คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter >> 4 :: เรื่องวุ่นวาย
Chapter >4 เรื่องวุ่นวาย
ร่างที่สูงกว่าเธอกลับกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น แล้วค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูลูซี่...ด้วยน้ำเสียงที่พาให้เธอต้องใจสั่น
“ไปทำภารกิจด้วยกันนะ ©”
.
.
“ไม่เอ๊า~” ลูซี่ร้องปฏิเสธเสียงดัง ก่อนจะสะบัดตัวด้วยเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมด จนคนที่โอบกอดไว้เสียหลัก...อ้อมแขนที่รัดแน่นจึงคลายออก ลูซี่ก็ไม่รอช้า อาศัยจังหวะนั้นผละหนีจากคนที่ถือวิสาสะกอดเธออย่างรวดเร็ว และ...
เพี๊ยะ
...ฟาดมือเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจัง
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะนั้น ก่อนที่ความตกใจในคราแรกจะเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว เมื่อดวงตากลมโตของลูซี่ได้สบเข้ากับดวงตาคมของอีกฝ่ายภายใต้ใบหน้างดงามและเรือนผมสีดุจเดียวกับชื่ออันเป็นเอกลักษณ์นั่น...
“เอลซ่า!!!”
เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์โดดเด่นตะโกนสุดเสียงด้วยความตกใจกลัว เพราะเมื่อครู่เธอดันตกใจจนฟาดมือใส่หน้าของเอลซ่าเข้าเต็มๆ และเท่าที่ได้รู้จักกับเอลซ่ามา ลูซี่พบว่า...คนที่กล้าทำร้ายเอลซ่า ไม่มีใครตายดีสักคน...
...กรี๊ดดดด ทะ ทำไงดี ถูกฆ่าแน่ๆ เลยเรา...
ร่างบางออกอาการลนลาน ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่เอลซ่าอย่างระแวดระวัง พลางสอดส่องมองหาทางหนีทีไล่ของตนเองอย่างเตรียมพร้อม
คนถูกฟาดนิ่งไปชั่วอึดใจราวกับยังคงตกตะลึงที่ตนเองถูกประทุษร้ายซึ่งๆ หน้า มือขาวบางยกขึ้นมือจับแก้มเนียนที่เจ็บจนชาของตนเองเบาๆ ก่อนดวงตาคมจะตวัดมามองที่ลูซี่
เฮือกกก
คนถูกมองสะดุ้งสุดตัว ขาเรียวเตรียมจะขยับวิ่งหนีไปให้พ้นจากรัศมีการโจมตีของเอลซ่า หากแต่พอคิดจะก้าวเท้าหนี...มันกลับวิ่งไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
...โอ๊ย..มาขาแข็งเอาอะไรตอนนี้~ วิ่งสิ วิ่ง เร็วเข้าลูซี่... คิดในใจพลางเหลือบมองเอลซ่าที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เธอด้วยบรรยากาศทะมึนรอบตัว ...ตายๆๆ งานนี้ไม่รอดแน่ลูซี่ ฮือ...ฉันยังอ่านนิยายที่อยากจะอ่านไม่จบเลยนะ ยังไม่ได้ไปเที่ยวที่ๆ อยากไป ยังไม่ได้ทำสิ่งที่อยากจะทำอีกตั้งหลายอย่าง...
เพราะมัวแต่ร้องไห้พร่ำเพ้อถึงสิ่งที่ตนเองอยากจะทำให้หมดก่อนตาย ทำให้ลูซี่ไม่ทันได้รู้สึกตัวว่าคนที่ตนกำลังหวาดกลัวได้ก้าวเข้ามายืนประชิดตัวเธอเสียแล้ว
ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัตรไปจากสิ่งที่ลูซี่คิดเอาไว้...
เมื่อมือบางอันอบอุ่นของเอลซ่าคว้ามือของลูซี่ไปจับเอาไว้ ทำให้เจ้าของมือสะดุ้งอีกครั้ง แม้จะหวาดหวั่นเพียงใด หากแต่ก็รู้สึกสงสัยไม่แพ้กัน “อะ...เอลซ่า ?”
เอลซ่ากุมมือของลูซี่...ยกขึ้นมาแตะที่แก้มของตนเองที่โดนตบเมื่อครู่เบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ยักรู้ว่าเธอจะเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรงแบบนี้นะลูซี่” พลางจับมือของลูซี่ให้ลูบแก้มของตนไปมา ทำทีราวกับว่าจะให้มือนั้นได้สัมผัสสิ่งที่ตนเพิ่งทำทิ้งเอาไว้
“เห๊ะ!?” ขนแขนพร้อมใจลุกชันขึ้นด้วยรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของเอลซ่า แล้วลูซี่ก็กระชากมือของตนกลับมาพลางมองเอลซ่าด้วยความสงสัย “เอ่อ..ที่พูดเมื่อกี้หมายความว่าไงเหรอเอลซ่า ?”
“หึ” เอลซ่าแค่นยิ้ม ก่อนที่รอบๆ ตัวของเธอจะมีแสงเปล่งประกายออกมา “เปลี่ยนศาสตรา..”
