ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Fairy Tail] Attraction เสน่ห์ร้าย ยัยจอมเวท

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter >> 4 :: เรื่องวุ่นวาย

    • อัปเดตล่าสุด 9 มี.ค. 58






    Chapter >4 เรื่องวุ่นวาย

     


    ร่างที่สูงกว่าเธอกลับกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น   แล้วค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูลูซี่...ด้วยน้ำเสียงที่พาให้เธอต้องใจสั่น

     

    “ไปทำภารกิจด้วยกันนะ © 

     

    .

     

    .

     

    “ไม่เอ๊า~” ลูซี่ร้องปฏิเสธเสียงดัง  ก่อนจะสะบัดตัวด้วยเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมด  จนคนที่โอบกอดไว้เสียหลัก...อ้อมแขนที่รัดแน่นจึงคลายออก  ลูซี่ก็ไม่รอช้า อาศัยจังหวะนั้นผละหนีจากคนที่ถือวิสาสะกอดเธออย่างรวดเร็ว  และ...

     

    เพี๊ยะ

     

    ...ฟาดมือเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจัง

     

    เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะนั้น  ก่อนที่ความตกใจในคราแรกจะเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว  เมื่อดวงตากลมโตของลูซี่ได้สบเข้ากับดวงตาคมของอีกฝ่ายภายใต้ใบหน้างดงามและเรือนผมสีดุจเดียวกับชื่ออันเป็นเอกลักษณ์นั่น...

     

    “เอลซ่า!!!

     

    เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์โดดเด่นตะโกนสุดเสียงด้วยความตกใจกลัว  เพราะเมื่อครู่เธอดันตกใจจนฟาดมือใส่หน้าของเอลซ่าเข้าเต็มๆ  และเท่าที่ได้รู้จักกับเอลซ่ามา ลูซี่พบว่า...คนที่กล้าทำร้ายเอลซ่า  ไม่มีใครตายดีสักคน...

     

    ...กรี๊ดดดด ทะ ทำไงดี  ถูกฆ่าแน่ๆ เลยเรา...

     

    ร่างบางออกอาการลนลาน  ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่เอลซ่าอย่างระแวดระวัง  พลางสอดส่องมองหาทางหนีทีไล่ของตนเองอย่างเตรียมพร้อม

     

    คนถูกฟาดนิ่งไปชั่วอึดใจราวกับยังคงตกตะลึงที่ตนเองถูกประทุษร้ายซึ่งๆ หน้า  มือขาวบางยกขึ้นมือจับแก้มเนียนที่เจ็บจนชาของตนเองเบาๆ ก่อนดวงตาคมจะตวัดมามองที่ลูซี่

     

    เฮือกกก

     

    คนถูกมองสะดุ้งสุดตัว  ขาเรียวเตรียมจะขยับวิ่งหนีไปให้พ้นจากรัศมีการโจมตีของเอลซ่า  หากแต่พอคิดจะก้าวเท้าหนี...มันกลับวิ่งไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น

     

    ...โอ๊ย..มาขาแข็งเอาอะไรตอนนี้วิ่งสิ  วิ่ง  เร็วเข้าลูซี่... คิดในใจพลางเหลือบมองเอลซ่าที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เธอด้วยบรรยากาศทะมึนรอบตัว ...ตายๆๆ งานนี้ไม่รอดแน่ลูซี่  ฮือ...ฉันยังอ่านนิยายที่อยากจะอ่านไม่จบเลยนะ ยังไม่ได้ไปเที่ยวที่ๆ อยากไป ยังไม่ได้ทำสิ่งที่อยากจะทำอีกตั้งหลายอย่าง... 

     

    เพราะมัวแต่ร้องไห้พร่ำเพ้อถึงสิ่งที่ตนเองอยากจะทำให้หมดก่อนตาย  ทำให้ลูซี่ไม่ทันได้รู้สึกตัวว่าคนที่ตนกำลังหวาดกลัวได้ก้าวเข้ามายืนประชิดตัวเธอเสียแล้ว

     

    ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัตรไปจากสิ่งที่ลูซี่คิดเอาไว้...

     

    เมื่อมือบางอันอบอุ่นของเอลซ่าคว้ามือของลูซี่ไปจับเอาไว้  ทำให้เจ้าของมือสะดุ้งอีกครั้ง  แม้จะหวาดหวั่นเพียงใด หากแต่ก็รู้สึกสงสัยไม่แพ้กัน  “อะ...เอลซ่า ?”

     

    เอลซ่ากุมมือของลูซี่...ยกขึ้นมาแตะที่แก้มของตนเองที่โดนตบเมื่อครู่เบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ยักรู้ว่าเธอจะเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรงแบบนี้นะลูซี่” พลางจับมือของลูซี่ให้ลูบแก้มของตนไปมา ทำทีราวกับว่าจะให้มือนั้นได้สัมผัสสิ่งที่ตนเพิ่งทำทิ้งเอาไว้

     

    “เห๊ะ!?” ขนแขนพร้อมใจลุกชันขึ้นด้วยรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของเอลซ่า  แล้วลูซี่ก็กระชากมือของตนกลับมาพลางมองเอลซ่าด้วยความสงสัย “เอ่อ..ที่พูดเมื่อกี้หมายความว่าไงเหรอเอลซ่า ?”

