คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : >>:: Chapter 4
Chapter 4
เป็นเพราะตอนนั้นโดนอัลเวนป่วนด้วยคำพูดที่ว่าจะทำให้เธอหันไปชอบเขาให้ได้ ทำให้ลัลทริมาอารมณ์เสียจนลืมถามคำถามที่อยากจะถามเขาที่สุดไปเสียได้ คำถามคาใจที่เชื่อมโยงกับคำพูดของเขา
“อย่าบอกนะว่าพวกนายกำลังกลัวว่าฉันจะพรากเธอไปจากพวกนาย...เหมือนกับที่ฉันเคยพรากแม่พวกนั้นมาจากพวกนายน่ะ”
ร่างบางคิดหนัก จะถามพวกคุณชายรึก็ไม่กล้า จะให้ถามกับอัลเวนเองก็คงไม่พ้นต้องโต้ฝีปากกันอีกเป็นแน่ อีกอย่างไม่อยากจะเจอสีหน้าอ้อนเท้าของอัลเวนด้วย เกิดไปถามๆ แล้วหมอนั่นกวนส้นขึ้นมา บางทีเธออาจจะยั้งตัวเองไม่อยู่ก็เป็นได้...
...ทำเป็นเก่งไปงั้นแหละ เอาจริงๆ ก็ไม่กล้าเข้าไปทำอะไรเขาหรอก กลัวจะโดนกลับมาหนักกว่าเดิมอ่ะนะ
“เฮ้อ” ร่างบางถอนหายใจหนักหน่วง พยายามผลักเรื่องที่กำลังคิดอยู่ในตอนนี้ออกไป เพราะหากคิดมากอยู่แบบนี้ก็มีแต่จะกังวลไปเองเสียเปล่า สู้เอาเวลาไปคิดเรื่องที่มีสาระมากกว่านี้คงจะเป็นประโยชน์กว่ามาก
ครืดดดดดดด
เสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงสั่น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตอนนี้กำลังมีสายเข้า ทำให้ร่างบางต้องเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มา แล้วก็ต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นชื่อของสายเรียกเข้า
‘ที่รัก’
...ใครวะ..? จำได้ว่าตั้งแต่ใช้โทรศัพท์เครื่องนี้มา ไม่เค๊ย~ ไม่เคยจะบันทึกชื่อใครว่า ‘ที่รัก’ เลยสักครั้ง แต่พอคิดไปคิดมา...เมื่อตอนบ่ายเธอเอาโทรศัพท์ให้พวกคุณชายบันทึกเบอร์ลงในเครื่อง และคงจะเป็นหนึ่งในนั้นแน่ๆ ที่บังอาจบันทึกชื่อไว้แบบนี้
ไม่เสียเวลาคิดต่อให้ปวดหัวว่าผู้ที่บังอาจเรียกตนว่าเป็น ‘ที่รัก’ ของเธอนั้นเป็นใคร ลัลทริมาก็กดรับสายทันที “สวัสดีค่ะ”
‘สวัสดี...ความรัก’
แค่น้ำเสียงและคำพูด...ก็เดาได้ไม่ยากว่ามันผู้นั้นคือ ‘แคปเปอร์’ แน่นอน
“มีอะไรคะ?” ถามเสียงเรียบ แต่ก็ฟังดูจะออกไปในแนวเย็นเยียบเสียมากกว่า
‘ทำไมถึงทำเสียงเย็นชาใส่ผมแบบนั้นล่ะครับคุณลัล’
“ไม่โกรธก็ดีขนาดไหนแล้วคะ...ที่คุณกล้าบันทึกชื่อตัวเองว่า ‘ที่รัก’ เนี่ย” เธอตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนัก เพราะยอมรับว่าไม่ได้โกรธถึงขั้นที่จะตัดความสัมพันธ์กัน ก็แค่รู้สึกว่าช่างกล้า...ก็เท่านั้นเอง
‘ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวซะหน่อย’ แคปเปอร์ตอบกลับมา ซึ่งฟังจากคำตอบ...แสดงว่าพวกนั้นคงจะบันทึกชื่อตัวเองไว้แบบ...นะ เดี๋ยววางสายแล้วจะรีบเข้าไปดูรายชื่อทันทีเลย
“แล้วโทรมานี่ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรรึเปล่าคะ?”
‘แค่อยากโทรมาบอกคิดถึง...และฝันดีนะครับ’ ฝ่ายคุณชายคู่สนทนาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนชวนให้ลัลทริมาต้องยิ้มตามออกมา แต่ก่อนที่เขาจะวางสายไป เขาก็เอ่ยบอกเรื่องที่คิดว่าคงจะเป็นหัวข้อสำคัญของการโทรมา ‘คุณลัลอย่าลืมกดเข้าร่วมกลุ่มในไลน์นะครับ พวกเราเชิญคุณเข้ากลุ่มแล้ว’
“รับทราบค่ะ ฝันดีนะคะ” ลัลทริมาตอบรับสิ่งที่เขาบอก และไม่ลืมที่จะบอกฝันดีกลับไป
หลังจากวางสายไปแล้ว ลัลทริมาก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปดูรายชื่อที่ถูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์ของเธอ แล้วร่างบางก็แทบจะปาโทรศัพท์ทิ้งด้วยความหมั่นไส้ทันทีเมื่อเจอรายชื่อของพวกคุณชาย
“การินสุดเท่”
“คนที่เธอรัก”
“เชียรหล่อมาก”
“ที่รัก”
“ภามผู้น่ารัก”
“เรวินหล่อกว่ามาก”
“อคินหล่อที่สุด”
อยากจะถามว่าแต่ละคนนี่คือ...? ต้องมั่นขนาดไหนถึงจะกล้าบันทึกชื่อตัวเองใส่เครื่องคนอื่นแบบนี้ได้ ? โดยเฉพาะอีตาคุณชายสามคนที่เกทับกันเรื่องความหล่อเนี่ย ‘เชียรหล่อมาก’ นี่ว่ามั่นแล้วนะ เจอคุณชายเรวินเกทับไปว่า ‘เรวินหล่อกว่ามาก’ แต่ก็ดันมีคนมั่นสุดๆ ยิ่งกว่าด้วยการบันทึกชื่อว่า ‘อคินหล่อที่สุด’ อยากรู้ว่าไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากที่ไหนกัน ว่าแต่...ไอ้ ‘คนที่เธอรัก’ นี่มันคือใครกัน ?
ลัลทริมาลองไล่รายชื่อแต่ละคนดู ขาดไปสองชื่อคือ ‘แคปเปอร์’ และ ‘ชินะ’ เมื่อครู่นี้แคปเปอร์ได้โทรเข้ามาแล้วในชื่อของ ‘ที่รัก’ เพราะฉะนั้นแล้วไอ้ ‘คนที่เธอรัก’ นี้ก็คงจะหนีไม่พ้นชินะเป็นแน่
“เหอะๆ” เด็กสาวหัวเราะเสียงแห้ง ก่อนจะกดเข้าแอปพลิเคชั่นไลน์ แล้วกดตกลงเข้าร่วมกลุ่ม ‘หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว’ แต่แค่เห็นชื่อกลุ่มแล้วก็นะ...ไม่อยากเข้าร่วมสักเท่าไหร่เลย พวกคุณชายแต่ละคนนี่ก็แบบ...หล่อแต่ปัญญาอ่อนแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ
หลังจากที่กดเข้าร่วมกลุ่ม เธอก็นั่งคุยไลน์กับพวกคุณชายนิดหน่อย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่านึกครึ้มใจอย่างไรถึงได้กล้าพิมพ์ถามไปว่า ‘เรื่องที่คุณอัลเวนพูดตอนที่อยู่โรงอาหาร มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ?’ ถึงจะถามแบบไม่ได้ระบุหัวเรื่องลงไปด้วย แต่ลัลทริมามั่นใจว่าพวกคุณชายจะต้องเข้าใจคำถามของเธอเป็นแน่แท้ แต่ทว่ากลับไม่มีใครยอมตอบคำถามของเธอเลยสักคน ทั้งที่มีข้อความขึ้นบอกแล้วว่า ‘อ่านแล้วโดย 7’ ซึ่งก็หมายความว่าพวกคุณชายทั้ง 7 คนได้เห็นคำถามของเธอแล้ว แต่กลับไม่มีใครสักคนที่จะยอมตอบคำถามของเธอเลย กลายเป็นว่าจากที่คุยกันสนุกๆ เมื่อครู่...ก็มีอันต้องจบบทสนทนาลงที่คำถามของเธอเท่านั้น
@@@@@@@@@@@@@@@@
“อรุณสวัสดิ์ลัล”
น้ำเสียงสดใสของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสั้นสีดำเป็นมันเงาของบ้านเอ่ยขึ้น พร้อมๆ กับรอยยิ้มที่เจ้าตัวมักจะมีประดับใบหน้าไว้เสมอ ซึ่งความร่าเริงสดใสของเธอนี้เองที่ทำให้ทุกคนในบ้านต่างก็มีความสุขสดชื่นไปด้วย แต่แล้วใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกลับต้องฉายแววประหลาดใจขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าหลานสาวของตนไม่ได้แต่งกายด้วยชุดนักเรียนอย่างที่ควรจะเป็น “ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ?? ไม่ไปโรงเรียนรึไงจ๊ะลัล”
“เอ่อ...พอดีวันนี้ไม่ได้ไปโรงเรียนน่ะค่ะ” ลัลทริมายิ้มแห้งตอบ ก่อนจะขยายความต่อเมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของน้าสาว “คือ...หนูโดนพักการเรียนค่ะ”