ลูซี่ยกมือขึ้นมากันไม่ให้แสงสว่างจ้านั้นสาดกระทบเข้ากับตาของตนเอง จนกระทั่งแสงนั้นหายไป...ก็ปรากฏร่างของเอลซ่าในชุดหนังรัดรูปสดำ ในมือถือแส้เส้นยาวสีดำเอาไว้ มองดูคลับคล้ายคลับคลากับพวกคลั่งการเล่นวิตถารที่ต้องใช้ความรุนแรงเป็นตัวกระตุ้น..
“เอาล่ะลูซี่ เราจะไปเล่นแบบนี้ที่ไหนดีนะ” เอลซ่าเอ่ยคำถามด้วยรอยยิ้มหวาน หากแต่มันกลับดูน่าหวาดกลัวมากเหลือเกินสำหรับลูซี่
“มะ ไม่นะเอลซ่า ฉันไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้สักหน่อย” ลูซี่ร้องบอกพลางทำท่าจะวิ่งหนี แต่เอลซ่ากลับไวกว่าด้วยการใช้แขนคว้าตัวลูซี่เข้ามาไว้ในอ้อมกอดของตน
“พูดอะไรแบบนั้น เมื่อกี้เธอยังทำรุนแรงกับฉันอยู่เลยนะ”
หญิงสาวในอ้อมแขนส่ายหน้าดิก “ไม่...เมื่อกี้มันเป็นอุบัติเหตุ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะตบเธอนะเอลซ่า ฉะ...ฉัน...” ลูซี่บอกอย่างละล่ำละลัก ดวงใจน้อยๆ ของจอมเวทผู้อัญเชิญดวงดาวเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ต้องปฏิเสธหรอกน่า” เอลซ่าพูดอย่างไม่สนใจคำตอบหรือท่าทางของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะออกแรงหิ้ว(?)ร่างบางในอ้อมแขนขึ้นและหวังจะพาลูซี่ไปที่สงบๆ ที่ซึ่งจะมีแต่เพียงเธอสองคนเท่านั้น
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” ลูซี่กรีดร้องเสียงดังด้วยหวังว่าจะมีใครสักคน(ที่กล้าพอจะประมือกับเอลซ่า)เข้ามาช่วยเธอให้รอดพ้นจากสถานการณ์ในตอนนี้ไปได้ “ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย!!”
และดูเหมือนความหวังจะยังไม่เลือนสูญ...
เมื่อประตูของกิลด์ถูกเปิดผลัวะออกอย่างแรง พร้อมกับร่างของนางฟ้าตัวน้อยๆ ที่วิ่งออกมา
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณลูซี่?” เวนดี้ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนอย่างเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าเข้า ร่างเล็กก็ถึงกับชะงักงัน...เมื่อพบว่าเอลซ่ากำลังหิ้วลูซี่ไว้ และยังแต่งตัวด้วยชุดรัดรูปวาบหวิวที่ดูเหมือนพวกชอบเล่น sm อย่างไรอย่างนั้น แถมยังมองตรงมาทางเวนดี้อย่างไม่พอใจ “คุณ...เอลซ่า?”
“กลับเข้าไปข้างในซะเวนดี้ นี่มันเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างเธอไม่เกี่ยว” เอลซ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่ากลับแฝงไปด้วยแววขมขู่
“อะ...เอ่อ...” เจอบรรยากาศน่าหวาดกลัวรอบๆ ตัวเอลซ่าเข้าไปก็ทำเอาเวนดี้พูดอะไรไม่ออกขึ้นมา เพราะเธอเองก็หวาดกลัวเอลซ่าอยู่เหมือนกัน...แต่จะปล่อยให้เอลซ่าหิ้วตัวลูซี่ไปแบบนั้นก็คงจะไม่ดีแน่ๆ และที่สำคัญเธอได้ให้สัญญากับลูซี่เอาไว้แล้วว่าจะคอยช่วยเหลือจากพวกที่ถูกยาเสน่ห์ เพราะฉะนั้นเธอคงทอดทิ้งลูซี่ไม่ได้ ร่างเล็กลอบกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะทำใจดีสู้เสือด้วยการเอ่ยกับเอลซ่า “ใจเย็นๆ ก่อนนะคะคุณเอลซ่า”
ไร้คำตอบจากเอลซ่า ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เวนดี้เริ่มหวาดกลัว...ว่าจะเกิดการปะทะกันขึ้นมา ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เธอจะเอาอะไรไปสู้กับจอมเวทระดับ s อย่างเอลซ่าได้... คนที่จะรับมือกับเอลซ่าได้น่ะ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น และหนึ่งในนั้นก็คือ...
