คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter >> 5 :: หนทางในการแก้ไข
CHAPTER > 5
แสงแดดยามเช้าส่องผ่านผ้าม่านเข้ามากระทบกับเปลือกตาของร่างบาง ทำให้เจ้าของร่างปิดตาให้แน่นกว่าเดิม ก่อนจะดึงเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเพื่อปิดกั้นแสงแดดนั้น ทว่าเพียงชั่วครู่...เธอกลับต้องดึงผ้าห่มลงเพียงเพราะหายใจไม่สะดวก ก่อนที่สุดท้ายแล้วจะยอมเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ แต่ก็ต้องกระพริบอีกสองสามครั้งเพื่อปรับสายตาให้ชิน
“อือ...” ลูซี่ครางเสียงแผ่วอย่างคนที่ขี้เกียจจะตื่นนัก ก่อนจะต้องขมวดคิ้วงุนงงเมื่อเห็นหน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้จนผ้าม่านปลิวสะบัดตามลม...อันเป็นเหตุให้แสงแดดเล็ดลอดเข้ามาแยงตาเธอแต่เช้าแบบนี้
แต่เมื่อพบกับแสงสว่างจ้าของยามเช้า ก็พลันทำให้ลูซี่คิดถึงความฝันเมื่อคืน...ฝันที่เธอไม่สู้จะดีใจนัก เพราะเธอหลงทางอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความมืด...ไร้ซึ่งทางออก และในช่วงที่จิตใจกำลังจะสูญสิ้นความหวัง เสียงอันอบอุ่นของใครบางคนก็เอ่ยเรียกเธอ...และมือของเขาก็ยื่นมาเช็ดน้ำตาให้เธออย่างแผ่วเบา...อีกทั้งจูบที่เขามอบให้เธอนั้นมันช่างอ่อนโยนเสียเหลือเกิน
“คงจะเป็นเจ้าชายที่มาช่วยเจ้าหญิงผู้งดงามอย่างเราสินะ” พูดแล้วก็อดจะหัวเราะกับคำพูดของตัวเองไม่ได้ ..เจ้าหญิงผู้งดงาม.. แหม? คิดได้ไงกัน... ลูซี่ยิ้มรับความคิดตนเอง ความง่วงหายไปเป็นปลิดทิ้ง หากแต่ความขี้เกียจยังคงอยู่ ทำให้ร่างบางไม่อยากจะลุกออกจากที่นอน จึงพลิกตัวหันกลับไปอีกทาง...
...แล้วดวงตากลมโตก็เบิกกว้างอย่างตกตะลึง
ใบหน้าคมที่ถูกล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีชมพูอยู่ชิดใกล้จนสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนของอีกฝ่าย ริมฝีปากของคนตรงหน้าเผยอออกเล็กน้อยพอให้ได้ยินเสียงกรนแผ่วๆ ดังเล็ดลอดออกมา และยังไม่ทันที่ร่างบางจะไหวตัวทำอะไรได้ เจ้าริมฝีปากที่ว่าก็เคลื่อนเข้ามา...ประทับลงบนปลายจมูกรั้นของเธอเบาๆ
“งืมๆ ลูซี่....จุ๊บ”
“....................”
งานนี้ไม่มีอะไรเกินไปกว่าคำว่าอึ้ง!!!
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” ลูซี่กรีดร้องออกมาสุดเสียง ทั้งเขินทั้งตกใจที่โดนจุ๊บปลายจมูก หากแม้จะอยู่ในภาวะที่จิตใจสับสน แต่ขาเรียวงามของเธอก็ยังคงทำงานได้เองโดยอัตโนมัติ...โดยการถีบร่างที่นอนอยู่เคียงข้างออกไปสุดแรง ส่งผลให้เจ้าของเรือนผมสีชมพูกลิ้งตกลงไปกระแทกกับพื้นเสียเต็มแรง ครานี้ใบหน้าหวานแดงก่ำด้วยความโกรธปนความเขินอาย ในใจคิดไปต่างๆ นานาถึงสาเหตุที่นัตสึมานอนอยู่ข้างกายเธอได้ ..ทะ ทำไมนัตสึถึงมานอนอยู่ข้างๆ เราล่ะ ไม่สิ ทำไมหมอนั่นถึงเข้ามาในห้องเราได้ ก็เมื่อคืนเราล็อคห้องไว้แน่นหนาดีแล้วนะ แล้วทำไม...ทำไม...ทำไม..????????? คำว่า ‘ทำไม’ อยู่เต็มหัวไปหมด แต่ถามตัวเองไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาอยู่ดี นัยน์ตาสีน้ำตาลจึงจ้องไปที่ร่างสูงที่ตอนนี้ส่งเสียงร้องโอดครวญ พร้อมทั้งกำลังพยุงตัวขึ้นมานั่งมองเธอด้วยสีหน้าสะลึมสะลือ
“โอย ทำอะไรของเธอเนี่ย ลูซี่?”
“ฉันสิที่ต้องเป็นคนถาม” ร่างบางสวนกลับทันที ใบหน้ายังคงเจือไปด้วยสีแดงระเรื่อ “นายทำบ้าอะไรของนายเนี่ยนัตสึ? ทำไมถึงโผล่มาอยู่บนเตียงของฉันได้ล่ะห๊ะ??”
คนถูกถามนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามพร้อมกับเปิดปากหาวหวอด “ก็เมือคืนฉันปีนหน้าต่างเข้ามา แต่เห็นว่าเธอหลับอยู่...ก็เลยกระโดดขึ้นเตียงมานอนด้วยซะเลย ฮ้าว~”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด” ลูซี่กรี๊ดออกมาอีกครั้งเมื่อได้ฟังคำตอบของนัตสึ ปีนหน้าต่างขึ้นมา..? มิน่าล่ะ ตื่นมาตอนเช้าผ้าม่านมันถึงได้ปลิวสะบัดพลิ้วลมซะขนาดนั้น ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเธอมั่นใจว่าเธอล็อคประตูและหน้าต่างไว้เรียบร้อยหมดแล้วแท้ๆ แต่เฮ้ย!! มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาห่วง สิ่งที่เธอต้องห่วงก็คือ...เมื่อคืนนัตสึ ชายผู้ที่เป็นหนึ่งในคนที่โดนยาเสน่ห์เข้าไปได้ทำอะไรเธอรึเปล่าต่างหากล่ะ ไม่ใช่ว่าแอบลักหลับเธอไปแล้วหรอกนะ “นี่นัตสึ! เมื่อคืนนายไม่ได้...ทะ ทำอะไรกับฉันใช่ไหม??”
“ทำอะไร??” ถามกลับด้วยใบหน้าใสซื่อ (และอาจจะบื้อด้วย)
เห็นใบหน้าของร่างสูงที่เหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ลูซี่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้กระทำการล่วงเกินอะไรเธอแน่นอน ร่างบางจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจน้อยๆ อย่างโล่งอก แต่...เธอลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไปรึเปล่านะ ?
เรื่องที่ว่าเธอควรจะต้องระวังตัวจากเขาให้มากกว่านี้
“ว่าแต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า” เจ้าของนัยน์ตาสีนิลกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะปีนกลับขึ้นเตียง พาให้คนที่กำลังโล่งใจอยู่ต้องแสดงสีหน้าหวาดวิตกออกมาอีกครั้ง
“จะทำอะไรของนายน่ะนัตสึ ปีนกลับขึ้นมาทำไม ?”
“ก็ฉันง่วงนี่นา นอนต่อเหอะลูซี่” ไม่ว่าเปล่า ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเอื้อมเข้าไปโอบช่วงไหล่ของร่างบาง...ก่อนจะออกแรงกดให้เธอล้มตัวลงนอนไปพร้อมกับเขา...
...และงานนี้ ลูซี่มีอันต้องอึ้งอีกครา
“จะ จะ จะ จะทำอะไรน่ะ” ลูซี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าหวานขึ้นสีระเรื่ออีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าคมของอีกฝ่ายเคลื่อนเข้ามาใกล้กับใบหน้าของเธอ
“บอกฝันดีไง” นัตสึตอบพร้อมกับฝากริมฝีปากอุ่นๆ ของตนลงบนแก้มที่แดงก่ำราวผลมะเขือเทศสุกของเธอ
“อ๊ะ...” คนถูกกระทำอุทานออกมาด้วยความตกใจ หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงมากขึ้นไปอีก ดวงตากลมโตเหลือบมองอีกคนทันที...ก็พบว่าเขากำลังส่งยิ้มหวานให้กับเธอ
...รอยยิ้มที่ราวกับรักใคร่
ทว่ามันน่าหวาดกลัวเกินไปสำหรับลูซี่...
ไม่มีรอยยิ้มใดๆ ตอบกลับไป เช่นกันกับที่ไม่มีคำพูดใดๆ ถูกเอื้อนเอ่ย สิ่งที่ลูซี่ทำได้มีเพียงปัดแขนแกร่งของอีกคนออก ก่อนจะลุกพรวดขึ้นแล้วกระโดดลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว นิ้วเรียวยกขึ้นมาชี้ใส่หน้าอีกฝ่าย แม้หน้าจะยังแดงก่ำอยู่ก็ตามที แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “นายออกไปจากห้องของฉันเดี๋ยวนี้เลยนะนัตสึ!”
“หืมม์ ?” คนถูกไล่ครางเสียงอ่อนอย่างคนกำลังง่วง แต่ก็ยังคงลืมตาและลุกขึ้นมานั่งมองเจ้าของห้องที่ตอนนี้กำลังตวาดแว้ดใส่เขา “อะไรของเธออีกล่ะเนี่ย ?”
“ฉันบอกให้ออกไป๊!!” ลูซี่ยังคงชี้หน้าและออกคำสั่ง ‘ไล่’ ให้นัตสึออกไปจากห้องของเธอ คราวนี้เธอไม่ตลกด้วยแล้วจริงๆ เมื่อก่อนหน้านั้นอาจจะรู้สึกเขินมากกว่าโกรธก็จริง แต่ตอนนี้เธอโกรธ...โกรธมากกว่าเขินแล้วนะ!
