ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Fairy Tail] Attraction เสน่ห์ร้าย ยัยจอมเวท

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter >> 5 :: หนทางในการแก้ไข

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ค. 58


     




    CHAPTER > 5

     

    แสงแดดยามเช้าส่องผ่านผ้าม่านเข้ามากระทบกับเปลือกตาของร่างบาง  ทำให้เจ้าของร่างปิดตาให้แน่นกว่าเดิม ก่อนจะดึงเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเพื่อปิดกั้นแสงแดดนั้น  ทว่าเพียงชั่วครู่...เธอกลับต้องดึงผ้าห่มลงเพียงเพราะหายใจไม่สะดวก  ก่อนที่สุดท้ายแล้วจะยอมเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ แต่ก็ต้องกระพริบอีกสองสามครั้งเพื่อปรับสายตาให้ชิน

     

    “อือ...” ลูซี่ครางเสียงแผ่วอย่างคนที่ขี้เกียจจะตื่นนัก  ก่อนจะต้องขมวดคิ้วงุนงงเมื่อเห็นหน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้จนผ้าม่านปลิวสะบัดตามลม...อันเป็นเหตุให้แสงแดดเล็ดลอดเข้ามาแยงตาเธอแต่เช้าแบบนี้

     

    แต่เมื่อพบกับแสงสว่างจ้าของยามเช้า  ก็พลันทำให้ลูซี่คิดถึงความฝันเมื่อคืน...ฝันที่เธอไม่สู้จะดีใจนัก  เพราะเธอหลงทางอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความมืด...ไร้ซึ่งทางออก  และในช่วงที่จิตใจกำลังจะสูญสิ้นความหวัง  เสียงอันอบอุ่นของใครบางคนก็เอ่ยเรียกเธอ...และมือของเขาก็ยื่นมาเช็ดน้ำตาให้เธออย่างแผ่วเบา...อีกทั้งจูบที่เขามอบให้เธอนั้นมันช่างอ่อนโยนเสียเหลือเกิน      

     

    “คงจะเป็นเจ้าชายที่มาช่วยเจ้าหญิงผู้งดงามอย่างเราสินะ” พูดแล้วก็อดจะหัวเราะกับคำพูดของตัวเองไม่ได้  ..เจ้าหญิงผู้งดงาม.. แหม? คิดได้ไงกัน...  ลูซี่ยิ้มรับความคิดตนเอง  ความง่วงหายไปเป็นปลิดทิ้ง  หากแต่ความขี้เกียจยังคงอยู่  ทำให้ร่างบางไม่อยากจะลุกออกจากที่นอน  จึงพลิกตัวหันกลับไปอีกทาง...

     

    ...แล้วดวงตากลมโตก็เบิกกว้างอย่างตกตะลึง

     

    ใบหน้าคมที่ถูกล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีชมพูอยู่ชิดใกล้จนสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนของอีกฝ่าย   ริมฝีปากของคนตรงหน้าเผยอออกเล็กน้อยพอให้ได้ยินเสียงกรนแผ่วๆ ดังเล็ดลอดออกมา  และยังไม่ทันที่ร่างบางจะไหวตัวทำอะไรได้  เจ้าริมฝีปากที่ว่าก็เคลื่อนเข้ามา...ประทับลงบนปลายจมูกรั้นของเธอเบาๆ

     

    “งืมๆ ลูซี่....จุ๊บ”

     

    “....................”

     

    งานนี้ไม่มีอะไรเกินไปกว่าคำว่าอึ้ง!!!

     

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” ลูซี่กรีดร้องออกมาสุดเสียง  ทั้งเขินทั้งตกใจที่โดนจุ๊บปลายจมูก หากแม้จะอยู่ในภาวะที่จิตใจสับสน  แต่ขาเรียวงามของเธอก็ยังคงทำงานได้เองโดยอัตโนมัติ...โดยการถีบร่างที่นอนอยู่เคียงข้างออกไปสุดแรง  ส่งผลให้เจ้าของเรือนผมสีชมพูกลิ้งตกลงไปกระแทกกับพื้นเสียเต็มแรง  ครานี้ใบหน้าหวานแดงก่ำด้วยความโกรธปนความเขินอาย  ในใจคิดไปต่างๆ นานาถึงสาเหตุที่นัตสึมานอนอยู่ข้างกายเธอได้  ..ทะ  ทำไมนัตสึถึงมานอนอยู่ข้างๆ เราล่ะ  ไม่สิ  ทำไมหมอนั่นถึงเข้ามาในห้องเราได้  ก็เมื่อคืนเราล็อคห้องไว้แน่นหนาดีแล้วนะ  แล้วทำไม...ทำไม...ทำไม..?????????  คำว่า ทำไมอยู่เต็มหัวไปหมด  แต่ถามตัวเองไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาอยู่ดี  นัยน์ตาสีน้ำตาลจึงจ้องไปที่ร่างสูงที่ตอนนี้ส่งเสียงร้องโอดครวญ  พร้อมทั้งกำลังพยุงตัวขึ้นมานั่งมองเธอด้วยสีหน้าสะลึมสะลือ

     

    “โอย  ทำอะไรของเธอเนี่ย  ลูซี่?”

     

    “ฉันสิที่ต้องเป็นคนถาม” ร่างบางสวนกลับทันที  ใบหน้ายังคงเจือไปด้วยสีแดงระเรื่อ “นายทำบ้าอะไรของนายเนี่ยนัตสึ?  ทำไมถึงโผล่มาอยู่บนเตียงของฉันได้ล่ะห๊ะ??”