“หา!!!!!!” รสวดีอุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ ใครจะไปคิดกันล่ะว่าหลานสาวผู้เรียบร้อยน่ารักของเธอจะถูกสั่งพักการเรียนทั้งๆ ที่เพิ่งจะเปิดเทอมไปเมื่อวานเป็นวันแรกเอง “เกิดอะไรขึ้นลัล เล่าให้น้าฟังเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ลัลทริมาได้แต่ก้มหน้าอย่างหงอยๆ ก่อนจะกล่าวอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้น้าสาวของตนฟัง ซึ่งลัลทริมาก็แอบหวังไว้น้อยๆ ว่ารสวดีจะออกความเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มันไม่ยุติธรรมต่อเธอเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะเสนอให้แจ้งเรื่องต่อผู้อำนวยการโดยตรงเพื่อขอยื่นเรื่องยกเลิกการพักการเรียนของเธอ แต่กลับกลายเป็นว่าน้าสาวของเธอกลับทำเพียงหัวเราะร่วนเท่านั้นเอง
“หัวเราะอะไรคะน้าโรส? หนูว่ามันไม่ตลกเลยนะคะ” ลัลทริมาเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจกับท่าทางของน้า
“แหม...จะไม่ให้หัวเราะได้ไง ก็หลานสาวน้าเสน่ห์แรงถึงขนาดที่ว่ามีผู้ชายหน้าตาดีแปดคนเข้ามารุมล้อมจนถึงขั้นทะเลาะวิวาทกันขนาดนี้ บอกตรงๆ นะ น้าซีเรียสไม่ลงจริงๆ” รสวดีพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอาการขำขันของตน แล้วเอ่ยกับลัลทริมาต่อ “ลัล...ถึงแม้พวกนี้จะนิสัยรุนแรงอยู่บ้างก็เถอะนะ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูนิสัยดี เป็นสุภาพบุรุษ ห่วงใยใส่ใจลัล ดูแล้วน่ารักมากเลยนะ”
“เอ่อ...ไม่ได้เป็นอย่างที่น้าโรสคิดหรอกค่ะ” ลัลทริมารีบแย้ง ก่อนที่น้าสาวของเธอจะพูดอะไรที่น่าขนลุกมากไปกว่านี้
“จริงๆ ครับ พวกนั้นไม่มีใครนิสัยดีหรอก” ชายหนุ่มที่นั่งเงียบมานานกล่าวสนับสนุนความเห็นของลัลทริมา จนทำให้รสวดีที่กำลังชื่นชมความน่ารักของพวกคุณชายอยู่ต้องหันมาตีแขนลัทธพลเบาๆ
“ลัทธน่ะไม่รู้อะไร ตอนที่น้าจะพาเราไปรักษาที่อเมริกาแล้วพาลัลไปด้วย พวกนั้นเขาก็มาส่งลัลที่สนามบิน ล่ำลาน้องเราแบบบรรยากาศเศร้าสุดๆ ไปเลย แถมยังดูอ่อนโยนกับน้องเรามากด้วยนะ แล้วจะมาบอกว่านิสัยไม่ดีได้ไง”
“น้าโรสก็ไม่รู้อะไรเหมือนกันนั่นแหละครับ ตอนที่ลัลเข้าเรียนที่นิศาพาณิชย์ใหม่ๆ ลัลโดนพวกนั้นรุมแกล้งสารพัดเลยนะครับ ยิ่งมีครั้งหนึ่งที่แกล้งลัลประจานต่อหน้าคนทั้งโรงอาหารเลยด้วย ถ้าผมไม่เข้าไปช่วยน้องไว้ ก็ไม่รู้จะเป็นยังไงเหมือนกัน”
“มากกว่านั้นก็มีค่ะ” ลัลทริมารีบกล่าวต่อ
“เอ๋..? จริงเหรอ!!?” รสวดีตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ แต่ก็ยังคงอมยิ้มเอาไว้ “บางทีหนุ่มๆ พวกนั้นอาจจะเป็นพวกแสดงออกไม่เก่งก็ได้มั้ง เลยทำนิสัยแย่ๆ กับลัลบ้าง อย่าใส่ใจเลยนะลัล ยังไงพวกนั้นก็หล่อ ฉลาด ชาติตระกูลดี ยังไงน้าก็ให้ผ่านจ้ะ”
ลัลทริมาและลัทธพลจึงได้แต่ส่ายหน้าให้กับความเห็นของรสวดี ที่ดูท่าทางว่าจะโดนหน้าตาหล่อๆ ของพวกนั้นหลอกให้หลงผิด ก่อนที่แม่บ้านจะนำอาหารเช้ามาเสิร์ฟ น้าหลานทั้งสามจึงได้เลิกพูดคุยถึงเรื่องนี้และลงมือรับประทานอาหารกันเงียบๆ
หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย รสวดีก็เป็นฝ่ายเปิดการสนทนาขึ้นอีกครั้งทันที “เอ้อ พรุ่งนี้น้าจะต้องบินไปทำข่าวที่ต่างประเทศสัก 2-3 วัน ถ้ายังไงพี่น้องสองคนก็อยู่ดูแลกันดีๆ นะจ๊ะ”
“พรุ่งนี้ผมไปค่ายรับน้องของทางมหาวิทยาลัยที่ระยอง 3 วัน 2 คืนครับ” ลัทธพลเอ่ยบอกบ้าง ทำให้รสวดีหันมองหน้าหลานชายของตน ก่อนจะหันไปมองยังหลานสาวที่นั่งเงียบอยู่
“แย่จัง...แบบนี้ลัลคงต้องเหงามากแน่ๆ เลย” ผู้เป็นน้าทำเสียงเศร้าพร้อมมองหน้าหลานสาวด้วยแววตาเป็นห่วง แต่แล้วดวงตากลมโตคู่นั้นกลับเปล่งประกายวาววับเหมือนกับคิดอะไรดีๆ ออก “จริงสิ! น้าว่า 2-3 วันนี้ลัลไปอยู่บ้านจินตเมธรสักพักก่อนดีไหม ยังไงซะพวกคุณชายเค้าก็โดนพักการเรียนเหมือนกัน คงไม่ได้ออกไปไหนหรอก แถมอยู่กันเยอะๆ คงจะสนุกไม่น้อยเลยนะ ส่วนบ้านเราก็ปล่อยให้พวกแม่บ้านเขาดูแลไป”
“ไม่ดีครับ ผมไม่เห็นด้วย” ลัทธพลรีบเอ่ยแย้งทันที “ผมรู้นะครับว่าน้าโรสสนับสนุนลัลกับพวกคุณชาย แต่การที่น้าโรสจะให้ลัลไปอยู่บ้านจินตเมธรแบบนั้น...มันก็เหมือนการส่งเนื้อเข้าถ้ำเสือเลยนะครับ”
“พูดอะไรแบบนั้นกันลัทธ ลัลน่ะไม่เป็นอะไรหรอก..” หญิงสาวผมสั้นยิ้มกว้างกับความคิดของหลานชาย เธอรู้ดีว่าที่ลัทธพลพูดแบบนั้นก็เพราะเป็นห่วงน้อง แต่เธอไม่อยากให้หลานสาวต้องเหงาจริงๆ นี่นา J “..ใช่ไหมลัล ?”
“ก็ดีเหมือนกันนะคะน้าโรส” ลัลทริมาตอบรับ ก่อนจะหันไปยิ้มกวนๆ พร้อมยักคิ้วให้พี่ชายของตนที่กำลังปั้นหน้าไม่พอใจส่งมาให้ รู้หรอกน่าว่าเป็นห่วง แต่ตอนนี้เธอมีเรื่องที่อยากจะถามพวกคุณชายเต็มไปหมดเหมือนกัน ซึ่งถ้าจะถามจากในกลุ่มไลน์แล้วก็คงจะเกิดเหตุการณ์เหมือนเมื่อคืน (คือการอ่านไม่ตอบ) เพราะฉะนั้นเธอก็จะต้องถามต่อหน้าไปเลย “ไม่ต้องห่วงหรอกนะพี่ลัทธ ลัลดูแลตัวเองได้ รับรองว่าพวกนั้นไม่แกล้งลัลแน่นอน”
คนห่วงน้องชั่งใจอยู่ครู่เดียว ก็ต้องถอนหายใจหนักๆ แล้วยิ้มออกมาในที่สุด “ตามใจลัลเลยก็แล้วกัน แต่อย่าเจ็บตัวกลับมาล่ะ”
“รับทราบค่ะ :D”
หลังจากนั้นรสวดีก็โทรศัพท์ไปขออนุญาตเจ้าของบ้านจินตเมธรว่าอยากจะขอให้หลานสาวของตนไปค้างคืนสัก 2-3 วัน พร้อมอธิบายเหตุผลไป ซึ่งทางฝ่ายนรินทร์เองก็ไม่เสียเวลาคิดนาน เขาตอบตกลงกลับมาในทันที และไม่ลืมที่จะเอ่ยชักชวนให้รสวดีและหลานๆ ของเธอมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของเขาที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ทางรสวดีเองก็ตอบตกลงทันทีเช่นกัน เมื่อคุยธุระเสร็จเรียบร้อยก็วางสายจากกันเพียงเท่านั้น แล้วรสวดีก็หันมายิ้มบอกข่าวดีกับหลานของตน และสุดท้ายทั้งสามต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง
ลัลทริมาผู้ที่ไม่มีธุระหน้าที่อะไรในวันนี้จึงตัดสินใจกลับขึ้นมานั่งเล่นที่ห้องนอนของตน มือบางคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาลองเปิดไลน์กลุ่มดูอีกครั้งก็พบว่ายังคงไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับคำถามที่เธอได้เอ่ยถามพวกเขาไป ทว่าหัวข้อการสนทนากลับเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ดีๆ การินก็พิมพ์คำถามมาว่าเธอจะไปค้างที่บ้านจินตเมธรอย่างนั้นหรือ ฝ่ายลัลทริมาเองก็ตอบไปตามความจริง ซึ่งก็แน่นอนว่าเธอเจอพวกคุณชายยิงคำถามมามากมายเหมือนกัน นอกจากนั้นก็เป็นการบอกกล่าวยินดีต้อนรับและการแสดงความดีใจของพวกเขาที่เธอจะได้กลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง...แม้จะเพียงแค่ 2-3 วันก็ตามที แต่นั่นก็ทำให้การสนทนาระหว่างเธอและพวกคุณชายกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
