คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : ☆ PRINCE LUCIFER ☆THE PRINCE OF SICOLD :PART 3/1.1
Part 3 Decision
“ฟราน!...มาได้ไง” ฉันถามออกไปด้วยความตกใจที่อยู่ๆเขาก็โผล่มายื่นข้างหลังฉัน
“จะกลับแล้วหรา” เขาไม่ได้ตอบคำถามฉัน
“อืม... ” ฉันเอ่ยตอบเขาสั้นๆ
“คิดจะบอกฉันสักคำไหม... ” ฉันเงยหน้ามองผู้ชายที่พึ่งพูดประโยคนี้ออกมา...นับวันเขาก็ยิ่งทำให้ใจฉันหวั่นไหวมากขึ้นเท่านั่น...จะมาทำไมฟรานจะมาพูดแบบนี้ทำไม เพื่อให้ได้อะไรขึ้นมาเพื่อให้ฉันเจ็บปวดมากขึ้นหรือไง
“ก็ไม่เห็นว่าจะจำเป็นตรงไหนนิ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ก็แค่คนที่รู้จักกันไม่ใช่หรือไง”
“ใช่ ฉันแค่คนรู้จัก ไม่ใช่คนที่รู้ใจเธอไปแล้วอย่างไอ้แฟรง” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฉันคิดว่าประชดประชันสุดๆ เขาจะมาพูดแบบนี้ทำไม...ฉันเงยหน้ามองผู้ชายที่พึ่งพูดประโยคนี้ออกมา...นับวันเขาก็ยิ่งทำให้ใจฉันหวั่นไหวมากขึ้นเท่านั่น...จะมาทำไมฟรานจะมาพูดแบบนี้ทำไม เพื่อให้ได้อะไรขึ้นมาเพื่อให้ฉันเจ็บปวดมากขึ้นหรือไง
“ไปกันใหญ่แล้วฟราน...เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว...โอเคไหม”
“...”
“เป็นไงมั่ง กับเธอคนนั่น ฉันหวังว่านายกับเธอจะรักกันนานๆน่ะ...นายเองก็กลับไปบ้านเถอะน่ะ มันดึกมากแล้ว ขับรถดีๆหล่ะ บายบาย ^^” ฉันยิ้มก่อนจะหั่นหลังเพื่อจะเดินเข้าห้องแต่ก็ถูกอ้อมแขนแข็งแรงจากเขาสวมกอดจากทางด้านหลัง
“มิน.... ”
“พอแล้วฟราน ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั่น...ปล่อยฉันเถอะ” ฉันบอกเสียงเรียบที่แฝงไปด้วยความเฉยชา แต่ขณะเดี่ยวกันที่หัวใจตัวเองกลับเจ็บจิ๊ดราวกับมีใครเอาเข็มมากมายมาทิ่มแทง...
“ถ้าฉันบอกว่าไม่ให้เธอไปหล่ะ... ” เขาพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับจะกระซิบบอก หัวใจฉันกระตุกทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา....ฉันจะต้องเข้มแข็งจะไม่หั่นไปไม่เด็ดขาด มินมิน....
“ฟราน ได้โปรดเถอะ... ”
“ทำไม
”
“เหตุผลงั้นหราฟราน.... ”ฉันคงบอกนายไม่ได้หรอก กลับไปเถอะน่ะ กลับไปหาเธอคนนั่น ดูแลเธอให้ดีๆ รักเธอให้มากๆเข้าใจไหม ฉันพูดเสียงสั่นเครือก่อนจะสะบัดแขนฟรานแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องก่อนล็อกกลอนไว้ทันที...
“มินๆเปิดก่อน” ฟรานเดินมาก่อนจะพยายามจะเข้ามาในห้องให้ได้ ฉันเข้าไปอยู่ในห้องน้ำ ก่อนที่เสียงนั่นจะเงียบไป...ไม่มีเสียงเคาะใดๆ ไม่มีเสียงเรียกชื่อของฉัน ไม่มีเสียงฝีเท้าจากเขา ไม่มีอีกแล้วแม้แต่เหงาของร่างสูง...
