คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Quiet Moon | Chapter 03 - Of Duty and Command
03
แสงในห้องทรงกลมดูจะสว่างกว่าเมื่อครู่ เพราะรัตติกาลอันเป็นสีเข้มดุจน้ำหมึกได้พร่างพรายอยู่อีกด้านของกระจกใสที่กรุเป็นแนวโค้งตามรูปห้อง เปิดทัศนียภาพโปร่งโล่งให้เห็นตัวหมู่บ้านที่แผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้างสุดสายตาอย่างชัดเจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แสงไฟดวงเล็กดวงน้อยจากโคมไฟที่เรียงรายตามถนนหนทางและอาคารบ้านเรือนล้วนแผ่ขยายออกสู่ความมืดตามแนวหมู่บ้านโคโนะฮะงาคุเระเป็นขอบข่ายวิบวับ ส่องประกายท่ามกลางความมืด แต่งเติมชีวิตชีวาให้สีดำของวิกาล ดาวดวงระยิบกระจายเกลื่อนท้องฟ้าเข้มครึ้มและคอยส่องสว่างแข่งกับสีสันของโคมไฟรายทางซึ่งเรียงตัวไปตามแนวถนนแต่ละเส้น และความมืดที่คลี่คลุมราวกับกำมะหยี่ผืนใหญ่นั้นก็นำพาความเงียบสงัดมาสู่ห้องทรงกลมอันทรงเกียรติแห่งนี้ด้วย
โฮคาเงะและหัวหน้าโจนินของหมู่บ้านที่เร้นลับอยู่ใต้เงาไม้ต่างยืนนิ่ง รอคอยเพียงว่าอีกฝ่ายจะขยับและเริ่มเอ่ยวาจาก่อนเมื่อไหร่
แต่ดูเหมือนจะไม่มีฝ่ายใดประสงค์ทำเช่นนั้น
ในความเงียบงันอันทรงอำนาจกดดันด้วยมวลแห่งความจริงที่เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาทั้งคู่ก็จำต้องเผชิญหน้าและแบกรับความจริงดังกล่าวซึ่งนำพาผลกระทบสาหัสมาด้วยเอาไว้
บุรุษสองคนยืนคุมเชิงกันอย่างเรียบเฉยและเงียบงัน ทุกอย่างหยุดนิ่งราวกับกาลเวลาไม่อาจแตะต้องห้องแห่งนี้ได้ ดวงไฟจากโคมตั้งโต๊ะสะท้อนบนนัยน์ตาว่างเปล่าของชิกามารุ ดูวาวโรจน์ราวกับชายหนุ่มกำลังเก็บซ่อนความคุกรุ่นของอารมณ์ทั้งหมดไว้โดยการจับจ้องแต่เพียงชวาลาสว่างด้วยใบหน้าเย็นชา มันเป็นประกายวาววับราวกับคมมีดที่อีกฝ่ายไม่อาจเพิกเฉย
พวกเขายืนเร้นในความทึบแสงอันเปลี่ยวร้าง เศษส่วนของเงากับสาดแสงที่ตกกระทบแบ่งสัดส่วนความสว่างและความมืดหม่นอย่างชัดเจน มองคล้ายประหนึ่งว่าต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของทั้งสองด้านนั้น
ก่อนที่ชั่วลมหายใจหนึ่ง ความอดทนของนารุโตะจะสิ้นสุดลง เขาเป็นฝ่ายยอมจำนนต่อสถานการณ์อึดอัดอันค้างเติ่งนี้
โฮคาเงะหนุ่มเลือกจะกล่าวทำลายความเครียดเขม็งที่ลอยล่องทั่วบริเวณจนแทบทำให้ขาดอากาศหายใจออกมาอย่างเริงร่า เหมือนเมื่อครู่เขาไม่เคยระบายสีหน้าด้วยความคร่ำเคร่งอันหมองมัวมาก่อนเลยแม้เพียงเศษเสี้ยว ทว่าท่าทีซึ่งพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือราวกับไม่ได้อนาทรร้อนใจและไม่ได้ถือเรื่องสำคัญนี้เป็นจริงเป็นจังยิ่งกระตุ้นโทสะในใจของคู่สนทนา
ชิกามารุพยายามข่มกลั้นความเดือดดาลอันพุ่งพล่านไว้ยามวางสายตาลงบนใบหน้าที่ดูไม่ทุกข์ร้อนของอีกฝ่าย
เขาเกลียดความเสแสร้ง การพยายามกลบเกลื่อน ลบเลือนสิ่งที่ไม่อาจแสร้งทำเป็นบิดเบือนหรือเปลี่ยนเป็นอื่นได้อีกแล้วอย่างไร้ความรับผิดชอบและไม่แม้แต่จะแสดงความละอายใจ อีกฝ่ายคล้ายไม่ให้ความสำคัญกับมันอย่างที่สมควรจะต้องเคารพในฐานะเป็นผู้มีส่วนต้องรับผิดชอบต่อเรื่องน่ารังเกียจอย่างร้ายกาจ ซึ่งถูกโยนลงมาระหว่างกลางเพื่อสะบั้นสัมพันธ์ดีงามฉันท์มิตรอย่างที่นารุโตะกำลังปฏิบัติอยู่
มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย นอกเสียจากเพิ่มพูนความโกรธที่รอปะทุให้ถึงจุดเดือด
“เราไปหาที่คุยเหมาะๆ แล้วก็อะไรดีๆ ดื่มกันหน่อยดีไหม เหมือนที่เคยทำอย่างทุกที ก่อนหน้าที่เราสองคนจะต้องคอยรับมือกับบรรดาหน้าที่รับผิดชอบที่ตามมากับตำแหน่งพวกนี้ ฉันออกจะหวนรำลึกถึงคืนวันเก่าๆ บ่อยๆ นายคิดว่าไง”
ชายผู้เป็นพลังสถิตร่างเสนอ รอยยิ้มที่แสร้งทำหม่นมัวลงไปอีกเล็กน้อย เพราะในใจเก็บงำบางสิ่งบางอย่างเพื่อรอเวลาเหมาะสมที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา เขากำลังรั้งรอและยื้อไปเรื่อยๆ อย่างเปล่าประโยชน์ ไม่ต่างอะไรกับการทำได้เพียงถ่วงเวลายอมรับความจริงออกไปเท่านั้น แต่สุดท้ายมันก็จะไล่ตามมาเหมือนเงา ขวัดแกว่งอยู่ตรงหน้าโดยที่ไม่อาจทำอะไรได้อีก