@@@@@@@@@@@@@@@
วันรุ่งขึ้น
ลัลทริมาและลัทธพลไปส่งรสวดีที่สนามบินในตอนสายๆ ของวัน โดยที่น้าสาวเองก็ไม่ลืมที่จะอวยพรให้ทั้งลัทธพลและลัลทริมาดูแลตัวเองให้ดีในตอนที่เธอไม่อยู่ และที่สำคัญคือขอให้หลานทั้งสองคนมีความสุขกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น J จากนั้นคุณน้าคนสวยก็ขอตัวลาไปขึ้นเครื่อง สองพี่น้องจึงกลับจากสนามบินและไปที่ห้างสรรพสินค้าต่อ เพราะลัทธพลจำเป็นต้องหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการไปเข้าค่าย ส่วนฝ่ายลัลทริมาเองก็หาซื้อของใช้ที่พกพาสะดวกด้วย เนื่องจากตัวเธอเองก็จะต้องไปใช้ชีวิตที่บ้านจินตเมธร 2-3 วัน ทำให้ทั้งสองพี่น้องช่วยกันเลือกซื้อของใช้ซะเพลินจนลืมเวลาไปเลย สุดท้ายจึงต้องรีบขับรถกลับมาบ้านเพราะเดี๋ยวลัทธพลจะต้องเก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยในช่วงเย็น ลัลทริมาเองก็มาช่วยพี่ชายจัดกระเป๋าและเตรียมข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดให้กับเขา ก่อนที่ทั้งสองพี่น้องจะลงมารับประทานอาหารที่แม่บ้านจัดเตรียมเอาไว้ให้
นั่งทานไปได้สักพักก็มีสายโทรเข้ามา ลัลทริมาจึงยิ้มแหยให้พี่และขออนุญาตไปรับโทรศัพท์
‘นี่เมื่อไหร่จะมาสักทีล่ะ รอนานแล้วนะ’ เชียรสุดหล่อนั่นเองที่โทรเข้ามาถามเธอ
“ไม่ได้บอกให้รอนี่คะ” เด็กสาวตอบกลับ
‘นี่เธอ!!!’ อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ต่อว่าอะไรเธอ ร่างบางก็ชิงตอบคำถามกลับไปว่าคงจะเข้าไปช่วงเย็นๆ หน่อย เพราะเดี๋ยวรอเธอจะต้องรอพี่ชายอาบน้ำและขับรถไปส่ง จึงทำให้บทสนทนาจบลงด้วยดี
เมื่อเสร็จสิ้นธุระทุกอย่างลัทธพลก็ขับรถมาส่งน้องสาวสุดที่รักที่บ้านจินตเมธร และได้สั่งเสียอะไรไว้มากมายเพราะเป็นห่วงกลัวจะเกิดเรื่องขึ้นกับน้อง ถึงจะรู้ดีก็เถอะว่าน้องสาวของเขาเองก็เข้มแข็งและแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับพวกคุณชายได้ แต่ในขณะเดียวกันน้องสาวเขาก็ไม่ได้ฉลาดมากพอที่จะรู้เท่าทันเกมของเจ้าพวกคุณชายแสนเจ้าเล่ห์นั่นได้เสมอไป “ดูแลตัวเองดีๆ นะ พี่เป็นห่วงจริงๆ นะเนี่ย”
“พี่ลัทธเองก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ เข้าค่ายสนุกๆ นะ ลัลก็เป็นห่วงพี่ค่ะ” ลัลทริมายิ้มล่ำลาพี่ชาย ก่อนจะเดินหอบหิ้วกระเป๋าเป้เดินเข้าบ้านจินตเมธร...บ้านที่เธอแสนจะคุ้นเคย
“ยินดีต้อนรับครับคนสวย” เสียงของแคปเปอร์ดังขึ้นทันทีที่เดินพ้นประตูเข้ามา ร่างบางหันไปมองเขาก่อนจะยิ้มหวานให้
“จำได้ว่าพวกคุณเคยบอกว่าฉันขี้เหร่นี่คะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาแกล้งชมกันแบบนี้ก็ได้” คำพูดที่เธอเอ่ยออกไป ทำเอาแคปเปอร์ที่กำลังเก๊กท่าหล่อถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว เขาจึงทำเพียงยิ้มแห้งๆ และเดินนำเธอเข้ามายังห้องนั่งเล่นที่พวกคุณชายอีกหกคนกำลังนั่งรออยู่
“มาซะช้าเลยนะ” การินกล่าวว่า
“ดีกว่าไม่มานะคะ” เธอตอบพลางยิ้มกวนๆ ให้เขาอย่างผู้ที่เป็นต่อ หึ...เธอรู้ดีว่าพวกนี้ชอบเธอมากและรอคอยให้เธอกลับมาอยู่บ้านหลังนี้กันจนใจจะขาด (หลงตัวเองแป็ป) ซึ่งแน่นอนว่าถ้าพูดไปแบบนั้น...พวกนั้นจะต้องไม่โต้เถียงอะไรแน่นอน
การินได้แต่จิ๊ปากอย่างขัดใจ ก่อนจะเอ่ยบอกเรื่องสำคัญ “ฉันให้แม่บ้านจัดห้องให้เธอแล้ว อยู่ที่ชั้นสาม...ชั้นเดียวกับพวกฉันน่ะ”
“ไม่ต้องก็ได้มั้งคะ ฉันไปนอนห้องเดิมก็ได้นะ” เธอว่าเพราะรู้สึกเกรงใจแม่บ้านอยู่ไม่น้อย อีกอย่างส่วนใหญ่ก็เป็นแม่บ้านที่เธอรู้จักมักคุ้นกันด้วย ไม่อยากให้พวกหล่อนต้องมาลำบากจัดการอะไรให้เธอแบบนี้
“ไม่ได้! จัดห้องไว้ที่ชั้นสามแล้ว ต้องไปนอนห้องนั้น” เชียรว่าเสียงดัง พร้อมทั้งลุกขึ้นแล้วลากเด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวให้เดินขึ้นบันไดตามไปยังชั้นสาม ทำให้คนอื่นๆ รีบลุกตาม ก่อนจะพากันยกโขยงขึ้นมายังห้องนอนที่ได้สั่งให้แม่บ้านจัดไว้ให้ก่อนหน้านี้
“ไม่เห็นต้องวุ่นวายขนาดนี้เลย มีเหตุผลจำเป็นด้วยเหรอคะที่จะต้องมานอนห้องนี้น่ะ?” เธอเอ่ยถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ แค่บอกว่านอนห้องเดิมก็ได้แค่นั้น...ทำไมจะต้องขึ้นเสียงใส่กันด้วยก็ไม่รู้
“เอ้า ก็ตอนนี้คุณเป็นคุณหนูของตระกูลวิกรานต์วรสริตนะครับ จะให้ไปนอนห้องของคนรับใช้เหมือนเดิมได้ยังไง เดี๋ยวน้าคุณก็หาว่าพวกผมดูแลคุณไม่ดีสิครับ อีกอย่าง...ชั้นนี้น่ะเป็นห้องนอนของพวกผมทั้งนั้น นอนอยู่ห้องใกล้ๆ กันอุ่นใจกว่านะครับ” เรวินว่าพร้อมดีดนิ้วมือเพื่อสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น ลัลทริมาจึงยอมพยักหน้าเข้าใจ
“เข้าใจง่ายๆ แบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบเรื่องละ” เชียรว่า ซึ่งตัวลัลทริมาเองก็อยากจะโต้กลับเหลือเกิน แต่ใจหนึ่งก็บอกว่าอย่าไปเถียงเลย เปลืองน้ำลายเปล่าๆ ถึงยังไงเธอก็เถียงพวกนี้ไม่ชนะแน่ๆ ล่ะ
แล้วหลังจากนั้นทั้งหมดจึงลงไปรับประทานอาหารมื้อค่ำกัน โดยที่เจ้าของบ้านอย่างผู้อำนวยการนรินทร์ไม่ได้อยู่ด้วย จึงมีเพียงคุณชายและลัลทริมาแปดคนเท่านั้นที่นั่งรับประทานอาหารด้วยกัน...แม้เธอจะทานมาแล้วตอนบ่ายก็เถอะ
“กินเสร็จแล้วไปหาหนังดูกันไหม?” ภามเสนอความคิดเห็นกับเพื่อนๆ
“ที่ห้องชั้น 3 เหรอ?” แคปเปอร์หันมาถาม ซึ่งหนุ่มน้อยหน้าอ่อนก็พยักหน้ารับ
“ก็โอเค หาหนังสนุกๆ ดูกันดีกว่า” เชียรว่า พร้อมกับส่งสายตามีนัยให้กับเพื่อนๆ ของตน ซึ่งลัลทริมาที่สังเกตเห็นก็ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าพวกนี้วางแผนอะไรกันไว้อีกแล้วรึเปล่า ?
มื้อค่ำจบลงเรียบร้อย ทั้งหมดทยอยเดินขึ้นไปยังห้องดูหนัง แล้วเชียรสุดหล่อก็เลือกหนังที่เหมาะสำหรับจะดูกันหลายๆ คนอย่างเรื่อง ‘The Conjuring’ หนังผีได้รับการการันตีจากต่างชาติว่าน่ากลัวมากที่สุดเรื่องหนึ่ง.. ทำเอาหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวผู้ที่มีจิตใจอ่อนไหวในเรื่องลี้ลับรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไมต้องหนังผีด้วยคะ?”