ร่างเล็กเหลือบสายตาไปมองยังแมวสีขาวของตนที่บินอยู่ตรงแถวๆ ประตูของกิลด์อย่างต้องการสื่อความหมาย และดูเหมือนชาร์ลเองก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่เวนดี้ต้องการ จึงได้พยักหน้ารับและบินกลับเข้าไปในกิลด์อีกครั้ง
“ปละ...ปล่อยฉันเถอะนะเอลซ่า” คนที่ถูกหิ้วไว้ในอ้อมแขนแกร่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเง้างอดปนหวาดกลัว
“ไม่!” ปฏิเสธสั้นๆ คำเดียวจบ
“แง~ เวนดี้ช่วยฉันด้วย”
“รอเดี๋ยวนะคะคุณลูซี่ เดี๋ยว...” เวนดี้ตอบ หากแต่เมื่อมองสบตากับเอลซ่าเข้า คำพูดที่กำลังจะตามออกมาก็มีอันต้องถูกกลืนหายไปในลำคอทันที
“หึ” เอลซ่ายกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าเวนดี้มีท่าทีหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้ามายุ่งเรื่องของตน ก่อนจะหันกลับมามองหญิงสาวที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของตนด้วยรอยยิ้มเอ็นดู(?) “พวกเราเองก็ไปทำธุระส่วนตัวกันเถอะนะ”
เอลซ่าออกเดิน แต่เพียงแค่ไม่กี่ก้าว เธอกลับต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงหวานเรียกเธอเอาไว้เสียก่อน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเอลซ่า”
เจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงหันกลับมามอง...ก็พบเข้ากับหญิงสาวร่างบางนัยน์ตาสีฟ้าใส เรือนผมยาวสีขาวนั้นสะบัดไปมาตามจังหวะการก้าวเดินของเจ้าของที่กำลังก้าวเข้ามาหาเอลซ่ากับลูซี่ “เธอจะพาลูซี่ไปไหนไม่ได้นะ”
“มิร่า...” เอลซ่าเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายขึ้นมา “เธออย่ามาขัดขวางความรักของฉันกับลูซี่จะได้ไหม”
ได้ยินแบบนั้น...มิร่าเจนจึงเหลือบตาไปมองลูซี่ที่ได้แต่ส่ายหน้าไปมาราวกับจะบอกว่าสิ่งที่เอลซ่าพูดนั้นไม่เป็นความจริง
“แต่ดูท่าทางลูซี่จะไม่อยากมีความรักกับเธอสักเท่าไหร่นะ” ร่างบางในชุดกระโปรงยาวกล่าว “ทางที่ดีฉันว่าเธอปล่อยลูซี่ลงก่อนจะดีกว่านะ”
“ไม่!” เอลซาตอบปฏิเสธ “ฉันจะไม่แยกจากลูซี่”
เจอคำตอบจริงจังแบบนั้นเข้าไป ทั้งมิร่าเจน เวนดี้ ชาร์ล หรือแม้แต่ตัวของลูซี่เองก็ถึงกับอึ้ง โดยเฉพาะกับฝ่ายลูซี่ที่เหมือนจะอึ้งหนักกว่าเพื่อนคนอื่นเขา
แน่ล่ะ...ก็เธอกำลังซวยอยู่นี่นา แถมเอลซ่ายังเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าอีกตะหาก ถ้าเธอบอกว่าไม่อยากจะแยกจากลูซี่ นั่นก็เท่ากับว่าเอลซ่าจะทำแบบนั้นจริงๆ และถ้าแยกจากกันไม่ได้...ก็คงไม่พ้นว่าร่างงามเจ้าของเวทอัญเชิญคงต้องตกเป็นภรรยา(?)ของเอลซ่าเป็นแน่แท้
...แง้~ เค้ากลัวแล้ว TT[]TT...
“แบบนี้คงจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วสินะ” เจ้าของเรือนผมสีขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หากแต่สายตาที่จ้องมองเอลซ่านั้นกลับจริงจัง “จะว่าไปเราไม่ได้ ‘เล่น’ ด้วยกันมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแล้วนี่เนอะ สนใจจะย้อนวัยกันอีกครั้งไหม?”
คราวนี้ทั้งลูซี่ เวนดี้ และชาร์ลถึงกับหน้าซีดขึ้นมาทันที เพราะถ้าหากเอลซ่าตอบรับคำชวน ‘เล่น’ ของมิร่าเจนขึ้นมาล่ะก็...งานนี้คงจะเกิดเป็นปัญหาใหญ่ในกิลด์ขึ้นมาแน่ๆ ทางที่ดีทั้งสามจึงควรจะรีบแก้สถานการณ์โดยด่วน
“เอ่อ หนูว่า...” เวนดี้จะรีบเอ่ยห้าม แต่ยังไม่ทันเอ่ยจบ...คำตอบที่พวกเธอหวาดกลัวว่าจะได้ยินก็ดังออกมาจากปากของเอลซ่า
“เอาสิ”
เจ้าของเรือนผมสีแดงตอบ ก่อนจะค่อยๆ คลายตัวลูซี่ออกจากอ้อมแขนของตน แล้วเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับมิร่าเจนในระยะประชิด “จะเริ่มกันเลยไหมล่ะ?”