โฮคาเงะหนุ่มไม่แม้แต่จะสบตาคู่สนทนา เขาพยายามหลบเลี่ยงการถูกไล่ต้อนด้วยดวงตาคมกริบของอีกฝ่าย ถึงได้ผินกาย เอนไหล่ไปในทิศทางซึ่งตรงข้ามกับคนตรงหน้า มันยิ่งชี้ชัดให้เห็นถึงการแสร้งทำที่ไม่ช่วยอะไรนอกจากการเพิ่มบรรยากาศอึดอัด
ขณะเดียวกัน ฝ่ายชิกามารุเองก็ยังไม่สามารถทนมองใบหน้าของเงาไฟ – ผู้ซึ่งมีสถานะเป็นเพื่อนสนิทของเขาด้วยเช่นกัน – โดยที่ไม่เกิดความมุ่งหมายแรงกล้าในการจะตะบันหน้าอีกฝ่ายให้สมกับโทสะที่ก่อตัวพุ่งพล่าน ชายหนุ่มจึงไม่ละสายตาจากโคมไฟบนโต๊ะทำงานอันทรงเกียรติของนะนะไดเมะ โฮคาเงะรุ่นที่เจ็ด เขาจ้องมันนานเสียจนดวงไฟสีส้มประทับทาบอยู่บนดวงตาสีเปลือกไม้แม้กระทั่งเวลากะพริบตา
แล้วถึงจะยังไม่ตอบคำถามของนารุโตะในทันที ทว่าชายหนุ่มจากตระกูลนาราก็เพียงก้มศีรษะเล็กน้อย ทำนองเดียวกับที่มักปฏิบัติยามคนตรงหน้าเป็นโฮคาเงะ หาใช่เพื่อนร่วมรุ่น เสมอแทนคำตอบ
ในตอนนี้เขาพึงใจจะถือว่านารุโตะเป็นโฮคาเงะผู้บังคับบัญชา และเขาจะเป็นลูกน้องที่กระทำตามคำสั่ง
เขาทำเช่นนั้นทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการที่ผู้มีตำแหน่งสูงกว่าเจาะจงตัวเขาไว้หลังการประชุม ต่อให้เขากลายเป็นคนโง่เง่าไปชั่วขณะ หรือต่อให้เกิดขึ้นกับคนโง่เขลาที่สุด อย่างไรก็ต้องตระหนักได้ว่าสถานการณ์นี้เป็นเพียงฉากหน้าฉาบฉวยอันน่าชิงชังของเรื่องที่มีผลกระทบมหาศาลบางประการ ไม่อาจเทียบได้เลยกับการแค่ไปนั่งดื่มตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้ทำกันมานานแล้วอย่างแน่นอน
อีกฝ่ายกำลังพยายามปิดบังเรื่องที่กลัวการพูดมันออกมาเพื่อประวิงเวลา และชิกามารุก็พร้อมเดินหมากตามการชักนำที่แสนจะอ่านทางได้ง่ายดายจนน่าหงุดหงิดนี้แต่โดยดี เพื่อไม่ให้คู่สนทนาหาทางบิดพลิ้วหรือมีโอกาสเฉไฉได้อีกในเวลาใดต่อจากนี้
ทว่าถึงมันสมองอันชาญฉลาดจะทำให้เขาอ่านทางออก หรือล่วงรู้ถึงเรื่องทั้งหมดที่อีกฝ่ายประสงค์จะเอ่ยอย่างถ่องแท้ เขาก็ไม่ได้ต้องการจะรู้เลยสักนิดเช่นกัน แต่เขาก็แค่รู้ และการที่ตระหนักด้วยตนเองก็ยิ่งกรีดแทงหัวใจมากยิ่งกว่า เพราะความจริงย่อมเท่ากับว่า แม้แต่ใจเขาก็รู้ดี จะทำทีปฏิเสธ หลอกตัวเอง หรือร้ายที่สุด จะกล่าวโทษใครได้อย่างไรอีกต่อไป
เพราะตนรู้อยู่แก่ใจมาตลอด รู้มาตั้งแต่ต้น
ถึงกระนั้น ชิกามารุก็ยังต้องการให้นารุโตะเป็นฝ่ายพูดออกมา เอ่ยมันออกมากับปากของตัวเองอย่างลูกผู้ชาย และให้ความเคารพในสิ่งที่รู้ว่าเมื่อกล่าวออกมาแล้วจะทำร้ายคนสองคน เพื่อเป็นการให้เกียรติเทมาริในสิ่งที่ต้องทำกับเธอ และอีกส่วนหนึ่งเขาก็อยากจะให้นารุโตะยอมรับกลายๆ ว่าเป็นฝ่ายรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ด้วยการออกคำสั่งมาจากปาก เพื่อที่เขาจะได้รู้สึกผิดน้อยลง หลอกตัวเองได้มากขึ้น
เพราะการที่นารุโตะพูดออกมาเองนั้น เท่ากับเขาไม่ได้เป็นตัวการที่มีส่วนในเรื่องนี้เพียงคนเดียว
เขาจะได้มีใครสักคนให้กล่าวโทษ
ใครสักคนที่จะตกเป็นจำเลยแทนที่เขา
หากท่าทีของชิกามารุจะผ่อนคลายลงกว่านี้สักเล็กน้อย นารุโตะคงจะใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่เพราะอีกฝ่ายแสดงท่าทีปฏิบัติตอบอย่างเป็นการเป็นงาน โฮคาเงะหนุ่มจึงเอ่ยปากขึ้นด้วยอากัปกิริยาไม่ต่างอะไรจากคำสั่งการของผู้บังคับบัญชา ขณะตั้งท่าจะเดินออกไปจากห้องเพื่อสังสรรค์กันดังว่า เขาต้องการจะพลิกสถานภาพคู่สนทนากลับมาเป็นชายหนุ่มจอมเบื่อหน่ายคนเดิมคนที่เรื่อยเฉื่อยตามสบาย ไม่ใช่ผู้แบกรับภาระหลากหลายซึ่งมีผลต่อความเป็นไปของหมู่บ้าน ไม่ใช่ชิกามารุผู้คร่ำเคร่ง และหาใช่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่พร้อมจะเชื่อมั่นในตัวเขาเมื่อถ่ายทอดคำพูดใดออกไป