“เขาไปแล้ว มินมิน ไปแล้วจริงๆน่ะ... ” ฉันพูดออกมากับตัวเองเบาๆก่อนจะรู้สึกถึงหยดน้ำใสๆหยดลงมือของตัวเอง เจ็บหนึบๆที่หัวใจตัวเอง...ทุกครั้งที่เราใกล้กันเสียงหัวใจก็เต้นรั่วแล้ว เพียงแค่สัมผัสอันแผ่วเบากลับทำให้ไหวหวั่น แล้วที่มานั่งร้องไห้ ฟูมฟายอยู่นี้มันเพราะอะไรหล่ะ ถ้าฉันไม่ได้รักเขาแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเพียงเพราะฉันคิดไปเองหรา...กับใครอีกคน ที่ใจเต้นถี่ทุกทีที่ได้รับสัมผัสนั่น เพียงแค่การกระทำจากเขาก็ทำเอาเราไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วนี้มันคืออะไร... เรื่องต้องจบแบบนี้มันก็ถูกต้องแล้วนี้ เธอก็กลับไปเมืองไทยทิ้งทุกอย่าง ทิ้งความรู้สึกไว้ที่นี้และแค่คืนนี้ คืนเดี่ยวเท่านั่นที่เธอจะต้องร้องไห้กับเรื่องนี้...
(FRANCE TALK)
ผมเดินอย่างเชื่องช้าไปที่รถของตัวเองที่จอดไว้ที่หน้าบ้าน...ผมกลับเข้าไปนั่งในรถ ไม่ได้เสียบกุญแจ ไม่ได้คิดจะสตาร์ทรถออกไป ไม่ได้คิดว่าจะไปที่ไหนแต่ที่รู้ ตอนนี้ผมอยากจะนั่งในรถแบบนี้อยู่ที่หน้าบ้านหลังนี้ก็เท่านั่น ในระห่างนั่นเองก็คิดถึงเรื่องที่ยังคงวกวนวุ่นวายในใจของตัวเองตอนนี้ ความรักนี้มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริง ความรักนี่มันเป็นอะไรที่เปราะบางมากๆ....
นี่ไงหล่ะ ในที่สุดแล้วผมก็มาเจอกับไอ้ตัวปัญหานี่ซะเอง...ดันไปหลงรักผู้หญิงซื่อบื้อบางคนเข้า มินมินน่ะหล่ะ ไม่รู้จริงๆไม่รู้ว่าไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันเข้ามาตอนนั่นมารู้ตัวอีกทีก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว ทั้งๆที่เราเจอกันไม่ถึงสองอาทิตย์ด้วยซ่ำ แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนมีบ้างอย่างในตัวเธอมาดึงดูดตัวผมเข้าไปพร้อมกับสายสัมพันธ์บางๆที่ได้เริ่มก่อตัวขึ้นตามมาด้วย...
และแฟรงพี่ชายของผมก็ดันมาชอบยัยนี้อีกคน เรื่องทั้งหมดกลับตาลปัลกันไปจนทำให้พวกเรามีเรื่องกันหลายครั้งจนเข้าโรงบาลโดยมีผู้หญิงคนนี้เป็นเดิมพันธ์...และไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าเธอจะรู้สึกยังไง คิดแล้วมันเป็นเรื่องบ้าบอที่สุดผมทำอะไรลงไป ถ้าหากเธอจะอยากไปจากผมจริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าจะยังไง....
สุดท้ายก็คงจะรั้งเธอไว้ไม่ได้ ในตัวผมมันมีอะไรดีๆบ้างหล่ะที่จะทำให้เธอยอมรับ แม้แต่จะพูดคำคำนั่นยังไม่ปริปากพูดออกไปเลย...บ้าที่สุด ทำไมคนอย่างผมต้องมานั่งกลัดกลุ้มใจกับเรื่องบ้านี้ให้มันปวดหัวด้วย ถ้าผมยอมลดทิฐิตัวเองแล้วขอร้องเธอ อย่างน้อยก็น่าจะฟังกันบ้าง แล้วเรื่องที่เข้าใจผิดถึงผู้หญิงคนนั่นที่จริงๆแล้วคือมัฟฟินแฟนไอ้ซีโร่แต่ผมก็ได้พูดอะไรเลย... แมร่งเอ๊ย รำคาญจริงๆ (อารมมันแปรปวนอย่างกลับคนเป็นประจำเดือน:ไร หุบปาก:ฟราน)
ผมคิดๆได้แบบนั่นก็ขับรถออกมาจากหน้าบ้านอย่างเร็วโดยไม่มีจุดหมายปลายทางผมลดความเร็วลงมองไปที่ข้างหน้าถนนอย่างเดี่ยว ไม่รู้ว่าขับมานานแค่ไหนแล้วผมเลี้ยวเข้าไปจอดในปั้มก่อนจะเดินไปเข้าเข้าห้องน้ำ ผมยกแขนตัวขึ้นก่อนจะก้มลงมองที่นาฬิกาข้อมือตัวเองเวลา ตี3กว่าๆแล้วผมเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนจะซื้อเบียร์มา 5 กระป๋อง...ผมนั่งอยู่ที่กระโปรงรถก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ปกติผมไม่ใช่พวกสูบแต่ถ้าเครียดขึ้นมาก็ต้องมีบ้าง...ผมพ่นควันออกมาก่อนจะกระดกเบียดื่ม มองขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับนึกถึงใบหน้าของผู้หญิงที่ทำให้ผมจะคลั่งตายอยู่แล้วในตอนนี้...