     

    คนถูกถามนิ่งไปเล็กน้อย  ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามพร้อมกับเปิดปากหาวหวอด “ก็เมือคืนฉันปีนหน้าต่างเข้ามา  แต่เห็นว่าเธอหลับอยู่...ก็เลยกระโดดขึ้นเตียงมานอนด้วยซะเลย  ฮ้าว~

     

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดด” ลูซี่กรี๊ดออกมาอีกครั้งเมื่อได้ฟังคำตอบของนัตสึ  ปีนหน้าต่างขึ้นมา..?  มิน่าล่ะ  ตื่นมาตอนเช้าผ้าม่านมันถึงได้ปลิวสะบัดพลิ้วลมซะขนาดนั้น  ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเธอมั่นใจว่าเธอล็อคประตูและหน้าต่างไว้เรียบร้อยหมดแล้วแท้ๆ  แต่เฮ้ย!! มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาห่วง  สิ่งที่เธอต้องห่วงก็คือ...เมื่อคืนนัตสึ  ชายผู้ที่เป็นหนึ่งในคนที่โดนยาเสน่ห์เข้าไปได้ทำอะไรเธอรึเปล่าต่างหากล่ะ  ไม่ใช่ว่าแอบลักหลับเธอไปแล้วหรอกนะ “นี่นัตสึ! เมื่อคืนนายไม่ได้...ทะ  ทำอะไรกับฉันใช่ไหม??”

     

    “ทำอะไร??” ถามกลับด้วยใบหน้าใสซื่อ (และอาจจะบื้อด้วย)

     

    เห็นใบหน้าของร่างสูงที่เหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร  ลูซี่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้กระทำการล่วงเกินอะไรเธอแน่นอน  ร่างบางจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจน้อยๆ อย่างโล่งอก  แต่...เธอลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไปรึเปล่านะ ? 

     

    เรื่องที่ว่าเธอควรจะต้องระวังตัวจากเขาให้มากกว่านี้

     

    “ว่าแต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า” เจ้าของนัยน์ตาสีนิลกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ  ก่อนจะปีนกลับขึ้นเตียง  พาให้คนที่กำลังโล่งใจอยู่ต้องแสดงสีหน้าหวาดวิตกออกมาอีกครั้ง 

     

    “จะทำอะไรของนายน่ะนัตสึ  ปีนกลับขึ้นมาทำไม ?”

     

    “ก็ฉันง่วงนี่นา  นอนต่อเหอะลูซี่”  ไม่ว่าเปล่า  ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเอื้อมเข้าไปโอบช่วงไหล่ของร่างบาง...ก่อนจะออกแรงกดให้เธอล้มตัวลงนอนไปพร้อมกับเขา...

     

    ...และงานนี้  ลูซี่มีอันต้องอึ้งอีกครา

     

    “จะ จะ จะ จะทำอะไรน่ะ” ลูซี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก  ใบหน้าหวานขึ้นสีระเรื่ออีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าคมของอีกฝ่ายเคลื่อนเข้ามาใกล้กับใบหน้าของเธอ

     

    “บอกฝันดีไง” นัตสึตอบพร้อมกับฝากริมฝีปากอุ่นๆ ของตนลงบนแก้มที่แดงก่ำราวผลมะเขือเทศสุกของเธอ

     

    “อ๊ะ...” คนถูกกระทำอุทานออกมาด้วยความตกใจ  หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงมากขึ้นไปอีก  ดวงตากลมโตเหลือบมองอีกคนทันที...ก็พบว่าเขากำลังส่งยิ้มหวานให้กับเธอ 

     

    ...รอยยิ้มที่ราวกับรักใคร่

    ทว่ามันน่าหวาดกลัวเกินไปสำหรับลูซี่...

     

    ไม่มีรอยยิ้มใดๆ ตอบกลับไป  เช่นกันกับที่ไม่มีคำพูดใดๆ ถูกเอื้อนเอ่ย  สิ่งที่ลูซี่ทำได้มีเพียงปัดแขนแกร่งของอีกคนออก  ก่อนจะลุกพรวดขึ้นแล้วกระโดดลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว  นิ้วเรียวยกขึ้นมาชี้ใส่หน้าอีกฝ่าย  แม้หน้าจะยังแดงก่ำอยู่ก็ตามที  แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ  “นายออกไปจากห้องของฉันเดี๋ยวนี้เลยนะนัตสึ!

     

    “หืมม์ ?” คนถูกไล่ครางเสียงอ่อนอย่างคนกำลังง่วง  แต่ก็ยังคงลืมตาและลุกขึ้นมานั่งมองเจ้าของห้องที่ตอนนี้กำลังตวาดแว้ดใส่เขา “อะไรของเธออีกล่ะเนี่ย ?”

     

    “ฉันบอกให้ออกไป๊!!” ลูซี่ยังคงชี้หน้าและออกคำสั่ง ไล่ให้นัตสึออกไปจากห้องของเธอ  คราวนี้เธอไม่ตลกด้วยแล้วจริงๆ  เมื่อก่อนหน้านั้นอาจจะรู้สึกเขินมากกว่าโกรธก็จริง  แต่ตอนนี้เธอโกรธ...โกรธมากกว่าเขินแล้วนะ!