“ตอนนี้นายเป็นนารา ชิกามารุคนที่เป็นเพื่อนฉันไม่ใช่นารา ชิกามารุคนที่เป็นหัวหน้าโจนินของหมู่บ้าน ที่ปรึกษาของฉัน หรือหัวหน้าหน่วยประสานงานอะไรพวกนั้น”
ฟังดังนั้น ใบหน้าของนารา ชิกามารุก็กลับมาเป็นเช่นปกติทีละน้อย – ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว – กล้ามเนื้อที่เขม็งตึงค่อยๆ คลายกลับมาเป็นความเยียบเย็นที่ไม่ได้ดีขึ้นกว่าความเครียดขึ้งและริ้วรอยแข็งกร้าวก่อนหน้านี้เท่าใดนัก
แต่อย่างน้อย นี่ก็เป็นมากที่สุดเท่าที่ชิกามารุจะสามารถบังคับตนเองได้ในขณะนี้
ชายหนุ่มตีสีหน้าราบเรียบ เก็บงำความรู้สึกขุ่นมัว เพราะไม่อยากให้เกิดความเคลือบแคลงหรือสิ่งอึดอัดใจระหว่างกันมากไปกว่าที่มันกำลังก่อตัวขุ่นข้องราวกับหมอกควันหนาทึบอยู่แล้ว และแม้ว่านารุโตะจะเพียรเพ่งในการวางหมากสำคัญแต่ละตัวเพื่อตีล้อมให้เขาเดินเข้าสู่ความมุ่งหมายตามต้องการอันเป็นที่มาของสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้เพียงไร เขาก็ต้องทำตัวไขสือประหนึ่งจับไม่ได้ไล่อีกฝ่ายไม่ทันเพื่อบีบให้อีกฝ่ายเลือกพูดออกมาเองในท้ายที่สุด
อันที่จริง ชิกามารุยอมรับว่ารู้สึกถูกสบประมาทเล็กน้อยที่ฝ่ายตรงข้ามเหมือนจะปรามาสกันด้วยความคิดที่ว่าจะสามารถล่อหลอก ไล่ต้อนนักวางกลยุทธมือหนึ่งอย่างเขาได้ แต่กระนั้น เขาก็ยังแสร้งตามน้ำไปกับเพื่อนหนุ่มอย่างไหลลื่น ราวกับระหว่างเรากลับกลายเป็นเช่นปกติอีกครั้ง
“นายก็รู้ว่าฉันไม่ดื่ม”
ถ้อยคำตอบกลับจากปากเพื่อนหนุ่มจอมเบื่อหน่ายไม่ได้โน้มน้าวให้นารุโตะเชื่อเช่นนั้น
นะนะไดเมะพ่นหัวเราะพรืดใหญ่กับคำพูดของผู้นำตระกูลหนุ่มของบ้านใหญ่ตระกูลนารา คุณชายคนสำคัญที่แท้จริงก็นิยมความสำราญเฉกเช่นคนตระกูลสูงที่ถูกพะเน้าพะนอเอาใจ เติบโตมาอย่างที่ถูกรายล้อมด้วยของรสนิยมสูง ถูกเลี้ยงดูภายใต้วิถีทางของผู้ดีมีตระกูลตามประสาคนตระกูลเก่าแก่ที่ได้รับความเคารพ ทั้งยังเคร่งขรึมด้วยพิธีกรรม หัวดั้งเดิม และไม่คิดว่าสิทธิพิเศษหรือผลพลอยอันบันเทิงเริงรมย์ของการเป็นเจ้าบ้านตระกูลใหญ่ผู้เนื้อหอมเป็นเรื่องที่ผิดแผกมาตั้งแต่สมัยยังเป็นทายาทผู้สืบทอด แน่นอนว่านับแต่กำเนิด ใครต่อใครในตระกูลรวมถึงคนอื่นๆ ต่างก็เคารพนบนอบเขาอยู่เสมอ
ชิกามารุมองว่าสิ่งเหล่านั้นช่างธรรมดา เพราะเคยชินกับเรื่องพวกนี้จนกลายเป็นปกติสำหรับตนไป และมันเป็นวิธีปฏิบัติของเหล่าผู้คนในตระกูลเก่าแก่ สภาพแวดล้อมที่ชิกามารุอยู่มาจึงได้หล่อหลอมให้เขามองโลกที่รุ่มรวยในสายตาคนทั่วไปเป็นเรื่องสามัญสำหรับเขา
เหตุนี้เอง นะนะไดเมะที่รู้จักเพื่อนคนนี้ดี แถมยังไม่ได้เกิดมามีพร้อมทุกอย่างเหมือนชายหนุ่มจากตระกูลใหญ่ตรงหน้าจึงบอกได้ว่าอีกฝ่ายคือหนุ่มเจ้าสำราญตัวยงที่ไม่ได้แสดงออกประเจิดประเจ้อ หรือติดเป็นนิสัย แต่คุณลักษณะดังกล่าวกลมกลืนไปตามขนบของกลุ่มสังคมที่รายล้อมรอบตัวเขา รวมถึงในสายตาของคนทั่วไปที่จัดชายหนุ่มเป็นคุณชายในวงสังคมนั้น
นารุโตะทำหน้าทะเล้นล้อเลียนเพื่อนหนุ่มที่ไม่ได้รู้สึกตัวแม้แต่น้อยว่าสิ่งที่ตัวเองทำตามความเคยชินปกตินั้น ไม่ต่างอะไรกับคุณชายจากตระกูลเก่าแก่คนอื่นๆ การพูดอย่างเมื่อครู่เพื่อบ่ายเบี่ยงเขา จึงเป็นการปฏิเสธอย่างไร้น้ำหนัก และไม่สมกับเป็นนารา ชิกามารุเอาเสียเลย
“ถ้านายไม่ดื่ม ดวงอาทิตย์คงขึ้นทางตะวันตก ให้ตายเถอะ ภารกิจที่อาเมะทำให้นายเป็นคนมืดมัวหม่นหมอง ห่างไกลสุรานารี”
อาเมะงาคุเระเป็นหมู่บ้านใต้เงาฝน และไม่มีสิ่งบันเทิงเริงรมย์นัก ชิกามารุยอมรับ
ภารกิจหลายเดือนที่นั่นทำให้เขานึกถึงการแสวงหาความสำราญทั่วไปที่ตนเคยชินมาตลอดตอนอยู่โคโนะฮะงาคุเระ นอกเหนือจากคู่หมั้นสาวที่จิตใจมักจะประหวัดพัดพาไปหาแล้ว เขาไม่ปฏิเสธว่าตนปรารถนาความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนและการปรนนิบัติเอาใจจากบรรดาสตรีในสถานเริงรมย์ที่มักไปใช้บริการยามประสงค์จะผ่อนคลายความเครียดจากภาระหน้าที่ทั้งหลาย ใฝ่หาความเพลิดเพลิน จรรโลงใจด้วยสิ่งอภิรมย์ทั้งปวงที่จะถูกจัดหามาปรนเปรอเขา