ครืด~
ผมค่อยปืดตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นในกระเป่ากางเกง นี่ผมเข้ามาอยู่ในรถตอนไหน หลับไปตั้งแต่เมื่อไรหว่ะ ผมคิดในระหว่างที่หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดู
TAHLONG
“....”
(ฟราน)
“.....”
(ไม่พูดก็ไม่พูด ฉันจะบอกว่ามินมินจะกลับแล้ว...แกจะไม่มาลาหน่อยหรอว่ะ)
“....”
(ฉันไม่รู้มันเกิดเรื่องไรขึ้น...แต่แกจะปล่อยเธอไปทั้งที่ยังไม่ได้บอกความจริงอะไรหรือไงหว่ะ)
....
(คิดดูให้ดีแล้วกัน เครื่องจะออก 9 โมง แค่นี้น่ะ)
ติ๊ด!
ไอ้ต้าวางสายไปแล้วแต่ผมก็ยังคงถือโทรศัพท์ไว้แบบนั่น...เธอกำลังจะไปแล้วและนี้ก็เรื่องจริงผมนึกถึงหน้าของมินขึ้นมาก่อนจะ...ฟรานผู้ชายอย่างจะยอมเสียผู้หญิงที่ตัวเองรักไปอีกหรือไง ผมตัดสินใจสตาร์ทก่อนจะขับออกไปมาอย่างเร็วพุ่งตรงเป้าหมายไปที่สนามบิน ใช่ผมจะไม่ยอมเสียเธอไป ถึงยังไงผมก็รั่งเธอไว้ให้ได้ มินมินรอฉันก่อน...ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปทั้งที่ฉันยังมีความรู้สึกที่มันยังค้างคาในใจฉันแบบนี้แน่นนอน...
(END FRANCE)
ฉันหันมาโบกมือลาสปาย แล้วไหว้ลาคุณสเปียร์ แล้วก็กวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อมองหาร่างสูงของใครบ้างคนและถอนหายใจเดินขึ้นไป เขาไม่มีทางมาอยู่แล้วหล่ะ ฉันคิดอยู่แล้ว ฉันจะไปหวังอะไรน่ะ คิดได้อย่างนั่น จู่ๆขอบตาก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา น้ำใสๆก็หยดแหมะลงบนฝ่ามือตัวเองทันที ฉันปาดน้ำตาตัวเองที่เริ่มไหลซึมออกมานิดก่อนจะหั่นหลังเพื่อเดินขึ้นเครื่อง ลาก่อนทุกคน ลาก่อนแฟรง ลากก่อนน่ะฟราน เมื่อนึกถึงหน้าเขาฉันก็เหมือนก้อนน้ำตาจะร่วงหล่นลงมาทันที มันก็แค่ความรู้สึกที่เราคิดมากไปเอง หยุดคิดเรื่องนี้ได้แล้ว ฉันได้แต่ปลอบใจตัวเองในใจ
ฉันเดินตรงไปยังห้องน้ำก่อนจะเปิดก๊อกน้ำออกเพื่อที่จะล้างหน้าตัวเอง ฉันเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเรียวที่ตอนนี้ดูแล้วโทรมสุดๆ ตาบวมจากการร้องไห้ หน้าก็ซีดเพราะนอนดึก คิดถึงแต่เรื่องนั่นอยู่ในหัวตลอดเวลา...
ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว เราตัดสินใจแบบนี้ถูกแล้ว ตัดใจซะตั้งแต่ตอนนี้คงดีกว่าตอนที่มันเลยเถิดไปไกล ไกลเกินกว่าจะกู่ให้กลับมาได้...สัมผัสที่ยังคงตราตรึงอยู่ยากเกินจะลบเลือนไป คำพูดถ้อยคำที่บอกยากเกินจะไม่จดจำมัน การกระทำที่แสดงให้เห็นซึ่งยากเกินกว่าจะไม่รับรู้และการตอบสนองของร่างกายและจิตใจของตัวเองที่ยากเกินที่จะไปห้ามใจ...ถึงตอนนี้หัวใจฉันเองมันก็ย่ำความรู้สึกที่มีอยู่ในใจของตัวเองตลอดเวลาแต่ฉันก็จะต้องทำให้ได้ต้องยอมหักห้ามใจ ถึงจะต้องเสียใจแค่ไหน ต้องค่อยรักษาบาดแผลนี้หรือค่อยกินยาไปทุกๆวันแต่สักวัน แผลก็จะต้องหายดี ฉันก็กลับมาเป็นมินมินคนเดิม...
“เรื่องแค่นี้ สบายมาก” ฉันพูดกับตัวเองในกระจกเบาๆ ใบหน้าที่พยายามจะฝืนยิ้มพร้อมกับหยดน้ำตาเม็ดโตที่ไหลรินออกมาอีกครั้ง...
เอี๊ยดด
ผมจอดรถที่หน้าสนามบินก่อนจะวิ่งเพื่อที่จะเข้าไปข้างใน คนแมร่งเยอะโคตรเลยผมยกนาฬิกาข้อมือตัวเอง บอกเวลา 9.30 โถ่เว๊ย ผมสบธในใจก่อนจะพยายามวิ่งไปหาในที่ๆเธอจะต้องอยู่ แต่ภาพที่ผมให้ก็ทำเอาผมแทบจะพูดไม่ออก...ว่างเปล่า ไร้บุคคลนั่น ไม่มีแม้แต่เงาของร่างบาง ผมค่อยเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่พักผู้โดยสารก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับกระดาษแผ่นเล็กๆที่แปะอยู่ ผมหยิบมันขึ้นก่อนจะอ่าน...
ฉันคิดอยู่แล้วว่านายคงไม่มา แต่ก็ไม่เป็นไร นายคงไม่อยากจะเจอหน้าฉันอยู่แล้ว...เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นฉันจะไม่โทษหรอกน่ะว่ามันเป็นความผิดของใครอะไรยังไงแต่ฉันก็ขอแค่ให้มันจบ..จบลงตอนนี้ เพราะถ้าเรายังดึงดันกันต่อไปสุดท้ายก็มีแต่พวกเราที่จะเจ็บกันเอง อืม... เรื่องที่ฉันกลับฉันยังไม่ได้บอกแฟรงเลย เพราะถ้าเขารู้เขาคงจะโวยวายมาก ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยน่ะแล้วอย่าทะเลาะกันให้คุณสเปียร์เป็นห่วงอีกหล่ะ
มินมิน
ผมกำกระดาษในมือแน่น ก่อนจะเดินไปมองที่หน้าบานใหญ่มองเครื่องบินหายเข้าไปในกลีบเมฆ ช้าไปแค่ก้าวเดี่ยวเท่านั่นกับการที่จะได้รั้งตัวเธอเอาไว้ ผมคิดก่อนจะกำมือตัวเองแน่นมากยิ่งขึ้น ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะมองภาพผู้หญิงใส่แว่นตาหนาเต๊อะที่กำลังนอนหลับอยู่บนไหล่ผม...
“หึ... ” ผมหัวเราะเย้ยตัวเองขึ้นมาเบาๆก่อนจะเดินออกไปข้างนอกสนามบินกลับขึ้นไปบนรถเพื่อที่จะกลับไปที่บ้านตัวเอง ผมชะล่อรถก่อนจะจอดที่หน้าหลังของคนที่เป็นพี่ชายที่ตอนนี้ยืนหน้านิ่งขมวดคิ้วอยู่หน้าประตูบ้านผม ผมเปิดประตูรถลงไปและเดินเลยเข้าไปข้างในบ้านแต่ก็ถูกมือของมันลากกลับมา...
