คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : >>:: Chapter 3
Chapter 3
“เอ้าๆ มองขนาดนี้ ติดใจในความหล่อของฉันรึไง?” เจ้าของนัยน์ตาสีทองกล่าวต่อ พร้อมเบียดตัวลงนั่งข้างๆ ลัลทริมา ไม่ได้สนใจเอมิกาและมัณฑินีที่นั่งทำหน้างุนงงเลยแม้แต่น้อย
“โทษทีนะ แต่ใครเชิญให้นายนั่งไม่ทราบ?” เอมิกาเอ่ยถามทันที
“ก็แฟนของฉันไง”
คำตอบของอัลเวนยิ่งสร้างความสงสัยให้กับเอมิกาและมัณฑินีมากยิ่งขึ้น ..แฟน..? ก่อนทั้งสองจะต้องเบิกตากว้างเมื่ออัลเวนยิ่งมือขึ้นโอบไหล่ของลัลทริมา
“ใช่ไหมจ๊ะ...ที่รัก ?”
คนที่เอาแต่ตกตะลึงตั้งแต่เมื่อครู่ก็เหมือนจะเพิ่งได้สติ...ไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน ลัลทริมารีบปัดแขนของอัลเวนทิ้งทันที ก่อนจะลุกพรวดแล้วถอยห่างจากเขา “ทำบ้าอะไรของคุณน่ะ!!?”
“นั่นสิ ทำบ้าอะไรของแกน่ะ คิดจะรังแกลัลรึไง” เพื่อนสาวคนห้าวก็รีบช่วยลัลทริมาอีกแรงด้วยการคว้าแขนลัลทริมาให้ไปหลบหลังตนเอง ส่วนมัณฑืนีก็รีบขยับเข้ามาอยู่ใกล้ๆ เอมิกา เพื่อจะคอยห้ามสาวห้าวในกรณีที่อาจจะเกิดการใช้ความรุนแรงขึ้นได้
ถ้าเป็นปกติลัลทริมาอาจจะกล่าวกับเอมิกาไปแล้วก็ได้ว่า “เอม...อย่ามีเรื่องกันเลยนะ” อะไรประมาณนี้ แต่ในตอนนี้เธอกลับหวังเอาไว้ลึกๆ ว่าอยากจะให้เอมิกากระโดดต่อยปากคนตรงหน้าให้ที เธอไม่ได้อคติกับเขานะ...แต่เธอไม่ชอบเขาเอาซะเลย ผู้ชายที่กล้าทำรุ่มร่ามกับเธอทั้งๆ ที่เพิ่งจะเคยพบกัน แถมยังทำแบบนั้นต่อหน้าพวกคุณชายจนทำให้เธอพลอยโดนพวกนั้นด่าไปด้วย
“เอาเป็นว่าคราวหน้าถ้าเจอก็อย่าเข้าไปใกล้มันล่ะ หมอนั่นมันเป็นตัวอันตรายสำหรับผู้หญิง”
แล้วคำเตือนของพวกคุณชายก็ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำของลัลทริมาอีก ใช่แล้ว...เธอให้สัญญากับพวกนั้นเอาไว้ว่าจะไม่เข้าใกล้อัลเวนอีก เพราะฉะนั้น...ตอนนี้เธอจะต้องหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ หรือบางทีอาจจะพูดว่าหนีให้ไกลจาก ‘หมอนี่’ ก็เป็นได้
คิดได้ดังนั้นร่างบางจึงวิ่งหันหลังหนีออกไป ท่ามกลางความตกใจของเพื่อนสาวทั้งสอง
“อ้าว จะไปไหนน่ะลัล?” เอมิกากับมัณฑินีตกใจกับท่าทางของลัลทริมาก็รีบเอ่ยถามเอาไว้ก่อนที่เพื่อนสาวของเธอจะวิ่งหนีไป
“เอ่อ...ฉันขอตัวไปห้องน้ำหน่อยนะ แล้วเจอกันที่ห้องเรียนเลยนะจ๊ะ” ว่าจบลัลทริมาก็วิ่งไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้สองสาวได้แต่งงกับท่าทางรีบร้อนของเธอ ก่อนที่เอมิกาจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มไม่ได้รับเชิญที่ยังอยู่ตรงนี้
“ว่าไงล่ะ? นายน่ะเป็นใคร แล้วเมื่อกี้ทำไมถึงเรียกลัลว่าแฟน ?”