ชิกามารุมีความเชื่อว่า จะมีสิ่งใดเสียหายที่ตรงไหนกัน ในเมื่อสุดท้ายแล้วคนที่เขารักและเชิดชูอย่างแท้จริงคือเทมาริ หญิงสาวผู้ได้หัวใจทั้งหมดของเขาไปครอง ซ้ำยังเป็นคนเดียวของตลอดทั้งชีวิตนี้ที่เขาจะจริงจังด้วย
“ถ้านายยังจำกฎข้อห้ามสามข้อของนินจาได้ ก็รู้ไว้ซะว่านายแหกกฎมันทุกข้อแล้ว” ถ้อยคำเนือยนายจากปากที่ปรึกษาหนุ่มเหมือนจะตำหนิ แต่แท้จริงเป็นการหยอกเย้าที่นารุโตะเองก็เข้าใจดี
ดวงตาสีฟ้าใสพินิจใบหน้าเหม็นเบื่อของชิกามารุก็แถลงแก่ใจทันทีว่า เมื่อเราสองคนเริ่มกลับมาต่อปากต่อคำกันตามปกติ อีกฝ่ายก็กลับมาเป็นเพื่อนสนิทผู้ไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดแล้ว แถมบทสทนานี้ก็ลดความตึงเครียดอันน่าอึดอัดและความเป็นทางการลงหลายส่วนจนเกือบเรียกได้ว่าสบายอารมณ์เหมือนเช่นทุกครั้งยามเขากับชิกามารุนึกอยากจะปลดเปลื้องตัวเองออกจากตำแหน่งหน้าที่ในฐานะหัวหน้ากับผู้ใต้บังคับบัญชาลงชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อแสวงหาความสนุกสนาน ผ่อนคลายกันตามประสาเพื่อน
จิตใจของผู้เป็นพลังสถิตร่างพลันเบิกบาน ลิงโลดขึ้นทันควัน จนเผลอหลงคิดไปว่าเรื่องต่อจากนี้จะราบรื่น เป็นไปโดยง่าย ทั้งยังเห็นควรว่าใกล้ได้เวลากล่าวเรื่องสำคัญที่บีบคั้นจิตใจเขาอยู่นี้กับชิกามารุผู้เป็นเพื่อนเขาคนนั้น หาใช่ชิกามารุผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาและต้องปฏิบัติตามสิ่งที่โฮคาเงะประสงค์ให้เป็นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงเสียที
แม้ว่าโดยปกติ ชิกามารุไม่เคยเชื่อฟังอะไรเขาขนาดนั้นก็ตาม ไม่ได้กระทำตามที่เขาบอกไปเสียทุกเรื่องโดยไม่ผ่านการกลั่นกรองหรือเหตุผลอันดี
ที่จริงแล้ว นารา ชิกามารุคือคนที่คอยแนะนำ ชี้แนะแนวทาง รวมถึงให้คำปรึกษาอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของเขาในหลายๆ เรื่องด้วยซ้ำ – ทว่ากับเรื่องนี้ นารุโตะต้องการให้เพื่อนของตนเลือกการเดินหมากตาต่อไปและรับผลจากการตัดสินใจนั้นด้วยตัวเอง ในแบบที่ยินยอมอย่างไม่มีข้อกังขาด้วยเจตนาของตน
เขาจะไม่กะเกณฑ์ บีบบังคับ หรือชี้นำ มันจึงดูไร้เมตตาและโหดร้ายต่อชิกามารุอยู่บ้าง กับการต้องเลือกและรับเอาความรับผิดชอบนี้ไปเพียงผู้เดียวโดยไม่อาจบอกว่าผู้ใดมีส่วนในเรื่องที่ทำได้ เพราะเขาเลือกมันเองตั้งแต่ต้น
ดังนั้น การได้เห็นเจ้าบ้านหนุ่มของตระกูลนาราผ่อนคลายอารมณ์เครียดขึ้งลง โฮคาเงะหนุ่มก็พลันใจชื้นที่อีกฝ่ายดูจะไม่ถือสาหรือเอาความใดสลักสำคัญต่อสถานการณ์ที่เขาชักพาให้อีกฝ่ายมาอยู่ตรงนี้มากเท่าใดนัก
แต่หากนารุโตะจะทันรู้ตัวสักเพียงนิดว่าทั้งหมดนี่คือความสงบก่อนที่พายุจะมา เป็นดังผิวน้ำราบเรียบที่ซ่อนเร้นคลื่นตีรวนอันคลุ้มคลั่งไว้ใต้หน้าฉากสงบนิ่งของมัน นัยน์ตาสีน้ำตาลของเจ้าบ้านตระกูลนาราที่กำลังเต้นเร่าราวกับพายุโหมนั้นคือตัวแทนของคลื่นใต้น้ำดังกล่าว ภายใต้ความเรียบเฉยและรอยยิ้มเชือดเฉือนอันเยียบเย็นที่หลอกนารุโตะผู้ตีความบรรยากาศนี้เพียงฉาบฉวยได้สนิทคือกระแสลมคลั่งนั่นเอง
กิริยาท่าทีที่นารุโตะแสดงออกมาจนถึงตอนนี้เป็นการเสแสร้งอย่างที่แม้แต่เด็กไร้เดียงสาหรือคนตาบอดก็สัมผัสได้
ชิกามารุรู้ดีเมื่อปราดมองนารุโตะซึ่งจับจ้องเขาอยู่ด้วยรอยยิ้มแข็งๆ เหมือนหน้ากากเคียวเง็นในละครโน ชายหนุ่มผู้ครอบครองจิ้งจอกเก้าหางกำลังพยายามปกปิดอะไรบางอย่างที่มากยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็สะกดอารมณ์คุกรุ่นของตัวเองอย่างสุดความสามารถเช่นกัน เพราะการกระทำอันไม่จริงใจเช่นที่คนตรงหน้าปฏิบัติอยู่คือสิ่งที่เขาต้องการหลีกไกล แถมยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชิงชังขึ้นมา
ถ้าเพียงอีกฝ่ายเป็นลูกผู้ชายพอจะพูดกับเขาตรงๆ แทนที่จะยื้อเวลาและพยายามใช้ความเป็นเพื่อนมาทำให้ระดับความเลวร้ายของเรื่องราวซึ่งต้องปรากฏในบทสนทนาต่อจากนี้ลดน้อยลง...
