ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Legend Of Mortal ตำนานอวสานวันสิ้นโลก

    ลำดับตอนที่ #5 : Lesson for people

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ย. 63



          “นี่มันผ่านมาสองอาทิตย์แล้วนะเร็น เมื่อไหร่จะถึงซักที กินแต่ปลา เบื่อจะแย่อยู่แล้ว”

     

     

    เร็นหันหน้าไปมองพี่ชายตัวดีกำลังเล็มปลาย่างที่ตนเป็นคนหามาให้ ความจริงคนที่ควรจะบ่นน่าจะเป็นเขามากกว่า ตลอดระยะเวลาสองอาทิตย์ เป็นทั้งคนขับเรือ คนหาอาหาร เด็กน้ำมัน และจิปาถะสารพัด

     

     

    “ใกล้แล้วล่ะครับพี่ น่าจะไม่เกินวันพรุ่งนี้”

     

    อย่างน้อยหลายวันมานี่ ชิโร่ก็รู้สึกดีอยู่อย่างนึง ที่น้องชายของเขายอมอ่อนข้อเรื่องกฎระเบียบโค้ดเนมบ้าบอนี่ แต่ก็อาจจะแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น ที่เขาจะได้พูดคุยกับน้องชายของตนอย่างเป็นกันเองซักที 

     

                           

    “น่าเบื่อชะมัด”

     

     

                เร็นยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหัวเบาๆอย่างไม่ถือสา ชอบทำตัวเป็นเด็กๆ เอาแต่ใจ ไม่ฟังใคร หัวรั้น หลายคนอาจจะไม่ชอบนิสัยของเขานักหรอก แต่ สำหรับเร็นแล้วชิโร่คือพี่ชายที่เขารัก ถึงแม้ว่าร่างกายเขาจะเปลี่ยนไปแค่ไหนแต่  นั่นแหล่ะ ที่ดีแล้วสำหรับเร็นตอนนี้

     

    ‘ดีแล้ว..ที่ยังคงเป็น..คนเดิม..

     

                

    “นี่....พี่ยังไม่สบายใจเรื่องตอนที่พวกเราทิ้งวอร์ชิงตันไปเหรอครับ”

     

                ดูเหมือนจะถามตรงจุด เพราะชิโร่นิ่งชะงักไปทันที มีเรื่องไหนบ้างที่เจ้าน้องชายตัวดีของเขาจะรู้ไม่ทัน ต่อให้พยายามกลบเกลื่อนแค่ไหน ก็ไม่เคยได้ผลเลยซักครั้ง

     

    “ก็แค่..คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”


     

                คำตอบที่ดูเหมือนไม่ชัดเจนทำให้เร็นจ้องชิโร่เขม็ง และนั่นทำให้เขารู้ว่า คงจะปิดบังแม้แต่ความคิดตัวเองไม่ได้กับคนตรงหน้านี้จริงๆ

     

    “ทำไม..คนเราถึงชอบทำเรื่องที่รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่า ผลลัพธ์ที่ได้ มันออกมาเลวร้ายแค่ไหนได้ลงคอ ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน ก็เป็นเหมือนกันหมด ไม่เคยรู้จักเรียนรู้จากอดีตเลยให้ตายสิ”

     

    “แล้วใครกันนะ เคยพูดประโยคนี้”

          

    เร็นแสร้งกระแอมเบาๆ เลียนแบบทั้งท่าทางและน้ำเสียงของชิโร่ก่อนว่า

     

    “มนุษย์เราถ้าเห็นโอกาสที่เป็นไปได้ก็ไม่สนใจผลลัพธ์หรอกว่าจะออกมายังไง ต่อให้มีเทคโนโลยีชั้นสูงหรือมีวิชาการมากแค่ไหน สิ่งเดียวที่มนุษย์ต้องการคือความอยากรู้ไม่มีที่สิ้นสุด และเพราะว่ามันเป็นแบบนี้ องค์กรของพวกเราจึงได้มีอยู่เพื่อเป็นบทเรียนให้ผู้คน”

     

    เร็นหรี่นัยน์ตานิลมองพี่ชายกลับอย่างยียวนกวนโอ๊ย

     