หากแต่คนถูกถามกลับเมินหน้าหนีจากเอมิกา นัยน์ตาสีทองมองตามแผ่นหลังบางที่วิ่งหนีออกไปไกล ก่อนจะพาตัวเองลุกตามร่างเป้าหมายไป ไม่สนใจสองสาวที่เหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
“อ้าว เฮ้ย!!”
“ช่างเขาเถอะเอม” มัณฑินนีว่า พร้อมถอนหายใจอย่างนึกโล่งอกที่อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องมีเรื่องกัน “แต่ก็สงสัยจริงๆ นะ...ว่าทำไมถึงต้องเรียกลัลว่าแฟน”
“บอกให้หยุดไงล่ะ!”
..หยุดก็โง่สิ.. ลัลทริมาคิดขณะที่กำลังวิ่งหนีอัลเวน เธออุตส่าห์มั่นใจในฝีเท้าตัวเองแล้วนะว่าเร็วแสนเร็ว ขนาดพวกคุณชายที่ว่าเก่งๆ ก็มีแค่อคินเท่านั้นที่สามารถตามฝีเท้าเธอทัน แล้วทำไมตอนนี้อัลเวนถึงได้ตามเธอมาติดๆ ได้
ฝ่ายคนวิ่งตามเองก็ชักจะรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเต็มทีแล้ว อัลเวนจึงรวบรวมแรงกำลังเร่งฝีเท้าให้เข้าใกล้เธอ มือหนายื่นไปคว้าเอาแขนของลัลทริมาไว้อย่างแรง “บอกให้หยุดก็หยุดสิ”
“ว้ายยยยย” เพราะถูกกระชากแขนเอาไว้อย่างแรง ทำให้ลัลทริมาเสียหลักหงายหลังล้มลงไปนั่งกับพื้นทันที ทำเอาเจ้าของมือแกร่งที่จับแขนเธอไว้ต้องหัวเราะร่วนด้วยความสะใจ พลางย่อตัวลงมาจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกันกับเด็กสาว
“ไม่สวยแล้วยังซุ่มซ่ามอีก” อัลเวนว่า “คงไม่โง่ด้วยหรอกใช่ไหมเนี่ย??”
คนถูกต่อว่าตวัดสายตามองเขาด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะกดเสียงต่ำตอบกลับไป “อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน แล้วก็ช่วยปล่อยแขนของฉันด้วย” ตอบพลางพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากมือแข็งแกร่งของอัลเวน แต่ยิ่งเธอพยายามสะบัดแรงเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งบีบแขนเธอแรงขึ้นเท่านั้น
“ไม่ปล่อย” อัลเวนตอบชัดเจน “แล้วนี่คิดจะหนีไปไหน?? ไม่ได้ยินรึไงว่าฉันบอกให้หยุดน่ะ”
“ไม่ได้หนี...จะไปห้องน้ำตะหาก”
“โกหก เธอหนีฉันชัดๆ”
“ก็แล้วแต่จะคิด” ลัลทริมาตอบปัดราวกับไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับคนตรงหน้า
อัลเวนมองใบหน้าหวานของคนตรงหน้า ก่อนจะแค่นยิ้ม “หึ..ทำท่าทางโอหังดีนี่ ลืมไปแล้วรึไงว่าวันนั้นเธอทำอะไรกับฉันเอาไว้”
“อะไรเหรอคะ?” ลัลทริมาว่าพลางเลิกคิ้วถามอีกฝ่ายอย่างท้าทาย
“ทำเป็นลืมไปได้ ก็เธอตบหน้าฉันไง กล้าดียังไงมาทำร้ายหน้าหล่อๆ ของฉันได้ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าทำแบบนั้นกับฉันเลยนะ” อัลเวนกัดฟันว่าด้วยแววตาไม่พอใจ
“ก็คุณทำร้ายฉันก่อนรึเปล่าล่ะ?”