หมับ
ผมเงยหน้าขึ้นมองมันและมองมือที่มันจับแขนผมอยู่ก่อนจะสะบัดแขนหลุดจากมือมันก่อนเดินชนไหล่มันเพื่อจะเข้าไปข้างในบ้าน แต่เสียงของแฟรงก็ดังแทรกขึ้นมาซะก่อน
“หยุดก่อน...ที่ฉันจะมาพูดวันนี้ก็เรื่องของมิน” ผมชะงักเท้าทันทีที่ได้ยินชื่อของเธอก่อนจะหยุดยืนนิ่ง
“....”
“ฉันแค่จะบอกให้แกอยู่ห่างๆเธอไว้ หวังว่าแกจะเข้าใจและทำตามเพราะครั้งนี้ฉันจริงจัง... ”
“เหอะ...ไม่ใช่แค่ฉันหรอกที่ห่างแต่ตอนนี้แกเองก็ห่างเหมือนกันนั่นแหละ”
“พูดอะไรของแก? ”
“คิดเอา”
“แกว่าไงน่ะ! ”
“อย่างที่บอกนั่นแหละ” ผมบอกก่อนจะเดินเข้าไปข้างในตัวบ้านตัวเองละเดินขึ้นไปบนห้องเพื่อของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าเป้สีดำของตัวเอง ก่อนจะรีบเดินลงมาที่ชั้นล่างแต่สายตาก็ไปสะดุดกับร่างสูงที่นั่งกุมขมับอยู่บนโซฟา ผมมองเลยไปก่อนจะเดินเพื่อจะออกไปข้างนอก
“แกจะไปไหน”
“แกไม่จำเป็นต้องรู้”
“Shit! France มึงอย่ามากวนประสาทกูได้ไหม! ”
“ถอย ฉันรีบไม่อยากจะมามีเรื่องกับแกอีก”
“ถ้ามึงไม่อยากจะมามีเรื่อง ก็บอกมาสิว่ามินอยู่ไหน”
“เธอกลับไปแล้ว... ” ผมบอกเสียงเรียบและเงยหน้าขึ้นมองมันด้วยแววตาที่จริงจัง
ปึกก
ผมเดินชนไหล่มันดังปึกก่อนจะเดินไปทางประตู ในขณะที่มือแตะลูกบิดอยู่และกำลังจะหมุนเพื่อคลายล็อคออก...แต่มีเสียงของไอ้พี่ชายตัวดีดังแทรกขึ้น
“เดี๋ยว...มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น ทำไมมินถึงต้องกลับไทย... ”
“เหตุผลข้อนี้แกรู้ดีแฟรง... ”
“แล้วแกจะไปไหน ”
“ไปหาเดลฟิน...ผู้หญิงที่แกเกือบจะแย่งไปได้สำเร็จ”
“แกพูดซะเอาฉันแมร่งเป็นพี่ชายที่เลวมากแย่งแฟนน้องชายของตัวเอง...ที่พวกเราต้องแต่งงานกันมันก็เพราะพ่อกับแม่เพื่อธุรกิจ อีกอย่างเรื่องมันก็นานมามากแล้ว ทำไมแกไม่ยอมลืมมันไปซะทีหว่ะ”
“หึ คนอย่างแกมันก็พูดได้แค่แหละหาเหตุผลร้อยแปดมาแก้ต่างให้ตัวเอง ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าแกมันเป็นคนยังไง ถ้าแกไม่รักเธอจริงๆแล้วแกจะยอมหรือไง...บางครั้งเหตุการ์ณไหนที่มันสุดจริงๆ เหตุการ์ณนั่นมันยากเกินกว่าที่จะลบเลือนมันออกไปจากหัวสมองของตัวเองฉันก็ไม่ได้ยากจะจำมันเท่าไรแต่ให้ตาย ภาพของเธอกับแกก็ซ้อนทับกันอยู่ในหัวสมองของฉัน... ”