                มันน่าหมั่นไส้จริงๆไอ้น้องชายตัวแสบ ทำมาเป็นเลียนเสียงเขา นี่ถ้าเห็นว่าไม่ใช่น้องและคนขับเรือล่ะก็ พ่อถีบตกเรือไปนานแล้ว

     

    ถึงแม้ว่าตนเองจะเคยพูดแบบนี้ออกมาก็จริง แต่ไม่น่าเชื่อว่า ไอ้เจ้านี่มันจะจำได้ เป๊ะๆ ไม่ขาดตกบกพร่องขนาดนี้ 

     

                ชิโร่จึงได้แต่ลอบถอนใจเบาๆ เมื่อเร็นเห็นว่าชิโร่ยังคงจมปรักอยู่ในความคิด จึงพยายามพูดเพื่อเรียกสติของเขากลับมาให้มากที่สุด 

     

     

    “ผมรู้ว่าพี่ก็คงไม่อยากจะทำพลาดหรือสูญเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว  เพราะฉะนั้นพี่ควรจะโฟกัสในสิ่งที่เราควรทำต่อจากนี้ดีกว่านะครับ”

     

    ชิโร่เริ่มพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะกัดเนื้อปลาต่อ แต่ดันมีเสียงดัง ‘กรุ๊บ’ จนฟันแทบหัก ในขณะที่เร็นหันไปขับเรือต่อ และยิ้มมุมปากขึ้นก่อนว่า

     

    “ผมลืมบอกไปอย่างนึง ว่าให้ระวังกระสุนด้วย ผมยิงหลายนัดไปหน่อย”

     

     

    “ไอ้...ไอ้..!#$%&”

     

    ***************

     

    เช้าวันต่อมา..น่านน้ำประเทศไทย..

     

     

    ‘หลับคาที่บังคับ..’

     

                ชิโร่ตื่นขึ้นมาก็ส่ายหัวเบาๆเมื่อเห็นว่าน้องชายของตนกำลังยืนหลับในขณะที่เรือกำลังแล่นไปช้าๆ  

     

                            “นี่นายเล่นขับโดยไม่หลับไม่นอนติดๆกัน มันคงถึงขีดจำกัดแล้วล่ะสิท่า”

     

    ..เชื่อเขาเลย..ให้ตายสิ..

     

               ทั้งๆที่ตนอาสาจะช่วยขับให้ แต่ก็ไม่ยอม จริงๆเจ้านี่มันไม่ยอมให้เขาทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ได้แต่กินๆนอนๆ ตลอดการเดินทาง

     

                ชิโร่แบกน้องชายของตัวเองเข้าไปด้านในให้หลับต่อให้สบายอีกสักหน่อย ก่อนที่จะเดินไปประจำตำแหน่งคนขับเรือแทน 

     

                เขาเอามือปิดสวิตซ์ไฟบนเรือเมื่อเริ่มเห็นดวงอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นจากน้ำทะเลช้าๆ

                

    “อ้าว! พี่ตื่นแล้วเหรอ?”

     

    คนถูกถามหันหน้าไปมองน้องชายที่กำลังเดินอย่างงัวเงียออกมาจากด้านใน

     

                            “พี่สิที่ต้องเป็นฝ่ายถาม ว่าเราน่ะ ตื่นแล้วเหรอ?” 

     

                           

                 ชิโร่รีบเปลี่ยนเรื่องทันที เมื่อเห็นสีหน้าของเร็น เพราะถ้าเขากวนบาทาเจ้านี่มากกว่านี้ล่ะก็ เช้านี้ไม่ใครก็ใครได้เป็นศพแน่ๆ และในที่สุด พวกเขาก็ถึงจุดหมาย

     

                                       “ถึงแล้ว..”

     

                                       “..ประเทศไทย..”

                   

     

               ทั้งสองพร้อมใจกันสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดเพื่อซึมซับ กลิ่นความคิดถึงแผ่นดินที่พวกเขาเติบโตมา นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่ไม่ได้มาที่นี่เลย..