คนฟังเลิกคิ้วกับคำตอบของเด็กสาว “แค่จูบเนี่ยนะเรียกทำร้าย ฉันว่าเธอน่าจะดีใจด้วยซ้ำนะ ไม่ใช่ว่าฉันจะยอมจูบใครง่ายๆ ซะหน่อย แถมไม่สวยและไร้เสน่ห์อย่างเธอ ควรจะดีใจเอามากๆ ด้วยซ้ำไป”
คำพูดนั้นพาให้คนฟังถึงกับหน้าแดงจัดด้วยความโกรธ มือบางข้างที่ไร้พันธนาการเงื้อมขึ้นสูงเตรียมจะตบหน้าเขาเพื่อสั่งสอน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันถึงได้รีบคว้ามือของลัลทริมาเอาไว้ก่อน ทำเอาเด็กสาวตกใจหนักที่คราวนี้มือทั้งสองข้างถูกพันธนาการเอาไว้หมด “ปล่อยนะ!”
เห็นท่าทางดื้อดึงของคนตรงหน้าแล้วอัลเวนก็ชักจะหมั่นไส้ จึงคิดจะกลั่นแกล้งเด็กสาว “เอางี้ ฉันจะปล่อยเธอก็ได้ แต่เธอต้องตะโกนให้ผู้คนรอบๆ นี้ได้ยินว่า... ‘คุณอัลเวนที่รัก...ฉันขอโทษนะคะ’ ”
ลัลทริมาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินสิ่งที่อัลเวนพูด พลางลองกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณก็เห็นว่ามีผู้คนรายล้อมอยู่มากทีเดียว โดยเฉพาะกลุ่มสาวๆ ที่ตามอัลเวนมา ซึ่งกำลังมองมาทางเธอและอัลเวนด้วยความสนใจใคร่รู้ “บ้า! ใครมันจะไปพูดแบบนั้นกัน” ใช่...เธอไม่เห็นจำเป็นจะต้องขอโทษอะไร คนที่ต้องขอโทษน่ะ...มันอัลเวนต่างหาก! และที่สำคัญ...เธอไม่มีทางยอมเรียกผู้ชายแบบนี้ว่าที่รักแน่ๆ!!
“ไม่พูด...ก็ไม่ปล่อย” อัลเวนตอบอย่างลอยหน้าลอยตา
“ไม่ปล่อยก็ไม่ง้อหรอก!!!” ลัลทริมาตอบกลับทันที แล้วไม่รอช้ารีบเอาศีรษะของเธอโขกเข้ากับคางของเขาเต็มแรง ทำเอาอัลเวนถึงกับต้องรีบปล่อยมือที่จับลัลทริมาไว้ไปกุมคางของตนเองทันที และลัลทริมาก็ไม่ยอมปล่อยเวลาให้เสียเปล่า เธอผลักเขาจนหงายหลังล้ม แล้วรีบลุกขึ้นจะวิ่งหนี...แต่กลับต้องชะงักเสียก่อนเมื่อเสียงตะโกนของอัลเวนดังขึ้นมา...