     

    “ไม่เอาน่าลูซี่  อย่าเพิ่งโกรธกันเลยนะ  ตอนนี้ฉันง่วงมากเลย  ฮ้าว” นัตสึพูดไปหาวไป  เหมือนกับว่าเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร “ถ้าเธอไม่อยากจะนอนด้วยกันก็ให้ฉันนอนเตียงของเธอหน่อยเถอะ  อย่างกไปเลยน่า”

     

    เจอประโยคสุดท้ายของนัตสึเข้าไป  ก็ยิ่งพาให้อารมณ์เดือดดาลเข้าไปใหญ่  ลูซี่โวยกลับทันที  แต่อีกคนกลับไม่สนใจ  ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของเธออย่างหน้าตาเฉย  จนร่างบางตัวสั่นเทาไปด้วยความโกรธ  อยากจะเข้าไปคว้าตัวนัตสึแล้วลากออกจากห้องของเธอเสีย  แต่ก็กลัวว่ามันจะเป็นเหมือนในนิยายที่เคยอ่านมา...ที่ว่าพอนางเอกเข้าไปดึงตัวพระเอกให้ลุกขึ้น  เขาก็ฝืนตัวไว้แล้วดึงตัวของนางเอกล้มทับลงไปบนอกของเขาพร้อมรัดร่างนางเอกไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่ง  แล้วก็แจกหอมให้ฟอดใหญ่... ขืนมันเป็นแบบในนิยายขึ้นมา...เธอยอมแพ้ค่ะ  ไม่เอาแบบนั้นเด็ดขาด  เช้านี้เธอเจอมาเยอะมากพอแล้วล่ะ

     

    “จะไปหรือไม่ไปนัตสึ!?” ถามออกไปอีกครั้ง  แต่ไร้เสียงตอบรับใดๆ จากคนที่เธอเรียก  แล้วความอดทนของลูซี่ก็หมดลงในที่สุด “ได้!! งั้นฉันไปเอง”

     

    เพราะไม่กล้าเข้าไปทำอะไรอีกฝ่าย  จึงต้องเป็นตัวเองที่เดินปึงปังออกมาจากบ้านของตนเองอย่างไม่สบอารมณ์  ใบหน้าหวานบึ้งตึง  ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง  ก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองยังหน้าต่างห้องนอนของตัวเองที่ยังคงเห็นผ้าม่านพลิ้วสะบัดไหวไปมา  ก็อดไม่ได้ที่จะด่าร่างสูงที่เป็นคนเปิดมัน “นายมันงี่เง่าที่สุดเลย”

     

     

     

    ตั้งแต่จำความได้  ลูซี่ไม่เค๊ย~ ไม่เคยเลยที่จะพาตัวเองออกมาวิ่งนอกบ้านในสภาพหน้าสด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง  หรือยังคงสวมชุดนอนอยู่แบบนี้  (ถึงแม้ว่าหน้าสดเธอจะสวยก็ตามที)  จริงอยู่ว่าเวลาไปทำภารกิจ  เพื่อนร่วมทีมอาจจะเคยเห็นสภาพตอนตื่นนอนของเธอ  แต่นั่นก็เป็นแค่คนจำนวนน้อยอีกทั้งยังเป็นเพื่อนที่เธอไว้ใจ (ให้เห็นหน้าสดได้)  แต่การที่ต้องมาวิ่งด้วยสภาพเช่นนั้นท่ามกลางสายตาของชาวเมืองแมกโนเลียกว่าสามสิบชีวิตแบบนี้  นับเป็นประสบการณ์ที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน

     

    และนี่มันก็ไม่ใช่เวลาจะมาอับอายด้วย  -___-  สิ่งที่เธอต้องทำก็คือวิ่งผ่านสายตาของผู้คนทั้งหลาย...เพื่อไปหาที่พึ่งพิงของเธอ

     

    @@@@@@@@@@@@@@

     

     

    ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    เสียงเคาะประตูดังรัวอยู่หน้าห้อง  พาให้เจ้าของห้องร่างเล็กต้องรีบวิ่งมาเปิดประตูให้  ก่อนจะพบว่าคนที่รัวเคาะอยู่นั้นคือเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ผู้ที่กำลังยืนอยู่ในชุดนอน.........สภาพดูไม่จืดเลยทีเดียว

     

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณลูซี่!!” เวนดี้เอ่ยถามอย่างตกใจ  ก่อนจะเปิดประตูออกกว้างแล้วเชื้อเชิญให้อาคันตุกะผู้หน้าหมองคล้ำไม่สดใสอย่างที่เคยเป็นเข้ามาในห้องของตนเอง “ทำไมถึงได้มาทั้งสภาพแบบนี้ล่ะคะ?”

     

    “ไม่ไหวแล้วเวนดี้!!” ลูซี่ถลากอดร่างเล็ก “เมื่อเช้าฉันเจอเรื่องน่ากลัวเข้าน่ะสิ  ถึงได้รีบมาหาเธอแบบนี้”

     

    “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ?” เวนดี้เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง 

     

    “กะ  ก็เมื่อเช้านี้น่ะ  นัตสึ...นัตสึเค้า.....” คำตอบมีเพียงเท่านี้  ส่วนที่เหลือต่อจากนั้นเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ไม่ได้พูดต่อเอาไว้  ทำให้เด็กหญิงเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินได้แต่จินตนาการไปตามความคิดของตนเอง  ก่อนสาวร่างเล็กจะหน้าแดงขึ้นมาทันที

     

    “อย่าบอกนะคะว่าคุณนัตสึข่มขืนคุณลูซี่น่ะ!!