“พวกฉันไม่นิยมหนังรัก” อคินตอบคำถามให้เธอ
“งั้นดูหนังแอคชั่นก็ได้นี่นา” เด็กสาวยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะเปลี่ยนใจพวกคุณชาย เวลาค่ำๆ แบบนี้...แถมห้องดูหนังนี้ก็ยังมืดมากอีกต่างหาก จะให้มานั่งดูหนังผีได้ยังไงกันเล่า เกิดสติแตกขึ้นมาจะทำยังไง ? มีหวังได้โดนพวกนี้ล้อเลียนไปนานแน่ๆ
“หนังผีนี่แหละ น่าสนุกดีออก” ภามว่า “อีกอย่างดูกันเยอะๆ แบบนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวอยู่แล้ว”
พูดจบก็ไม่รอให้ลัลทริมาได้เถียงอะไรอีก เพราะเชียรใส่แผ่นวิดีโอเรียบร้อยแล้ว และหนังเองก็เริ่มเล่นแล้วด้วย
พวกคุณชายนั่งดูหนังกันเงียบๆ บางคนก็นั่งกินป็อปคอร์นไปด้วย บางคนก็นั่งจ้องหน้าจอราวกับรอดูฉากที่ผีออกโดยเฉพาะ ส่วนลัลทริมาน่ะเหรอ..? ตอนนี้นั่งตัวลีบอยู่ที่มุมโซฟาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เด็กสาวได้แต่นึกแค้นใจตัวเองว่าตอนที่เข้าห้องมาเธอน่าจะเลือกนั่งตรงกลางระหว่างพวกคุณชาย ไม่น่าจะมานั่งอยู่ริมโซฟาแบบนี้เลย บอกตรงๆ ว่าตอนนี้กลัวมากว่าจะมีอะไรโผล่มาทางด้านข้างที่ว่างเปล่านี้ พอขยับตัวเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างเรวินก็ทำเพียงบอกเธอว่าอย่าเบียดเขา เพราะตอนนี้เขากำลังลุ้นกับหนังสุดๆ พอคิดอยากจะหลับให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยก็ดันหลับไม่ลงเสียอย่างนั้น จึงได้แต่นั่งปิดตาตัวเองเหมือนคนเป็นบ้า
หลังจากที่นั่งทนปิดตามานานนับสองชั่วโมง หนังผีบ้าๆ เรื่องนี้ก็จบลงจนได้ และมันก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มเข้าให้ แล้ว พวกคุณชายจึงเห็นสมควรว่าพวกเขาทั้งหมดควรจะกลับเข้าห้องไปอาบน้ำพักผ่อนกันได้แล้ว เมื่อเดินออกมาจากห้องดูหนัง ต่างคนต่างก็แยกย้ายเข้าห้องนอนของตัวเอง...โดยลัลทริมาทันได้สังเกตเห็นว่าก่อนจะเข้าห้องนั้น พวกคุณชายเหมือนจะส่งสายตาที่ซ่อนความหมายอะไรบางอย่างให้กัน แล้วทั้งหมดก็หายลับเข้าห้องตัวเองไป เธอจึงได้เปิดประตูเข้ามาในห้องของตัวเองบ้าง
ร่างบางใช้เวลาในการทำธุระส่วนตัวไม่นานนักก็กลับออกมานั่งอยู่ที่ปลายเตียง ดวงตากลมโตก็มองสำรวจห้องไปเรื่อยตามประสาคนเพิ่งจะได้มาพักในห้องที่ไม่คุ้นตาเช่นนี้ แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นที่หัวเตียง ลัลทริมากระเด้งตัวออกจากเตียงทันทีพร้อมหันไปมอง...ก็พบว่ามันเป็นเสียงของนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้น ว่าแต่ใครมันเล่นอะไรแบบนี้เนี่ย ? คิดพลางเดินไปปิดเสียงของนาฬิกาปลุกก่อนจะต้องสะดุ้งโหยงอีกครั้งเมื่อเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอย่างแผ่วเบา...เหมือนกับในหนังที่เพิ่งจะดูมาที่มีเสียงเคาะประตูดัง แต่พอตัวเอกเปิดประตูออกไปกลับไม่มีใครอยู่เลย...แล้วก็กลายเป็นว่าการเปิดประตูนั้นดันเป็นการเปิดให้สิ่งที่มองไม่เห็น(ไม่อยากเรียกว่า ‘ผี’)เข้ามาซะงั้น นั่นจึงทำให้ร่างบางลังเลใจอยู่ชั่วครู่ว่าควรจะไปเปิดดีหรือไม่ เพราะบางทีอาจจะเป็นคนมาเคาะก็ได้...แต่ถ้าเป็น ผ สระอีล่ะ? เธอมิช็อคตายเลยหรือ?? คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจกระโดดขึ้นเตียงพร้อมดึงผ้าห่มมาคลุมโปงทันที แต่เสียงเคาะประตูแผ่วเบานั้นก็กลายเป็นเสียงเคาะที่หนักขึ้นราวกับว่าคนเคาะไม่ได้ใช้มือ...แต่กำลังใช้ -เท้า- เคาะประตูแทน
“อ้าวเห้ย! เคาะนานแล้วนะ เปิดสักทีสิ” เสียงเอะอะของอคินดังขึ้นมาอย่างหงุดหงิด ทำให้ลัลทริมาที่กำลังสวดมนต์ทุกบทเท่าที่จะนึกออกต้องชะงัก ก่อนจะยอมลุกมาเปิดประตูให้แต่โดยดี...และก็พบว่าไม่ใช่เพียงแค่อคินเท่านั้น แต่พวกคุณชายทุกคนที่อยู่ในสภาพชุดนอนกำลังยืนล้อมอยู่ที่หน้าห้องของเธอ
“มาหาอะไรสนุกๆ เล่นกันก่อนนอนดีกว่านะครับ” เรวินว่าพร้อมยิ้มเผล่ให้ ฝ่ายเจ้าของห้องชั่วคราวอย่างลัลทริมาก็ไม่ลังเลที่จะเปิดประตูให้พวกเขาเข้ามาเลยแม้แต่น้อย ถึงจะดูไม่งามตามแบบกุลสตรีไทย(ที่ยอมให้ผู้ชายหลายคนเข้ามาในห้องนอนของตนยามดึกเช่นนี้ก็ตามที) แต่ถ้าถามเหตุผลที่เชิญพวกนั้นเข้ามาในห้องง่ายๆ แบบนี้ล่ะก็...บอกเลยว่าไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่หนังผีที่ดูเมื่อครู่มันหลอนติดตาเธอมากไปหน่อย แถมไอ้เสียงนาฬิกาปลุกที่ใครก็ไม่รู้จงใจตั้งไว้มันดังสะท้อนอยู่ในหูจนกลัวไปหมดแล้ว จึงทำให้เธอไม่กล้าพอที่จะอยู่ในห้องนอนคนเดียวก็เท่านั้นเอง
“ก็ดีนะคะ” ลัลทริมาตอบรับอย่างดีใจ (ซึ่งพวกคุณชายก็ได้แต่มองเธอด้วยความสมเพช)
คุณชายผิวสีเข้มเดินไปรูดผ้าม่านทุกผืนในห้องให้ปิดสนิท ก่อนจะเดินกลับมารวมตัวกับเพื่อนๆ “แล้วจะเล่นอะไรกันดีครับ?” ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเปล่าที่เกมที่แต่ละคนเสนอกันมาดันกลับกลายเป็นการแข่งกันเล่าเรื่องผีซะงั้น ซึ่งก็แน่นอนว่าลัลทริมาแพ้ทางเรื่องแนวๆ นี้ เธอจึงปฏิเสธออกไป แต่มีหรือที่เสียงของเธอจะส่งถึงหูของพวกคุณชาย พวกนั้นไม่ฟังที่เธอพูดเลยสักนิด ทำเพียงตั้งหน้าตั้งตานั่งล้อมวงกัน แถมยังลากเธอมานั่งด้วย แล้วเรวินที่หาเทียนมาจากไหนก็ไม่รู้ก็จุดไฟตั้งไว้ที่กลางวงล้อม สักครู่เดียวเขาก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ ทำให้ไฟห้องที่สว่างไสวเมื่อครู่ดับลงในทันที เหลือเพียงแค่แสงสว่างจากเปลวไฟปลายเทียนเท่านั้น
“เอาล่ะครับ พวกเราจะเล่าเรื่องผีกันคนละเรื่อง รวมทั้งหมดก็เป็นแปดเรื่องพอดี ใครที่เล่าได้น่ากลัวน้อยที่สุด...คนคนนั้นจะต้องถูกทำโทษนะครับ” เรวินกล่าวเสียงต่ำเพื่อสร้างบรรยากาศให้ดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
“งั้นฉันเริ่มก่อนละกัน” ชินะที่นั่งอยู่ข้างๆ เรวินยกมือขึ้นเพื่อให้เพื่อนๆ รู้ว่าเขาจะขอเล่าเป็นคนแรก จากนั้นคุณชายเจ้าของเรือนผมสีขาวก็หลับตาลงช้าๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยแววตาที่จริงจังเสียจนน่าขนลุก “เรื่องมีอยู่ว่าตอนที่ฉันเรียนอยู่ชั้นประถม คืนหนึ่ง...ฉันนอนโดยที่ไม่ได้รูดผ้าม่านปิดหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกใส แล้วจู่ๆ ฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนดึก โชคร้ายที่ฉันนอนหันหน้าเข้าหาหน้าต่างพอดี ฉันจึงเห็นเงาบางอย่างโบกไหวไปมา...เงานั้นมีลักษณะคล้ายกับใบของต้นกล้วย มันสร้างความสงสัยให้ฉันมากเพราะฉันจำได้ว่า...ที่ริมหน้าต่างด้านนั้นปลูกต้นมะม่วงเอาไว้ ไม่ใช่ต้นกล้วย อย่างที่รู้ๆ กันว่าใบมะม่วงกับใบตองมีลักษณะต่างกันมาก แทนที่จะเป็นเงาใบเล็กๆ หลายใบ แต่มันกลับเป็นเงาของใบตองที่มีขนาดความยาวกว่ามาก ฉันไม่เสียเวลาคิดอะไรนานก็พลิกตัวหันไปอีกฝั่งแทนเพื่อจะข่มตาลงนอน แต่สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นแสงสว่างที่ลอดผ่านช่องประตูเข้ามา....มันเป็นแสงสีเขียวเรืองวับ ตอนนั้นฉันทำอะไรไม่ถูกนอกจากพยายามข่มตาตัวเองให้หลับ ซึ่งก็สำเร็จตามที่หวัง ฉันหลับสนิทจนกระทั่งตื่นมาในตอนเช้า...สิ่งที่ฉันไม่คาดฝันก็ปรากฏอยู่ที่หน้าห้องนอนของฉัน มันคือกล้วยดิบจำนวน 3 ลูก ฉันลองไล่ถามคนรับใช้ดูว่าเป็นฝีมือของใคร แต่ทุกคนต่างก็ปฏิเสธ จนถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่ากล้วยสามลูกนั้นมาวางอยู่หน้าห้องของฉันได้ยังไง จบ”
“ไม่ใช่ว่าเป็นนางตานีเหรอครับ” เรวินว่าอย่างตื่นเต้น ต่างจากลัลทริมาที่นั่งหน้าซีดเนื่องจากนึกภาพตามเรื่องที่ชินะเล่าก็พาให้หวาดกลัว ทำให้คุณชายคนอื่นๆ พยายามกลั้นขำกับท่าทางของเธอ ก่อนที่เชียรที่นั่งถัดจากชินะจะกล่าวขึ้นมา
“งั้นเล่าเรื่องตามลำดับที่นั่งเลยละกัน ฉันขอเล่าต่อนะ” เขาว่า ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวของตนเองด้วยน้ำเสียงปกติเรียบเฉย “เรื่องของฉันมีอยู่ว่า...เมื่อตอนที่ฉันอยู่ ม.ต้น ฉันทะเลาะกับแฟน...”