“ไม่เอาน่าลูซี่ อย่าเพิ่งโกรธกันเลยนะ ตอนนี้ฉันง่วงมากเลย ฮ้าว” นัตสึพูดไปหาวไป เหมือนกับว่าเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร “ถ้าเธอไม่อยากจะนอนด้วยกันก็ให้ฉันนอนเตียงของเธอหน่อยเถอะ อย่างกไปเลยน่า”
เจอประโยคสุดท้ายของนัตสึเข้าไป ก็ยิ่งพาให้อารมณ์เดือดดาลเข้าไปใหญ่ ลูซี่โวยกลับทันที แต่อีกคนกลับไม่สนใจ ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของเธออย่างหน้าตาเฉย จนร่างบางตัวสั่นเทาไปด้วยความโกรธ อยากจะเข้าไปคว้าตัวนัตสึแล้วลากออกจากห้องของเธอเสีย แต่ก็กลัวว่ามันจะเป็นเหมือนในนิยายที่เคยอ่านมา...ที่ว่าพอนางเอกเข้าไปดึงตัวพระเอกให้ลุกขึ้น เขาก็ฝืนตัวไว้แล้วดึงตัวของนางเอกล้มทับลงไปบนอกของเขาพร้อมรัดร่างนางเอกไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่ง แล้วก็แจกหอมให้ฟอดใหญ่... ขืนมันเป็นแบบในนิยายขึ้นมา...เธอยอมแพ้ค่ะ ไม่เอาแบบนั้นเด็ดขาด เช้านี้เธอเจอมาเยอะมากพอแล้วล่ะ
“จะไปหรือไม่ไปนัตสึ!?” ถามออกไปอีกครั้ง แต่ไร้เสียงตอบรับใดๆ จากคนที่เธอเรียก แล้วความอดทนของลูซี่ก็หมดลงในที่สุด “ได้!! งั้นฉันไปเอง”
เพราะไม่กล้าเข้าไปทำอะไรอีกฝ่าย จึงต้องเป็นตัวเองที่เดินปึงปังออกมาจากบ้านของตนเองอย่างไม่สบอารมณ์ ใบหน้าหวานบึ้งตึง ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองยังหน้าต่างห้องนอนของตัวเองที่ยังคงเห็นผ้าม่านพลิ้วสะบัดไหวไปมา ก็อดไม่ได้ที่จะด่าร่างสูงที่เป็นคนเปิดมัน “นายมันงี่เง่าที่สุดเลย”
ตั้งแต่จำความได้ ลูซี่ไม่เค๊ย~ ไม่เคยเลยที่จะพาตัวเองออกมาวิ่งนอกบ้านในสภาพหน้าสด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หรือยังคงสวมชุดนอนอยู่แบบนี้ (ถึงแม้ว่าหน้าสดเธอจะสวยก็ตามที) จริงอยู่ว่าเวลาไปทำภารกิจ เพื่อนร่วมทีมอาจจะเคยเห็นสภาพตอนตื่นนอนของเธอ แต่นั่นก็เป็นแค่คนจำนวนน้อยอีกทั้งยังเป็นเพื่อนที่เธอไว้ใจ (ให้เห็นหน้าสดได้) แต่การที่ต้องมาวิ่งด้วยสภาพเช่นนั้นท่ามกลางสายตาของชาวเมืองแมกโนเลียกว่าสามสิบชีวิตแบบนี้ นับเป็นประสบการณ์ที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน
และนี่มันก็ไม่ใช่เวลาจะมาอับอายด้วย -___- สิ่งที่เธอต้องทำก็คือวิ่งผ่านสายตาของผู้คนทั้งหลาย...เพื่อไปหาที่พึ่งพิงของเธอ
@@@@@@@@@@@@@@
ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงเคาะประตูดังรัวอยู่หน้าห้อง พาให้เจ้าของห้องร่างเล็กต้องรีบวิ่งมาเปิดประตูให้ ก่อนจะพบว่าคนที่รัวเคาะอยู่นั้นคือเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ผู้ที่กำลังยืนอยู่ในชุดนอน.........สภาพดูไม่จืดเลยทีเดียว
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณลูซี่!!” เวนดี้เอ่ยถามอย่างตกใจ ก่อนจะเปิดประตูออกกว้างแล้วเชื้อเชิญให้อาคันตุกะผู้หน้าหมองคล้ำไม่สดใสอย่างที่เคยเป็นเข้ามาในห้องของตนเอง “ทำไมถึงได้มาทั้งสภาพแบบนี้ล่ะคะ?”
“ไม่ไหวแล้วเวนดี้!!” ลูซี่ถลากอดร่างเล็ก “เมื่อเช้าฉันเจอเรื่องน่ากลัวเข้าน่ะสิ ถึงได้รีบมาหาเธอแบบนี้”
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ?” เวนดี้เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“กะ ก็เมื่อเช้านี้น่ะ นัตสึ...นัตสึเค้า.....” คำตอบมีเพียงเท่านี้ ส่วนที่เหลือต่อจากนั้นเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ไม่ได้พูดต่อเอาไว้ ทำให้เด็กหญิงเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินได้แต่จินตนาการไปตามความคิดของตนเอง ก่อนสาวร่างเล็กจะหน้าแดงขึ้นมาทันที
“อย่าบอกนะคะว่าคุณนัตสึข่มขืนคุณลูซี่น่ะ!!”