“ที่รัก!! ผมรู้นะว่าคุณโกรธมากที่ผมจูบคุณโดยไม่ได้ขออนุญาต”
ลัลทริมาตาโต หันกลับมามองอัลเวนด้วยสายตางุนงงปนกับไม่พอใจที่เขาพูดเรื่องจูบ “พูดบ้าอะไรของคุณน่ะ”
“ผมขอโทษจริงๆ แต่ริมฝีปากของคุณมันหอมหวานจนผมอดใจไม่อยู่ และที่ผมทำไปทั้งหมดก็เพราะผมรักและหลงใหลในตัวคุณนะ...เพราะฉะนั้นอภัยให้ผมเถอะนะ”
คำพูดที่ทำให้สาวๆ ที่อยู่บริเวณนั้นกรี๊ดขึ้นมาด้วยความเขินอาย สายตาแต่ละคู่มองที่อัลเวนอย่างเพ้อฝัน แต่กลับส่งความอิจฉาริษยามาทางลัลทริมาแทน ส่วนสายตาของพวกหนุ่มๆ ในที่นั้นก็มองเธออย่างต้องการจะค้นหาว่าสิ่งที่อัลเวนพูดนั้นจริงหรือไม่ ทำเอาลัลทริมาตีสีหน้าไม่ถูก ทั้งโกรธทั้งอาย แถมยังไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี จึงได้แต่หันไปมองตัวต้นเหตุที่ส่งรอยยิ้มสะใจให้เธอ
“ตกลงว่าคุณให้อภัยผมรึเปล่าครับ...ที่รัก?”
“ฝันไปเถอะไอ้บ้า!” ว่าจบก็วิ่งหนีไปทันที ปล่อยให้อัลเวนที่ยังคงอยู่ตรงนั้นมองตามด้วยความสะใจ
ลัลทริมาเดินขึ้นห้องเรียนมาด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว ยิ่งมาเจอพวกคุณชายหน้าหล่อทั้ง 7 นั่งคุยกันอย่างสนุกสนานแล้ว เธอก็ยิ่งอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่ ที่พวกเขาบังอาจมานั่งคุยกันสนุกสนาน แต่กลับปล่อยให้เธอต้องเผชิญหน้ากับอัลเวนตามลำพังแบบนั้น...แถมยังโดนไอ้เจ้านั่นตะโกนเรียก ‘ที่รัก’ ต่อหน้าคนตั้งเยอะ ไหนจะพูดเรื่อง ‘จูบ’ นั่นอีก แบบนี้มีหวังพวกนั้นคงเข้าใจผิดเรื่องระหว่างเธอกับอัลเวนกันหมดแล้วแน่ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งพาให้อารมณ์ของเด็กสาวขุ่นมัวมากขึ้นเท่านั้น
“อ้าว คุณลัล อรุณสวัสดิ์ครับ” แคปเปอร์ที่สังเกตเห็นลัลทริมาเป็นคนแรกก็เอ่ยทักทายเธอทันที ก่อนที่คุณชายคนอื่นๆ จะหันมามองเธอทางเธอบ้าง
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ทว่าน้ำเสียงของร่างบางกลับฟังดูแข็งเสียยิ่งกว่าก้อนหิน ทำเอาพวกคุณชายได้หันมองหน้ากันไปมาราวกับจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับลัลทริมา แต่ต่างคนต่างก็ทำเพียงยักไหล่ให้กันอย่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณลัล ท่าทางอารมณ์ไม่ดีเลยนะครับ” เป็นแคปเปอร์ที่เอ่ยถามอีกครั้ง
“ไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ” ปฏิเสธกลับไป หากแต่คิ้วเรียวกับขมวดมุ่นจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์อยู่แล้ว
“โกรธอะไรพวกฉันรึเปล่าเนี่ย?” ภามเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ก็นิดหน่อย” เด็กสาวว่า พลางทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ประจำตัวของเธอ “แต่โกรธคนที่ชื่ออัลเวนมากกว่า”
