริงรอเรากลับมาทำหน้าที่ เหมือนที่เคยเป็น หนีไม่พ้น 9 วันในแคนาดานี้ ความคิด ความฝันที่จะได้มาเที่ยวเองแบบไม่พึ่งบริการบริษัททัวร์ เธอเป็นแรงบันดาลใจให้หาข้อมูลเตรียมตัว ให้กำลังใจว่าเราจะมากันเองได้ มากับทัวร์ เราไม่ต้องหิ้วกระเป๋า มาถึงที่เที่ยว ห้องน้ำหญิงซ้าย ห้องน้ำชายขวานะครับ 15 นาทีเจอกันที่รถ รอคนนู้น คนนั้นติดอยู่ในห้องน้ำ อ้าว ได้เวลาทานอาหารแล้วครับ ทัวร์จะพาเรามาที่ที่เขาว่าเขาอร่อย แม้ว่า เราจะเบื่อเลี่ยนแทบแย่แล้วก็ตาม จะหาซื้อทานเองก็เสียดายของเหลือตั้งมากบนโต๊ะอาหาร
เราจึงตัดใจลำบากเหนื่อยไม่น้อย ที่ต้องมาเอง ค้นคว้าหาข้อมูลตั้งมาก หากใครมีฝันที่อยากมาอย่างนี้บ้าง อยากเห็นน้ำตก อาจให้คนชอบเที่ยวเหมือนเราสนุกกว่าเราอีก ให้สัญญากับตัวเองไว้ จะกลับมาเขียนบันทึกไว้
รถเมล์แล่นใกล้สนามบินเข้าไปทุกขณะ แล้วก็แล่นเลยสนามบินไปอีก แม่บ้านเริ่มร้อนใจให้ออกมาถามผู้คนดู เราถามผู้โดยสารข้างหลังคนขับ แกบอกออกมาเสียงดังว่ารถแล่นเลยสนามบินมาแล้ว ไอ้หยา แล้วจะทำอย่างไร ผู้โดยสารอีกหลายคนบนรถ ส่งเสียงปรึกษากันอย่างร้อนรนช่วยเราด้วย เราคิดง่ายว่างั้น ป้ายหน้าจอดป้ายแล้วเราจะลงหารถเมล์นั่งกลับเข้ามาใหม่ แต่หลายเสียงบนรถประชุมกัน แล้วร้องบอกทางกระจ่างให้เราว่า ไม่มีประโยชน์ไปลงที่สุดป้ายปลายทางเลยดีกว่าแล้วต่อรถเมล์เบอร์ 7 กลับมาสนามบิน เพราะถ้าลงป้ายหน้านี้ก็ต้องนั่งรอรถเบอร์ 7 อยู่ดี ทีหลังท่ายูจะมาสนามบินนะ ยูต้องมา 58 เอไม่ใช่ 58 เฉยๆแบบนี้ สุดป้าย เบอร์ 7 จอดรอแล้ว ทำท่าจะออก ผู้โดยสารคนอื่นบอกว่ายูยังทัน รถเบอร์ 7 ออกตัวแล้ว เราเอามือจับพระหลวงพ่อวัดปากน้ำที่ห้อยคอ พึมพัมภาวนาอย่าได้ตกเครื่องเลยนะครับ
รถเมล์เทียบท่าสนามบิน เทอร์มินัล 2 ที่เดิมที่เรามา เธอบอกให้วิ่งเลยวิ่งไปไหนละหวาไม่รู้เลยว่า สายการบินแอร์แคนาดาขาออกอยู่ที่ไหน อีก 40 นาทีเครื่องจะออกแล้ว ถามสิวะ เดินชนแหม่มกะปิไป 1 คนด้วยดูคุณป้าแกโกรธใหญ่ ต้องได้แต่ขอโทษคุณป้าฝรั่งในใจเอาเท่านั้น
ในที่สุดก็ได้มายืนทำบอร์ดดิ้งพาสที่หน้าเคาน์เตอร์เมื่อเหลืออีกครึ่งชั่วโมง เครื่องจะออกแล้ว
พนักงานแอร์แคนาดาทัก "ยูสายนะ"
ผมตอบ "ครับผมสาย"
พนักงานแอร์แคนาดาว่า ยูไม่ต้องทำอะไรเลยนะ เมื่อทุกอย่างเสร็จ
ยูสองคนวิ่งนะ วิ่งอย่างเดียวเท่านั้น จากจุดนี้ไปจนสุดท่าอากาศยานอีกด้านเลย
ราว 1.5 -2 กม.ได้ ยูก็จะถึงเกตที่ยูจะออกไปขึ้นเครื่อง
แล้วเรา 2 คนก็วิ่งวิ่งวิ่งๆ วิ่งไป เหมือนเพลงหรั่ง ออเครสต้า ไม่มีผิด แต่แก่แล้วครับ คน 2 คน วิ่งเร็วกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว
ไปถึง gate เกตประตูทางออก เอาของผ่านเอกซเรย์แล้ว เขาเรียกคนขึ้นเครื่องกันกันพอดี พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย ไม่เคยเส้นยาแดดผ่าแปดแบบนี้เลยเข้าที่นั่งบนเครื่องแล้ว หอบเลย ครับหอบ เธอของผม แกปากเขียวเชียว เหนื่อยด้วย โกรธมากด้วยที่ผมพาแกมาลำบาก ในนาทีท้ายๆแบบนี้ คิดในใจก็ยังทัน ไม่ควรเลยรถเมล์แคนาดา บนเครื่อง จะเสริฟอะไรก็ไม่ค่อยอร่อยแล้ว ถึงแวนคูเวอร์ อย่างไรยังไม่รู้เลย รู้แต่ว่าเหนื่อยเสียจริง นั่งรอเครื่องที่แวน ก็ยังไม่ค่อยหายเหนื่อย
จึงไม่ได้เป็นการอาลัยอาวรณ์แต่เป็นเพราะเหนื่อยมากกว่าเหตุอื่นๆ จากแวนคูเวอร์ ก็ขึ้นเครื่องมาลงไทเปแล้วก็จากไทเป มาถึงกรุงเทพเที่ยงวันอาทิตย์โดยสวัสดิภาพ
ขาไปนะเครื่องออกตั้ง 5 โมงเย็น บ่าย 2 โมงแก่ๆก็ถึงดอนเมืองแล้ว
แต่ขากลับ 10 นาทีเครื่องจะออกเธอยังไม่รู้เลยว่าจะขึ้นเครื่องที่ไหน จะทันรึเปล่าก็ไม่รู้
ผมจะแก้ตัวใหม่ ครับคุณผู้หญิงสุดที่รัก เพราะ คุณโดยแท้ที่พาให้เราได้สนุกกันที่แคนาดาแบบนี้ ครั้งหน้าผมจะพาคุณไปฝั่งตะวันตกบ้างเราจะได้เที่ยวแวนคูเวอร์ เทือกเขาร็อกกี้กัน ผมจะทำหน้าที่ให้ดีกว่านี้ ผมอาจจะรักการท่องเที่ยว ผมรักรถไฟ ผมรักแคนาดาไม่น้อย แต่ทั้งหมด ผมยังรักคุณมากกว่าสิ่งอื่นใดครับ
ผลงานอื่นๆ ของ Jack1960 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Jack1960
ความคิดเห็น