“เรื่องนี้มันผ่านมา 5 ปีแล้วน่ะฟราน...แล้วเธอก็จากพวกเราไปแล้ว แกจะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมาหว่ะ... ” แฟรงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ฉันก็เจ็บไม่ต่างกันจากแกหรอก...มากกว่าแกเป็น 100 เท่าด้วยซ่ำ ” ผมบอกก่อนจะเดินผ่านมันออกไปเพื่อไปขึ้นบนรถของตัวเอง ไม่มีเสียงเรียกใด ไม่เสียงฝีทางเดินตามผมมา..ผมสตาร์ทรถก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิดเพื่อไปยังสถานที่หนึ่ง ผมจอดรถก่อนจะหยิบช่อดอกลิลลี่สีขาวบริสุทธิ์ก่อนจะเดินตรงไปที่แห่งหนึ่ง...ผมเดินไปเรื่อยๆจนเห็นแผ่นป้ายหนึ่งที่สลักชื่อของผู้หญิงคนหนึ่ง
Delphine Baudouin
ผมปัดเศษใบไม้ละกิ่งไม้ก่อนจะหยิบช่อดอกไม้อันเก่าที่วางอยู่หน้าหลุมศพเธอออกและวางช่อดอกลิลลี่สีขาวแทน ผมเดินเข้าไปใกล้แผ่นป้ายนั่นก่อนจะค่อยๆนั่งลงชันเขาขึ้นข้างหนึ่งและเอาหลังพิงกับแผ่นป้ายนั่นก่อนจะหยิบรูปถ่ายรูปหนึ่งขึ้นมา ภาพชายคนหนึ่งกำลังหอมแก้มผู้หญิงคนหนึ่งเธออยู่ในชุดกระเป๋าสีน้ำตาลอ่อนๆกับหมวกใบโตสีแดงพร้อมกับผู้ชายใส่เสื้อเชิร์ตสีขาวกางเกงขาสั้นสีดำอยู่ริมหาดทรายสะอาดสีขาวเธอกำลังยิ้มให้กล้องส่วนผู้ชายคนนั่นก็มองรอยยิ้มของเธอ รอยยิ้มที่สดใส รอยยิ้มที่ไม่มีอะไรแอบแฝง รอยยิ้มที่จริงใจ...ภาพนี้คงเป็นภาพสุดท้ายที่พวกเราถ่ายคู่กัน
5 ปีที่แล้ว
ซ่า ซ่า
เสียงครืนซัดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ หาดทรายสีขาวเม็ดทรายสีน้ำตาลละเอียด น้ำทะเลสีขาวใสมีครืนเล็กๆที่พัดขึ้นมาบนฝั่งและซัดกลับไปที่เดิม ซ่ำแล้วซ่ำเล่า บรรยากาศสุดแสนสบายในเวลาพลบค่ำที่แสงอาทิตย์เริ่มจากลับลาจากขอบฟ้า นกหลายฝูงที่เตรียมตัวกลับเข้ารังของตนเองแต่ยังมีชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินเล่นอยู่ชายหาดแห่งนี้...
“ฟรานมาถ่ายรูปกันน่ะ”
“ไม่... ” ผมบอกด้วยเสียงเรียบก่อนจะเดินนำหน้า เดลฟินไป ร่างเล็กสูงประมาณ 165 ผมยาวสยายสีคน้ำตาลเข้ม ผิวขาวสะอาดเรียบเนียน จมูกโด่งรับกับหน้าหวาน ดวงตากลมโตสีดำสนิท ริมฝีปากสีชมพู่น่าถนุถน่อม
“ฟรานอ่ะ นานๆที่ได้มาเที่ยวด้วยกัน ถ่ายรูปแค่นี้เองก็... ” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆเหมือนจะร้องไห้และนั่นทำให้ผมหยุดเดินและหั่นหลังกลับมาดูคนตัวเล็กที่ตอนนี้อยากจะถ่ายรูปและเริ่มจะน้ำตาคลอเพราะผมไม่ยอมถ่ายด้วย เอ้อ ผมนี่แพ้ลูกอ้อนเธอมุกทีเลยสิ ให้ตาย
“นี่จะถ่ายไหมภาพอ่ะ” ผมบอกตอนที่เห็นเดลฟินก้มหน้าลง หลังจากที่ผมพูดประโยคนั่นจบรอยยิ้มกว้างก็ปรากฎขึ้นบนหน้าร่างเล็กทันที เป็นซะแบบนี้ใครจะไม่ยอมหว่ะ...