มิร่าเจนยิ้มรับ “รอสักประเดี๋ยวนะ” ก่อนดวงตาสีฟ้าใสจะปรายมาทางเวนดี้ “พาลูซี่กลับไปที่บ้านก่อน”
เวนดี้พยักหน้ารับพลางวิ่งเข้ามาประคองลูซี่อย่างรวดเร็ว หวังจะพาร่างบางเจ้าของเวทอัญเชิญกลับบ้าน หากแต่ลูซี่กลับไม่ยอม “ไม่ได้หรอกนะเวนดี้ ตอนนี้เอลซ่ากับคุณมิร่ากำลังจะสู้กันเพราะมีฉันเป็นต้นเหตุนะ ฉะ...ฉันปล่อยให้ทั้งสองคนทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
“หนูก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นหรอกค่ะ” เวนดี้ตอบรับ “แต่คุณลูซี่คะ คุณมิร่าอุตส่าห์ยอมช่วยรั้งคุณเอลซ่าเอาไว้ให้แบบนี้ ถ้าไม่ไปตอนนี้ คุณลูซี่เองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายแย่นะคะ”
“ฉันรู้เวนดี้ แต่...ฉันปล่อยให้สองคนนั้นสู้กันไม่ได้จริงๆ” ลูซี่ตอบเสียงเบา เธอเข้าใจว่าถ้าไม่หนีตอนนี้ มีหวังเธอต้องตัวติดกับเอลซ่าไปอีกนานแน่ๆ แต่ว่า...เธอปล่อยให้สองสาวสู้กันไม่ได้จริงๆ ทั้งสองคนนั้นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก มิตรภาพที่ดีงามนั้นไม่ควรจะถูกทำลายลงเพราะมีเธอเป็นต้นเหตุหรอกนะ เพราะฉะนั้นเธอจะต้องอยู่ที่นี่...และหยุดทั้งสองคนเอาไว้ให้ได้ แม้ว่าตนเองอาจจะต้องเดือดร้อนก็ตาม
“คุณลูซี่...” เวนดี้เอ่ยเสียงอ่อนอย่างเข้าใจในความรู้สึกของลูซี่ ถ้าหากเป็นเธอ...เธอเองก็คงจะทำแบบเดียวกับลูซี่แน่นอน
เพราะมัวแต่เวิ่นเว้อกันอยู่ จึงทำให้ลูซี่และเวนดี้ไม่ทันระวัง...
“ทั้งสองคน!!” ชาร์ลตะโกนเตือนสติเวนดี้และลูซี่ ทำให้ทั้งสองสาวรีบหันมองทันที และพบว่าตอนนี้เอลซ่ายืนอยู่ประชิดตัวพวกเธอเสียแล้ว
บทสนทนาระหว่างเวนดี้และลูซี่เมื่อครู่นั้นอยู่ในการรับรู้ของเอลซ่า เจ้าของเวทเปลี่ยนศาสตรายิ้มอ่อนโยนให้กับลูซี่ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูของเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ “ขอบคุณที่เป็นห่วงฉันนะลูซี่” กล่าวจบ...เอลซ่าก็ทำในสิ่งที่ทำให้ลูซี่ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด!!
...เมื่อริมฝีปากสีสดแนบประชิดลงกับแก้มเนียนนุ่มของลูซี่เบาๆ “ฉันจะสู้เพื่อความรักของเรา...”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด” โดยไม่รอให้เอลซ่าพูดจบ ลูซี่ก็ผละออกห่างจากคนที่กระทำการล่วงละเมิดทางร่างกายของเธออย่างรวดเร็ว และไม่ต้องรอให้มีอะไรเกิดขึ้นอีก...ร่างบางก็หันหลังกลับและวิ่งหนีไปออกไปจากสถานที่ตรงนี้ทันที ไม่ได้สนใจสิ่งที่ตนเพิ่งจะพูดไปเมื่อก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย...
“คุณลูซี่” เวนดี้มองแผ่นหลังบางของลูซี่ที่เพิ่งวิ่งหนีออกไปด้วยหน้าตาตื่นตกใจ ก่อนจะหันกลับมามองทางเอลซ่าที่ยิ้มอย่างติดตลกกับมิร่าเจนที่กำลังโบกมือให้เวนดี้เป็นเชิงว่าให้รีบตามลูซี่ไป “ระวังตัวด้วยนะคะทั้งสองคน”
ร่างเล็กเอ่ยกับสองสาวด้วยความเป็นห่วง แล้วจึงรีบวิ่งตามลูซี่ไป ทิ้งให้เอลซ่ากับมิร่าเจนหันกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
@@@@@@@@@@
ร่างบางนั่งหน้าซีดตัวสั่นด้วยความรู้สึกหลากหลายอยู่บนโซฟาในบ้านพักของตนเอง ข้างๆ กันนั้นมีร่างของเด็กสาวตัวเล็กและแมวสีขาวกำลังนั่งปลอบใจ
“คุณลูซี่...”