“ตอน ม.ต้น นี่มีแฟนแล้วเหรอคะ ?” ลัลทริมาเอ่ยขัดขึ้นมา ทำให้คนที่กำลังเกริ่นเรื่องอยู่ต้องตวัดสายตามามองเธออย่างไม่พอใจน้อยๆ
“ก็คนมันหล่ออ่ะ จะมีก็ไม่แปลกหรอก” เขากล่าวตอบ
“โอเคค่ะ...เชิญเล่าต่อได้เลย” เด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวได้แต่พยักหน้ารับด้วยความเอือมระอา พลางคิดไปว่าบางทีเรื่องเล่าของเชียรมันอาจจะไม่น่ากลัวมากนักก็ได้ เพราะมีเรื่องแฟนมาเอี่ยวด้วยนี่นา แต่หารู้ไม่ว่าเธอคิดผิดแล้ว..
“ฉันทะเลาะกับแฟนของฉัน ก็เลยขับรถมอเตอร์ไซด์ไปง้อเธอที่บ้าน ซึ่งพวกเราก็คืนดีกันนั่นแหละ แต่พอจะกลับบ้านฝนก็ดันตกขึ้นมาซะก่อน ฉันก็เลยนั่งรอให้ฝนมันหยุด กว่าฝนจะหยุดตกก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าๆ แล้ว ฉันก็ขับรถมอเตอร์ไซด์ออกมาตามซอย ซึ่งมันก็เป็นซอยที่เปลี่ยวมากทีเดียว ด้วยความที่ฝนเพิ่งจะหยุดตกด้วย...เลยทำให้บรรยากาศมันวังเวงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ฉันขับรถมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงช่วงหนึ่งของซอย รอบข้างถนนเป็นป่า มีหญ้าและต้นไม้ขึ้นทึบไปหมด จู่ๆ ก็มีลมเย็นๆ พัดเข้ามาปะทะหน้าจนฉันรู้สึกขนลุก แล้วพอผ่านโค้งตรงป่ามาได้เล็กน้อย...ฉันก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าสวยหรือเปล่าเพราะหน้าของเธอโชกไปด้วยเลือด ด้วยความที่ฉันเป็นคนดี...ฉันก็เลยคิดจะจอดถามว่าเธอเป็นอะไรรึเปล่า? แต่ก่อนที่ฉันจะขับรถไปจอดตรงหน้าเธอ ฉันกลับเห็นบางอย่างผิดปกติไป ใช่...เธอคนนั้นยืนอยู่ได้...ทั้งๆ ที่ไม่มีขา! พอเห็นดังนั้น ฉันก็รีบบิดรถหนีเธอทันที จบ”
“ดีนะคะ...ที่เธอไม่ตามขึ้นรถมาด้วย” ลัลทริมาว่าเสียงสั่นน้อยๆ รู้สึกว่าเรื่องมันน่ากลัวไม่น้อย แต่มันกลัวไม่ลงตรงที่เชียรยังคิดจะมองดูความสวยของผู้หญิงที่เจอ...ไหนจะว่าตัวเองเป็นคนดีอีก
เชียรยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะบุ้ยหน้าให้ภามที่นั่งถัดจากเขารีบเล่าต่อทันที ซึ่งคุณชายเจ้าของเรือนผมสีคาราเมลก็พยักหน้ารับ แล้วเริ่มเอ่ยเรื่องราวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอน ม.ต้น วันนั้นฉันไปกินเลี้ยงวันเกิดที่บ้านเพื่อนแล้วกลับดึก..ประมาณตีหนึ่งกว่าๆ น่ะ ตอนนั้นก็ซ้อนมอเตอร์ไซด์ของไอ้การินมาเนี่ยแหละ ด้วยความที่ซอยมันเปลี่ยวและมันก็ดึกมากแล้วด้วย เลยไม่ค่อยมีรถสัญจรไปมา แต่พอขับรถมาได้สักพักก็มองเห็นแท็กซี่คันหนึ่งขับอยู่ข้างหน้าด้วยความเร็วไม่มากนัก พวกเราจึงตัดสินใจแซงรถแท็กซี่คันนั้น แล้วในตอนที่ขับแซง...ฉันก็บังเอิญเหลือบเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนอนคุดคู้อยู่ที่เบาะหลังของรถแท็กซี่ ตอนนั้นฉันตกใจมากเพราะคิดว่าแท็กซี่อาจพาเธอไปทำมิดีมิร้ายก็เป็นได้ ฉันจึงเล่าเรื่องให้การินฟังและบอกให้มันชะลอความเร็วลงเพื่อให้แท็กซี่คันนั้นขนาบขึ้นมา เมื่อแท็กซี่ขับขนาบข้างกับพวกเรา ปรากฏว่าการินกลับมองไม่เห็นใครเลยนอกจากคนขับ ใช่...ฉันเองก็มองไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว พวกเราจึงตัดสินใจขับรถหนีเลยน่ะ”
ลัลทริมาได้แต่มองหน้าคนเล่าด้วยความรู้สึกสับสน จะกลัวก็กลัวไม่สุดเพราะมันดันมาตลกตรงท้าย พวกคุณชายนี่เอะอะขับรถหนีอย่างเดียวเลย แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ เป็นเธอ...ก็ไม่อยู่รอให้โดนหลอกเหมือนกันแหละ
“เอ้า ตาเธอเล่าแล้ว” ชินะเอ่ยเตือนเมื่อเห็นลัลทริมานั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่
ร่างบางชะงักหันมองหน้าพวกคุณชาย ก่อนที่ตัวเธอเองจะหน้าซีดขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ตัวเองเคยประสบพบเจอมา “ของฉัน...เป็นเรื่องเมื่อตอน ป.6 ตอนนั้นฉันไปเข้าห้องน้ำกับเพื่อนอีกสองคน เพื่อนฉันเข้าห้องน้ำอยู่ ส่วนฉันกับเพื่อนอีกคนยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ พวกเราอยู่นานมากก็ไม่เห็นว่าจะมีใครมาเข้าห้องน้ำเลยนอกจากเพื่อนของฉันที่เข้าห้องน้ำนานมาก ฉันเลยเดินเข้าไปดู แต่ก็ต้องตกใจเพราะเห็นประตูห้องมันปิดอยู่สองห้อง...ทั้งๆ ที่ในห้องน้ำน่าจะมีแค่เพื่อนของฉันคนเดียว โดยเพื่อนของฉันเข้าห้องที่สาม แล้วห้องแรกล่ะ..? ทำไมประตูมันถึงปิด ฉันคิดก่อนจะเอื้อมมือไปดึงประตู แต่ก็เปิดไม่ออก..เหมือนกับว่ามีคนดึงเอาไว้จากข้างใน ทีนี้เพื่อนอีกคนที่อยู่ข้างนอกเลยเดินเข้ามาหาด้วย แล้วฉันกับเพื่อนคนนั้นก็ช่วยกันดึงประตู แต่ก็เปิดไม่ออก พอดีกับเพื่อนที่เข้าห้องน้ำอยู่เปิดประตูออกมา พอเพื่อนเห็นท่าทางของพวกฉันเลยถามว่ามีอะไรกัน ฉันจึงบอกให้เพื่อนลองเปิดประตูห้องนี้ดูหน่อย เพื่อนของฉันก็เดินมาเปิดประตู...ซึ่งเธอสามารถเปิดได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องออกแรงเลยด้วยซ้ำไป ทำให้ฉันกับเพื่อนอีกคนที่ช่วยกันดึงประตูอยู่ก่อนหน้านี้หน้าซีดขึ้นมา แล้วก็ลากกันออกมาจากห้องน้ำทันทีเลยค่ะ”
“จบแล้วเหรอ?” อคินถาม
“จบแล้วค่ะ” ลัลทริมาพยักหน้าตอบ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นเธอก็ยังรู้สึกกลัวไม่หาย แต่ทว่าพวกคุณชายกลับไม่มีทีท่าว่าจะกลัวกลับเรื่องของเธอเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เห็นน่ากลัวเลย” การินว่า
เด็กสาวจึงหันขวับไปมองเขา ก่อนจะตอบเสียงสั่น “กะ...ก็ฉันเคยเจอมาแบบนี้นี่ จะเหมือนพวกคุณได้ไงล่ะที่เห็นเป็นตัวเป็นตนกันเลยน่ะ”
“เอาน่าๆ จะน่ากลัวหรือไม่น่ากลัวเราค่อยมาตัดสินกันทีหลังนะครับ” เรวินรีบห้ามศึกก่อนที่จะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันมากไปกว่านี้ แล้วหันมามองสบตาอคินที่นั่งข้างลัลทริมาให้เล่าเรื่องต่อโดยเร็วไว เพราะนี่ก็เริ่มจะดึกมากแล้วเหมือนกัน