“แปปน่ะ” เธอบอกในขนาดที่หยิบกล้องขึ้นมา “เอาหละยิ้มน่ะ 123 แชะ” เธอบอกก่อนจะกดชัตเตอร์กล้องลง ผมก้มหน้าลงไปก่อนจะหอมแก้มคนตัวเล็กทันที
“ฟราน ทำอะไรของนาย -///-”
“หอมแก้ม --”
“บ้า แล้วยังจะพูดอีก -///- เอาไปเลยไม่ถ่ายแล้วรูป” เธอบอกก่อนจะส่งรูปหนึ่งมาให้ผม มันเป็นภาพตอนผมก้มลงหอมแก้มเธอพอดีพร้อมกับตาของเดลฟินที่โตขึ้นเพราะตกใจ ผมยิ้มขึ้นมาน้อยๆก่อนจะมองแผ่นหลังของร่างเล็กที่วิ่งหนีผมไปแล้ว ผมเร่งฝีทางตามเธอไปก่อนจะ...
“จับได้แล้ว จะเดินไปไหน”
“ฟราน ปล่อยเดี๋ยวนี้น่ะ -///-”
“ปล่อยเดี๋ยวก็เดินเออไปชนเสาบ้านหรอก เห็นไหมอีกนิดเดี่ยวเนี๊ย...เขินไม่ลืมหูลืมตา”
“ใคร เขินนายกัน อย่ามามั่วน่ะ”
“แล้วนี่หล่ะ” ผมบอกก่อนจะชูภาพนั่นขึ้นมาให้เดลฟินดู เดลฟินหน้าขึ้นสีทันทีพวงแก้มขาวเปลี่ยนไปสีชมพู่อ่อนๆแล้ว
“นี่เอามา ฉันจะเอาไปเผาทิ้งเดี๋ยวนี้เลย -///-” เธอเดินเข้าแต่ผมก็ชักรูปกลับไปไว้ข้างหลังในทันที...ผมเอารูปเก็บเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง รอว่ายัยบ๊องจะทำยังไง
“คิดว่าฉันไม่กล้า หรือไง”
“งั้นก็หยิบไปสิ รออะไรอยู่” ผมบอกเธอด้วยเสียงเรียบเหมือนเดิม ผมยืนกอดอกนิ่งๆ เดลฟินค่อยๆเดินเข้ามาก่อนจะยื่นมือออกมาด้วยท่าทางสั่นหลังก่อนที่เธอจะบรรจงมือจับที่กระเป๋าเสื้อผมเพื่อจะเอาภาพนั่น...
หมับ
ผมคว้าเข้าที่เอวบางก่อนจะจับที่ข้อมือเธอเอาไว้ หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก ผมกอดเธอแน่นก่อนจะพยายามเบียดตัวเข้ามาใกล้เธอเดลฟินดิ้นไปมาอยู่นาน มือเล็กนั่นก็ค่อยทุบตีลงบนหน้าอกของผม ผมค่อยๆก้มหน้าลงไปหาคนตัวเล็กเธอเบี่ยงหน้าหลบอย่างรู้ทัน...
“อยากได้ภาพคืนไหม”
“ยะ อยากสิ -//- เธอบอกเสียงสั่นๆ”
“งั้นก็แลกกับ 1 kiss... ”
“ไม่เอา!”
“งั้นรูปนี้ก็เอาไปเผยแพร่ได้ใช่ไหม ดีเหมือนกันคนอื่นจะได้รู้ๆกันไปเลยว่าเดลฟิน นักร้องดังคนนี้มีแฟนแล้ว วันพรุ่งนี้ข่าวก็คงจะขึ้นหน้าหนึ่ง...
“เฮ พอๆได้แล้ว ก็ได้ๆ นายมันเจ้าเลห์ที่สุดเลยฟราน... ”
เธอพูดขึ้นก่อนจะยืดตัวขึ้นก่อนจะประทับริมฝีปากลงอย่างแผ่วเบา แบบนี้เขาจะเรียกว่าจูบได้ไงหละ ผมโอบร่างเล็กแน่นก็จะทับริมฝีปากลงมาอีกครั้งปลายลิ้นเรียวซุกซนซอดแทรกเข้าไปเพื่อตะหวาดเก็บเกี่ยวเอาความหวานของในโพร่งปากของคนตัวเล็ก เธอดินไปมาซักพักแต่สุดท้ายก็ยอมหมดฤทธิ์แล้วปล่อยให้ผมจูบอยู่แบบนั่นนานสองนาน...ผมค่อยผละริมฝีปากออกก่อนจะก้มลงเอาหน้าผากเราชิดกัน เราสบสายตากันอยู่นานและสุดท้ายฟินก็เป็นคนหลบตาไป...