“งั้นถ้าอาเมะงาคุเระทำให้นายคร่ำครึเหมือนที่ปรึกษาสภาสูง ก็เปลี่ยนไปหาอะไรทำอย่าง…” เสียงเจื้อยแจ้วที่สื่อถึงความชื่นบานในใจหยุดลงเมื่อเจ้าตัวทำทีเป็นครุ่นคิด และมันดูเป็นการแกล้งทำที่ไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย จนสุดท้ายชิกามารุก็หมดความอดทนที่สั่งสมมา สายสัมพันธ์อันเนิ่นนานที่คอยหน่วงเหนี่ยวความเดือดดาลเอาไว้แทบจะขาดสะบั้นลง
…เลิกทำหน้าระรื่นแบบนั้นกับคนที่รู้จักนายดีแล้วหันมาบอกสิ่งที่นายต้องการได้แล้ว
วินาทีนั้นเอง คำพูดโอภาปราศรัยเรื่อยเปื่อยอย่างสบายอารมณ์ของนารุโตะที่พยายามจะกอบกู้บรรยากาศให้กระเตื้องขึ้นมาก็ถูกทำให้สะดุดหยุดลงราวกับมีใบมีดคมกริบของเครื่องประหารปล่อยลงมาตัดผ่านอากาศให้ทุกคนนิ่งงัน น้ำหนักของใบมีดทำให้บรรยากาศหนักอึ้งด้วยความตึงเครียดกดดันขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของชิกามารุไม่ดังไปกว่าตะโกน แต่ความเฉียบขาดและกร้าวแข็งไม่เป็นรองลงไปเลย
เขาประกาศกร้าวลงด้วยความเกรี้ยวกราด
“นารุโตะ! นายเลิกทำเหมือนกำลังเล่นละครเสแสร้งบ้าๆ นี่ได้แล้ว”
ไม่รู้ทำไมความอดทนของเขาถึงได้ต่ำขนาดนี้ อันที่จริงเขามีมันอยู่มากมายทีเดียว ความอดทนข่มกลั้นอะไรพวกนั้นน่ะ เขาในฐานะคนขี้เบื่อช่างเหนื่อยหน่ายย่อมมีความสุขุมเยือกเย็น ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอย่างมีสติอยู่เสมอ เพราะมันคือองค์ประกอบหนึ่งในอัตลักษณ์นิสัยดังกล่าวเป็นทุนเดิม แต่ทั้งหมดนั่นดูจะถูกลดทอนลงไปจนหมดเมื่อมันมีส่วนเกี่ยวพันกับคุโนะอิจิจากซึนะงาคุเระ
เทมาริทำให้เขาอยากจับคนที่ได้ชื่อว่าโฮคาเงะอัดข้างฝา ง้างปากให้พูดสิ่งที่ต้องพูด
นั่นไม่ใช่นิสัยเขา แถมยังขัดกับวิถีปฏิบัติหรือแนวทางปกติที่เขายึดถือ
ทว่าเพียงชั่วพริบตาหนึ่ง ขณะยืนมองรอยยิ้มของคู่สนทนา เขาก็นึกอยากทำแบบนั้นขึ้นมา ความสุขุมเยือกเย็นดูจะถูกแผดเผาด้วยความร้อนใจอย่างที่ไม่เกิดบ่อยนัก และท้ายที่สุด คงเพราะเวลาที่เขาเอาแต่อดกลั้นมีมากเกินไป มันจึงแสดงผลลัพธ์ในตัวมันเองภายใต้รูปแบบของชนวนอันเป็นตัวช่วยชั้นดีที่ผลาญทุกสิ่งจนไม่เหลืออะไรไว้คอยเหนี่ยวรั้งตัวเขาอีกเลย
เหตุนี้ ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาอธิบายไม่ได้ และคงถูกผลักดันมาจากภายในโดยอาศัยเพียงแค่พริบตาของการหลงลืมว่าตนพยายามรักษาขีดจำกัดความอดทนไว้อย่างยิ่งยวดเพียงใด อารมณ์ก็เหมือนถูกสับไกให้พวยพุ่งขึ้นราวกับเชือกที่รั้งไว้จนขาดสะบั้นในวินาทีสุดท้าย
เจ้าบ้านหนุ่มตระกูลนาราไม่อาจธำรงความพยายามในการข่มกลั้นประกายความเดือดดาลที่ลุกโชนอยู่บนดวงตาได้อีกต่อไป มันแผดเผาความอดทนจนเหือดหาย เขาขึ้นเสียงกึกก้องจนเรียกได้ว่าเป็นการตวาดที่ทรงพลังเหิมเกริม แสดงชัดให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าจะไม่ยอมผ่อนปรนหรือลดราวาศอกให้แม้เพียงเศษเสี้ยว
“เรื่องเทมาริใช่ไหมที่นายจะพูดกับฉันน่ะ เลิกเฉไฉซะที!”
ฉับพลันนั้น รอยยิ้มของนารุโตะก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าและกลับมาเคร่งเครียดเหมือนครั้งเริ่มประชุมทุกกระเบียด ริ้วรอยความเครียดขึ้งจริงจังแฝงเร้นอยู่ในทุกสัดส่วน ลุกลามไปถึงดวงตาที่โชนแสงคมปลาบของความกดดันอันทรงอำนาจแห่งผู้นำหมู่บ้าน
ห้องทรงกลมอันทรงเกียรติของโฮคาเงะกลับเข้าสู่ความเงียบซึ่งบีบให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเอ่ยปากทำลายความอึดอัดอีกครั้ง มันให้สัมผัสราวกับว่าความมืดจากราตรีซึ่งโอบล้อมอยู่โดยรอบได้คืบคลานเข้ามาแช่แข็งตัวตนของคนทั้งคู่ให้เหลือเพียงความเยียบเย็น แผ่เข้ามาเยือกแข็งความรู้สึกให้ด้านชาก่อนจะได้พูดหรือได้ฟังอะไร
ช่วงเวลาแห่งการเสแสร้งและยื้อยุดเวลาได้จบลงแล้ว ในทันทีทันใดนั้นเอง โดยไม่อาจสมานหรือเรียกคืนสิ่งที่เสียไประหว่างการถ่วงสถานการณ์นี้กลับมาได้ เศษชิ้นส่วนของความสัมพันธ์อันดีที่มีชื่อว่ามิตรภาพปรากฏร่องรอยบุบสลาย
บุรุษผู้ถือครองพลังสถิตร่างยิ้มหยัน ชายหนุ่มก้าวเดิน ฝากเสียงฝีเท้าเป็นจังหวะสม่ำเสมอไปกับบรรยากาศอึมครึมในห้อง ก่อนจะหยุดยืนเหนือหน้าต่างกระจกบานใหญ่
ด้านนอกนั้นคือยามค่ำคืนสีดำที่มีชีวิตชีวาจากแสงไฟแห่งชีวิตของเหล่าผู้คนที่ยังไม่หลับใหล