     

    “หึ” เอลซ่าแค่นยิ้ม ก่อนที่รอบๆ ตัวของเธอจะมีแสงเปล่งประกายออกมา “เปลี่ยนศาสตรา..”

     

    ลูซี่ยกมือขึ้นมากันไม่ให้แสงสว่างจ้านั้นสาดกระทบเข้ากับตาของตนเอง  จนกระทั่งแสงนั้นหายไป...ก็ปรากฏร่างของเอลซ่าในชุดหนังรัดรูปสดำ  ในมือถือแส้เส้นยาวสีดำเอาไว้  มองดูคลับคล้ายคลับคลากับพวกคลั่งการเล่นวิตถารที่ต้องใช้ความรุนแรงเป็นตัวกระตุ้น..

     

    “เอาล่ะลูซี่  เราจะไปเล่นแบบนี้ที่ไหนดีนะ” เอลซ่าเอ่ยคำถามด้วยรอยยิ้มหวาน  หากแต่มันกลับดูน่าหวาดกลัวมากเหลือเกินสำหรับลูซี่

     

    “มะ  ไม่นะเอลซ่า  ฉันไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้สักหน่อย” ลูซี่ร้องบอกพลางทำท่าจะวิ่งหนี  แต่เอลซ่ากลับไวกว่าด้วยการใช้แขนคว้าตัวลูซี่เข้ามาไว้ในอ้อมกอดของตน 

     

    “พูดอะไรแบบนั้น  เมื่อกี้เธอยังทำรุนแรงกับฉันอยู่เลยนะ”

     

    หญิงสาวในอ้อมแขนส่ายหน้าดิก  “ไม่...เมื่อกี้มันเป็นอุบัติเหตุ  ฉันไม่ได้ตั้งใจจะตบเธอนะเอลซ่า  ฉะ...ฉัน...” ลูซี่บอกอย่างละล่ำละลัก  ดวงใจน้อยๆ ของจอมเวทผู้อัญเชิญดวงดาวเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว

     

    “ไม่ต้องปฏิเสธหรอกน่า” เอลซ่าพูดอย่างไม่สนใจคำตอบหรือท่าทางของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย  ก่อนจะออกแรงหิ้ว(?)ร่างบางในอ้อมแขนขึ้นและหวังจะพาลูซี่ไปที่สงบๆ ที่ซึ่งจะมีแต่เพียงเธอสองคนเท่านั้น

     

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” ลูซี่กรีดร้องเสียงดังด้วยหวังว่าจะมีใครสักคน(ที่กล้าพอจะประมือกับเอลซ่า)เข้ามาช่วยเธอให้รอดพ้นจากสถานการณ์ในตอนนี้ไปได้ “ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย!!

     

     และดูเหมือนความหวังจะยังไม่เลือนสูญ...

     

    เมื่อประตูของกิลด์ถูกเปิดผลัวะออกอย่างแรง  พร้อมกับร่างของนางฟ้าตัวน้อยๆ ที่วิ่งออกมา

     

    “เกิดอะไรขึ้นคะคุณลูซี่?” เวนดี้ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนอย่างเป็นห่วง  แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าเข้า  ร่างเล็กก็ถึงกับชะงักงัน...เมื่อพบว่าเอลซ่ากำลังหิ้วลูซี่ไว้  และยังแต่งตัวด้วยชุดรัดรูปวาบหวิวที่ดูเหมือนพวกชอบเล่น sm อย่างไรอย่างนั้น แถมยังมองตรงมาทางเวนดี้อย่างไม่พอใจ “คุณ...เอลซ่า?”

     

    “กลับเข้าไปข้างในซะเวนดี้  นี่มันเรื่องของผู้ใหญ่  เด็กอย่างเธอไม่เกี่ยว” เอลซ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  ทว่ากลับแฝงไปด้วยแววขมขู่

     

    “อะ...เอ่อ...” เจอบรรยากาศน่าหวาดกลัวรอบๆ ตัวเอลซ่าเข้าไปก็ทำเอาเวนดี้พูดอะไรไม่ออกขึ้นมา  เพราะเธอเองก็หวาดกลัวเอลซ่าอยู่เหมือนกัน...แต่จะปล่อยให้เอลซ่าหิ้วตัวลูซี่ไปแบบนั้นก็คงจะไม่ดีแน่ๆ  และที่สำคัญเธอได้ให้สัญญากับลูซี่เอาไว้แล้วว่าจะคอยช่วยเหลือจากพวกที่ถูกยาเสน่ห์  เพราะฉะนั้นเธอคงทอดทิ้งลูซี่ไม่ได้  ร่างเล็กลอบกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะทำใจดีสู้เสือด้วยการเอ่ยกับเอลซ่า “ใจเย็นๆ ก่อนนะคะคุณเอลซ่า”

     

    ไร้คำตอบจากเอลซ่า  ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เวนดี้เริ่มหวาดกลัว...ว่าจะเกิดการปะทะกันขึ้นมา  ถ้าเป็นแบบนั้นจริง  เธอจะเอาอะไรไปสู้กับจอมเวทระดับ s อย่างเอลซ่าได้...  คนที่จะรับมือกับเอลซ่าได้น่ะ  มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น  และหนึ่งในนั้นก็คือ...