     

    “จะบ้าเหรอเวนดี้  ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย”  ลูซี่รีบตอบปฏิเสธกลับไปทันที  ก่อนจะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้กับเวนดี้ฟัง 

     

    ถึงแม้จะไม่ได้เป็นแบบที่คาดเดาไว้  แต่มันก็อดหน้าแดงอย่างช่วยไม่ได้  เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากลูซี่  ...ไม่หนักเท่าขั้นข่มขืน...แต่ความฟินระดับสิบค่ะ >//<

     

    “หน้าแดงทำไมน่ะเวนดี้” ชาร์ลที่นั่งฟังเรื่องราวอยู่เงียบๆ เอ่ยถามดราก้อนสเลเยอร์สาวร่างเล็ก  ทำให้ลูซี่หันมามองหน้าของเวนดี้ไปด้วยอีกคน

     

    “อะ  เอ่อ...ก็...หนูรู้สึกเขินแทนคุณลูซี่น่ะค่ะ  ตื่นมาก็เจอคุณนัตสึนอนอยู่ข้างๆ บนเตียงเลย  แถมยังมีมอนิ่งคิสกันอีก”  พูดพลางก้มหน้างุดอย่างขัดเขิน   ซึ่งก็ทำให้ชาร์ลได้แต่ส่ายหน้าไปมา

     

    “อย่าพูดแบบนั้นสิเวนดี้  ไม่ใช่มอนิ่งคิสซะหน่อย” ลูซี่ว่าพลางน้ำตาจะไหล  อยากจะร้องไห้หนักมาก  “แต่คิดดูแล้ว...นี่แค่นัตสึคนเดียวยังทำเอาฉันลำบากขนาดนี้เลย   เกิดวันดีคืนดีเล่นโผล่เข้ามาในห้องฉันพร้อมกันทั้ง  6 คนเลยล่ะ...แบบนั้นฉันไม่กลายสภาพเป็นศพคาห้องตัวเองเลยเหรอ?  T^T

     

    “น่ากลัวจังเลยค่ะ” เวนดี้ว่าเสียงสั่น  หากแต่ใบหน้ากลับแดงยิ่งขึ้น 

     

    “แล้วนี่เธอจะทำยังไงล่ะ?  จะอยู่ในสภาพนี้ไปทั้งวันเลยรึไง?” ชาร์ลเอ่ยถามพร้อมมองสภาพของลูซี่ด้วยสายตาเอือมๆ ก็นะ...น้ำก็ไม่อาบ  แถมใส่ชุดนอนวิ่งหัวเปิงมาซะขนาดนี้  ถ้าจะอยู่แบบนี้ทั้งวันโดยที่ไม่อาบน้ำมันก็เกินไปหน่อยละ

     

    “ก็ฉันไม่กล้ากลับไปห้องของตัวเองตอนนี้นี่” ลูซี่ว่าเสียงอ่อย  “ไม่รู้ว่าป่านนี้นัตสึจะกลับบ้านตัวเองไปรึยัง”

     

    ใช่...เธอคงไม่กลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแน่ๆ ถ้านัตสึยังอยู่ในบ้านของเธอ  เหตุการณ์เมื่อเช้านับว่ายังโชคดีด้วยซ้ำไปที่ไม่โดนทำอะไรมากไปกว่านี้  อาจเพราะนัตสึง่วงด้วยก็เป็นได้  แต่ถ้าสมมุติว่าหมอนั่นไม่ง่วงขึ้นมา  บางทีเธอคงจะไม่มีโอกาสได้วิ่งมาหาเวนดี้แบบนี้แล้วก็เป็นได้  แต่กลับกลายเป็นว่าอาจจะกำลังนอนทอดร่างอยู่เคียงข้างกับนัตสึบนเตียง  .//.  ..เห้ย!! บ้าไปแล้ว  คิดอะไรบ้าไปแล้วจริงๆ เรา..   แต่คิดๆ ไปก็พาลจะเริ่มกลัวนัตสึขึ้นมาเสียแล้ว...

     

    เอาจริงๆ ตั้งแต่ได้รู้จักกับนัตสึมา  ไม่เคยมีครั้งไหนที่ลูซี่รู้สึกไม่อยากจะอยู่ใกล้เขามากเท่ากับครั้งนี้มาก่อน   ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมามันมีแต่ความสุขและความสบายใจ  ผู้ชายคนนี้ไม่เคยต้องทำให้เธอกังวลใจเลยสักครั้งเดียว  แต่แล้ว...เมื่อสองวันก่อน  วันที่เธอได้รับน้ำยาปริศนามาจากคุณลุงผู้ที่เธอเข้าไปช่วยเหลือ...ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง  เพื่อนผู้ที่เธอให้ความไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดกลับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน  เหมือนกับว่าเขาถูกปีศาจเข้าสิง  ถึงจะไม่ใช่ปิศาจร้าย  แต่มันก็ทำให้เธอหวาดกลัวขึ้นมาอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้   เพราะเจ้าปีศาจที่เข้าสิงเขานั้นได้ดลบันดาลให้นัตสึทำในสิ่งที่เขาไม่เคยกระทำต่อเธอมาก่อน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลับนอนร่วมเตียงกัน  ที่ถึงแม้จะเคยนอนเตียงเดียวกันมาก่อนก็จริง  แต่มันเป็นตอนที่เธอไม่รู้สึกตัวต่างหาก  เพราะถ้าเธอรู้ว่าเขานอนอยู่  เธอก็จะรีบลุกหนีออกจากเตียงทันทีหรือบางทีก็ไล่เขาให้ไปนอนที่โซฟา  แต่นี่มันคืออะไรกัน..?  นอกจากจะนอนเตียงเดียวกันแล้ว  เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นใบหน้าของเขาอยู่ชิดใกล้  และริมฝีปากคู่นั้นที่ค่อยๆ เลื่อนมาประทับจูบไว้บนปลายจมูกของเธออีก (แม้มันจะไม่ใช่ปากก็เถอะ -//-)  เท่านั้นยังไม่พอ  เขายังบังอาจมาหอมแก้มเธอเสียได้......ตรงนี้แหละที่มันน่าเสียใจยิ่งนัก  ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรือว่าอะไรหรอกนะ  แต่เพราะเป็นเพื่อนกัน...ทำแบบนี้มันออกจะเป็นการเกินเลยไปหน่อยหรือเปล่า ?  แต่อย่าว่าแต่นัตสึเลย...แม้แต่เอลซ่าที่เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิท (แถมยังเป็น ผู้หญิง) ก็ได้ฝากริมฝีปากเอาไว้บนแก้มของเธอมาแล้วเช่นเดียวกัน  และการกระทำอันประหลาดๆ ของพวกนี้มันก็มีผลมาจาก ยาเสน่ห์ทั้งสิ้น  ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเธออาจจะโดนคนอื่นๆ ที่เหลือกระทำแบบนี้ด้วยเหมือนกัน  ..นับว่าเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ของสาวสวยอย่างเธอเลยก็ว่าได้!