“ต่อเลยนะ” อคินว่า ก่อนจะค่อยปรับน้ำเสียงต่ำให้เข้ากับบรรยากาศ “ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงแข่งกีฬา ฉันที่อยู่ชมรมกีฬาก็เลยต้องอยู่ซ้อมตอนเย็นๆ แล้วมันก็เป็นช่วงหน้าหนาวพอดี ทำให้มืดเร็ว ฉันซ้อมกีฬาเสร็จก็เดินมากินน้ำและล้างหน้ากับเพื่อนๆ ที่แท็งก์น้ำซึ่งอยู่ข้างห้องดนตรีไทย แล้วพวกฉันก็ได้ยินเสียงดนตรีไทยบรรเลงขึ้นมา ก็คิดว่าน่าจะเป็นเด็กชมรมดนตรีไทยกำลังซ้อมกันอยู่ แต่อีกใจก็คิดนะว่าทำไมอยู่ซ้อมกันมืดจัง ก็เลยปีนแท็งก์น้ำขึ้นไปมองห้องดนตรีไทยที่หน้าต่างห้องเป็นกระจกใส ไม่น่าเชื่อว่าในห้องนั้นไม่มีใครอยู่เลยสักคน ฉันก็เลยกระโดดกลับลงพื้น แล้วบอกเพื่อนๆ ว่าไม่มีใครอยู่เลย พอพูดแบบนั้นปุ๊บ...เสียงดนตรีก็หายไป กลับกัน...เสียงเคาะกระจกกลับดังขึ้นสามครั้ง พวกเราหันไปมองกันอีกครั้ง ที่ตรงหน้าต่างยังคงว่างเปล่าไม่มีใครสักคน พวกเราเลยจะเดินหนี แต่เสียงเคาะกระจกเมื่อครู่ก็กลายเป็นเสียงเหมือนมีคนกำลังใช้เล็บกรีดกระจกแทน มันดังแสบหูไปหมด แน่นอนว่าตรงนั้นยังคงว่างเปล่าไม่มีเงาของใครยืนอยู่สักคน ฉันกับเพื่อนหันมองหน้ากัน...ก่อนจะวิ่งหนีกันออกมาทันที จบ”
“อื้อหือ แต่ละคนน่ากลัวไม่น้อยเลยนะครับ” แคปเปอร์ว่าพร้อมยิ้มแหะๆ ให้เพื่อน เขาเองก็อยากจะเล่าไวๆ แล้วเหมือนกัน ติดตรงที่ถัดจากอคินแล้วจะต้องเป็นการินเสียก่อน
“เรื่องของฉันนะ” การินไม่รอให้เสียเวลามากกว่านี้ เขาเริ่มเรื่องของตนเองทันที “เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอน ม.ต้น ฉันไปกินเลี้ยงที่บ้านของเพื่อนคนหนึ่ง พวกเราขึ้นไปนั่งสังสรรค์กันบนดาดฟ้า ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ จนกระทั่งสี่ทุ่มกว่าๆ ฉันบังเอิญมองไปทางดาดฟ้าของอาคารที่อยู่ข้างๆ กันก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งห้อยขาอยู่ริมขอบตึก ฉันหันไปถามเพื่อนๆ ว่าเห็นอะไรบ้างไหม พวกนั้นก็บอกว่าไม่เห็น ฉันเลยคิดว่าตัวเองคงจะตาฝาดไปเอง ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่แล้วฉันก็มองกลับไปยังดาดฟ้าของอาคารหลังนั้นอีกครั้ง...ผู้หญิงคนนั้นก็ทิ้งตัวลงจากดาดฟ้า ฉันตกใจมากก็เลยรีบวิ่งไปมอง แต่พื้นตรงที่คาดว่าผู้หญิงคนนั้นน่าจะหล่นลงไป...กลับว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยอะไรเลยแม้แต่น้อย ฉันคิดว่าตัวเองคงจะเบลอมากไปหน่อยถึงได้เห็นอะไรแบบนั้น แต่พอเงยหน้ากลับขึ้นมา...ฉันก็เห็นผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ที่เดิม แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือเธอหันหน้ามามองฉันและโบกมือล่ำลา ก่อนจะปล่อยร่างตัวเองให้ร่วงลงจากดาดฟ้าอีกครั้ง”
มาถึงตรงนี้ลัลทริมาก็ขนลุกอย่างที่ไม่รู้จะลุกยังไงแล้ว เพราะเรื่องผีของคุณชายคนอื่นๆ มันยังปนมาด้วยมุกตลกขบขัน แต่ของการินไม่มีตรงไหนให้เธอตลกเลยแม้แต่น้อย แถมสิ่งที่เขาเจอนั้นก็ดันหันมายิ้มให้เขาอีกตะหาก ดีนะที่ผู้หญิงคน(หรือเปล่า?)นั้นไม่ตามติดกลับบ้านมาด้วย ไม่งั้นมีหวัง...ชีวิตคงไม่ค่อยสงบสุขแน่
“อืม...ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะครับ” เรวินทักด้วยเสียงแผ่วๆ ส่วนแคปเปอร์ที่เห็นว่าการินเล่าจบแล้วก็รีบเล่าต่อทันที
“คราวนี้ตาผมนะครับ เรื่องตอน ม.ต้น เหมือนกันครับ คืนหนึ่ง ผมพาแฟนไปขับมอเตอร์ไซด์เล่นภายในวัด เนื่องจากแฟนของผมเป็นคนไม่กลัวผี ผมก็เลยอยากจะแกล้งเธอสักหน่อย แต่ปรากฏว่าตอนขับรถผ่านเมรุ อยู่ๆ เธอก็กรีดร้องเสียงดังพลางตะโกนบอกให้ผมรีบๆ ขับ ตอนแรกผมก็งงๆ นะครับ เพราะมองจากกระจกรถแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรอยู่ข้างหลังเลยแม้แต่น้อย ก็เลยแอบคิดว่าบางทีแฟนผมอาจจะแกล้งทำเป็นกลัวก็ได้ แต่อาการกลัวที่เธอแสดงออกมานั้นไม่ใช่การตบตาแน่ๆ ผมเลยลองหันหน้าไปมองเอง...ปรากฏว่าผมเห็นยายแก่คนหนึ่งกำลังพยายามวิ่งตามรถของผมอยู่ ตอนนั้นอย่าว่าแต่แฟนผมเลยครับ...ผมเองก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจนขนตั้งชันไปหมด และด้วยความที่กลัวว่ายายคน(?)นั้นจะตามทัน ผมก็เลยรีบบิดมอเตอร์ไซด์หนีอย่างสุดชีวิต หลังจากนั้น...ผมก็โดนแฟนบอกเลิกทันที ฮะๆ” เล่าจบพร้อมหัวเราะน้อยๆ อย่างนึกสมเพชตัวเอง
ลัลทริมามองแคปเปอร์ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย...จะว่าสงสารก็สงสารล่ะ แต่ก็ออกแนวสมเพชด้วย สมมุติว่าเธอเป็นแฟนเขาแล้วโดนเขาแกล้งแบบนั้นเธอก็บอกเลิกล่ะ ไม่คบต่อแน่นอน
“เข้มข้นมากครับทุกคน” เรวินเอ่ยขึ้นมาหลังจากฟังเรื่องจากทุกคนแล้ว เขายกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยน์ พร้อมจ้องเขม็งไปยังประตูห้องที่อยู่ด้านหลังลัลทริมา ทำเอาเด็กสาวต้องเหลียวหลังไปมองตาม
“มีอะไรที่ประตูเหรอคะ?” เธอถามอย่างหวาดหวั่น เพราะจากสายตาของเรวินแล้ว...มันเหมือนกับว่าเขาสามารถมองทะลุได้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ที่อีกด้านของประตูนั้น อีกทั้งเปลวเทียนที่วูบไหวไปมาก็ยิ่งพาให้คนกลัวผีอย่างลัลทริมารู้สึกใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก “หรือว่า...”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” คนถูกถามกล่าวเสียงร่าเริงพลางยิ้มกว้างให้เธอ ก่อนจะส่งยิ้มให้เพื่อนหนุ่มอีกหกคนที่ส่งยิ้มตอบกลับมาให้เขาเช่นกัน “งั้น...ต่อไปก็เป็นเรื่องของผมแล้วนะครับ ตั้งใจฟังกันให้ดีนะครับทุกคน”
แล้วน้ำเสียงต่ำอย่างที่ใช้ตอนแรกก็ถูกใช้อีกครั้ง...ทว่าคราวนี้มันกลับน่ากลัวมากยิ่งขึ้น “เรื่องของผมมีอยู่ว่า...ในคืนที่พายุฝนคะนอง เสียงลมที่พัดกระหน่ำกรีดสะท้อนเหมือนคนกำลังกรีดร้องอย่างทุรนทุรายดังขึ้น...”
เสียงลมดังหวีดหวิวเหมือนกับเสียงคนกำลังกรีดร้องดังขึ้นจากด้านนอก ลัลทริมาหันขวับไปมองทางหน้าต่างที่ถูกปิดม่านไว้เรียบร้อยแล้วทำให้มองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้เอ่ยถามขัดเรื่องราวของเรวินขึ้นมา “ข้างนอก...ฝนตกเหรอคะ?”
“มั้ง” การินตอบปัดๆ คล้ายกับรำคาญที่เธอบังอาจขัดเรื่องราวอันน่าสนุกที่เรวินกำลังเล่า ทำให้ลัลทริมาต้องหุบปากเงียบแล้วพยักพเยิดหน้าให้เรวินเล่าต่อ ซึ่งคุณชายเจ้าของผิวคมเข้มก็ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ
“แต่เพียงแค่อึดใจเดียว พายุก็สงบลง ทุกอย่างเงียบสงบราวกับไม่เคยเกิดพายุขึ้น...เงียบสงบเสียจนถ้าหากว่ามีคนทำเข็มหล่นก็คงจะได้ยินเสียงนั้น หากแต่ไม่นานนักกลับมีเสียงหยดน้ำดังขึ้นใกล้ๆ ประตู...”