     

    ร่างเล็กเหลือบสายตาไปมองยังแมวสีขาวของตนที่บินอยู่ตรงแถวๆ ประตูของกิลด์อย่างต้องการสื่อความหมาย  และดูเหมือนชาร์ลเองก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่เวนดี้ต้องการ จึงได้พยักหน้ารับและบินกลับเข้าไปในกิลด์อีกครั้ง

     

    “ปละ...ปล่อยฉันเถอะนะเอลซ่า” คนที่ถูกหิ้วไว้ในอ้อมแขนแกร่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเง้างอดปนหวาดกลัว

     

    “ไม่!” ปฏิเสธสั้นๆ คำเดียวจบ

     

    “แง~ เวนดี้ช่วยฉันด้วย”

     

    “รอเดี๋ยวนะคะคุณลูซี่  เดี๋ยว...” เวนดี้ตอบ  หากแต่เมื่อมองสบตากับเอลซ่าเข้า  คำพูดที่กำลังจะตามออกมาก็มีอันต้องถูกกลืนหายไปในลำคอทันที

     

    “หึ” เอลซ่ายกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าเวนดี้มีท่าทีหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้ามายุ่งเรื่องของตน  ก่อนจะหันกลับมามองหญิงสาวที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของตนด้วยรอยยิ้มเอ็นดู(?) “พวกเราเองก็ไปทำธุระส่วนตัวกันเถอะนะ”

     

    เอลซ่าออกเดิน  แต่เพียงแค่ไม่กี่ก้าว  เธอกลับต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงหวานเรียกเธอเอาไว้เสียก่อน

     

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะเอลซ่า”

     

    เจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงหันกลับมามอง...ก็พบเข้ากับหญิงสาวร่างบางนัยน์ตาสีฟ้าใส  เรือนผมยาวสีขาวนั้นสะบัดไปมาตามจังหวะการก้าวเดินของเจ้าของที่กำลังก้าวเข้ามาหาเอลซ่ากับลูซี่ “เธอจะพาลูซี่ไปไหนไม่ได้นะ”

     

    “มิร่า...” เอลซ่าเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายขึ้นมา “เธออย่ามาขัดขวางความรักของฉันกับลูซี่จะได้ไหม”

     

    ได้ยินแบบนั้น...มิร่าเจนจึงเหลือบตาไปมองลูซี่ที่ได้แต่ส่ายหน้าไปมาราวกับจะบอกว่าสิ่งที่เอลซ่าพูดนั้นไม่เป็นความจริง

     

    “แต่ดูท่าทางลูซี่จะไม่อยากมีความรักกับเธอสักเท่าไหร่นะ” ร่างบางในชุดกระโปรงยาวกล่าว “ทางที่ดีฉันว่าเธอปล่อยลูซี่ลงก่อนจะดีกว่านะ”

     

    “ไม่!” เอลซาตอบปฏิเสธ “ฉันจะไม่แยกจากลูซี่”

     

    เจอคำตอบจริงจังแบบนั้นเข้าไป  ทั้งมิร่าเจน  เวนดี้  ชาร์ล  หรือแม้แต่ตัวของลูซี่เองก็ถึงกับอึ้ง  โดยเฉพาะกับฝ่ายลูซี่ที่เหมือนจะอึ้งหนักกว่าเพื่อนคนอื่นเขา

     

    แน่ล่ะ...ก็เธอกำลังซวยอยู่นี่นา  แถมเอลซ่ายังเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าอีกตะหาก  ถ้าเธอบอกว่าไม่อยากจะแยกจากลูซี่  นั่นก็เท่ากับว่าเอลซ่าจะทำแบบนั้นจริงๆ  และถ้าแยกจากกันไม่ได้...ก็คงไม่พ้นว่าร่างงามเจ้าของเวทอัญเชิญคงต้องตกเป็นภรรยา(?)ของเอลซ่าเป็นแน่แท้

     

    ...แง้เค้ากลัวแล้ว  TT[]TT...

     

    “แบบนี้คงจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วสินะ” เจ้าของเรือนผมสีขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง  หากแต่สายตาที่จ้องมองเอลซ่านั้นกลับจริงจัง “จะว่าไปเราไม่ได้ เล่นด้วยกันมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแล้วนี่เนอะ  สนใจจะย้อนวัยกันอีกครั้งไหม?”

     

    คราวนี้ทั้งลูซี่  เวนดี้  และชาร์ลถึงกับหน้าซีดขึ้นมาทันที  เพราะถ้าหากเอลซ่าตอบรับคำชวน เล่นของมิร่าเจนขึ้นมาล่ะก็...งานนี้คงจะเกิดเป็นปัญหาใหญ่ในกิลด์ขึ้นมาแน่ๆ  ทางที่ดีทั้งสามจึงควรจะรีบแก้สถานการณ์โดยด่วน

     

    “เอ่อ  หนูว่า...” เวนดี้จะรีบเอ่ยห้าม  แต่ยังไม่ทันเอ่ยจบ...คำตอบที่พวกเธอหวาดกลัวว่าจะได้ยินก็ดังออกมาจากปากของเอลซ่า

     

    “เอาสิ”

     

    เจ้าของเรือนผมสีแดงตอบ  ก่อนจะค่อยๆ คลายตัวลูซี่ออกจากอ้อมแขนของตน  แล้วเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับมิร่าเจนในระยะประชิด “จะเริ่มกันเลยไหมล่ะ?”