     

    เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินมองร่างบางเจ้าของเวทอัญเชิญที่กำลังทำหน้าครุ่นคิดหนัก  ก็ต้องยิ้มอ่อนๆ ให้กับอีกฝ่ายพลางหาทางช่วยเหลือให้  “ทำไมคุณลูซี่ไม่เรียกให้คุณเวอร์โก้ช่วยเอาชุดมาให้ล่ะคะ?”

     

    “จริงด้วย!” ลูซี่ยิ้ม  แต่ครู่เดียวเธอก็ต้องทำหน้าสลดลง “แต่...ฉันไม่ได้พกกุญแจมาด้วยน่ะสิเวนดี้”

     

    คราวนี้ทั้งเธอและทั้งเวนดี้เลยหน้าจ๋อยไปพอๆ กัน  ก่อนที่ชาร์ลจะเป็นฝ่ายเสนอความคิดเห็น “เธอก็ไปขอยืมเสื้อผ้าจากจูเบียก่อนดีไหม?  รูปร่างเธอกับจูเบียก็ใกล้เคียงกันดี  น่าจะสวมเสื้อผ้าของยัยนั่นได้นะ”

     

    “เอ่อ...มันก็ได้อยู่หรอกนะ  แต่ปัญหาคือจูเบียจะยอมให้ฉันยืมเสื้อผ้าเหรอ?”  อีกอย่าง...เสื้อผ้าของจูเบียแต่ละชุดก็มีแต่ตัวที่ปิดมิดชิดทั้งนั้น  ไม่เหมือนกับของเธอที่มักจะชอบใส่เสื้อผ้าบางๆ น้อยชิ้นซะด้วย

     

     “คุณจูเบียต้องช่วยคุณลูซี่อยู่แล้วล่ะค่ะ” เวนดี้ตอบพร้อมยิ้มหวาน

     

    “อืม...แล้วหลังจากที่เธออาบน้ำเสร็จ   พวกเราก็ลองปรึกษาหารือกันเรื่องยาเสน่ห์ที่ห้องของเรวี่ดีไหมล่ะ??” ชาร์ลเอ่ยถาม

     

    เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ประกายได้ฟังความคิดเห็นของหนึ่งเด็กสาวและหนึ่งแมวแล้วก็ต้องยิ้มให้ด้วยความขอบคุณ  “ขอบคุณพวกเธอมากๆ เลยนะเวนดี้  ชาร์ล  ฉันคิดไม่ผิดจริงๆ ด้วยที่วิ่งมาขอความช่วยเหลือจากพวกเธอ”

     

    “หนูกับชาร์ลยินดีช่วยคุณลูซี่อยู่แล้วล่ะค่ะ” เด็กสาวว่าพลางยิ้มร่า

     

     

    จากนั้นลูซี่ก็ไปขออาบน้ำและยืมเสื้อผ้าของจูเบีย  โดยในตอนแรกนั้นสาวแห่งสายน้ำมีท่าทีอิดออดเหมือนไม่ค่อยอยากจะยอมนัก  เพราะกลัวว่าถ้าลูซี่มาใส่เสื้อผ้าแบบตัวเองแล้ว  อาจจะมีผลกับท่านเกรย์ได้  และมันจะเป็นการวางคาแร็คเตอร์ให้ดูซ้ำกัน  -*-  แต่พอได้ยินว่าโลกิยังไม่พาเกรย์กลับมาจากการทำภารกิจ  แถมพอเวนดี้เล่าเรื่องที่ลูซี่ต้องประสบพบเจอมาเมื่อเช้าให้จูเบียฟัง  สาวเจ้าจึงได้ยอมอนุโลมให้กับลูซี่  พร้อมประโยคแถมท้ายที่ว่า “นอนด้วยกันซะแล้ว  แบบนี้ท่านเกรย์ก็เป็นของจูเบียคนเดียวแล้วสิ”

     

    ซึ่งหลังจากทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว  ทั้งหมดก็ไปยังห้องของแม่หนอนหนังสือร่างเล็กผู้มีเรือนผมสีฟ้าเหลือบน้ำเงิน  ก็พบว่าเรวี่เองก็เหมือนจะรอพวกเธออยู่เช่นกัน

     

    “พอดีเลย  ตอนแรกฉันกะว่าจะไปหาลูจังอยู่แล้วเชียว” สาวร่างเล็กว่า

     