“แง้ง~ ฉันกลัวอ่ะเวนดี้” ร่างบางโวยวาย “ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ อุตส่าห์จะช่วยห้ามศึก แต่ทำไมเอลซ่าถึงทำแบบนี้กับฉัน?? เห็นไหม...ฉันเลยต้องผิดพูดตัวเองเลย ป่านนี้สองคนนั้นคงจะสู้กันจนกลายเป็นปัญหาใหญ่โตไปแล้วแน่ๆ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ก่อนที่ฉันจะตามเธอมาที่นี่...ฉันไปบอกเรื่องของทั้งสองคนนั้นให้คาน่าและริซานน่ารู้แล้วล่ะ” ชาร์ลตอบ “ป่านนี้พวกนั้นคงจัดการเรื่องของเอลซ่ากับมิร่าเรียบร้อยแล้ว”
“ชาร์ลพูดถูกแล้วล่ะค่ะ เพราะหนูไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้เลย” เวนดี้สนับสนุนคำพูดของชาร์ล มือเล็กๆ ป้องอยู่ที่ใบหู
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิ” ลูซี่ว่า “ไม่งั้นฉันคงต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ๆ ที่ทำให้เอลซ่ากับคุณมิร่าต้องสู้กัน”
เวนดี้จึงยิ้มบางๆ อย่างเห็นใจ “ว่าแต่...คุณลูซี่ไม่เป็นอะไรแน่นะคะ??”
คนถูกถามนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแห้งๆ ให้เวนดี้ “ไม่เป็นอะไรหรอก...” แต่เมื่อนึกถึงตอนที่เอลซ่าประทับริมฝีปากไว้บนแก้มนวลของเธอ รอยยิ้มแห้งๆ นั้นก็ถึงกลับหายไปทันที “.....มั้งนะ”
“หนูต้องขอโทษด้วยนะคะที่ช่วยคุณลูซี่จากคุณเอลซ่าไม่ได้” เด็กสาวร่างเล็กกล่าว
“ไม่เป็นไรหรอกเวนดี้” ลูซี่ยิ้มให้เด็กสาว “ฉันเข้าใจว่าเอลซ่าน่ะน่ากลัว....มาก~”
แล้วทั้งสองสาวต่างก็หัวเราะให้กันเบาๆ ทำให้ชาร์ลที่นั่งมองอยู่ได้แต่ถอนหายใจน้อยๆ อย่างนึกโล่งอก ก่อนจะยิงคำถามที่ตนสงสัยใส่ลูซี่ “ว่าแต่...ทำไมเอลซ่าถึงได้มีอาการหน้ามืดตามัวทำตัวน่ากลัวใส่เธอแบบนั้นล่ะ??”
“เอ๊ะ?” ลูซี่หันมามองชาร์ล ก่อนคิ้วบางของเธอจะขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย “มะ...ไม่รู้สิ”
“หรือว่ายาเสน่ห์จะยังไม่หมดฤทธิ์คะ?” เวนดี้เสนอความเห็นขึ้นมา ซึ่งทำให้ชาร์ลพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำตอบนั้นว่าอาจเป็นแบบนั้นก็ได้
“ฉันว่าไม่น่าจะใช่นะ..เพราะอ่านจากหนังสือ(นิยาย)มา ส่วนใหญ่มันก็หมดฤทธิ์ในคืนเดียว แถมคุณมิร่าเองก็ยังไม่เห็นจะมีอาการอะไรเลยสักนิด” ลูซี่กล่าวแย้ง
“แล้วกับคนอื่นๆ ล่ะคะ?”
“อืม...” ลูซี่ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย “โลกิไม่มีอาการ เพราะหมอนั่นบอกว่ายาเสน่ห์ไม่มีผลกับเทพแห่งดวงดาว ส่วนเกรย์...ยังไม่ได้พบหน้ากันหรอก เพราะโลกิดึงตัวหมอนั่นไปก่อน เลยไม่รู้ว่าเป็นยังไง ส่วนคุณมิร่าเองก็...อย่างที่เธอเห็นนั่นแหละเวนดี้ ไม่มีอาการอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่พอเจอกับเอลซ่าเข้า...กลับเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้นซะได้ ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ชาร์ลที่ฟังอยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แต่ถ้าไม่เป็นเพราะยาเสน่ห์ ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลอื่นที่ทำให้เอลซ่าทำตัวน่ากลัวแบบนั้นใส่เธอหรอกนะ”
“นั่นมันก็ใช่...” ลูซี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “แต่ถ้ายามันยังไม่หมดฤทธิ์จริง แล้วทำไมคุณมิร่าถึงได้มีอาการปกติแบบนั้นล่ะ??”
“งั้นจะลองไปพบกับคุณนัตสึดูไหมล่ะคะ?” เด็กสาวเอ่ยเสนอ “เผื่อว่าคุณนัตสึจะมีอาการเป็นปกติเหมือนกัน”
“ไม่!” ตอบปฏิเสธทันควัน ขนาดเจอเอลซ่า(ที่เป็นผู้หญิง)ยังน่ากลัวขนาดนี้ “เกิดนัตสึมีอาการรุนแรงกว่าเอลซ่าขึ้นมาล่ะ ฉันจะทำยังไง???”