            

    ..หาดพัทยา จ.ชลบุรี ประเทศไทย..

     

    สปีทโบ้ทสีขาวลำหรู ค่อยๆแล่นเข้าฝั่งเรื่อยๆ เร็นกับชิโร่เช็คอาวุธและจัดเก็บอย่างเรียบร้อยและมิดชิดเพื่อไม่ให้เป็นที่ต้องสงสัย

     

    ‘หาดพัทยา’ ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ เล่นน้ำ อาบแดด ดื่มกิน ปาร์ตี้ ริมหาดกันอย่างคึกคัก กลิ่นทะเล เสียงคลื่น เสียงวี๊ดว๊ายของเด็กๆและผู้คน กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนานดังเป็นระยะๆ 

     

    “เหมือนเดิมทุกอย่าง”

     

    ชิโร่ อดโล่งใจไม่ได้ ที่รู้ว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม อย่างน้อยสิ่งที่ตนเจอมาจากฝั่งยุโรปยังไม่ลุกลามมาเอเชีย แค่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกเบาใจ โล่งใจขึ้นมาก

     

    “เหมือนเดิม..จนผิดปกติเกินไป” 

     

    เร็นเอ่ยขึ้นทำให้ชิโร่เริ่มตะหงิดใจขึ้นมาบ้าง

     

    “เร็นพี่ว่า พวกเราลองไปตรวจดูรอบๆให้ทั่วก่อนดีกว่า”

     

                            “ไม่ พี่ต้องไปคนเดียว ส่วนผมจะลองติดต่อ เติร์ท(Third) ดู บางที..อาจมีอะไรบางอย่างที่พวกเราอาจจะยังไม่รู้” 

     

    “ได้ งั้นพี่ไป”

     

                                      

    “ผมส่งพิกัดให้พี่ไปที่บ้านพักตากอากาศส่วนตัวให้แล้ว พี่ไปที่นี่แล้วเอามอเตอร์ไซค์ไปใช้สำรวจรอบๆได้เลยครับ น้ำมันเต็มถัง”

     

                แต่ก่อนที่ชิโร่จะออกไปจากตรงนั้นก็เกิดสงสัย

     

    “นี่นายเอาเงินที่ได้จากองค์กรไปซื้อบ้านพักตากอากาศกับรถเลยเหรอ” ชิโร่ถามอย่างตื่นเต้น

     

    “ใช่ครับ แล้วพี่ล่ะ?” เร็นถามกลับ

     

                ชิโร่หน้าถอดสีขึ้นมาทันที แค่นี้ก็ทำให้เร็นเข้าใจได้ในทันทีว่า พี่ชายเขาไม่เคยเก็บเงินเอาไว้เลย 

     

                            “จนปัญญานะครับแบบนี้ สมบัติของผม ผมไม่แบ่งนะ อ้อแล้วที่ส่งพิกัดไปให้น่ะ ให้ยืมนะครับ”

     

    “รู้แล้วน่า! งกชะมัด..”



     

                ชิโร่บ่น ก่อนจะเดินทางไปตามพิกัด จากตัวเมืองพัทยาใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง ก็พบกับบ้านพักตากอากาศสไตล์ยุโรปสุดหรู มีสระว่ายน้ำ รวมพื้นที่บ้านหลังนี้ไม่น่าจะต่ำกว่า สองพันตารางเมตรแน่ๆ  ในใจอยากจะเดินเข้าไปสำรวจบ้านซักหน่อย แต่แค่จากหน้าประตูเดินมาถึงนี่ก็เสียเวลาไปมากแล้ว

     

    ‘เจ้าเด็กนี่มันรวยขนาดนี้เลยงั้นเหรอเนี่ย!’