เงาแสงไหลผ่านคลองจักษุขณะดวงตาสีฟ้าใสจับจ้องเงาสะท้อนของตัวเองและคู่สนทนาบนหน้าตัดใสของกระจก
มันปรากฏร่างของคนสองคนเป็นเงาจางๆ ทาบทับกับภาพของตัวหมู่บ้านซึ่งถูกปกคลุมด้วยความมืด มีเพียงดวงไฟสว่างเรืองเป็นจุดเล็กๆ แผ่ขยายเป็นวงกว้างให้เห็นเป็นเค้าโครง ขอบข่ายของหมู่บ้าน แม้โคมไฟตามทางที่ประทับด้วยตราประจำหมู่บ้านสีแดงสดบางดวงจะเพิ่งส่องสว่างเพราะเหตุขัดข้อง ส่องเป็นแสงวิบๆ กระพริบไหวอยู่ลิบๆ
แต่มันก็จุดขึ้นในที่สุดพร้อมกับการแถลงไขสิ่งที่เก็บอยู่ในใจโฮคาเงะหนุ่ม ผู้ซึ่งสุดท้ายแล้ว ก็ถูกบีบให้ต้องพูดมันออกมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
น่าแปลกที่แม้จะพูดมันออกมากับปากแล้ว ความหนักอึ้งในใจกลับไม่ได้รู้สึกเหมือนถูกปลดเปลื้องตามไปด้วยเลยแม้เพียงนิด รังแต่จะเพิ่มความทุกข์กังวล รวมถึงความหนักหนาสาหัสแก่จิตใจที่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดทั้งหมดมากขึ้นไปเสียอีก
“ฉันรู้ว่านายเข้าใจสถานการณ์และวิเคราะห์เรื่องทั้งหมดที่พวกเราประชุมกันเมื่อกี้ออกมาแล้ว ฉันจะไปหาที่ปรึกษาแบบนายได้ที่ไหนอีกจริงไหม รู้ทันกลไปหมดทุกอย่าง แก้เกมได้หมดทุกปม”
น้ำเสียงอันคร่ำเคร่ง หากแต่ก็เจือความทุกข์ตรมอยู่เนืองๆ เว้นช่วงไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ ความขมขื่นแฝงเร้นอยู่ในกระแสเสียงที่พร้อมจะเปิดเผยเรื่องทั้งหมดออกมาในที่สุด เขายิ้มฝืดเฝื่อนไปด้วยจนในบางมุม ภายใต้เงามืดที่ห้อมล้อมแห่งนี้ มันดูประหนึ่งใบหน้าบิดเบี้ยวของหน้ากากยักษ์อันถมึงทึง และน่าแปลกที่มันมีส่วนหนึ่งดูไม่ต่างอะไรกับใบหน้าของเทพแห่งความตายของคาถาสัมภเวสีคืนชีพ ผู้แสยะยิ้มสยดสยอง คาบมีดพร้อมปลิดวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น
นั่นเป็นครั้งแรกของวันที่นัยน์ตาสีฟ้าใสสบดวงตาคมกริบของชิกามารุตรงๆ ด้วยไม่มีอะไรให้ซุกซ่อนหรือหลบเลี่ยงอีก มันสะท้อนอย่างวาววับในเงามืดที่กลืนกินเส้นขอบของแสงเงาไปครึ่งหนึ่ง การกล้าเผชิญหน้าของนารุโตะในเวลานี้ทำให้จิตใจของเจ้าบ้านตระกูลนาราอ่อนลงด้วยเช่นกัน จุดเดือดคล้ายจะถูกผ่อนผัน บางทีสิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่แรกคือการที่อีกฝ่ายบอกเรื่องนี้แก่เขาอย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังเคารพซึ่งกันและกันแบบนี้ก็เป็นได้
ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาอาจจะยอมรับมันแต่โดยดีในแบบที่ไม่ต้องเดือดดาลและโมโหโทโสถึงเพียงนี้
ชิกามารุจับจ้องคู่สนทนาอย่างเงีบบงัน ในสายตาเป็นได้ทั้งการตำหนิและการดูแคลน พลางฟังนารุโตะกล่าวด้วยท่าทางซึ่งเขาบอกได้ยากว่ากำลังสลดหรือพยายามวางท่าเคร่งขรึมตามหน้าที่กันแน่
“ถ้าเป็นนายล่ะก็… คงเข้าใจดีสินะเรื่องที่ฉันจะบอกน่ะ”
“ฉันไม่ใช่ที่ปรึกษาอัจฉริยะปานนั้น แต่แค่นายอ้าปาก เพื่อนของนายก็เข้าใจได้แล้ว” ในประโยคดังกล่าวที่แฝงเร้นด้วยความเชือดเฉือนและการเย้ยหยันทางอารมณ์ เขาจงใจเน้นคำว่าเพื่อนเป็นพิเศษเพื่อกระทบกระเทียบอีกฝ่าย
ถัดจากนั้น เพียงพริบตา ชิกามารุก็เปลี่ยนสถานะนารุโตะกลับมาเป็นโฮคาเงะด้วยการสงวนท่าทีและบรรยากาศที่แสดงออก ทว่าในส่วนลึก แม้เพียงเล็กน้อย อาจจะมีเศษเสี้ยวหนึ่งที่เขายังยินยอมดำรงสถานภาพตัวเองเป็นเพื่อนสนิท เพราะถ้ามิเป็นเช่นนั้น หากไม่มีคำว่าเพื่อนขวางกั้นไว้ราวกับเป็นพันธะกรณีพ่วงด้วยเยื่อใยที่ตัดไม่ขาด ชายหนุ่มก็คงไม่ไว้หน้าโฮคาเงะของหมู่บ้าน และจัดการระบายความโกรธให้สมกับที่เขายับยั้งตัวเองไว้
บางทีตำแหน่งโฮคาเงะก็ช่างอ้างว้าง เขาเข้าใจดี แต่ก็จำเป็นต้องผลักดันให้นารุโตะพูดในสิ่งที่เขาต้องการจะรู้ หากชายหนุ่มจากตระกูลอุซึมากิต้องการให้เขาตัดสินใจเลือกเดินหมากตาต่อไปข้างหน้าอย่างไรด้วยตัวเอง นารุโตะก็ควรให้เกียรติเขามากพอจะยอมรับออกมากับปาก ซื่อตรงต่อเพื่อนเพื่อเห็นแก่มิตรภาพ
เพราะหากพูดกับเขาด้วยสถานะโฮคาเงะและหัวหน้าโจนินของหมู่บ้าน ก็คงเท่ากับการถ่ายทอดคำสั่งให้เขาต้องปฎิบัติตาม
กระนั้น มันก็เป็นช่วงเวลาอิหลักอิเหลื่อสำหรับโฮคาเงะของหมู่บ้านอยู่ดี