ซึ่งคำถามข้อนี้ เวนดี้เองก็จนปัญญาจะตอบได้ เพราะนัตสึเป็นคนที่บ้าระห่ำกว่าเอลซ่ามาก เกิดมีอาการรุนแรงกว่าเอลซ่าจริง...คงน่ากลัวน่าดู
“เฮ้อ เอาเป็นว่าเธอเองก็ระวังตัวจากเจ้าพวกนั้นไว้ก่อนก็แล้วกันนะ” เจ้าแมวเหมียวสีขาวเอ่ยเตือนลูซี่
“หนูกับชาร์ลคงต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ ส่วนเรื่องนี้หนูจะลองไปปรึกษากับคุณเรวี่ดู” เวนดี้เอ่ยบอก “ถ้าได้เรื่องยังไงแล้วหนูจะรีบมาบอกคุณลูซี่ทันทีเลยค่ะ”
เจ้าของบ้านมองแขกทั้งสองของตนด้วยแววตาซาบซึ้ง “ขอบใจพวกเธอสองคนมากเลยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เวนดี้ยิ้มตอบ “ก็หนูสัญญากับคุณลูซี่ไว้แล้วนี่คะว่าจะคอยช่วยเหลือคุณเอง”
“ก็นะ...” ชาร์ลว่าพลางยักไหล่ให้ ทำให้ลูซี่ยิ่งยิ้มกว้างให้กับทั้งสอง ในสถานการณ์ที่คนรอบข้างกลายร่าง(?)เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพฤติกรรมน่าหวาดกลัวแบบนี้ อย่างน้อยๆ ก็ยังมีคนปกติที่ยังคอยให้ความช่วยเหลือเธอ ไม่ปล่อยให้เธอต้องรู้สึกเคว้งคว้างอยู่เพียงลำพัง มันเป็นสิ่งที่ทำให้เธอตื้นตันใจอย่างไม่ถูก
“ขอบใจอีกครั้งนะ” ลูซี่กล่าวบอก พลางโบกมือลาเป็นการล่ำลาให้หนึ่งเด็กสาวและอีกหนึ่งแมวที่กำลังเดินออกจากประตูห้องของเธอไป
เมื่อแขกผู้มาเยือนจากไป...ห้องทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง มีเพียงเสียงถอนใจของหญิงสาวเจ้าของห้องเท่านั้นที่ดังออกมาให้ได้ยิน
“เฮ้อ~” ลูซี่ทอดถอนใจ พลางทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มของตน ในหัวคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในวันนี้ตั้งแต่ตอนเช้าจนกระทั่งถึงเมื่อครู่ มันทั้งรู้สึกชวนให้ดีใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ชวนให้รู้สึกแย่ไปด้วย คิดไปคิดมาเสียงท้องร้องเรียกหาอาหารก็ดังออกมาให้เธอได้ยิน “หิวแฮะ”
ร่างบางลุกจากเตียงนอน เดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรกินรองท้องเสียหน่อย หากแต่เมื่อเปิดประตูตู้เย็นออกมาก็พบเพียงน้ำเปล่าและนมเท่านั้น ไม่มีอาหารอะไรให้เธอได้หยิบเอาออกมารับประทานได้เลย “เหอะ ลืมไปเลยว่าของกินหมดเกลี้ยงไปตั้งแต่วันก่อนแล้ว” ร่างบางว่า “แล้วแบบนี้...ฉันจะกินอะไรล่ะเนี่ย??”
เมื่ออับจนหนทาง สุดท้ายลูซี่จึงตัดสินใจ...จะออกไปซื้อของกินมาตุนเอาไว้
ร่างบางคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นมา ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพักของตนเองด้วยอาการเบื่อหน่าย ความจริงหลังจากเกิดเรื่องของเอลซ่าขึ้นในวันนี้ ทำให้ลูซี่ไม่อยากจะออกจากบ้านสักเท่าไรนัก เพราะไม่แน่ใจว่าเจ้ายาเสน่ห์บ้านั่นมันหมดฤทธิ์ไปแล้วจริงๆ หรือไม่ แต่ในเมื่อชีวิตเธอก็ต้องอยู่ต้องกินเหมือนกัน มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องออกไปเดินตลาดเพื่อจับจ่ายใช้สอยหาซื้ออาหารมาตุนไว้ และเช่นกันว่าเธอจะต้องออกไปหาภารกิจทำ ไม่เช่นนั้นคุณป้าเจ้าของบ้านเช่าคงหิ้วเธอออกไปทิ้งนอกบ้านแน่ๆ ดังนั้นลูซี่จึงได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เธอต้องเจอกับเรื่องซวยๆ หรือเจ้าพวกตัวซวยเข้า
ท่ามกลางศูนย์กลางการค้าของเมืองแมกโนเลีย ร่างบางเดินหิ้วถุงพะรุงพะรัง พลางเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้เพื่อซื้อหาสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป เพื่อที่ตนเองจะได้ไม่ต้องออกมาเดินตลาดให้บ่อยมากนัก
“เอ...เอาอะไรอีกดีนะ” ลูซี่พึมพำกับตนเอง สายตากวาดไปทั่วทั้งสองข้างทางที่เต็มไปด้วยบรรดาร้านค้ามากมาย เพื่อจะสำรวจว่ายังมีสิ่งใดจำเป็นต้องซื้ออีกหรือไม่ แต่แล้วนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลของเธอก็กวาดไปพบกับแมวตัวหนึ่งที่กำลังยืนอยู่หน้าร้านขายปลาเข้าให้
โดยไม่รอช้า ลูซี่รีบหาที่หลบทันที ในใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นปนหวาดวิตก “นั่นมันแฮปปี้นี่” ร่างบางว่าพลางลอบมองไปยังจุดเดิมอีกครั้ง ...แมวสีฟ้ายังคงยืนอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง
...นัตสึไม่ได้มาด้วยสินะ... ลูซี่คิดอย่างโล่งใจเมื่อไม่เห็นเงาร่างของเจ้าของเรือนผมสีชมพูอยู่เคียงข้างกับแมวสีฟ้าตัวนั้น ก่อนที่จะต้องสะดุ้งกับความคิดของตัวเอง ...เอ๊ะ? หรือว่ามาแต่แยกไปซื้อของอย่างอื่น...ถ้างั้นก็ต้องรีบไปจากตรงนี้ก่อนที่นัตสึจะกลับมา...