พอได้ยินชื่อของคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเอามากๆ แล้ว พวกคุณชายก็ถึงกับตาโต และดูท่าว่าตอนนี้จะไม่ได้มีเพียงลัลทริมาเท่านั้นที่อารมณ์เสีย เพราะพวกคุณชายเองก็เริ่มจะอารมณ์เดือดไม่ต่างจากเธอ ก่อนที่พวกเขาจะรุมล้อมถามลัลทริมาถึงเรื่องของอัลเวนว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมเธอถึงได้อารมณ์เสียเพราะมีต้นเหตุมากจากไอ้เจ้านั่น
“ก็เพราะเมื่อกี้ฉันถูกหมอนั่นแกล้งไงเล่า เขาเดินเข้ามาทำเป็นทักทาย แล้วก็นั่งลงข้างๆ ฉัน ทีนี้ฉันก็เลยลุกขึ้นวิ่งหนีออกมา...” ลัลทริมากล่าวได้แค่นั้น... มือบางกำแน่นอย่างอดโมโหไม่ได้ บางทีก่อนที่จะวิ่งหนีออกมาเมื่อครู่นี้...เธอไม่น่าจะทำแค่ผลักเขาเลย แต่น่าจะตบหน้าอัลเวนแรงๆ อีกสักครั้งก็คงจะดี
“ดีนะที่คราวนี้ไม่ได้ยืนโง่ปล่อยให้มันทำอะไรแบบครั้งที่แล้วอีก” การินว่าอย่างตำหนิ ทว่ามันก็ดูจะเป็นคำชื่นชมเช่นเดียวกัน
“นี่...ฉันคงไม่โง่ซ้ำซ้อนหรอก” ลัลทริมาว่า
“ดีแล้วล่ะที่เธอรีบลุกหนีจากมันน่ะ” ชินะกล่าวยิ้มๆ อย่างชื่นชมเธอ
”ก็ฉันสัญญากับพวกคุณไว้แล้วนี่...ว่าจะระวังตัวจากเขาน่ะ” เด็กสาวกล่าวพลางก้มหน้างุดอย่างอดที่จะเขินอายไม่ได้ ทำเอาพวกคุณชายเองก็รู้สึกเขินขึ้นมาด้วยเสียได้
“ก็ดีแล้วนี่” ภามว่าพลางขยี้ผมลัลทริมาเบาๆ
“ใช่...ทำได้ดีเลยนะ” เชียรเองก็กล่าวชมบ้าง
แต่เวลาแห่งความสุขของเธอและพวกเขาดูเหมือนจะเดินเร็วกว่าที่คิด เพียงไม่นานเสียงบานเลื่อนของประตูห้องเรียนก็ถูกเปิดออก พร้อมๆ กับนักเรียนหลายคนที่เดินเข้ามาในห้องเรียนแห่งนี้ ก่อนที่จะมีสองสามคนที่เดินเข้ามาเอ่ยแซวลัลทริมา
“เมื่อเช้านี้เขินแทนลัลเลยนะ” เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งที่อยู่ร่วมเหตุการณ์เมื่อเช้ากล่าว “ว่าแต่นั่นแฟนเธอจริงๆ เหรอ?”
“นั่นสิๆ แฟนจริงๆ เหรอลัล ทำไมหล่อจังเลยอ่ะ แนะนำให้รู้จักบ้างสิ” อีกคนว่าอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ใช่...นอกจากจะหล่อแล้ว ยังน่ารักอีกนะ เล่นตะโกนง้อลัลแบบนั้น...ทำเอาคนแถวนั้นเขินไปหมดเลยรู้ไหม? ดูสวีทเหมาะสมกันมากๆ เลยนะ”
เจอคำเอ่ยแซวจากเพื่อนๆ เข้าไปก็ทำเอาเด็กสาวเจ้าของหัวข้อการสนทนาหน้าซีดเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะปรายตามามองยังพวกคุณชาย...ที่ตอนนี้ต่างก็จ้องหน้าเธอเขม็งอย่างเอาเรื่อง
“ที่พวกนั้นพูดหมายความว่าไง?” อคินเอ่ยถาม
“ไหนบอกไม่ได้โดนทำอะไรมาไง?”
“ยังไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย...ฉันบอกแค่ว่าฉันลุกหนีออกมา” คนถูกกล่าวหารีบอธิบายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “...แต่เขาตามมาทัน แล้วก็แกล้งฉันด้วยการตะโกนเรียกฉันว่า ‘ที่รัก’ ซะเสียงดัง แถมบริเวณนั้นคนยังเยอะมากอีกด้วย...”