     

     

                           ชิโร่เดินตรงมาเรื่อยๆ จนพบสิ่งที่จอดอยู่ด้านหน้าประตูโรงรถ นัยน์ตาสีดำฉายแววระริกอย่างตื่นเต้นเมื่อพบกับ บิ๊กไบค์ดูคาติ สีดำขลับหรูหรา แถมยังเสียบกุญแจคาไว้แบบไม่เกรงกลัวขโมยเลย แต่ก็อย่างว่าแหล่ะ ถ้าใครเกิดขโมยของของหมอนี่ขึ้นมา มันคงจะเป็นขโมยที่นับว่า ‘ซวยที่สุดในโลกแน่ๆ’

     

                           ชิโร่เลือกที่จะเดินไปลูบๆคลำๆเจ้าดูคาติอย่างทึ่งๆ หนำซ้ำ เลขไมล์ยังเป็นเลขศูนย์ แปลว่า ‘ซิง’ ไม่มีแม้แต่รอยนิ้วมือด้วยซ้ำ ขณะที่เจ้าตัวกำลังตะลึงพรึงเพริ่ดอยู่กับบิ๊กไบค์คันงามอย่างกับต้องมนต์สะกด

     

    “ได้เวลาทำงานแล้วครับ Zero”

     

               ชิโร่สะดุ้งโหยงหันไปทางต้นเสียงที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยซักนิด 

                           

    “นายมาได้ยังไง? แล้วไหนบอกว่าจะรออยู่ที่เรือ?”

                         

    “ไม่แล้วล่ะ ตอนนี้พวกเรากำลังเจอปัญหา นี่ครับ..อาวุธ..”

     

    เร็นรีบพูดน้ำเสียงจริงจัวพร้อมยื่นวัตถุห่อผ้าที่สะพายหลังเอาไว้อย่างมิดชิดให้คนตรงหน้า

     

    “พี่ต้องรีบไปช่วยพี่โทร่า ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป”

     

                ชิโร่ขมวดคิ้วเคร่งเครียดตาม ก่อนเปิดห่อผ้าในมือ อาวุธปืน .357 Magnum revolver ที่เขาเอามันมาจากแมนฮัตตั้น และดูเหมือนเร็นจะปรับแต่งเพิ่มเติมให้ด้วย

                

    “แล้ว...”

    ชิโร่ถามยังไม่ทันจบประโยคเร็นก็แทรกขึ้นมารัวเร็วราวกับว่ากำลังรีบจริงๆ

                

                “เดี๋ยวผมจะขับรถตามไป รายละเอียดที่เหลือ ผมจะรายงานให้ฟังระหว่างทาง ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอาวุธ ผมจัดการทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว รับรองไม่มีใครกล้ายุ่ง” 

    เร็นแอบหรี่นัยน์ตายิ้มใส่ชิโร่เล็กน้อยก่อนกดสวิซต์เลื่อนบานประตูโรงรถอัตโนมัติ ที่อยู่ด้านหลังเจ้าดูคาตินั้น ทำให้ชิโร่เบิกตากว้างจนลูกกะตาแทบถลนออกมา

    รถสปอร์ตซุปเปอร์คาร์นับสิบคัน!! คนที่ว่ารวยล้นฟ้ามีรถพวกนี้ไว้ประดับบารมีอย่างมากแค่สองสามคันก็เต็มกลืนแล้ว แต่นี่มันรุ่นล่าสุดมารวมอยู่ในที่เดียวนับสิบคัน ราวกับงานมอเตอร์โชว์ยังไงยังงั้น ชิโร่มองตามเร็นอย่างทึ่งๆ โดยที่เจ้าตัวกลับทำท่าทางเฉยๆ เดินอาดๆไปที่ประตูอีกฝั่งที่อยู่ลึกไปอีก

     

    ‘นี่มันยังจะมีอีกงั้นเหรอ?’

     

    ชิโร่ตั้งคำถามในใจอย่างหมั่นไส้และน่าอิจฉาในเวลาเดียวกัน

     

    ประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิดช้าๆอีกครั้ง เร็นตรงดิ่งไปเปิดผ้าคลุมออกและสิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้ชิโร่เข่าแทบทรุดเมื่อรู้แล้วว่า ทำไมสปอร์ตคาร์นับสิบคันนั้นแทบไม่อยู่ในสายตาของหมอนี่เลย

     

    Bugatti Atlantic!! รถสปอร์ตสไตล์เครื่องบินเจ็ตสีดำ เครื่องยนต์16 สูบ 1,500แรงม้า มีท่อไอเสียถึง 6 ท่อ แถมรุ่นนี้มันเป็นรุ่นที่ผลิตพิเศษเพื่อฉลองครบรอบ 110 ปี   และ... และ..เจ้านี่มัน..