นารุโตะกำมือหลวมๆ เขาจำต้องจัดการกับเรื่องทั้งหมดนี่และสิ่งที่อาจเกิดตามมา แม้จะลำบากใจเหลือแสนต่อสิ่งที่ต้องกระทำ มันบีบคั้นเข้ามาทุกทาง และหากต้องเลือกระหว่างมิตรภาพกับความมั่นคงของหมู่บ้าน ด้วยตำแหน่งโฮคาเงะที่แบกรับอยู่ เขาไม่อาจเดินไปในทางอื่นได้นอกจากนำความปลอดภัยของหมู่บ้านที่ตนปกครองขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง
นอกจากนี้ เขาจำเป็นต้องพูดเรื่องทั้งหมดออกมาด้วยตัวเองเพื่อเห็นแก่ชิกามารุด้วยเช่นกัน จริงอยู่ที่แม้จะไม่ได้ซื่อตรงตั้งแต่ต้น ทว่าก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอำพราง แค่อยากใช้มิตรภาพที่มีร่วมกันทำให้เรื่องนี้ดูหนักหนาร้ายแรงน้อยลงไปอีกสักหน่อย ให้ชิกามารุเห็นแก่ความเป็นเพื่อน
เพราะจนแล้วจนรอด ในตอนสุดท้าย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องพูดมันออกมากับปากเพื่อให้เกียรติพวกเขาทั้งคู่ที่จำต้องมาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เขากำลังเคารพความสัมพันธ์ของชิกามารุและคุโนะอิจิจากทะเลทรายคนนั้น แต่อาจจะไม่มากพอให้เขามองมันเหนือไปกว่าความจำเป็นที่ตนต้องทำเรื่องร้ายกาจนี้ได้ และนั่นยิ่งกดย้ำความรู้สึกผิดในใจง
“ฉันรู้ว่านายแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ดีเสมอ นายรักเทมาริซังและจริงจังกับเธอ ใช่ อันนี้ฉันก็รู้ แต่ฉันจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ ชิกามารุ – มันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี แต่ฉันจำเป็น…”
สภาสูงมีมติแล้วบนหน้ารายงานฉบับที่นารุโตะไม่ได้ส่งให้ที่ประชุมรับทราบ แต่เจาะจงว่าหัวหน้าโจนินของหมู่บ้านต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ มันคือหนังสือคำสั่งเบื้องหลังที่ส่งมอบมาถึงตัวเขาในฐานะโฮคาเงะอย่างลับๆ วินาทีแรกที่ได้รับรู้เนื้อหาทั้งหมด เขาคือคนที่โกรธมากที่สุด เดือดแค้นยิ่งกว่าใครกับการต้องบีบให้ชิกามารุ เพื่อนของเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ทั้งยังโมโหตัวเองที่ไม่อาจทำอะไรไปได้มากกว่าที่ต้องเป็นไปอยู่นี่
ความเป็นจริงโหดร้ายเสมอ บุรุษผู้เป็นใหญ่เอ่ยเสียงเฉียบขาด ผิดกับความรู้สึกอัดแน่นอึงอลภายในใจ
นี่มันไม่สมควร ‘เป็น’ ชิกามารุ
“นายต้องจับตาดูเธอ – เทมาริซัง ควบคุมตัวเธอในฐานะตัวประกันอันมีค่าโดยการใช้ประโยชน์จากการที่เธอเป็นคู่หมั้นนาย ใช้ความใกล้ชิดกับสถานะนั้นคอยคุมเธอไว้ สถานการณ์จะพลิกแพลงยังไงก็ขึ้นอยู่กับส่วนนี้ด้วย และก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเทมาริซังและโคโนะฮะงาคุเระ การจัดกรอบให้เธออยู่ในสายตาของนินจาระดับสูงก็เหมาะสมดี นายคู่ควรกับภารกิจนี้ที่สุดแล้ว… ยิ่งกว่าใครในโคโนะฮะเลยจริงไหม”
แผ่นหลังของโฮคาเงะหนุ่มยังคงหันเผชิญคู่สนทนา – ชายหนุ่มจากตระกูลนาราจึงไม่เห็นความรู้สึกผิดวูบไหวอยู่บนดวงตาสีฟ้าใสที่หม่นหมองลง แต่เขาไม่สนใจท่าทีใดจากอีกฝ่ายอยู่แล้ว ถึงแม้เงาสะท้อนบนกระจกจะแสดงให้เห็นถึงสีหน้าและความรู้สึกของผู้ที่ยืนหันหน้าเผชิญกับมันอยู่ให้เขาเห็นผ่านภาพเงาพร่าจางนั่นก็ตาม เขาเห็นความสลดเศร้าที่หลอมรวมเข้ากับความสงัดงันของบรรยากาศแวดล้อม
แล้วเขาจะไม่เห็นเงาใดๆ ได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นนายของพวกมัน
แน่นอนว่าด้วยสติปัญญาของชิกามารุ รวมถึงความเฉียบแหลมที่มองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง เขาตระหนักรู้อย่างแน่แท้อยู่แล้วล่วงหน้าว่าเรื่องทั้งหมดต้องไม่ใช่เพียงแค่นี้ และจะไม่จบลงแค่ตรงนี้เช่นกัน ยังมีอีกหลากหลายถ้อยขยาย ความนัยแอบแฝง รวมถึงนัยสำคัญ ตลอดจนรายละเอียดมากมายที่นารุโตะนึกหวังจะให้เขาได้รับรู้
ทว่าความจริงคือ ที่พูดมาทั้งหมดเพียงเท่านั้นก็เกินพอแล้ว ทั้งยังมากเกินพอที่เขาจะเข้าใจเรื่องทุกอย่างโดยไม่ต้องอาศัยคำอธิบายขยายความใดๆ อีก
มันหมายความว่า เขาในฐานะคู่หมั้นเธอต้องใช้สถานะของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ควบคุมดูแลตัวประกันจากซึนะในฐานะคนรักของเธอที่ยังคงเป็นอยู่ไม่น้อยไปกว่าสถานะใหม่อย่างผู้คุมที่มีเจตนาแอบแฝงอยู่เบื้องลึก ตักตวงผลประโยชน์จากการเป็นคนซึ่งเธอไว้เนื้อเชื่อใจและมีความรู้สึกให้อย่างที่ไม่มีคนรักที่ไหนเขาทำกัน