    คนได้ฟังก็รีบถามกลับทันทีอย่างที่พอจะรู้นัย “แสดงว่าเรวี่จังรู้วิธีแก้แล้วใช่ไหม??”  และเมื่อเรวี่พยักหน้าตอบ  ลูซี่ก็ไม่รอช้ารีบกระโดดกอดสาวร่างเล็กตรงหน้าทันทีด้วยความดีใจ  จนคนถูกกอดได้แต่ยิ้มแหยให้เพราะหน้าอกของเพื่อนสาวมันเบียดร่างเธออยู่  แล้วจึงบอกให้ทุกคนไปนั่งคุยกันต่อดีกว่า

     

    “คืองี้นะลูจัง  ฉันลองเปิดหาจากหนังสือหลายๆ เล่มดูแล้ว  ก็พบว่าแต่ละเล่มต่างก็เขียนเอาไว้ว่าถ้าเป็นยาเสน่ห์ทั่วไป  มันจะหายเป็นปกติเองเมื่อผ่านไปหนึ่งคืน  แต่เมื่อวานเวนดี้มาเล่าให้ฉันฟังว่าเธอถูกเอลซ่า....เอ่อ....นั่นแหละ แหะๆ” เรวี่กล่าวอธิบายจนมาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูซี่เมื่อวาน  เธอจึงเอ่ยตะกุกตะกักไปเล็กน้อย  ก่อนจะรีบอธิบายต่อเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวผู้ถูกกล่าวถึงกำลังทำหน้าซีดราวกับหวาดกลัว “ฉันก็เลยลองไปค้นหาจากตำราเก่าๆ ดู  แล้วพบว่า...เจ้าน้ำยาที่ลูจังได้มาน่ะ เป็นยาเสน่ห์ที่ผสมขึ้นมาด้วยเวทมนต์และส่วนผสมพิเศษ  ทำให้มีระยะเวลาในการออกฤทธิ์.......ตลอดชีวิตจ้า”

     

    “หา!!!!!!”  คราวนี้ไม่ใช่แค่ลูซี่เท่านั้นที่หน้าซีดกับสิ่งที่ได้ฟัง  เพราะทุกคนที่อยู่ในห้องเองต่างก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกตะลึงเมื่อได้ยินกับคำพูดของเรวี่  ถึงแม้เวนดี้จะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้  แต่เธอเองก็อดที่จะอุทานออกมาด้วยไม่ได้เช่นกัน  ชาร์ลเอง...ก็คงรู้นะ  ส่วนคนที่อาการหนัก (พอๆ กับลูซี่) ก็เห็นจะเป็นจูเบียเนี่ยล่ะ สาวผู้ใช้เวทน้ำก็ไม่รอช้ารีบละล่ำละลักถามเรวี่กลับไปทันที  “พูดแบบนั้น...หมายความว่าท่านเกรย์จะรักลูซี่ไปตลอดชีวิตเลยอย่างนั้นเหรอคะ??”

     

    “อ่า  ก็...ประมาณนั้นล่ะ” เรวี่ตอบรับ  นัยน์ตากลมโตเหลือบไปมองยังเพื่อนผมสีบลอนด์ที่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก  ก็แน่ล่ะนะ  ลองคิดว่ามีคนมากมายมารุมมาตุ้มรุมรักตนเองไปตลอดชีวิตแบบนี้  แถมยังเป็นรักที่เกิดจากยาเสน่ห์ด้วยแล้ว  เป็นใครก็ต้องเครียดเป็นธรรมดา  แต่แม่สาวผู้เป็นหนอนหนังสือก็ไม่อยากจะให้เพื่อนเครียดนัก  จึงรีบเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริง  “แต่...ไม่ต้องกังวลไปหรอกจ้า  เพราะอย่างที่บอกว่าฉันได้วิธีแก้มาแล้ว”

     

    “จริงเหรอคะ??” จูเบียรีบถาม  ก่อนจะหันไปบอกกับลูซี่ด้วยท่าทางดีใจเป็นที่สุด “ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วล่ะค่ะ  เพราะท่านเกรย์จะหายแล้ว  ท่านเกรย์จะไม่มีวันรักลูซี่ไปตลอดชีวิตแล้ว”

     

    “เอิ่ม...ฉันไม่ได้เครียดเรื่องเกรย์คนเดียวซะหน่อย”  ลูซี่ว่าพลางเบ้หน้าเล็กน้อย  แล้วหันไปมองยังเพื่อนสาวตัวดีที่แย้มยิ้มหวานให้กับเธอ “เรวี่จังนี่ล่ะก็...เล่นพูดซะฉันกังวลหนักเลย”

     

    คนถูกต่อว่าหัวเราะน้อยๆ “แต่ที่ฉันพูดก็เป็นเรื่องจริงนะ  ยาเสน่ห์ตัวนั้นน่ะจะออกฤทธิ์ไปตลอดชีวิต  พูดง่ายๆ ก็คือ...ใครก็ตามที่โดนมันเข้าไป  จะต้องรักเธอไปตลอดชีวิตเลยล่ะ”

     

    ได้ยินแบบนั้นแล้วก็พาให้ลูซี่ต้องขนลุกอีกครั้ง  “แล้ว...วิธีแก้ที่ว่านั่นน่ะ  คือวิธีอะไรเหรอ?”

     

    “สมุนไพรสารพัดประโยชน์” เรวี่ว่าด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว

     

    “สมุนไพรสารพัดประโยชน์...” เวนดี้เอ่ยทวนคำของของเรวี่ด้วยความรู้สึกราวกับว่าชื่อของมันช่างคุ้นหูของเธอเสียเหลือเกิน “เคยได้ยินมาจากที่ไหนก่อนรึเปล่านะชาร์ล ?”