     

    มิร่าเจนยิ้มรับ “รอสักประเดี๋ยวนะ” ก่อนดวงตาสีฟ้าใสจะปรายมาทางเวนดี้ “พาลูซี่กลับไปที่บ้านก่อน”

     

    เวนดี้พยักหน้ารับพลางวิ่งเข้ามาประคองลูซี่อย่างรวดเร็ว  หวังจะพาร่างบางเจ้าของเวทอัญเชิญกลับบ้าน  หากแต่ลูซี่กลับไม่ยอม  “ไม่ได้หรอกนะเวนดี้  ตอนนี้เอลซ่ากับคุณมิร่ากำลังจะสู้กันเพราะมีฉันเป็นต้นเหตุนะ ฉะ...ฉันปล่อยให้ทั้งสองคนทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”

     

    “หนูก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นหรอกค่ะ” เวนดี้ตอบรับ “แต่คุณลูซี่คะ  คุณมิร่าอุตส่าห์ยอมช่วยรั้งคุณเอลซ่าเอาไว้ให้แบบนี้  ถ้าไม่ไปตอนนี้  คุณลูซี่เองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายแย่นะคะ”

     

    “ฉันรู้เวนดี้  แต่...ฉันปล่อยให้สองคนนั้นสู้กันไม่ได้จริงๆ” ลูซี่ตอบเสียงเบา  เธอเข้าใจว่าถ้าไม่หนีตอนนี้  มีหวังเธอต้องตัวติดกับเอลซ่าไปอีกนานแน่ๆ  แต่ว่า...เธอปล่อยให้สองสาวสู้กันไม่ได้จริงๆ  ทั้งสองคนนั้นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก  มิตรภาพที่ดีงามนั้นไม่ควรจะถูกทำลายลงเพราะมีเธอเป็นต้นเหตุหรอกนะ  เพราะฉะนั้นเธอจะต้องอยู่ที่นี่...และหยุดทั้งสองคนเอาไว้ให้ได้  แม้ว่าตนเองอาจจะต้องเดือดร้อนก็ตาม

     

    “คุณลูซี่...” เวนดี้เอ่ยเสียงอ่อนอย่างเข้าใจในความรู้สึกของลูซี่  ถ้าหากเป็นเธอ...เธอเองก็คงจะทำแบบเดียวกับลูซี่แน่นอน

     

    เพราะมัวแต่เวิ่นเว้อกันอยู่  จึงทำให้ลูซี่และเวนดี้ไม่ทันระวัง...

     

    “ทั้งสองคน!!” ชาร์ลตะโกนเตือนสติเวนดี้และลูซี่  ทำให้ทั้งสองสาวรีบหันมองทันที  และพบว่าตอนนี้เอลซ่ายืนอยู่ประชิดตัวพวกเธอเสียแล้ว

     

    บทสนทนาระหว่างเวนดี้และลูซี่เมื่อครู่นั้นอยู่ในการรับรู้ของเอลซ่า  เจ้าของเวทเปลี่ยนศาสตรายิ้มอ่อนโยนให้กับลูซี่  ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูของเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ “ขอบคุณที่เป็นห่วงฉันนะลูซี่” กล่าวจบ...เอลซ่าก็ทำในสิ่งที่ทำให้ลูซี่ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด!! 

     

    ...เมื่อริมฝีปากสีสดแนบประชิดลงกับแก้มเนียนนุ่มของลูซี่เบาๆ “ฉันจะสู้เพื่อความรักของเรา...”

     

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดด” โดยไม่รอให้เอลซ่าพูดจบ  ลูซี่ก็ผละออกห่างจากคนที่กระทำการล่วงละเมิดทางร่างกายของเธออย่างรวดเร็ว  และไม่ต้องรอให้มีอะไรเกิดขึ้นอีก...ร่างบางก็หันหลังกลับและวิ่งหนีไปออกไปจากสถานที่ตรงนี้ทันที  ไม่ได้สนใจสิ่งที่ตนเพิ่งจะพูดไปเมื่อก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย...

     

    “คุณลูซี่” เวนดี้มองแผ่นหลังบางของลูซี่ที่เพิ่งวิ่งหนีออกไปด้วยหน้าตาตื่นตกใจ  ก่อนจะหันกลับมามองทางเอลซ่าที่ยิ้มอย่างติดตลกกับมิร่าเจนที่กำลังโบกมือให้เวนดี้เป็นเชิงว่าให้รีบตามลูซี่ไป “ระวังตัวด้วยนะคะทั้งสองคน”

     

    ร่างเล็กเอ่ยกับสองสาวด้วยความเป็นห่วง  แล้วจึงรีบวิ่งตามลูซี่ไป  ทิ้งให้เอลซ่ากับมิร่าเจนหันกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง

     

    @@@@@@@@@@

     

    ร่างบางนั่งหน้าซีดตัวสั่นด้วยความรู้สึกหลากหลายอยู่บนโซฟาในบ้านพักของตนเอง  ข้างๆ กันนั้นมีร่างของเด็กสาวตัวเล็กและแมวสีขาวกำลังนั่งปลอบใจ

     

    “คุณลูซี่...”