“จะบ้าเหรอเวนดี้ ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย” ลูซี่รีบตอบปฏิเสธกลับไปทันที ก่อนจะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้กับเวนดี้ฟัง
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นแบบที่คาดเดาไว้ แต่มันก็อดหน้าแดงอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากลูซี่ ...ไม่หนักเท่าขั้นข่มขืน...แต่ความฟินระดับสิบค่ะ >//<
“หน้าแดงทำไมน่ะเวนดี้” ชาร์ลที่นั่งฟังเรื่องราวอยู่เงียบๆ เอ่ยถามดราก้อนสเลเยอร์สาวร่างเล็ก ทำให้ลูซี่หันมามองหน้าของเวนดี้ไปด้วยอีกคน
“อะ เอ่อ...ก็...หนูรู้สึกเขินแทนคุณลูซี่น่ะค่ะ ตื่นมาก็เจอคุณนัตสึนอนอยู่ข้างๆ บนเตียงเลย แถมยังมีมอนิ่งคิสกันอีก” พูดพลางก้มหน้างุดอย่างขัดเขิน ซึ่งก็ทำให้ชาร์ลได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“อย่าพูดแบบนั้นสิเวนดี้ ไม่ใช่มอนิ่งคิสซะหน่อย” ลูซี่ว่าพลางน้ำตาจะไหล อยากจะร้องไห้หนักมาก “แต่คิดดูแล้ว...นี่แค่นัตสึคนเดียวยังทำเอาฉันลำบากขนาดนี้เลย เกิดวันดีคืนดีเล่นโผล่เข้ามาในห้องฉันพร้อมกันทั้ง 6 คนเลยล่ะ...แบบนั้นฉันไม่กลายสภาพเป็นศพคาห้องตัวเองเลยเหรอ? T^T”
“น่ากลัวจังเลยค่ะ” เวนดี้ว่าเสียงสั่น หากแต่ใบหน้ากลับแดงยิ่งขึ้น
“แล้วนี่เธอจะทำยังไงล่ะ? จะอยู่ในสภาพนี้ไปทั้งวันเลยรึไง?” ชาร์ลเอ่ยถามพร้อมมองสภาพของลูซี่ด้วยสายตาเอือมๆ ก็นะ...น้ำก็ไม่อาบ แถมใส่ชุดนอนวิ่งหัวเปิงมาซะขนาดนี้ ถ้าจะอยู่แบบนี้ทั้งวันโดยที่ไม่อาบน้ำมันก็เกินไปหน่อยละ
“ก็ฉันไม่กล้ากลับไปห้องของตัวเองตอนนี้นี่” ลูซี่ว่าเสียงอ่อย “ไม่รู้ว่าป่านนี้นัตสึจะกลับบ้านตัวเองไปรึยัง”
ใช่...เธอคงไม่กลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแน่ๆ ถ้านัตสึยังอยู่ในบ้านของเธอ เหตุการณ์เมื่อเช้านับว่ายังโชคดีด้วยซ้ำไปที่ไม่โดนทำอะไรมากไปกว่านี้ อาจเพราะนัตสึง่วงด้วยก็เป็นได้ แต่ถ้าสมมุติว่าหมอนั่นไม่ง่วงขึ้นมา บางทีเธอคงจะไม่มีโอกาสได้วิ่งมาหาเวนดี้แบบนี้แล้วก็เป็นได้ แต่กลับกลายเป็นว่าอาจจะกำลังนอนทอดร่างอยู่เคียงข้างกับนัตสึบนเตียง .//. ..เห้ย!! บ้าไปแล้ว คิดอะไรบ้าไปแล้วจริงๆ เรา.. แต่คิดๆ ไปก็พาลจะเริ่มกลัวนัตสึขึ้นมาเสียแล้ว...
เอาจริงๆ ตั้งแต่ได้รู้จักกับนัตสึมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่ลูซี่รู้สึกไม่อยากจะอยู่ใกล้เขามากเท่ากับครั้งนี้มาก่อน ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมามันมีแต่ความสุขและความสบายใจ ผู้ชายคนนี้ไม่เคยต้องทำให้เธอกังวลใจเลยสักครั้งเดียว แต่แล้ว...เมื่อสองวันก่อน วันที่เธอได้รับน้ำยาปริศนามาจากคุณลุงผู้ที่เธอเข้าไปช่วยเหลือ...ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพื่อนผู้ที่เธอให้ความไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดกลับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เหมือนกับว่าเขาถูกปีศาจเข้าสิง ถึงจะไม่ใช่ปิศาจร้าย แต่มันก็ทำให้เธอหวาดกลัวขึ้นมาอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เพราะเจ้าปีศาจที่เข้าสิงเขานั้นได้ดลบันดาลให้นัตสึทำในสิ่งที่เขาไม่เคยกระทำต่อเธอมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลับนอนร่วมเตียงกัน ที่ถึงแม้จะเคยนอนเตียงเดียวกันมาก่อนก็จริง แต่มันเป็นตอนที่เธอไม่รู้สึกตัวต่างหาก เพราะถ้าเธอรู้ว่าเขานอนอยู่ เธอก็จะรีบลุกหนีออกจากเตียงทันทีหรือบางทีก็ไล่เขาให้ไปนอนที่โซฟา แต่นี่มันคืออะไรกัน..? นอกจากจะนอนเตียงเดียวกันแล้ว เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นใบหน้าของเขาอยู่ชิดใกล้ และริมฝีปากคู่นั้นที่ค่อยๆ เลื่อนมาประทับจูบไว้บนปลายจมูกของเธออีก (แม้มันจะไม่ใช่ปากก็เถอะ -//-) เท่านั้นยังไม่พอ เขายังบังอาจมาหอมแก้มเธอเสียได้......ตรงนี้แหละที่มันน่าเสียใจยิ่งนัก ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรือว่าอะไรหรอกนะ แต่เพราะเป็นเพื่อนกัน...ทำแบบนี้มันออกจะเป็นการเกินเลยไปหน่อยหรือเปล่า ? แต่อย่าว่าแต่นัตสึเลย...แม้แต่เอลซ่าที่เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิท (แถมยังเป็น ‘ผู้หญิง’) ก็ได้ฝากริมฝีปากเอาไว้บนแก้มของเธอมาแล้วเช่นเดียวกัน และการกระทำอันประหลาดๆ ของพวกนี้มันก็มีผลมาจาก ‘ยาเสน่ห์’ ทั้งสิ้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเธออาจจะโดนคนอื่นๆ ที่เหลือกระทำแบบนี้ด้วยเหมือนกัน ..นับว่าเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ของสาวสวยอย่างเธอเลยก็ว่าได้!
เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินมองร่างบางเจ้าของเวทอัญเชิญที่กำลังทำหน้าครุ่นคิดหนัก ก็ต้องยิ้มอ่อนๆ ให้กับอีกฝ่ายพลางหาทางช่วยเหลือให้ “ทำไมคุณลูซี่ไม่เรียกให้คุณเวอร์โก้ช่วยเอาชุดมาให้ล่ะคะ?”
“จริงด้วย!” ลูซี่ยิ้ม แต่ครู่เดียวเธอก็ต้องทำหน้าสลดลง “แต่...ฉันไม่ได้พกกุญแจมาด้วยน่ะสิเวนดี้”
คราวนี้ทั้งเธอและทั้งเวนดี้เลยหน้าจ๋อยไปพอๆ กัน ก่อนที่ชาร์ลจะเป็นฝ่ายเสนอความคิดเห็น “เธอก็ไปขอยืมเสื้อผ้าจากจูเบียก่อนดีไหม? รูปร่างเธอกับจูเบียก็ใกล้เคียงกันดี น่าจะสวมเสื้อผ้าของยัยนั่นได้นะ”
“เอ่อ...มันก็ได้อยู่หรอกนะ แต่ปัญหาคือจูเบียจะยอมให้ฉันยืมเสื้อผ้าเหรอ?” อีกอย่าง...เสื้อผ้าของจูเบียแต่ละชุดก็มีแต่ตัวที่ปิดมิดชิดทั้งนั้น ไม่เหมือนกับของเธอที่มักจะชอบใส่เสื้อผ้าบางๆ น้อยชิ้นซะด้วย
“คุณจูเบียต้องช่วยคุณลูซี่อยู่แล้วล่ะค่ะ” เวนดี้ตอบพร้อมยิ้มหวาน
“อืม...แล้วหลังจากที่เธออาบน้ำเสร็จ พวกเราก็ลองปรึกษาหารือกันเรื่องยาเสน่ห์ที่ห้องของเรวี่ดีไหมล่ะ??” ชาร์ลเอ่ยถาม
เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ประกายได้ฟังความคิดเห็นของหนึ่งเด็กสาวและหนึ่งแมวแล้วก็ต้องยิ้มให้ด้วยความขอบคุณ “ขอบคุณพวกเธอมากๆ เลยนะเวนดี้ ชาร์ล ฉันคิดไม่ผิดจริงๆ ด้วยที่วิ่งมาขอความช่วยเหลือจากพวกเธอ”
“หนูกับชาร์ลยินดีช่วยคุณลูซี่อยู่แล้วล่ะค่ะ” เด็กสาวว่าพลางยิ้มร่า
จากนั้นลูซี่ก็ไปขออาบน้ำและยืมเสื้อผ้าของจูเบีย โดยในตอนแรกนั้นสาวแห่งสายน้ำมีท่าทีอิดออดเหมือนไม่ค่อยอยากจะยอมนัก เพราะกลัวว่าถ้าลูซี่มาใส่เสื้อผ้าแบบตัวเองแล้ว อาจจะมีผลกับท่านเกรย์ได้ และมันจะเป็นการวางคาแร็คเตอร์ให้ดูซ้ำกัน -*- แต่พอได้ยินว่าโลกิยังไม่พาเกรย์กลับมาจากการทำภารกิจ แถมพอเวนดี้เล่าเรื่องที่ลูซี่ต้องประสบพบเจอมาเมื่อเช้าให้จูเบียฟัง สาวเจ้าจึงได้ยอมอนุโลมให้กับลูซี่ พร้อมประโยคแถมท้ายที่ว่า “นอนด้วยกันซะแล้ว แบบนี้ท่านเกรย์ก็เป็นของจูเบียคนเดียวแล้วสิ”
ซึ่งหลังจากทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ทั้งหมดก็ไปยังห้องของแม่หนอนหนังสือร่างเล็กผู้มีเรือนผมสีฟ้าเหลือบน้ำเงิน ก็พบว่าเรวี่เองก็เหมือนจะรอพวกเธออยู่เช่นกัน
“พอดีเลย ตอนแรกฉันกะว่าจะไปหาลูจังอยู่แล้วเชียว” สาวร่างเล็กว่า
คนได้ฟังก็รีบถามกลับทันทีอย่างที่พอจะรู้นัย “แสดงว่าเรวี่จังรู้วิธีแก้แล้วใช่ไหม??” และเมื่อเรวี่พยักหน้าตอบ ลูซี่ก็ไม่รอช้ารีบกระโดดกอดสาวร่างเล็กตรงหน้าทันทีด้วยความดีใจ จนคนถูกกอดได้แต่ยิ้มแหยให้เพราะหน้าอกของเพื่อนสาวมันเบียดร่างเธออยู่ แล้วจึงบอกให้ทุกคนไปนั่งคุยกันต่อดีกว่า