แปะ แปะ แปะ
“ได้ยินเสียงอะไรไหมคะ?” เด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่ในกลุ่มหันไปกระซิบถามในสิ่งที่ตนเองคลับคล้ายคลับคลาว่าจะได้ยินกับภามที่นั่งอยู่ข้างๆ ตอนนี้รู้สึกว่าอากาศในห้องมันเย็นขึ้นมาผิดปกติ อีกทั้งรู้สึกเย็นวาบที่สันหลังอีกด้วย
“เสียงน้ำหยดไง” ภามกระซิบตอบกลับเสียงเบา แต่ก็เป็นคำตอบที่ทำให้ลัลทริมาน้ำตาแทบจะไหล อะไรมันจะตรงกับเรื่องที่เรวินเล่าขนาดนี้ ? ก่อนจะหันมองคนเล่าเรื่องที่ยังคงเล่าได้อย่างหน้าตาเฉย ไม่ได้รู้สึกถึงความกลัวของเธอเลย
“แล้วจู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น 3 ครั้ง”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะที่ดังขึ้นหน้าประตูห้องของลัลทริมา ทำให้ทั้งหมดที่นั่งล้อมวงอยู่สะดุ้งกันเล็กน้อย ยกเว้นเพียงเรวินที่ยังคงยิ้มกว้าง
“ให้ไปเปิดประตูไหม?” ชินะหันมาถามเรวิน
“ไม่ต้องครับ...อย่าเปิดจะดีกว่า” เขาตอบ ซึ่งก็เป็นอีกคำตอบที่ทำให้เจ้าของห้องอย่างลัลทริมากลัวว่าสิ่งที่กำลังเคาะอยู่นั้นจะไม่ใช่คน เพราะไม่เช่นนั้นเรวินคงจะให้ลุกไปเปิดประตูแล้วแน่นอน เธอค่อยๆ กระถดตัวเข้าหาภามน้อยๆ อย่างต้องการที่พึ่งพิง ก่อนจะมองค้อนให้เรวินที่ยังคงจะตีหน้าระรื่นเล่าเรื่องต่อ “เสียงเคาะประตูดังขึ้น 3 ครั้ง ก่อนจะเงียบลงในที่สุด แต่แล้วลูกบิดกลับถูกเขย่าอย่างแรง ราวกับว่า ‘สิ่งที่อยู่ข้างนอก’ กำลังพยายามหาทางเข้ามาในห้องนี้”
แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก
เรวินยังคงเมินเฉยต่อเสียงที่ดังอยู่ภายนอกห้องนอน ต่างจากคุณชายคนอื่นๆ ที่หันมองทางต้นเสียงด้วยความรู้สึกสงสัย ฝ่ายลัลทริมานั้นก็กอดแขนภามเอาไว้แน่นเพราะกลัวสิ่งที่อยู่ภายนอกห้อง ส่วนคนเล่าเรื่องก็ยังคงเอ่ยเรื่องราวต่อ “และแล้ว...ประตูที่ปิดอยู่นั้นก็ถูกเปิดออก...”
แอ๊ด เสียงประตูถูกเปิดดังขึ้นอย่างช้าๆ
“แล้วในวินาทีนั้นเอง...”
พรึ่บ
เรวินหยุดเรื่องเล่าของตนเองไว้เพียงเท่านั้น เนื่องจากตอนนี้เขาถูกขัดด้วยเสียงของลัลทริมา เด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวในห้องกำลังกรีดเสียงร้องดังสุดเสียง อาจด้วยเธอกลัวว่าสิ่งที่เปิดประตูเข้ามานั้นจะเป็นสิ่งที่เธอกำลังหวาดกลัว...และอีกอย่างคือตอนนี้แสงสว่างจากเปลวเทียนได้ดับลงแล้ว ทำให้ภายในห้องมืดสนิทจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย ถ้าลัลทริมาจะกลัวก็คงไม่แปลก ส่วนฝ่ายลัลทริมาเอง เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างมันดูกะทันหันไปหมด เธอรู้เพียงแค่ว่ามีเสียงเปิดประตูดังขึ้น แล้วแสงเทียนก็ดับลง เท่านั้นแหละ เธอก็กรีดเสียงร้องทันที ร่างบางหลับตาลงแน่นพร้อมโผเข้ากอดคนที่นั่งอยู่เคียงข้างตน แต่ทว่าเธอกลับสัมผัสได้ว่าคนที่เธอกอดอยู่นั้นกำลังตัวสั่น...ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่เป็นเพราะเขากำลังหัวเราะ
หัวเราะ...?
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงระเบิดหัวเราะดังขึ้น ก่อนจะเป็นเสียงของเรวินที่เอ่ยออกมา “ล้อเล่นครับคุณลัล”
ร่างบางจึงลืมตาขึ้นมา เห็นว่าตอนนี้ไฟในห้องสว่างแล้ว...และเห็นว่าพวกคุณชายกำลังนั่งหัวเราะอย่างสะใจที่ได้เห็นเธอแสดงท่าทางหวาดกลัวอย่างเต็มที่ ไม่เว้นแม้แต่ภามที่กำลังลูบหัวเธอเบาๆ อย่างปลอบโยนเองก็กำลังหัวเราะน้อยๆ ไปกับเขา ก่อนที่เธอจะหันขวับไปมองทางประตูก็พบกับพ่อบ้านหนุ่มที่ในมือถือถาดใส่แก้วน้ำและของว่างเอาไว้ “คุณอธิศ..?”
“พอดีพวกคุณชายบอกให้ผมนำของว่างมาเสิร์ฟให้เวลานี้น่ะครับ” อธิศกล่าวตอบเสียงเรียบ ก่อนจะมองพวกคุณชายที่กำลังหัวเราะสะใจด้วยสายตาปรามๆ “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะครับ แต่เมื่อครู่ผมเคาะประตูแล้วไม่มีคนเปิดให้ เลยลองเขย่าลูกบิดดู...แล้วพอเปิดประตูเข้ามา เทียนก็ดับลง แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกคุณชาย ซึ่ง...ก็คงจะเป็นการแกล้งคุณสินะครับ” พ่อบ้านว่าพลางเดินเข้ามาเอาถาดวางไว้บนโต๊ะเล็กๆ ให้ แล้วหันมองลัลทริมาด้วยความลำบากใจ “ถ้าทำให้คุณต้องกลัวจนร้องเสียงดังขนาดนั้นก็ต้องขอประทานโทษด้วยนะครับ”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” ลัลทริมากล่าวตอบ ทำให้อธิศยิ้มและค้อมหัวให้เธอน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เด็กสาวเงียบไปเล็กน้อยอย่างคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ เสียงต่างๆ ที่เธอได้ยินคงเป็นเสียงที่เกิดจากอธิศ แต่เทียนที่ดับลงนี่น่าจะเป็นฝีมือของเรวิน ถึงว่า...เขาถึงได้มีท่าทีแปลกๆ ก่อนจะเล่าเรื่อง และลัลทริมาก็เกือบจะคิดว่าเป็นฝีมือของเรวินคนเดียวแล้วด้วย เพราะตอนที่เสียงเคาะประตูดัง พวกคุณชายคนอื่นๆ ยังทำหน้าสงสัยเหมือนไม่รู้ว่าใครเคาะ แต่พอเห็นพวกนั้นหัวเราะสะใจเมื่อครู่ เธอถึงตระหนักได้ว่า...ไอ้ท่าทีสะดุ้งและสงสัยนั่นคงจะเป็นฝีมือการเล่นละครตบตาเธอ และพวกนั้นก็คงกะเล่าเรื่องให้ทันเวลาที่อธิศจะขึ้นมาเสิร์ฟของว่าง มิน่าล่ะ...ถึงได้รีบเล่าเรื่องกันนัก เพราะอย่างนี้นี่เอง... คิดอย่างโมโห ก่อนจะผละออกจากภาม แล้วตีหน้าบึ้งตึงใส่พวกคุณชาย “เล่นอะไรของพวกคุณกันเนี่ย ฉันไม่ตลกด้วยเลยสักนิดนะ”
“เอาน่า...ขำๆ นะ” เชียรตอบพลางตบไหล่เธอเบาๆ แต่เด็กสาวกับไหวไหล่หนี
“พวกคุณสิขำ ก็รู้ทั้งรู้ว่าฉันกลัวผี ยังจะเล่นอะไรแบบนี้กันอีก ถึงว่าสิ...ดูหนังผีให้ฉันรู้สึกกลัว ก่อนจะตามมาเล่าเรื่องผีถึงที่ห้อง แล้วยังจะตบท้ายด้วยการแกล้งทำเหมือนกับว่ามีผีมาเคาะประตูหน้าห้องฉันอยู่ หลอกให้ฉันกลัวแบบนี้ แล้วก็มาหัวเราะสะใจกันทีหลัง สนุกกันมากไหมล่ะ ?” เธอพล่ามยาวด้วยอารมณ์และความรู้สึกไม่พอใจ...และน้อยใจพวกเขา
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ” อคินว่า “พวกเราก็แค่อยากให้เธอยิ้มเองนะ”
“แล้วเห็นฉันยิ้มไหมล่ะ ?” ลัลทริมาตอบกลับทันที “อยากเห็นฉันยิ้มหรืออยากเห็นน้ำตาของฉันกันแน่” พูดจบเธอก็ลุกขึ้นก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป ทำเอาพวกคุณชายทุกคนหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าลำบากใจว่าควรจะทำอย่างไรกันต่อ เพราะท่าทางแบบนี้ของลัลทริมาก็ชัดเจนแล้วว่าเธอ ‘โกรธพวกเขามาก’ ซึ่งก็สรุปได้ว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว แต่ควรจะลุกตามเธอออกไปมากกว่า
ลัลทริมาวิ่งลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะเธอเองก็เป็นคนที่วิ่งเร็วมากอยู่แล้วด้วย แต่เหตุผลสำคัญคงจะเป็นเพราะเธอไม่อยากจะพบหน้าพวกคุณชายตอนนี้เสียมากกว่า เสียใจไม่เท่าไหร่...แต่เสียความรู้สึกมากกว่าที่โดนแกล้งด้วยวิธีแบบนี้ ร่างบางวิ่งพรวดเดียวก็ถึงชั้นล่าง และเมื่อได้ยินเสียงพวกคุณชายร้องเรียกไว้ เธอก็ยิ่งเร่งฝีเท้าหลบไปทางห้องนอนเดิมของตัวเอง...ที่ตอนนี้กลายเป็นห้องของคนรับใช้คนอื่นไปแล้ว เธอเคาะประตูรัวๆ จนเจ้าของห้องเดินออกมาเปิดและตกใจมากที่เห็นว่าเป็นเธอ แต่ลัลทริมาก็ไม่สนใจรีบขอเข้าไปหลบอยู่ด้านในห้องนั้น ทางคนรับใช้สาวเจ้าของห้องก็ไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธจึงยอมให้เธอเข้ามาหลบอยู่ในห้อง “ขอหลบอยู่ในนี้สักพักนะคะ”