     

    ‘มีเพียงแค่สี่คันในโลกเท่านั้น!!’

     

    ในขณะที่เร็นเปิดประตูโยนอาวุธเข้าไปในรถ และสตาร์ทรถออกไปโดยทิ้งให้ชิโร่ ยืนตัวแข็งทื่อ กระพริบตาปริบๆ มองตามรถหรูที่แล่นออกไปพร้อมเสียงเครื่องยนต์ที่แทบจะทำให้หัวใจเขาออกมาเต้นข้างนอกอยู่แล้ว

     

    ชิโร่รีบสะบัดหัวไล่ความอภิมหาคอนเล็คชั่นรถหรู ของไอ้เจ้าน้องชายตัวแสบก่อนที่จะวิ่งไปที่บิ๊กไบค์ดูคาติคันงามและสตาร์ทรถตามออกไปติดๆเช่นกัน

     

    ระหว่างทางที่ทั้งสองขับเคียงคู่กันไป ชิโร่ได้ติดต่อกับเร็นไปตลอดทาง 

     

    “ก่อนหน้านี้ที่ผมติดต่อกับเติร์ทผมได้รับข้อมูลสำคัญมาด้วย ซึ่งข้อมูลที่ได้นี้เกี่ยวข้องกับที่แมนฮัตตั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้ไปสำรวจกับเติร์ทมาแล้วก่อนที่เซโร่และเฟิร์สจะไปถึง”

     

    “มิน่าล่ะ ก็คิดอยู่ว่าทำไมเร็น..เอ่อ..โทษที เซเคิ่น ถึงได้ไปดักเจอพี่ได้ที่นั่น”

     

    ชิโร่เผลอเอามือโขกหัวตัวเองเบาๆหลังรู้ตัวว่าเผลอเรียกน้องชายผิด ในเมื่อตอนนี้พวกเขาได้กลับเข้าสู่โหมดเวลาของการทำงานแล้ว ซึ่งความจริงเขาก็ไม่คิดมากหรือเคร่งครัดอะไรหรอก แต่กับคนๆนี้แล้วแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่จะจริงจังและให้ความสำคัญมากที่สุดโดยเฉพาะเรื่องกฎขององค์กร

     

    “ใช่ครับ แต่ว่าตอนที่พวกเราไปถึง แมนฮัตตั้นก็ตกอยู่ในสภาพนั้นไปหมดแล้ว ก็เลยตัดสินใจเข้าวอชิงตันดี.ซี.เพื่อที่จะไปเจาะระบบของกองกำลังทหาร ส่วนเติร์ทก็สืบหาข้อมูลเพิ่มเติมที่แมนฮัตตั้น” เร็นอธิบายต่อ


     

    “แล้วข้อมูลที่ผมได้มาระหว่างที่รอพี่อยู่บนเรือ มันคือข่าวในหนังสือพิมพ์กับเว็ปไซต์ โดยข่าวพวกนี้ระบุถึงเหตุการณ์เมื่อ สองสามเดือนก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น  ว่ามีประชากรบางส่วนหายตัวไปทุกคืนแล้วตอนเช้าก็กลับมาทุกวันติดต่อกันหลายครั้ง ซึ่งประชากรเหล่านั้นไม่ได้มีพฤติกรรมเที่ยวเตร่ หรือประพฤติตัวเสียหาย แต่ที่น่าแปลกก็คือ หายตัวไปพร้อมกันหมดทั้งหมู่บ้าน แต่พอตำรวจสอบสวนถึงสาเหตุที่พวกเขาหายตัวไปกลับไม่พบเบาะแสอะไร เพราะทุกคนที่กลับมา ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า จำอะไรไม่ได้เลย”

                

    “นี่นายกำลังจะสงสัยว่าคนพวกนั้น ติดเชื้อ..” ชิโร่ถาม

     

    “ผมก็ไม่แน่ใจ และยิ่งกว่านั้นคือทุกคนที่กลับมา พวกเขามองอะไรไม่เห็นเลยต่างหาก”

     

                            “ว่าไงนะ!” 