เพราะเป็นคนติงต๊องที่พอคิดอะไรเพลินๆ แล้วจะไม่สนใจอย่างอื่นทันที ทำให้ลูซี่ไม่ทันได้สังเกตว่าเจ้าแมวน้อยตัวนั้นมองเห็นเธอแล้ว...และมันก็กำลังกางปีกบินเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางร่าเริงเพียงใด
“ลูซี่!!!!”
เสียงแหลมเล็กที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อของเธอ ทำให้ลูซี่ตกใจกรีดร้องออกมา “กรี๊ดดดดดดดดดดด” พร้อมทั้งยังยกขาเรียวงามขึ้นถีบเจ้าแมวเสียเต็มแรง “ลูซี่คิกกกกกก”
ยังไม่ทันได้ตั้งตัวอะไร แฮปปี้ก็โดนลูกถีบของลูซี่เข้าจนลอยละลิ่วไปติดกับฝาผนังของร้านค้าอีกร้านที่อยู่ตรงกันข้าม “แอ๊ก”
ฝ่ายคนถีบไร้ซึ่งความสำนึกผิดหรือห่วงหาใดๆ ไม่ เธอรีบวิ่งจ้ำออกไปจากที่ตรงนี้อย่างรวดเร็วที่สุด เพราะเกรงว่าคู่หูของแฮปปี้จะโผล่มาเจอเธอเข้า แล้วจะเกิดเหตุการณ์แบบในตอนของเอลซ่า ซึ่งถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นในตอนนี้ เธอคงไม่มีทางเอาตัวรอดได้แน่ การหนี...จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด
กลับมาถึงบ้านได้ลูซี่ก็รีบล็อกห้องของตนเองอย่างแน่นหนา หอบหิ้วของที่วิ่งกระเตงมาด้วยไปวางไว้บนโต๊ะกินข้าว แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน “ทำไมวันนี้มันถึงได้ซวยแบบนี้เนี่ย”
นั่งพักจนหายเหนื่อย ลูซี่จึงลุกขึ้นจัดของเข้าตู้เย็นให้เรียบร้อย พร้อมทั้งหยิบหาวัสดุที่จะใช้ในการทำอาหารมื้อเย็นออกมาเตรียมไว้ แล้วลงมือทำอาหารกินเองหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
หลังจากกินอิ่มดี แม้จะรู้สึกเหงาอยู่สักหน่อยที่ต้องกินคนเดียวแบบนี้ เพราะโดยปกติแล้วเธอมักจะรับประทานอาหารร่วมกับนัสตึและแฮปปี้ แต่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น...คงจะเชื้อเชิญเจ้าพวกนั้นมาทานอาหารที่บ้านของเธอไม่ได้หรอก มันเสี่ยงเกินไป
“จะว่าไป..เราทำรุนแรงกับแฮปปี้เกินไปรึเปล่านะ” เอ่ยกับตนเองเหมือนจะเพิ่งรู้สึกสำนึกผิด และแอบจะเสียดายอยู่เล็กน้อย หากว่าเธอไม่ถีบแฮปปี้ แต่รอดูอาการของเจ้าแมวนั่นแทน บางทีเธออาจจะได้ข้อสรุปก็ได้ว่ายาเสน่ห์มันหมดฤทธิ์ไปแล้วหรือไม่ แต่ทำไงได้...ตอนที่แฮปปี้เอ่ยเรียกเธอนั้น เธอตกใจมากไปหน่อยจนเท้ามันทำงานไปเองโดยอัตโนมัตินี่นา... “ช่างเถอะ” สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะพาตนเองเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลูซี่ก็ทิ้งร่างของตัวเองลงบนเตียงนอน พลันภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็หวนกลับมาอีกครั้ง ทำให้ร่างบางต้องยกมือขึ้นมาตีหัวตัวเองเบาๆ ราวกับจะไล่ภาพเหล่านั้นออกไป ก่อนจะถอนหายใจอย่างอ่อนล้า “เฮ้อ~ อยู่คนเดียวแล้วฟุ้งซ่านชะมัดเลย เมื่อไหร่โลกิจะกลับมานะ”
และเพราะความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้ลูซี่ผล็อยหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ
.