     

    “แง้ง~ ฉันกลัวอ่ะเวนดี้” ร่างบางโวยวาย “ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ  อุตส่าห์จะช่วยห้ามศึก  แต่ทำไมเอลซ่าถึงทำแบบนี้กับฉัน??  เห็นไหม...ฉันเลยต้องผิดพูดตัวเองเลย  ป่านนี้สองคนนั้นคงจะสู้กันจนกลายเป็นปัญหาใหญ่โตไปแล้วแน่ๆ”

     

    “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก  ก่อนที่ฉันจะตามเธอมาที่นี่...ฉันไปบอกเรื่องของทั้งสองคนนั้นให้คาน่าและริซานน่ารู้แล้วล่ะ” ชาร์ลตอบ “ป่านนี้พวกนั้นคงจัดการเรื่องของเอลซ่ากับมิร่าเรียบร้อยแล้ว”

     

    “ชาร์ลพูดถูกแล้วล่ะค่ะ  เพราะหนูไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้เลย” เวนดี้สนับสนุนคำพูดของชาร์ล  มือเล็กๆ ป้องอยู่ที่ใบหู 

     

    “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิ” ลูซี่ว่า “ไม่งั้นฉันคงต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ๆ ที่ทำให้เอลซ่ากับคุณมิร่าต้องสู้กัน”

     

    เวนดี้จึงยิ้มบางๆ อย่างเห็นใจ “ว่าแต่...คุณลูซี่ไม่เป็นอะไรแน่นะคะ??”

     

    คนถูกถามนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย  ก่อนจะยิ้มแห้งๆ ให้เวนดี้ “ไม่เป็นอะไรหรอก...” แต่เมื่อนึกถึงตอนที่เอลซ่าประทับริมฝีปากไว้บนแก้มนวลของเธอ  รอยยิ้มแห้งๆ นั้นก็ถึงกลับหายไปทันที “.....มั้งนะ”

     

    “หนูต้องขอโทษด้วยนะคะที่ช่วยคุณลูซี่จากคุณเอลซ่าไม่ได้” เด็กสาวร่างเล็กกล่าว

     

    “ไม่เป็นไรหรอกเวนดี้” ลูซี่ยิ้มให้เด็กสาว “ฉันเข้าใจว่าเอลซ่าน่ะน่ากลัว....มาก~

     

    แล้วทั้งสองสาวต่างก็หัวเราะให้กันเบาๆ  ทำให้ชาร์ลที่นั่งมองอยู่ได้แต่ถอนหายใจน้อยๆ อย่างนึกโล่งอก  ก่อนจะยิงคำถามที่ตนสงสัยใส่ลูซี่  “ว่าแต่...ทำไมเอลซ่าถึงได้มีอาการหน้ามืดตามัวทำตัวน่ากลัวใส่เธอแบบนั้นล่ะ??”

     

    “เอ๊ะ?” ลูซี่หันมามองชาร์ล  ก่อนคิ้วบางของเธอจะขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย “มะ...ไม่รู้สิ”

     

    “หรือว่ายาเสน่ห์จะยังไม่หมดฤทธิ์คะ?” เวนดี้เสนอความเห็นขึ้นมา ซึ่งทำให้ชาร์ลพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำตอบนั้นว่าอาจเป็นแบบนั้นก็ได้

     

    “ฉันว่าไม่น่าจะใช่นะ..เพราะอ่านจากหนังสือ(นิยาย)มา  ส่วนใหญ่มันก็หมดฤทธิ์ในคืนเดียว   แถมคุณมิร่าเองก็ยังไม่เห็นจะมีอาการอะไรเลยสักนิด” ลูซี่กล่าวแย้ง

     

    “แล้วกับคนอื่นๆ ล่ะคะ?”

     

    “อืม...” ลูซี่ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย “โลกิไม่มีอาการ  เพราะหมอนั่นบอกว่ายาเสน่ห์ไม่มีผลกับเทพแห่งดวงดาว  ส่วนเกรย์...ยังไม่ได้พบหน้ากันหรอก  เพราะโลกิดึงตัวหมอนั่นไปก่อน  เลยไม่รู้ว่าเป็นยังไง  ส่วนคุณมิร่าเองก็...อย่างที่เธอเห็นนั่นแหละเวนดี้  ไม่มีอาการอะไรเลยแม้แต่น้อย  แต่พอเจอกับเอลซ่าเข้า...กลับเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้นซะได้  ส่วนคนอื่นๆ  ที่เหลือฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

     

    ชาร์ลที่ฟังอยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แต่ถ้าไม่เป็นเพราะยาเสน่ห์  ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลอื่นที่ทำให้เอลซ่าทำตัวน่ากลัวแบบนั้นใส่เธอหรอกนะ”

     

    “นั่นมันก็ใช่...” ลูซี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “แต่ถ้ายามันยังไม่หมดฤทธิ์จริง  แล้วทำไมคุณมิร่าถึงได้มีอาการปกติแบบนั้นล่ะ??”

     

    “งั้นจะลองไปพบกับคุณนัตสึดูไหมล่ะคะ?” เด็กสาวเอ่ยเสนอ “เผื่อว่าคุณนัตสึจะมีอาการเป็นปกติเหมือนกัน”

     

    “ไม่!” ตอบปฏิเสธทันควัน  ขนาดเจอเอลซ่า(ที่เป็นผู้หญิง)ยังน่ากลัวขนาดนี้  “เกิดนัตสึมีอาการรุนแรงกว่าเอลซ่าขึ้นมาล่ะ  ฉันจะทำยังไง???”