     

    ชิโร่เผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ 

     

    ‘นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมถึงหายไปแล้วกลับมา ตาบอดสนิท!’

     

                            “จำตอนที่พวกเราอยู่บนเรือแล้วเห็นอะไรบางอย่างที่ใต้น้ำได้ไหมครับ พวกมันน่ะ แฝงตัวเข้าไปหลบซ่อนตามท่อระบายน้ำ เพื่อเตรียมความพร้อม” เซเคิ่นอธิบายเสียงเครียด
     

     

    “ความพร้อมอะไร?”

     

                พอถึงตอนนี้ชิโร่ชลอความเร็วรถลงเพื่อพยายามตั้งใจฟัง เพราะจากที่เร็นเล่ามา มันยิ่งทำให้เขาอยากรู้ความจริงทั้งหมด

                

    “ผมคิดว่า..เพื่อ..”

     

    เร็นเว้นช่วงก่อนที่จะตัดสินใจเผยสิ่งที่น่ากลัวในหัวของเขาออกมา

     

    “เพื่อบุกทวีปอเมริกาและเอเชีย”

                

    “เป็นไปไม่ได้” ชิโร่แทบจะไม่เชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่ได้ยิน

     

                            “คิดว่าน่าจะเริ่มจากชายฝั่งทะเลทั้งหมด แล้วพวกมันจะค่อยๆเข้าไปในตัวเมืองน่ะครับ แล้วที่นี้ก็คงจะ..” 

     

               ‘ตู้มมมมมมม’ เสียงระเบิดดังตามมาจากทางด้านหลัง เป็นสัญญาณว่าสิ่งที่เขากลัวนั้นมันได้เกิดขึ้นแล้ววว พวกมันกำลังบุกเข้ามาแล้ว..

                

    “แล้วพวกทหารล่ะ! มัวทำอะไรกันอยู่?”

     

    ชิโร่เผลอตะคอกใส่ปลายสายโดยไม่ได้ตั้งใจ                        

                          

                            “พวกเขากำลังกระจายกำลังไปช่วยเหลือทุกพื้นที่อยู่นะครับ” เซเคิ่นตอบน้ำเสียงนิ่ง

     

    “งั้นพวกเราก็จัดการแถวนี้ก่อน แล้วค่อยรอให้ทหารตามมาสบทบทีหลัง”ชิโร่รีบเสนอความเห็น

     

    “ขืนทำแบบนั้นแล้วพี่โทร่าล่ะครับ” 

     

                                                                “...” 

     

    ชิโร่พยายามใช้ความคิดแต่ก็ไร้ผล

     

    “พวกเราช่วยทั้งหมดไม่ไหวหรอกนะครับ เข้าใจหน่อยสิ”

     

    “โธ่เว้ยยยย”

     

    ชิโร่ตัดสายทิ้ง เขาต้องยอมรับกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ และมันก็จริงอย่างที่เร็นบอก

     

    ใช่...เขาช่วยคนทั้งหมดไม่ได้ และคนที่เขาต้องปกป้องให้ได้ตอนนี้คือ ‘โทร่า’ เพื่อนคนสำคัญที่เหลือคนสุดท้ายของเขา เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกลับแทรกเข้ามาในโสตประสาทโดยอัตโนมัติ

     

    ‘สัญญานะว่านายจะกลับมา’

     

    ‘ฉันจะรอนายนะ..’

     

     

    ชิโร่จำเป็นต้องสลัดเสียงที่มันก้องอยู่ในหัวออกไป เพราะสิ่งที่เขาควรจะต้องทำในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว คือต้องรีบไปถึงให้เร็วที่สุดก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป



     

    “ขอให้ทันทีเถอะ”

     

                เจ้าตัวภาวนาก่อนโน้มตัวลงแนบกับดูคาติสีดำขลับเพื่อเร่งความเร็วแข่งกับสายลม..

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×