“อ๋อ...แล้วเธอก็โง่ปล่อยให้มันเรียกที่รักอยู่แบบนั้น ใช่ไหม?” การินขมวดคิ้วถาม
ลัลทริมาเองก็ชักจะโกรธขึ้นมาบ้างแล้วที่ถูกต่อว่าเรื่องโง่ จริงๆ ความโง่มันก็ไม่เข้าใครออกใครหรอก แม้มันจะเข้าเธอบ่อยและไม่ค่อยจะออกจากเธอสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่โดนด่าโง่บ่อยๆ นี่มันก็ไม่ตลกนะ “ก็เขาเรียกเองป่ะ? ฉันไม่ได้บอกให้เขาเรียกฉันแบบนั้นซะหน่อย แล้วฉันเองก็ไม่ได้เรียกเขาว่าที่รักกลับด้วย”
“แต่ทำแบบนั้นมันไม่โอเคเลยนะครับ” เรวินว่า “แบบนี้คนทั้งโรงเรียนคงเข้าใจผิดคิดว่าคุณลัลกับเขาเป็นแฟนกันแล้วล่ะมั้งครับเนี่ย?”
“ไหนบอกรักษาสัญญาไง...” ชินะกล่าวขึ้นมาลอยๆ แต่ลัลทริมาก็รู้ดีว่าเขาตั้งใจจะว่าเธอนั่นแหละ
“มันก็ความผิดพวกคุณเหมือนกันนั่นแหละ ฉันกับเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ตอนที่เจอกันเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรฉันสักหน่อย แต่พอเขามาเห็นฉันอยู่กับพวกคุณ...ตั้งแต่นั้นมาเขาก็แกล้งฉันแบบนี้ไง” ลัลทริมาโต้
พวกคุณชายอึ้งไปเล็กน้อย ไม่ใช่พวกเขาไม่รู้ว่าอัลเวนเข้าใกล้ลัลทริมาเพราะอะไร...พวกเขาออกจะรู้ดีด้วยซ้ำไป
“เพราะงั้นถึงได้บอกให้ระวังตัวไง” ภามว่าอย่างอดเห็นใจเด็กสาวไม่ได้ จริงๆ เธอก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก คนที่ผิดน่าจะเป็นอัลเวนเสียมากกว่า
“แล้วทำไมหมอนั่นถึงมาโผล่ที่โรงเรียนนี้ได้ล่ะ?” แคปเปอร์เอ่ยข้อสงสัยของตนเองขึ้นมา พาให้คนอื่นๆ ได้คิดตาม นี่อัลเวนถึงขนาดตามมาก่อกวนที่โรงเรียนเลยอย่างนั้นหรือ..? หรือว่า...
“หมอนั่นน่าจะมาในฐานะนักเรียนค่ะ เพราะเขาแต่งชุดเครื่องแบบของนิศาพาณิชย์” ลัลทริมากล่าวตอบข้อสงสัยให้ ก่อนจะหันไปมองการินที่รีบล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก และเพียงไม่นานเขาก็เอ่ยคำถามเสียงดังกับคู่สนทนา
“หมายความว่าไงกันพ่อ ทำไมไอ้เจ้าอัลเวนมันถึงมาโผล่ที่โรงเรียนนี้ได้”
แค่ได้ยินคำสนทนา พวกคุณชายก็พอจะเดาได้ว่าการินคงจะโทรไปสอบถามเรื่องราวจากผู้อำนวยการนรินทร์เป็นแน่แท้
‘เอ่อ...ก็เมื่อวันที่เขามาบ้านเรานั่นไง เขามาคุยเรื่องขอทำเรื่องเข้าเรียนที่นิศาพาณิชย์ พ่อก็เลยอนุมัติเขาพร้อมทำเรื่องเข้าเรียนให้’
“พ่อเอามันเข้าเรียนทำไม ไล่มันออกไปเลยนะ!!” การินว่ากลับไป