     

    ซึ่งคำถามข้อนี้  เวนดี้เองก็จนปัญญาจะตอบได้  เพราะนัตสึเป็นคนที่บ้าระห่ำกว่าเอลซ่ามาก  เกิดมีอาการรุนแรงกว่าเอลซ่าจริง...คงน่ากลัวน่าดู

     

    “เฮ้อ  เอาเป็นว่าเธอเองก็ระวังตัวจากเจ้าพวกนั้นไว้ก่อนก็แล้วกันนะ” เจ้าแมวเหมียวสีขาวเอ่ยเตือนลูซี่

     

    “หนูกับชาร์ลคงต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ  ส่วนเรื่องนี้หนูจะลองไปปรึกษากับคุณเรวี่ดู” เวนดี้เอ่ยบอก “ถ้าได้เรื่องยังไงแล้วหนูจะรีบมาบอกคุณลูซี่ทันทีเลยค่ะ”

     

    เจ้าของบ้านมองแขกทั้งสองของตนด้วยแววตาซาบซึ้ง “ขอบใจพวกเธอสองคนมากเลยนะ”

     

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เวนดี้ยิ้มตอบ “ก็หนูสัญญากับคุณลูซี่ไว้แล้วนี่คะว่าจะคอยช่วยเหลือคุณเอง”

     

    “ก็นะ...” ชาร์ลว่าพลางยักไหล่ให้  ทำให้ลูซี่ยิ่งยิ้มกว้างให้กับทั้งสอง  ในสถานการณ์ที่คนรอบข้างกลายร่าง(?)เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพฤติกรรมน่าหวาดกลัวแบบนี้  อย่างน้อยๆ ก็ยังมีคนปกติที่ยังคอยให้ความช่วยเหลือเธอ  ไม่ปล่อยให้เธอต้องรู้สึกเคว้งคว้างอยู่เพียงลำพัง  มันเป็นสิ่งที่ทำให้เธอตื้นตันใจอย่างไม่ถูก

     

    “ขอบใจอีกครั้งนะ” ลูซี่กล่าวบอก  พลางโบกมือลาเป็นการล่ำลาให้หนึ่งเด็กสาวและอีกหนึ่งแมวที่กำลังเดินออกจากประตูห้องของเธอไป

     

    เมื่อแขกผู้มาเยือนจากไป...ห้องทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง  มีเพียงเสียงถอนใจของหญิงสาวเจ้าของห้องเท่านั้นที่ดังออกมาให้ได้ยิน

     

    “เฮ้อ~” ลูซี่ทอดถอนใจ  พลางทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มของตน  ในหัวคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในวันนี้ตั้งแต่ตอนเช้าจนกระทั่งถึงเมื่อครู่  มันทั้งรู้สึกชวนให้ดีใจ  แต่ในขณะเดียวกันก็ชวนให้รู้สึกแย่ไปด้วย  คิดไปคิดมาเสียงท้องร้องเรียกหาอาหารก็ดังออกมาให้เธอได้ยิน “หิวแฮะ”

     

    ร่างบางลุกจากเตียงนอน  เดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรกินรองท้องเสียหน่อย  หากแต่เมื่อเปิดประตูตู้เย็นออกมาก็พบเพียงน้ำเปล่าและนมเท่านั้น  ไม่มีอาหารอะไรให้เธอได้หยิบเอาออกมารับประทานได้เลย “เหอะ ลืมไปเลยว่าของกินหมดเกลี้ยงไปตั้งแต่วันก่อนแล้ว” ร่างบางว่า “แล้วแบบนี้...ฉันจะกินอะไรล่ะเนี่ย??”

     

    เมื่ออับจนหนทาง  สุดท้ายลูซี่จึงตัดสินใจ...จะออกไปซื้อของกินมาตุนเอาไว้

     

    ร่างบางคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นมา  ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพักของตนเองด้วยอาการเบื่อหน่าย  ความจริงหลังจากเกิดเรื่องของเอลซ่าขึ้นในวันนี้  ทำให้ลูซี่ไม่อยากจะออกจากบ้านสักเท่าไรนัก  เพราะไม่แน่ใจว่าเจ้ายาเสน่ห์บ้านั่นมันหมดฤทธิ์ไปแล้วจริงๆ หรือไม่  แต่ในเมื่อชีวิตเธอก็ต้องอยู่ต้องกินเหมือนกัน  มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องออกไปเดินตลาดเพื่อจับจ่ายใช้สอยหาซื้ออาหารมาตุนไว้  และเช่นกันว่าเธอจะต้องออกไปหาภารกิจทำ  ไม่เช่นนั้นคุณป้าเจ้าของบ้านเช่าคงหิ้วเธอออกไปทิ้งนอกบ้านแน่ๆ  ดังนั้นลูซี่จึงได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เธอต้องเจอกับเรื่องซวยๆ หรือเจ้าพวกตัวซวยเข้า

     

     

    ท่ามกลางศูนย์กลางการค้าของเมืองแมกโนเลีย  ร่างบางเดินหิ้วถุงพะรุงพะรัง  พลางเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้เพื่อซื้อหาสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป  เพื่อที่ตนเองจะได้ไม่ต้องออกมาเดินตลาดให้บ่อยมากนัก

     