     

    “อืม  ก็สมุนไพรที่พวกเราเคยไปหากันมาที่ภูเขาฮาโคเบะไงล่ะ” ชาร์ลตอบเสียงเรียบ  แต่มันกลับทำให้เวนดี้และลูซี่ที่ได้ยินถึงกับต้องร้องหาเสียงดัง

     

    “อย่าบอกนะว่ามันคือไอ้สมุนไพรที่มีไวเวิร์นขาวเฝ้าอยู่น่ะ??” ลูซี่รีบถามย้อนทันที  ในหัวพลางนึกถึงภารกิจที่เธอและทีมเคยได้รับมอบหมายให้ไปหาสมุนไพรสารพัดประโยชน์ที่ภูเขาฮาโคเบะ  เป็นภารกิจที่เหมือนจะไม่ยาก  เพราะแค่ครู่เดียวนัตสึก็สามารถหาสมุนไพรเจอ  แต่ที่ตรงนั้นมันดันมีเจ้าสัตว์ประหลาดหรือตัวไวเวิร์นขาวเฝ้าอยู่ด้วย  เพราะสมุนไพรสารพัดประโยชน์เป็นอาหารโปรดของมันน่ะสิ  เล่นเอาวุ่นวายกันไปหมดเลยทีเดียว

     

    “ก็นั่นล่ะนะลูจัง” เรวี่ตอบพลางยิ้มแหย “เราจะต้องไปเอาสมุนไพรสารพัดประโยชน์มาต้มรวมกับน้ำตาของลูจัง  พร้อมกับท่องเวทมนต์บทหนึ่งไปด้วย  แล้วจากนั้นก็นำไปให้พวกนั้นดื่ม....ทุกอย่างก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม”

     

    “รวมกับน้ำตาของฉันเนี่ยนะ??” ลูซี่ว่าอย่างไม่อยากจะเชื่อถือนัก  มีอย่างที่ไหนกันที่ต้องเอาสมุนไพรมาต้มรวมกับน้ำตา  ถึงจะช่วยให้ยาเสน่ห์เสื่อมฤทธิ์ได้  บ้าไปแล้ว

     

    “จริงๆ นะ” เรวี่ยืนยันสิ่งที่ตนได้มาจากตำราด้วยน้ำเสียงจริงจัง  “ถ้าลูจังไม่ทำตามนี้...ก็หาวิธีแก้อื่นไม่ได้แล้ว  เพราะฉันเพิ่งจะเจอแค่วิธีนี้วิธีเดียว”

     

    “เอาแบบนั้นเถอะค่ะลูซี่  ถ้าเกิดต้องใช้น้ำตาแล้วคุณร้องไห้ไม่ออกจริงๆ  จูเบียจะทำให้คุณร้องไห้ออกมาเป็นสายน้ำเอง” จูเบียพูดเสียงเย็นใส่  ทำให้ลูซี่อดจะขนลุกไม่ได้  แหม่...ทำท่าโหดขนาดนี้  คงจะกลัวเกรย์รักเธอไปตลอดชีวิตสินะเนี่ย ?    

     

    “เข้าใจแล้วๆ” เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์พยักหน้ารับ  ก่อนจะเหลือบมองสามสาวกับหนึ่งแมวที่นั่งอยู่ด้วยกัน  แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อนด้วยความรู้สึกเกรงใจ “แล้ว...ใครจะไปเอาสมุนไพรสารพัดประโยชน์กับฉันล่ะ??”

     

    “หนูค่ะ” เวนดี้ตอบรับทันที

     

    เจ้าแมวน้อยสีขาวจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย  ถึงจะไม่อยากไปเจอกับไวเวิร์นอะไรนั่นก็เถอะ  แต่คงจะปล่อยให้เวนดี้ไปกับลูซี่แค่สองคนไม่ได้ “...ฉันด้วย”

     

    “งั้นจูเบียก็จะไปด้วยค่ะ” จูเบียตอบรับด้วยน้ำเสียงแข็งขัน  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารายนี้อยากจะช่วยให้แก้มนตร์ของยาเสน่ห์มากขนาดไหน

     

    “ส่วนฉัน...คงไม่ได้ไปด้วยนะ  เพราะฉันจะต้องพากาซิลไปทำภารกิจอย่างอื่น....” เรวี่ว่าน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมก้มหน้างุด  แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะหึหึของเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ในห้องแล้ว  สาวร่างเล็กก็ต้องเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะพบกับใบหน้าของทุกคนที่มองมาทางเธออย่างมีเลศนัย  “มะ  ไม่มีอะไรซะหน่อย  ก็แค่ทำภารกิจเอง  ทำไมทุกคนต้องมองอย่างนั้นด้วยเล่า”

     

    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” เวนดี้ยิ้มพร้อมหน้าแดงเล็กน้อย

     

    “โชคดีนะคะ” จูเบียเองก็อวยพรอย่างที่พอจะดูออกว่าระหว่างเรวี่และกาซิลเองก็อะไรบางอย่างต่อกันอยู่  เพียงแต่มันเป็นเส้นความสัมพันธ์บางๆ ที่ยังไม่ชัดเจนนัก  แม้ฝ่ายหนึ่งจะเริ่มแสดงให้เห็นชัดเจนบ้างแล้วก็ตามที

     

    “นี่!!” เจ้าของห้องแหวให้ทุกคน  ก่อนจะเดินหนีไปทางอื่นเพราะไม่สามารถสู้กับสายตาของทุกคนได้  แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาพูดเรื่องสำคัญ “รีบไปหาสมุนไพรนั่นเถอะ  ช่วงนี้เป็นฤดูที่เจ้าสมุนไพรนั่นออกน้อย  บางทีอาจจะโดนไวเวิร์นเก็บกินไปหมดแล้วก็ได้”