“คนขี้โกง ได้คืบจะเอาศอกทุกครั้งเลย” เธอบ่นขึ้นมาเบาๆในขนาดที่ผมยังกอดเธอไว้แน่น
“หรือจะเอาอย่างอื่นแทน” ผมกระซิบที่ข้างหูเธอเบาๆ
“ฟรานหยุดพูดซะที เอาภาพมาเลยน่ะ ไม่งั้นฉันจะโกรธนายและไม่มาให้นายเห็นหน้าอีกเลยน่ะ ผมหั่นใบหน้าหวานกลับมาทันทีก่อนจะบรรจงจูบอีกครั้ง
“อย่าพูดอีก...อย่าบอกว่าจะไปจากฉันอีกเข้าใจไหมฟิน” ผมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ ฉันแค่พูดเล่นเท่านั่นเองนายไม่น่าจริงจังขนาดนี้เลยน่ะ”
“อืม ถึงคำนี้ฉันอาจไม่พูดบ่อยๆแต่อย่างน้อยก็จะบอกให้เธอได้ยินน่ะว่า ฉันรักเธอมาก มากที่สุด” ผมบอกก่อนจะจูบที่ขมับคนตัวเล็กเบาๆ
“ไปหาอะไรกินกันดีกว่าน่ะ เดี๋ยวฉันไปเอาเสื้อกันหนาวกับแว่นตาแปปหนึ่ง เธอบอกก่อนจะเดินหายเข้าไปในบ้านพัก
“ไปกันเถอะ ^^” เธอเดินออกมาพร้อรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิมและเดินเข้ามากุมมือผม...ผมชะล่อรถลงก่อนจะจอดที่หน้าร้านอาหารหนึ่ง
“เดี๋ยวมาน่ะ ไปเซเว่นก่อน นายจะเอาอะไรไหม... ”
“ไม่หล่ะ ระวังตัวด้วยน่ะ”
“รู้แล้วค่ะ ^”^ เธอบอกก่อนจะหั่นหลังเดินออกไปจากร้าน ผมก้มมองภาพที่เราถ่ายกันในวันนี้ที่บริเวณริมทะเลทั้งและในระหว่างที่กำลังนั่งดูรุปเพลินๆอยู่นั่นเอง
โครมม
“ กรี๊ดด” อยู่เสียงบ้างอย่างก็ดังขึ้นมาทันทีและตามมาด้วยเสียงกรี๊ดของคนที่อยู่ข้างหน้าร้าน ผมปิดเมนูนั่นลงก่อนจะเดินออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นและแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำเอาผมแทบจะล้มทั้งยืน...ภาพหญิงสาวภาพยาวสีดำน้ำตาลเข้มในชุดกระเป๋าสีตาลยาวหมวกสีแดง เสื้อกันหนาวไหมพรมสีดำสนิท นอนกองเลือดแน่นนิ่งไม่ขยับหรือไหวติ่ง...
“เดลฟิน!! ” ผมตะโกนชื่อเธอออกมาสุดเสียงพร้อมกับสายตาที่ตื่นขึ้น ผมมองไปรอบข้างตัวเองที่ตนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว และตอนนี้ผมก็ยังอยู่ที่สุสานเหมือนเดิม ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ผมคิดก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นช้าๆ ผมค่อยๆแบมือที่ตอนนี้กำภาพใบนั่นแน่น ผมมองไปที่ป้ายหลมศพของเดลฟินก่อนจะหั่นหลังเดินกลับไปขึ้นรถของตัวเอง ผมขับรถออกไปด้วยใจที่ไม่รู้ตอนนี้มันลอยไปไหนแล้ว ในมือก็ยังกำรูปแน่ ภาพเรื่องราวในวันนั่นมันกลับมาอีกแล้ว ภาพที่เป็นเหมือนเครื่องย่ำเตือนใจตัวเอง ถ้าวันนั่นผมไม่ปล่อยให้เธอไปคนเดี่ยวหรือถ้าวันนั่นคนที่ตายเป็นตัว
ของผมแทน...
****************************************************************************************************
part 3 ครึ่งแรกจบไปแล้วน่ะค่ะ เหนื่อยสุดนั่งปั่นเมื่อวานมาเรื่อย ยังไงก็ฝากเมน+โหวตให้ด้วยน่ะค่ะ รักคนเมน รักคนอ่านทุกคนๆคนค่ะ
ความคิดเห็น