    “เอ...เอาอะไรอีกดีนะ” ลูซี่พึมพำกับตนเอง  สายตากวาดไปทั่วทั้งสองข้างทางที่เต็มไปด้วยบรรดาร้านค้ามากมาย  เพื่อจะสำรวจว่ายังมีสิ่งใดจำเป็นต้องซื้ออีกหรือไม่  แต่แล้วนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลของเธอก็กวาดไปพบกับแมวตัวหนึ่งที่กำลังยืนอยู่หน้าร้านขายปลาเข้าให้

     

    โดยไม่รอช้า  ลูซี่รีบหาที่หลบทันที  ในใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นปนหวาดวิตก “นั่นมันแฮปปี้นี่” ร่างบางว่าพลางลอบมองไปยังจุดเดิมอีกครั้ง ...แมวสีฟ้ายังคงยืนอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง

     

    ...นัตสึไม่ได้มาด้วยสินะ... ลูซี่คิดอย่างโล่งใจเมื่อไม่เห็นเงาร่างของเจ้าของเรือนผมสีชมพูอยู่เคียงข้างกับแมวสีฟ้าตัวนั้น  ก่อนที่จะต้องสะดุ้งกับความคิดของตัวเอง ...เอ๊ะ? หรือว่ามาแต่แยกไปซื้อของอย่างอื่น...ถ้างั้นก็ต้องรีบไปจากตรงนี้ก่อนที่นัตสึจะกลับมา...

     

    เพราะเป็นคนติงต๊องที่พอคิดอะไรเพลินๆ แล้วจะไม่สนใจอย่างอื่นทันที ทำให้ลูซี่ไม่ทันได้สังเกตว่าเจ้าแมวน้อยตัวนั้นมองเห็นเธอแล้ว...และมันก็กำลังกางปีกบินเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางร่าเริงเพียงใด

     

    “ลูซี่!!!!

     

    เสียงแหลมเล็กที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อของเธอ  ทำให้ลูซี่ตกใจกรีดร้องออกมา  “กรี๊ดดดดดดดดดดด” พร้อมทั้งยังยกขาเรียวงามขึ้นถีบเจ้าแมวเสียเต็มแรง “ลูซี่คิกกกกกก”

     

    ยังไม่ทันได้ตั้งตัวอะไร  แฮปปี้ก็โดนลูกถีบของลูซี่เข้าจนลอยละลิ่วไปติดกับฝาผนังของร้านค้าอีกร้านที่อยู่ตรงกันข้าม “แอ๊ก”

     

    ฝ่ายคนถีบไร้ซึ่งความสำนึกผิดหรือห่วงหาใดๆ ไม่  เธอรีบวิ่งจ้ำออกไปจากที่ตรงนี้อย่างรวดเร็วที่สุด  เพราะเกรงว่าคู่หูของแฮปปี้จะโผล่มาเจอเธอเข้า  แล้วจะเกิดเหตุการณ์แบบในตอนของเอลซ่า  ซึ่งถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นในตอนนี้  เธอคงไม่มีทางเอาตัวรอดได้แน่  การหนี...จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด

     

     

    กลับมาถึงบ้านได้ลูซี่ก็รีบล็อกห้องของตนเองอย่างแน่นหนา  หอบหิ้วของที่วิ่งกระเตงมาด้วยไปวางไว้บนโต๊ะกินข้าว  แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน “ทำไมวันนี้มันถึงได้ซวยแบบนี้เนี่ย”

     

    นั่งพักจนหายเหนื่อย  ลูซี่จึงลุกขึ้นจัดของเข้าตู้เย็นให้เรียบร้อย  พร้อมทั้งหยิบหาวัสดุที่จะใช้ในการทำอาหารมื้อเย็นออกมาเตรียมไว้   แล้วลงมือทำอาหารกินเองหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

     

    หลังจากกินอิ่มดี  แม้จะรู้สึกเหงาอยู่สักหน่อยที่ต้องกินคนเดียวแบบนี้  เพราะโดยปกติแล้วเธอมักจะรับประทานอาหารร่วมกับนัสตึและแฮปปี้  แต่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น...คงจะเชื้อเชิญเจ้าพวกนั้นมาทานอาหารที่บ้านของเธอไม่ได้หรอก  มันเสี่ยงเกินไป 

     

    “จะว่าไป..เราทำรุนแรงกับแฮปปี้เกินไปรึเปล่านะ” เอ่ยกับตนเองเหมือนจะเพิ่งรู้สึกสำนึกผิด  และแอบจะเสียดายอยู่เล็กน้อย  หากว่าเธอไม่ถีบแฮปปี้  แต่รอดูอาการของเจ้าแมวนั่นแทน  บางทีเธออาจจะได้ข้อสรุปก็ได้ว่ายาเสน่ห์มันหมดฤทธิ์ไปแล้วหรือไม่  แต่ทำไงได้...ตอนที่แฮปปี้เอ่ยเรียกเธอนั้น  เธอตกใจมากไปหน่อยจนเท้ามันทำงานไปเองโดยอัตโนมัตินี่นา... “ช่างเถอะ” สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา  ก่อนจะพาตนเองเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย

     

    หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ลูซี่ก็ทิ้งร่างของตัวเองลงบนเตียงนอน  พลันภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็หวนกลับมาอีกครั้ง  ทำให้ร่างบางต้องยกมือขึ้นมาตีหัวตัวเองเบาๆ ราวกับจะไล่ภาพเหล่านั้นออกไป ก่อนจะถอนหายใจอย่างอ่อนล้า “เฮ้อ~ อยู่คนเดียวแล้วฟุ้งซ่านชะมัดเลย  เมื่อไหร่โลกิจะกลับมานะ”

     

    และเพราะความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ  ทำให้ลูซี่ผล็อยหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ

     

    .