ส่วนทางพวกคุณชายที่วิ่งลงบันไดมาก็ไม่พบกับร่างบางเสียแล้ว พวกเขามีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันทีด้วยกลัวว่าลัลทริมาอาจจะโกรธจนวิ่งหนีออกจากบ้านไปแล้วก็เป็นได้ ซึ่งตอนนี้ที่ด้านนอกฝนก็กำลังตกอีกด้วย แม้จะไม่หนักมากก็ตามที แต่หากวิ่งพรวดพราดออกไปดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้...เธออาจจะเป็นอันตรายก็ได้ เหล่าคุณชายใช้เวลาไม่นานนักก็ตัดสินใจวิ่งออกจากบ้านกันทันทีเพื่อตามหาลัลทริมาโดยที่แต่ละคนไม่ได้พกร่มหรือเสื้อกันฝนออกไปด้วยเลย แต่เมื่อมาถึงหน้าประตูใหญ่ คนรักษาความปลอดภัยที่คอยเฝ้าประตูอยู่กลับบอกกับพวกเขาว่าไม่มีใครวิ่งออกมาจากบ้านเลยสักคน ทำให้พวกคุณชายหันมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้งด้วยสภาพเปียกปอน
@@@@@@@@@@@@
ก๊อกๆๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ทำให้ทั้งลัลทริมาและสาวใช้เจ้าของห้องหันมองทางด้านประตู ฝ่ายเจ้าของห้องมีท่าทางลังเลว่าควรจะเดินไปเปิดดีไหม แต่ลัลทริมาก็ส่ายหน้าห้ามเอาไว้เสียก่อน
“นี่ผมเองนะครับ” เสียงของคนด้านนอกดังขึ้นเพื่อแสดงตัวตนของตัวเอง
“มีอะไรรึเปล่าคะ” ลัลทริมาเปิดประตูออกไปพร้อมกับเอ่ยถามอีกฝ่าย “คุณอธิศ”
“ผมเข้าใจว่าตอนนี้คุณคงจะโกรธพวกคุณชายสินะครับ ถึงได้มาหลบอยู่ที่นี่” เขาว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “แต่ให้อภัยพวกคุณชายเขาเถอะนะครับ จริงอยู่ว่าพวกเขาอาจจะทำไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็เป็นห่วงคุณมากนะครับที่อยู่ๆ คุณก็เล่นหายตัวไปแบบนี้ ไม่เชื่อ...ก็ลองไปดูสภาพของพวกเขาที่ประตูหน้าบ้านเองสิครับ”
“ฉัน...” เด็กสาวกล่าวได้เพียงแค่นั้นก็ก้มหน้าลงอย่างที่ไม่อาจสู้สายตาของคุณพ่อบ้านยังหนุ่มได้ เธอพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องของสาวใช้ที่เธอไปหลบชั่วคราวโดยไม่ลืมที่จะขอบคุณเจ้าของห้องด้วย ส่วนอธิศก็เพียงแค่ยิ้มให้เธอและเดินกลับห้องของตัวเองไป ปล่อยให้ลัลทริมาเดินไปยังทิศทางที่เป็นประตูหน้าบ้านเพียงลำพัง อันที่จริงเธอก็โกรธพวกคุณชายไม่น้อยเลยที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง ไม่อยากจะเห็นหน้าพวกเขาด้วยซ้ำไป แต่ก็นะ...อธิศอุตส่าห์มาขอร้องให้แบบนี้ จะเมินเฉยต่อคำพูดของเขาก็คงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ เพราะอธิศเองก็นับว่ามีพระคุณกับเธอไม่น้อยเหมือนกัน
ร่างบางเดินดุ่มมาจนถึงหน้าประตูก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่เห็น...เพราะคุณชายตัวดีทั้งเจ็ดคนตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำเลยแม้แต่น้อย พวกเขามีท่าทีกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าให้เดาก็คงจะมีสาเหตุมาจากเธอแน่ๆ เห็นแบบนี้แล้วก็อดอ่อนใจให้พวกนี้ไม่ได้ “ทำไมเปียกกันแบบนั้นล่ะคะ ออกไปวิ่งตากฝนมารึไง” เสียงของเธอทำให้พวกคุณชายที่กำลังพูดคุยปรึกษาหาหนทางกันอยู่หันมามองที่เธอเป็นตาเดียว ก่อนจะวิ่งพรวดพราดเข้ามาหาเธออย่างไม่กลัวว่าตัวเองจะลื่นล้มหัวแตกกันเลย
“หายไปไหนมา / ตามหาตัวแทบแย่ / นึกว่าวิ่งหนีออกจากบ้านไปแล้ว / ทำอะไรรู้จักคิดบ้างสิ / คนเขาเป็นห่วงนะรู้บ้างไหม / คราวหน้าห้ามวิ่งหนีแบบนี้อีกนะ / อย่าทำให้เป็นห่วงสิ” ต่างคนต่างก็สาธยายความในออกมาเสียจนลัลทริมาฟังแทบไม่ทัน แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าที่พูดๆ กันมานั่น...ก็เพราะเป็นห่วงเธอ
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง” เธอว่า ก่อนจะจ้องหน้าพวกคุณชายเขม็ง “แต่พวกคุณทำให้ฉันโกรธจริงๆ นะ ถ้าเกิดตอนนั้นฉันหัวใจวายตายขึ้นมาจะทำยังไง?”
คุณชายมองหน้ากันไปมา ก่อนจะหันมาและเอ่ยพร้อมๆ กัน “พวกเราก็ขอโทษเหมือนกันที่เล่นแรงไปหน่อย สัญญาว่าคราวหน้าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว”
“เอาเถอะ ไหนๆ พวกคุณก็ขอโทษกันแล้ว ฉันจะยอมอภัยให้ก็ได้...แต่ต้องไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกนะ” เธอว่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย อันที่ไม่จริงเธอก็อภัยให้พวกเขาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ขอโทษด้วยซ้ำไป ก็นะ...บอกแล้วนี่นาว่าชอบพวกเขา แค่เห็นสภาพเปียกขนาดนั้นก็ใจอ่อนแล้วล่ะ (ยอมง่ายไปไหมถามใจตัวเองดู ? 55.) แล้วพอเห็นพวกนั้นยิ้มดีใจที่เธอยอมให้อภัยแล้ว เด็กสาวก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาเบาๆ “ฉันว่าพวกคุณไปเช็ดตัวกับผมให้แห้งเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะ”
“ครับๆ” พวกนั้นรับคำแต่ก็ไม่ยอมเดินจากไปไหน เอาแต่ยืนมองหน้าเธอนิ่งๆ แล้วหันไปซุบซิบกันเล็กน้อยจนทำให้ลัลทริมารู้สึกสงสัย จึงได้เอ่ยถามออกไปว่ามีอะไรรึเปล่า
“พวกเราคิดว่าพรุ่งนี้จะพาเธอไปเที่ยวทะเลแล้วค้างสักคืนหนึ่ง ไม่ได้ไปพร้อมหน้ากันมานานแล้วด้วย” ภามว่าแล้วยิ้มให้ลัลทริมา ซึ่งเด็กสาวก็ได้แต่เบ้ปากให้พวกเขาน้อยๆ
“คิดจะพาฉันไปสถานที่ที่ฉันชอบเพื่อลบล้างความผิดล่ะสิท่า? ตบหัวแล้วลูบหลังรึไง ?”
“ไปไหมล่ะ?” การินถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ลัลทริมาก็ได้แต่ตีสีหน้าไม่พอใจ...ไม่ใช่ไม่พอใจพวกเขา แต่ไม่พอใจตัวเองที่ไม่ยอมตอบปฏิเสธกลับไป ทำให้พวกนั้นยิ้มให้เธอกันยกใหญ่
“แล้วจะไปที่ไหนล่ะคะ??”
“จริงๆ ก็อยากจะไปเกาะส่วนตัวของฉันนะ แต่คิดไปคิดมาแล้ว...ไปที่ใกล้ๆ ดีกว่า ไม่เสียเวลาเดินทาง แถมยังสวยไม่แพ้กันอีก” ชินะว่าอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเสนอชื่อทะเลที่พวกเขาจะไปกัน “เกาะล้านเป็นไง ?”
“ก็ดีนะคะ เห็นเขาว่าสวยมากด้วยนี่คะ” ลัลทริมาตอบรับ ซึ่งพวกคุณชายคนอื่นๆ ก็ยิ้มให้กับคำตอบของเธอ ก่อนจะรีบหุบยิ้มเมื่อเจอประโยคต่อมาของเธอ “แต่หวังว่าไปทะเลคราวนี้คงจะไม่มีแผนบ้าบออะไรมาแกล้งฉันแล้วนะ”
“คิดมากไปได้” พวกเขาตอบปัด ก่อนจะบอกให้แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าแล้วออกเดินทางไปยังเกาะล้าน...เพื่อไปสร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกัน
-TBC-
จะอัพนานละ แต่พิมพ์ไม่จบสักที -*-
ตอนแรกก็คิดว่าตอนนี้มันจะสั้นๆ นะ ไปๆมาๆ ยาวมากอย่างที่ไม่มีสาระจริงๆ #จ้ะ
แต่ตอนนี้มันก็คือการปูทางสู่ตอนหน้า
ส่วนเรื่องผีที่พวกคุณชายเล่า...ความจริงมันคือเรื่องที่ไรต์เตอร์และเพื่อนๆ เคยเจอมาค่ะ
แต่ยังไงสำหรับตอนนี้ก็คงต้องดอกจันทร์กันเอาไว้ก่อนว่า
*ความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*
พบกันตอนหน้าค่ะ :) น่ารักแน่นอน
ความคิดเห็น