     

    คราวนี้สาวๆ ที่เหลือจึงได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างร้อนรน  ก่อนจะขอตัวลาเรวี่เพื่อที่จะไปทำภารกิจตามล่าหาสมุนไพรสารพัดประโยชน์  “ไปก่อนนะเรวี่จัง  ขอบใจมากๆ เลยนะ  ถ้าไม่ได้เรวี่จังช่วย...ฉันคงต้องแย่ต่อไปอีกหลายวันแน่ๆ”

     

    “ไม่เป็นไรหรอก  ก็ลูจังเป็นเพื่อนซี้ของฉันนี่นา” เรวี่ว่าพร้อมยิ้มกว้างให้ลูซี่  หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของปัญหาจึงได้แต่ยิ้มของคุณอีกครั้ง  รู้สึกดีใจที่มีเพื่อนดีๆ คอยอยู่เคียงข้างไม่ทิ้งให้เธอต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง   แถมรายนี้น่ะห่วงใยเธอแน่ๆ อยู่แล้วเพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน   แต่อีกใจก็คงจะห่วงกาซิลอยู่ไม่น้อย  เพราะกาซิลเองก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนยาเสน่ห์เข้าไปเหมือนกัน  หึหึ

     

     

    ทั้งสามสาวกับอีกหนึ่งตัวที่ออกมาจากห้องของเรวี่แล้วก็ได้ปรึกษากันว่าจะเข้าไปที่กิลด์ก่อนเพื่อขอลาพักงานเป็นเวลาหนึ่งวัน  เนื่องจากว่าบางทีอาจจะมีภารกิจที่รีเควสต์ตัวจอมเวทมาก็เป็นได้  ดังนั้นจึงต้องป้องกันก่อนโดยการขอลางานไปเลย  และเผื่อใครมาถามหาพวกเธอก็จะได้รู้ว่าวันนี้พวกเธอไม่ว่าง

     

    แต่เมื่อวิ่งออกมาจากหอพักหญิงแฟรี่ฮิลล์ได้ไม่ทันไร  ก็มองเห็นท้องฟ้าที่ลูซี่จำได้ว่าเมื่อเช้ามันสดใสมากขนาดไหนกลายเป็นมืดครึ้มมัวหม่นไปด้วยเมฆฝน  ระหว่างกลุ่มเมฆเกิดแสงสว่างแวบวับของประจุไฟฟ้าที่แล่นผ่านกลุ่มละอองไอน้ำ  แถมยังส่งเสียงร้องครืนๆ  ดูราวกับว่าอีกไม่นานนี้จะเกิดพายุฟ้าคะนองขึ้น  และท่าทางจะเป็นพายุหนักเสียด้วย  นับว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักสำหรับคนที่กำลังจะออกไปทำเรื่องสำคัญอย่างพวกเธอ

     

    ...โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าเหตุการณ์ฟ้าคะนองนั้นเกิดขึ้นมาจากคนบางคน...

     

    “รีบไปกันเถอะ” ชาร์ลรีบร้องบอกสามสาวให้รีบเร่งฝีเท้าไปยังกิลด์  บางทีพอไปลางานเสร็จแล้วรีบเดินทางออกจากเมืองแมกโนเลียไปเสีย  อาจจะพ้นจากพายุฝนฟ้าคะนองของเมืองนี้ได้

     

    และเมื่อมาถึงหน้ากิลด์แฟรี่เทลแล้ว  ทั้งสี่ก็ไม่รอช้าที่จะเปิดประตูเข้าไป  ทว่ายังไม่ทันที่มือบางของลูซี่จะเอื้อมแตะประตู......สายฟ้าก็ฟาดผ่าลงมายังเบื้องหลังของพวกเธออย่างรวดเร็ว  ส่งเสียงดังกังวานไปทั่วบริเวณ  ทำให้ทั้งสามสาวและหนึ่งแมวต้องปิดหูเอาไว้ด้วยความหวาดกลัว  ก่อนจะหันกลับไปยังเบื้องหลัง...แล้วความหวาดกลัวที่มีเมื่อครู่ก็ยิ่งทวีเพิ่มเมื่อพบว่า..

     

    ลัคซัส  เดรเยอร์...ยืนอยู่ตรงนั้น!

     

    “โฮ่~  ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่พอดีเลย...เล่นโผล่หน้ามาให้เจอเองแบบนี้เลยเหรอ  ไม่เรียกพรหมลิขิตแล้วจะให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ??”





     

    -TBC-




    Talking ;
    สวัสดีมิตรรักนักอ่านทุกท่าน  ไรต์เตอร์หายไปนานอีกแล้ว ฮา.
    ไม่มีคำแก้ตัวค่ะ เพราะติดงานหนักมาก  
    ส่วนช่วงวันหยุดยาวอย่างสงกรานต์ หรือช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา..เที่ยวหนักมาก!
    เนื่องจากอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย เลยเต็มที่กับชีวิตไปหน่อย ฮา. #ผิด
    โผล่มาเอาช่วงนี้  และจะขอหายไปพักนึงนะคะ  เพราะอันนี้ติดงานหนักของแท้
    สอบไฟนอลนั่นเอง
    เอาเป็นว่าลุยไฟนอลเสร็จเมื่อไหร่  จะรีบกลับมาอัพทันทีเลยนะคะ จุ๊บๆ
    ขอบคุณที่ตามอ่านกันมาเรื่อยๆ นะคะ <3

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×