“คืองี้นะลูจัง ฉันลองเปิดหาจากหนังสือหลายๆ เล่มดูแล้ว ก็พบว่าแต่ละเล่มต่างก็เขียนเอาไว้ว่าถ้าเป็นยาเสน่ห์ทั่วไป มันจะหายเป็นปกติเองเมื่อผ่านไปหนึ่งคืน แต่เมื่อวานเวนดี้มาเล่าให้ฉันฟังว่าเธอถูกเอลซ่า....เอ่อ....นั่นแหละ แหะๆ” เรวี่กล่าวอธิบายจนมาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูซี่เมื่อวาน เธอจึงเอ่ยตะกุกตะกักไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบอธิบายต่อเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวผู้ถูกกล่าวถึงกำลังทำหน้าซีดราวกับหวาดกลัว “ฉันก็เลยลองไปค้นหาจากตำราเก่าๆ ดู แล้วพบว่า...เจ้าน้ำยาที่ลูจังได้มาน่ะ เป็นยาเสน่ห์ที่ผสมขึ้นมาด้วยเวทมนต์และส่วนผสมพิเศษ ทำให้มีระยะเวลาในการออกฤทธิ์.......ตลอดชีวิตจ้า”
“หา!!!!!!” คราวนี้ไม่ใช่แค่ลูซี่เท่านั้นที่หน้าซีดกับสิ่งที่ได้ฟัง เพราะทุกคนที่อยู่ในห้องเองต่างก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกตะลึงเมื่อได้ยินกับคำพูดของเรวี่ ถึงแม้เวนดี้จะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ แต่เธอเองก็อดที่จะอุทานออกมาด้วยไม่ได้เช่นกัน ชาร์ลเอง...ก็คงรู้นะ ส่วนคนที่อาการหนัก (พอๆ กับลูซี่) ก็เห็นจะเป็นจูเบียเนี่ยล่ะ สาวผู้ใช้เวทน้ำก็ไม่รอช้ารีบละล่ำละลักถามเรวี่กลับไปทันที “พูดแบบนั้น...หมายความว่าท่านเกรย์จะรักลูซี่ไปตลอดชีวิตเลยอย่างนั้นเหรอคะ??”
“อ่า ก็...ประมาณนั้นล่ะ” เรวี่ตอบรับ นัยน์ตากลมโตเหลือบไปมองยังเพื่อนผมสีบลอนด์ที่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ก็แน่ล่ะนะ ลองคิดว่ามีคนมากมายมารุมมาตุ้มรุมรักตนเองไปตลอดชีวิตแบบนี้ แถมยังเป็นรักที่เกิดจากยาเสน่ห์ด้วยแล้ว เป็นใครก็ต้องเครียดเป็นธรรมดา แต่แม่สาวผู้เป็นหนอนหนังสือก็ไม่อยากจะให้เพื่อนเครียดนัก จึงรีบเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริง “แต่...ไม่ต้องกังวลไปหรอกจ้า เพราะอย่างที่บอกว่าฉันได้วิธีแก้มาแล้ว”
“จริงเหรอคะ??” จูเบียรีบถาม ก่อนจะหันไปบอกกับลูซี่ด้วยท่าทางดีใจเป็นที่สุด “ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วล่ะค่ะ เพราะท่านเกรย์จะหายแล้ว ท่านเกรย์จะไม่มีวันรักลูซี่ไปตลอดชีวิตแล้ว”
“เอิ่ม...ฉันไม่ได้เครียดเรื่องเกรย์คนเดียวซะหน่อย” ลูซี่ว่าพลางเบ้หน้าเล็กน้อย แล้วหันไปมองยังเพื่อนสาวตัวดีที่แย้มยิ้มหวานให้กับเธอ “เรวี่จังนี่ล่ะก็...เล่นพูดซะฉันกังวลหนักเลย”
คนถูกต่อว่าหัวเราะน้อยๆ “แต่ที่ฉันพูดก็เป็นเรื่องจริงนะ ยาเสน่ห์ตัวนั้นน่ะจะออกฤทธิ์ไปตลอดชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือ...ใครก็ตามที่โดนมันเข้าไป จะต้องรักเธอไปตลอดชีวิตเลยล่ะ”
ได้ยินแบบนั้นแล้วก็พาให้ลูซี่ต้องขนลุกอีกครั้ง “แล้ว...วิธีแก้ที่ว่านั่นน่ะ คือวิธีอะไรเหรอ?”
“สมุนไพรสารพัดประโยชน์” เรวี่ว่าด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
“สมุนไพรสารพัดประโยชน์...” เวนดี้เอ่ยทวนคำของของเรวี่ด้วยความรู้สึกราวกับว่าชื่อของมันช่างคุ้นหูของเธอเสียเหลือเกิน “เคยได้ยินมาจากที่ไหนก่อนรึเปล่านะชาร์ล ?”