    .

    .

    ร่างบางลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า...ทว่าสิ่งที่พบกลับไม่ใช่ผนังฝ้าสีครีมของห้องนอน  หากแต่เป็นสีดำของความมืดมิด ดวงตากลมโตกวาดมองทั่วบริเวณ  แต่สิ่งที่พบก็มีเพียงความมืดที่ดำมืดยิ่งกว่าสิ่งใด  สิ่งที่มองเห็นมีเพียงแค่ผิวกายขาวผ่องของตนเอง  เธอออกก้าวเดินเพื่อค้นหาทางออก  แต่รอบข้างมีเพียงความมืดมิดที่แสนหนาวเหน็บ  ยิ่งค้นหามากเท่าไหร่  ก็ยิ่งรู้สึกท้อใจมากเท่านั้น  เมื่อเธอไม่อาจค้นพบทางออกได้  สุดท้ายจึงทำได้เพียงทิ้งตัวลงนั่ง...บนความมืดที่แทบจะกลืนกินตัวเธอ  ในสถานที่ที่มีแค่เธอเพียงลำพัง

     

    ในช่วงเวลาที่ถูกความอ้างว้างกัดกินหัวใจ  เงาร่างของใครบางคนกลับปรากฏขึ้นเบื้องหน้า  หากแต่มันกลับเป็นภาพที่ไม่ชัดเจนเอาเสียเลย “ร้องไห้ทำไมเหรอ?” ใครคนนั้นเอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

     

    “ฉันกลัว...” ร่างบางตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วอันสั่นเครือ...ที่แสดงออกถึงความหวาดกลัวอย่างที่เธอว่า “ที่นี่มันมืดและหนาวเกินไป  ฉัน...กลัวจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้  ไม่อยากอยู่ที่นี่...เพียงคนเดียว”

     

    “อย่าร้องไห้เลยนะ”

     

    ฝ่ามืออบอุ่นยื่นมาลูบใบหน้าของเธอ  และเกลี่ยเอาหยาดน้ำตาบนแก้มเนียนของเธอออกอย่างแผ่วเบา “เธอไม่ได้โดดเดี่ยวซะหน่อย  ดูสิ...ฉันอยู่ตรงนี้ข้างๆ เธอนี่ไง”

     

    ร่างบางไม่เอ่ยตอบ...เพราะเธอคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นเพียงภาพลวงตา  ไม่ใช่ความจริงแท้  นั่นเพราะเธอไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้...ทั้งๆ ที่เขาอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมนี้  แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียงความมืด

     

    “เธอไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว  เพราะงั้นหยุดร้องไห้...และหลับตาลงพักผ่อนซะเถอะนะ  ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง” น้ำเสียงอบอุ่นเอ่ยขึ้นที่ข้างหู  ก่อนที่มือที่เกลี่ยเช็ดน้ำตาให้เธอเมื่อครู่จะเอื้อมมาปิดเปลือกตาของเธออย่างแผ่วเบา “ฉันจะอยู่กับเธอตลอดไปนะ”

     

    แต่หากนั่นเป็นภาพลวง...แล้วทำไมมันถึงได้อบอุ่นแบบนี้  อบอุ่น...ราวกับเป็นเรื่องจริง

     

    “สัญญานะ”

     

    “อืม...สัญญา”

     

    จบคำพูดของเขา...ริมฝีปากอันอบอุ่นเหมือนมือคู่นั้นก็ปิดประทับลงบนริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา...ราวกับว่าการกระทำนั้นเป็นสิ่งแทนคำสัญญา...ที่เขาได้กล่าวเอาไว้...และจะไม่มีวันผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ 

     

    คำสัญญาที่แสนอบอุ่น...อ่อนโยน...และนุ่มนวลที่สุด

     

    “นอนหลับฝันดีนะ เจ้าหญิง”





    -TBC-


       

    Writer Talked;

    09/03/2015

    โห้...หายไปนานพอสมควร...อันที่จริงแล้วมันนานมากเลยแหละ เป็นปีกว่าด้วย
    เนื่องด้วยปีที่แล้วทำงานจนแทบไม่มีเวลาสนใจอะไรเลย
    เอาเป็นว่าตอนนี้จะกลับมาแต่งตัวนะคะ

    แต่คงต้องขอให้ผ่านพ้นช่วงสอบมิดเทอมไปก่อน  แล้วจะทยอยอัพฟิค(ที่ดองไว้ทุกเรื่อง)เรื่อยๆ นะคะ

    สำหรับฟิคตอนนี้...ตันในเรื่องชื่อตอนมาก เลยได้ชื่ออย่างนั้นมา
    ส่วนเนื้อหาก็...ตามเรื่องเลยค่ะ

    ขอโทษนะคะที่มันไม่ใช่ 'นัตสึ' เพราะเห็นหลายคอมเมนท์บอกว่าขอให้เป็นนัตสึ แต่กลับเป็นแม่หญิงเอลซ่าแทนซะนี่ ฮา.
    ของนัตสึต้องแบบรุนแรงกว่านี้สิเนอะ (??) ๕๕.

    เอาเป็นว่าพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×