.
.
ร่างบางลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า...ทว่าสิ่งที่พบกลับไม่ใช่ผนังฝ้าสีครีมของห้องนอน หากแต่เป็นสีดำของความมืดมิด ดวงตากลมโตกวาดมองทั่วบริเวณ แต่สิ่งที่พบก็มีเพียงความมืดที่ดำมืดยิ่งกว่าสิ่งใด สิ่งที่มองเห็นมีเพียงแค่ผิวกายขาวผ่องของตนเอง เธอออกก้าวเดินเพื่อค้นหาทางออก แต่รอบข้างมีเพียงความมืดมิดที่แสนหนาวเหน็บ ยิ่งค้นหามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกท้อใจมากเท่านั้น เมื่อเธอไม่อาจค้นพบทางออกได้ สุดท้ายจึงทำได้เพียงทิ้งตัวลงนั่ง...บนความมืดที่แทบจะกลืนกินตัวเธอ ในสถานที่ที่มีแค่เธอเพียงลำพัง
ในช่วงเวลาที่ถูกความอ้างว้างกัดกินหัวใจ เงาร่างของใครบางคนกลับปรากฏขึ้นเบื้องหน้า หากแต่มันกลับเป็นภาพที่ไม่ชัดเจนเอาเสียเลย “ร้องไห้ทำไมเหรอ?” ใครคนนั้นเอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ฉันกลัว...” ร่างบางตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วอันสั่นเครือ...ที่แสดงออกถึงความหวาดกลัวอย่างที่เธอว่า “ที่นี่มันมืดและหนาวเกินไป ฉัน...กลัวจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ไม่อยากอยู่ที่นี่...เพียงคนเดียว”
“อย่าร้องไห้เลยนะ”
ฝ่ามืออบอุ่นยื่นมาลูบใบหน้าของเธอ และเกลี่ยเอาหยาดน้ำตาบนแก้มเนียนของเธอออกอย่างแผ่วเบา “เธอไม่ได้โดดเดี่ยวซะหน่อย ดูสิ...ฉันอยู่ตรงนี้ข้างๆ เธอนี่ไง”
ร่างบางไม่เอ่ยตอบ...เพราะเธอคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่ใช่ความจริงแท้ นั่นเพราะเธอไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้...ทั้งๆ ที่เขาอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมนี้ แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียงความมืด
“เธอไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว เพราะงั้นหยุดร้องไห้...และหลับตาลงพักผ่อนซะเถอะนะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง” น้ำเสียงอบอุ่นเอ่ยขึ้นที่ข้างหู ก่อนที่มือที่เกลี่ยเช็ดน้ำตาให้เธอเมื่อครู่จะเอื้อมมาปิดเปลือกตาของเธออย่างแผ่วเบา “ฉันจะอยู่กับเธอตลอดไปนะ”
แต่หากนั่นเป็นภาพลวง...แล้วทำไมมันถึงได้อบอุ่นแบบนี้ อบอุ่น...ราวกับเป็นเรื่องจริง
“สัญญานะ”
“อืม...สัญญา”
จบคำพูดของเขา...ริมฝีปากอันอบอุ่นเหมือนมือคู่นั้นก็ปิดประทับลงบนริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา...ราวกับว่าการกระทำนั้นเป็นสิ่งแทนคำสัญญา...ที่เขาได้กล่าวเอาไว้...และจะไม่มีวันผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ
คำสัญญาที่แสนอบอุ่น...อ่อนโยน...และนุ่มนวลที่สุด
“นอนหลับฝันดีนะ เจ้าหญิง”
Writer Talked;
09/03/2015
โห้...หายไปนานพอสมควร...อันที่จริงแล้วมันนานมากเลยแหละ เป็นปีกว่าด้วย
เนื่องด้วยปีที่แล้วทำงานจนแทบไม่มีเวลาสนใจอะไรเลย
เอาเป็นว่าตอนนี้จะกลับมาแต่งตัวนะคะ
แต่คงต้องขอให้ผ่านพ้นช่วงสอบมิดเทอมไปก่อน แล้วจะทยอยอัพฟิค(ที่ดองไว้ทุกเรื่อง)เรื่อยๆ นะคะ
สำหรับฟิคตอนนี้...ตันในเรื่องชื่อตอนมาก เลยได้ชื่ออย่างนั้นมา
ส่วนเนื้อหาก็...ตามเรื่องเลยค่ะ
ขอโทษนะคะที่มันไม่ใช่ 'นัตสึ' เพราะเห็นหลายคอมเมนท์บอกว่าขอให้เป็นนัตสึ แต่กลับเป็นแม่หญิงเอลซ่าแทนซะนี่ ฮา.
ของนัตสึต้องแบบรุนแรงกว่านี้สิเนอะ (??) ๕๕.
เอาเป็นว่าพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ
ความคิดเห็น