“อืม ก็สมุนไพรที่พวกเราเคยไปหากันมาที่ภูเขาฮาโคเบะไงล่ะ” ชาร์ลตอบเสียงเรียบ แต่มันกลับทำให้เวนดี้และลูซี่ที่ได้ยินถึงกับต้องร้องหาเสียงดัง
“อย่าบอกนะว่ามันคือไอ้สมุนไพรที่มีไวเวิร์นขาวเฝ้าอยู่น่ะ??” ลูซี่รีบถามย้อนทันที ในหัวพลางนึกถึงภารกิจที่เธอและทีมเคยได้รับมอบหมายให้ไปหาสมุนไพรสารพัดประโยชน์ที่ภูเขาฮาโคเบะ เป็นภารกิจที่เหมือนจะไม่ยาก เพราะแค่ครู่เดียวนัตสึก็สามารถหาสมุนไพรเจอ แต่ที่ตรงนั้นมันดันมีเจ้าสัตว์ประหลาดหรือตัวไวเวิร์นขาวเฝ้าอยู่ด้วย เพราะสมุนไพรสารพัดประโยชน์เป็นอาหารโปรดของมันน่ะสิ เล่นเอาวุ่นวายกันไปหมดเลยทีเดียว
“ก็นั่นล่ะนะลูจัง” เรวี่ตอบพลางยิ้มแหย “เราจะต้องไปเอาสมุนไพรสารพัดประโยชน์มาต้มรวมกับน้ำตาของลูจัง พร้อมกับท่องเวทมนต์บทหนึ่งไปด้วย แล้วจากนั้นก็นำไปให้พวกนั้นดื่ม....ทุกอย่างก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม”
“รวมกับน้ำตาของฉันเนี่ยนะ??” ลูซี่ว่าอย่างไม่อยากจะเชื่อถือนัก มีอย่างที่ไหนกันที่ต้องเอาสมุนไพรมาต้มรวมกับน้ำตา ถึงจะช่วยให้ยาเสน่ห์เสื่อมฤทธิ์ได้ บ้าไปแล้ว
“จริงๆ นะ” เรวี่ยืนยันสิ่งที่ตนได้มาจากตำราด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าลูจังไม่ทำตามนี้...ก็หาวิธีแก้อื่นไม่ได้แล้ว เพราะฉันเพิ่งจะเจอแค่วิธีนี้วิธีเดียว”
“เอาแบบนั้นเถอะค่ะลูซี่ ถ้าเกิดต้องใช้น้ำตาแล้วคุณร้องไห้ไม่ออกจริงๆ จูเบียจะทำให้คุณร้องไห้ออกมาเป็นสายน้ำเอง” จูเบียพูดเสียงเย็นใส่ ทำให้ลูซี่อดจะขนลุกไม่ได้ แหม่...ทำท่าโหดขนาดนี้ คงจะกลัวเกรย์รักเธอไปตลอดชีวิตสินะเนี่ย ?
“เข้าใจแล้วๆ” เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์พยักหน้ารับ ก่อนจะเหลือบมองสามสาวกับหนึ่งแมวที่นั่งอยู่ด้วยกัน แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อนด้วยความรู้สึกเกรงใจ “แล้ว...ใครจะไปเอาสมุนไพรสารพัดประโยชน์กับฉันล่ะ??”
“หนูค่ะ” เวนดี้ตอบรับทันที
เจ้าแมวน้อยสีขาวจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ถึงจะไม่อยากไปเจอกับไวเวิร์นอะไรนั่นก็เถอะ แต่คงจะปล่อยให้เวนดี้ไปกับลูซี่แค่สองคนไม่ได้ “...ฉันด้วย”
“งั้นจูเบียก็จะไปด้วยค่ะ” จูเบียตอบรับด้วยน้ำเสียงแข็งขัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารายนี้อยากจะช่วยให้แก้มนตร์ของยาเสน่ห์มากขนาดไหน
“ส่วนฉัน...คงไม่ได้ไปด้วยนะ เพราะฉันจะต้องพากาซิลไปทำภารกิจอย่างอื่น....” เรวี่ว่าน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมก้มหน้างุด แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะหึหึของเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ในห้องแล้ว สาวร่างเล็กก็ต้องเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะพบกับใบหน้าของทุกคนที่มองมาทางเธออย่างมีเลศนัย “มะ ไม่มีอะไรซะหน่อย ก็แค่ทำภารกิจเอง ทำไมทุกคนต้องมองอย่างนั้นด้วยเล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เวนดี้ยิ้มพร้อมหน้าแดงเล็กน้อย
“โชคดีนะคะ” จูเบียเองก็อวยพรอย่างที่พอจะดูออกว่าระหว่างเรวี่และกาซิลเองก็อะไรบางอย่างต่อกันอยู่ เพียงแต่มันเป็นเส้นความสัมพันธ์บางๆ ที่ยังไม่ชัดเจนนัก แม้ฝ่ายหนึ่งจะเริ่มแสดงให้เห็นชัดเจนบ้างแล้วก็ตามที
“นี่!!” เจ้าของห้องแหวให้ทุกคน ก่อนจะเดินหนีไปทางอื่นเพราะไม่สามารถสู้กับสายตาของทุกคนได้ แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาพูดเรื่องสำคัญ “รีบไปหาสมุนไพรนั่นเถอะ ช่วงนี้เป็นฤดูที่เจ้าสมุนไพรนั่นออกน้อย บางทีอาจจะโดนไวเวิร์นเก็บกินไปหมดแล้วก็ได้”