เขาจะต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของผู้เป็นพี่สาวแห่งคาเสะคาเงะและดำเนินการกับเธอทันทีที่พิสูจน์ได้ว่าการมีอยู่ของเทมาริในโคโนะฮะงาคุเระส่งผลร้ายต่อหมู่บ้านอย่างแท้จริง
ไม่มีคำว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวอีกต่อไป
ตอนนี้มันกลายเป็นหน้าที่ แถมความเชื่อใจก็ดูจะไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะยกขึ้นต่อสู้ต่อสถานการณ์ทั้งหมดที่บ่งชี้ถึงความร้ายแรงอย่างไม่อาจปฏิเสธ และบีบบังคับให้ต้องจำยอมดำเนินตามนี้
เขาต้องเป็นคนทำทั้งหมดนั่น
ความเป็นจริงดังกล่าวกรีดทับลงบนอกของชิกามารุ มันบาดลึกลงไปถึงหัวใจข้างในจนเขารู้สึกเหมือนต้องตะเกียกตะกายดิ้นรน แต่ไม่ว่าความพยายามต่อสู้ใดๆ ก็ดูจะไม่เป็นผล ตอนที่ได้ยินมันออกมาเป็นคำพูด ช่างแตกต่างกับตอนที่ตระหนักรู้ได้ในใจด้วยตัวเองตั้งแต่ก่อนหน้านี้นัก เพราะราวกับว่าเมื่อมันถูกกล่าว ก็ยิ่งมีพลังอำนาจ มองคล้ายมีรูปธรรมความเป็นจริงเกิดขึ้นมาด้วย
ราวกับมวลของความจริงก่อตัวเป็นรูปร่างและลอยอยู่ตรงหน้า ระหว่างเขากับนารุโตะอย่างหนักอึ้ง
ดวงใจยังคงรู้สึกคล้ายขาดวิ่นและถูกฉีกเป็นริ้วยามนึกถึงเรื่องซึ่งกำลังเผชิญและสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป แล้วเมื่อใบหน้าของหญิงสาวผู้มาจากทะเลทรายพาดผ่านเข้ามาในห้วงประหวัดสำนึก มันก็ยิ่งตอกคมมีดแหลม ลงลิ่มในอกเขาลึกเข้าไปอีก
นารา ชิกามารุกำมือข้างหนึ่งแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว ปวดร้าวขึ้นมาถึงกระดูกสะบัก ก่อนจะรู้สึกชาเหมือนกับในหัวที่ตื้อไปหมด เพียงชั่วหัวใจกระตุกวูบเดียวหลังได้ยินคำกล่าวเช่นคำสั่งกลายๆ ของนารุโตะ ทั่วทั้งร่างก็ชาวาบ ทั้งยังทรมานทุรนทุรายราวกับถูกน้ำเดือดพล่านสาดเข้าใส่ มันสมองที่ใครต่อใครพากันกล่าวว่าฉลาดเป็นกรดจะคิดคำนวณ วางแผนจัดการเรื่องทั้งหมดนี้อย่างไร ชายหนุ่มไม่อาจทำใจยอมรับได้เลย
เขารู้สึกแน่นหน้าอก และอากาศที่ผ่านเข้าสู่ปอดก็ดูคล้ายจะกลายเป็นหมอกพิษที่กัดกิน ทำร้ายเขาอยู่ภายใน
สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มยังคงกอบกุมตัวเองเข้ามา อีกทั้งปลอบโยนใจร้อนรุ่มให้สงบลงไปได้คือความคิดที่ว่าเทมาริก็จะยังปลอดภัยภายใต้สายตาของเขา
สถานะเธอจะยังมั่นคงตราบเท่าที่เขายังรับหน้าที่จับตาดูเธออยู่
อย่างน้อยเป็นเขาทำย่อมดีกว่าเป็นคนอื่น
คุโนะอิจิจากทะเลรายจะอยู่ในความคุ้มครองของเขานับแต่นี้ไปแน่นอน ชายหนุ่มเชื่อหมดทั้งหัวใจและมันสมองว่าเขาจะปกป้องเธอไว้ได้ด้วยกำลังความสามารถทั้งหมดที่มี เขาพยายามสะกดจิตตัวเองว่าอย่างน้อยตนก็ได้เป็นคนจัดการเอง ราวกับท่องบทสวดภาวนาซ้ำไปซ้ำมา กรามทั้งสองข้ามขบแน่นขณะเค้นน้ำเสียงตอบออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำและเด็ดขาด
พริบตาหนึ่ง ใบหน้าคมเคร่งก็แปรเปลี่ยนกลับมารักษาความสงบนิ่งเยือกเย็นหลังจากจำต้องยอมรับว่า ต่อแต่นี้ เขาไม่อาจดิ้นรนอะไรให้ดีกว่าที่เป็นได้อีกแล้ว “เข้าใจแล้วนารุโตะ… ฉันเข้าใจสิ่งที่นายอยากจะบอกฉันแล้ว”
“ฉันเหมาะกว่าใครในโคโนะฮะนี่ จริงไหม”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเจ้าบ้านหนุ่มตระกูลนาราขณะกล่าวล้อถ้อยคำของอีกฝ่าย ถึงจะบิดเบี้ยว เต็มไปด้วยความเย้ยหยันชิงชัง
แต่อย่างน้อยมันก็เป็นยิ้มเสแสร้งที่ทำได้ดีกว่านารุโตะมากนัก
℘
To be continued
สวัสดีค่ะ กลับมาลงต่อแล้ว ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ขอโทษที่มาลงต่อแบบสั้นๆ ไม่ค่อยมีอะไรด้วยค่ะ TT ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังติดตามกันเสมอค่ะ ขอบคุณจากใจเลย ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านและคอยสนับสนุนกันเรื่อยมา ผู้เขียนดีใจและซาบซึ้งมากๆ เลยค่ะ อ่านแล้วมาคอมเม้นท์พูดคุยกันได้ สามารถทิ้งความคิดเห็น คำติชม หรืออะไรก็ตามแต่ที่คุณนักอ่านอยากบอกแก่ผู้เขียนไว้ได้ทุกเมื่อเลยค่ะ ผู้เขียนจะดีใจมาก (ถ้าตัวหนังสืออ่านยากไป หรือหน้าบทความทำให้อ่านไม่สะดวก แจ้งผู้เขียนเลยนะคะ)ทุกท่านสามารถติดแฮชแท็ก #จันทร์สงัด เพื่อพูดคุยหรือคอมเม้นท์เกี่ยวกับแฟนฟิคเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ ของผู้เขียน ผ่านทาง Twitter หรือ Facebook ได้ค่ะ อย่าลืมมาเล่นแฮชแท็กนี้กันนะคะ :)
ความคิดเห็น