คราวนี้สาวๆ ที่เหลือจึงได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างร้อนรน ก่อนจะขอตัวลาเรวี่เพื่อที่จะไปทำภารกิจตามล่าหาสมุนไพรสารพัดประโยชน์ “ไปก่อนนะเรวี่จัง ขอบใจมากๆ เลยนะ ถ้าไม่ได้เรวี่จังช่วย...ฉันคงต้องแย่ต่อไปอีกหลายวันแน่ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก ก็ลูจังเป็นเพื่อนซี้ของฉันนี่นา” เรวี่ว่าพร้อมยิ้มกว้างให้ลูซี่ หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของปัญหาจึงได้แต่ยิ้มของคุณอีกครั้ง รู้สึกดีใจที่มีเพื่อนดีๆ คอยอยู่เคียงข้างไม่ทิ้งให้เธอต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง แถมรายนี้น่ะห่วงใยเธอแน่ๆ อยู่แล้วเพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่อีกใจก็คงจะห่วงกาซิลอยู่ไม่น้อย เพราะกาซิลเองก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนยาเสน่ห์เข้าไปเหมือนกัน หึหึ
ทั้งสามสาวกับอีกหนึ่งตัวที่ออกมาจากห้องของเรวี่แล้วก็ได้ปรึกษากันว่าจะเข้าไปที่กิลด์ก่อนเพื่อขอลาพักงานเป็นเวลาหนึ่งวัน เนื่องจากว่าบางทีอาจจะมีภารกิจที่รีเควสต์ตัวจอมเวทมาก็เป็นได้ ดังนั้นจึงต้องป้องกันก่อนโดยการขอลางานไปเลย และเผื่อใครมาถามหาพวกเธอก็จะได้รู้ว่าวันนี้พวกเธอไม่ว่าง
แต่เมื่อวิ่งออกมาจากหอพักหญิงแฟรี่ฮิลล์ได้ไม่ทันไร ก็มองเห็นท้องฟ้าที่ลูซี่จำได้ว่าเมื่อเช้ามันสดใสมากขนาดไหนกลายเป็นมืดครึ้มมัวหม่นไปด้วยเมฆฝน ระหว่างกลุ่มเมฆเกิดแสงสว่างแวบวับของประจุไฟฟ้าที่แล่นผ่านกลุ่มละอองไอน้ำ แถมยังส่งเสียงร้องครืนๆ ดูราวกับว่าอีกไม่นานนี้จะเกิดพายุฟ้าคะนองขึ้น และท่าทางจะเป็นพายุหนักเสียด้วย นับว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักสำหรับคนที่กำลังจะออกไปทำเรื่องสำคัญอย่างพวกเธอ
...โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าเหตุการณ์ฟ้าคะนองนั้นเกิดขึ้นมาจากคนบางคน...
“รีบไปกันเถอะ” ชาร์ลรีบร้องบอกสามสาวให้รีบเร่งฝีเท้าไปยังกิลด์ บางทีพอไปลางานเสร็จแล้วรีบเดินทางออกจากเมืองแมกโนเลียไปเสีย อาจจะพ้นจากพายุฝนฟ้าคะนองของเมืองนี้ได้
และเมื่อมาถึงหน้ากิลด์แฟรี่เทลแล้ว ทั้งสี่ก็ไม่รอช้าที่จะเปิดประตูเข้าไป ทว่ายังไม่ทันที่มือบางของลูซี่จะเอื้อมแตะประตู......สายฟ้าก็ฟาดผ่าลงมายังเบื้องหลังของพวกเธออย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังกังวานไปทั่วบริเวณ ทำให้ทั้งสามสาวและหนึ่งแมวต้องปิดหูเอาไว้ด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะหันกลับไปยังเบื้องหลัง...แล้วความหวาดกลัวที่มีเมื่อครู่ก็ยิ่งทวีเพิ่มเมื่อพบว่า..
ลัคซัส เดรเยอร์...ยืนอยู่ตรงนั้น!
“โฮ่~ ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่พอดีเลย...เล่นโผล่หน้ามาให้เจอเองแบบนี้เลยเหรอ ไม่เรียกพรหมลิขิตแล้วจะให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ??”
-TBC-
Talking ;
สวัสดีมิตรรักนักอ่านทุกท่าน ไรต์เตอร์หายไปนานอีกแล้ว ฮา.
ไม่มีคำแก้ตัวค่ะ เพราะติดงานหนักมาก
ส่วนช่วงวันหยุดยาวอย่างสงกรานต์ หรือช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา..เที่ยวหนักมาก!
เนื่องจากอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย เลยเต็มที่กับชีวิตไปหน่อย ฮา. #ผิด
โผล่มาเอาช่วงนี้ และจะขอหายไปพักนึงนะคะ เพราะอันนี้ติดงานหนักของแท้
สอบไฟนอลนั่นเอง
เอาเป็นว่าลุยไฟนอลเสร็จเมื่อไหร่ จะรีบกลับมาอัพทันทีเลยนะคะ จุ๊บๆ
ขอบคุณที่ตามอ่านกันมาเรื่อยๆ นะคะ <3
ความคิดเห็น