‘จะบ้ารึไงเจ้าลูกคนนี้ พ่อจะไล่เขาออกได้ยังไงกัน เขา.......’ ฟังได้แค่นั้นการินก็กดตัดสายทิ้งทันที ก่อนจะหันกลับมามองหน้าเพื่อนๆ ที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“พ่อเป็นคนรับมันเข้ามาเรียนเอง”
“เฮ้ย! เล่นตามกันมาถึงโรงเรียนเลยงั้นเหรอ?” อคินพึมพำ ก่อนจะเอ่ยกับเพื่อนๆ เสียงดัง “เห็นทีคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ”
“อืม...เตรียมแผนรับมือกันดีไหม?” เชียรถามความเห็นจากเพื่อนๆ และแน่นอนว่าทุกคนจะต้องเห็นด้วย
“ขอแบบแรงๆ เลยก็ดี” ชินะว่า
“ได้...เดี๋ยวท่านเชียร(ผู้ชั่วช้า?)คนนี้จะคิดแผนเอง” เจ้าของเรือนผมสีแดงกล่าวอย่างมั่นใจ หึ...เรื่องแผนชั่วๆ น่ะไว้ใจเขาได้เลย ทำคนหวาดกลัวและร้องไห้มานักต่อนักแล้ว ขนาดลัลทริมาเองก็ยังเคยโดนเลย
เหล่าคุณชายยิ้มชั่ว...พาให้ลัลทริมาที่นั่งอยู่ตรงนั้นอดที่จะขนลุกไม่ได้ แต่ก่อนที่เรื่องราวจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ เรวินก็หันมายิ้มหวานให้กับลัลทริมา “คุณลัลเอง...ช่วงนี้ก็ต้องระวังตัวให้มากๆ นะครับ”
“ถ้าเป็นไปได้...เวลาอยู่ที่โรงเรียนก็พยายามอยู่กับพวกฉันเอาไว้ละกันนะ” ภามว่า
“แต่ถ้าจะให้ดียิ่งกว่านั้น...ก็ขอเชิญคุณลัลย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านจินตเมธรเลยก็ได้นะครับ” แคปเปอร์เอ่ยยิ้มๆ พาให้ลัลทริมาต้องยิ้มตามไปด้วย แต่เธอก็ทำเพียงแค่ส่ายหน้าปฏิเสธเท่านั้น ก่อนที่ทั้งหมดจะสลายกลุ่มกลับที่นั่งของตนเมื่ออาจารย์เข้าสอน
พักเที่ยง
ก็ไม่รู้ว่าลัลทริมาฟังภาษาคนรู้เรื่องหรือเปล่า เพราะก็เพิ่งบอกไปเมื่อตอนเช้านี่เองว่า ‘เวลาอยู่ที่โรงเรียนให้พยายามอยู่กับพวกเขาเอาไว้’ แต่นี่พอออดพักเที่ยงดังปุ๊บ คุณเธอก็เล่นหายไปจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ลำบากให้พวกคุณชายสุดหล่อชาติตระกูลดีอย่างพวกเขาต้องออกตามหากันแบบนี้
“ยัยนั่นหายไปไหนวะ” การินว่าอย่างเริ่มจะอารมณ์เสีย หลังจากที่เดินตามหาลัลทริมาเสียจนแทบจะทั่วตึกเรียนอยู่แล้ว
“ไม่ใช่โดนหมอนั่นลากเข้าป่าหลังโรงเรียนไปแล้วเหรอครับ..?” เรวินว่ายิ้มๆ
ทุกสายตาตวัดมาจ้องเรวินอย่างไม่ชอบใจกับคำพูดของเขา ทำให้คุณชายเจ้าของเรือนผมสีดำพ่วงผิวสีเข้มได้แต่หัวเราะเจื่อน “ผมก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง พวกคุณไม่เห็นจะต้องจริงจังเลยนี่ครับ”
“ไม่จริงจังได้รึไงกันเล่า” อคินบ่นพึมพำ
“ฮะๆๆ ถ้าหาไม่เจอแบบนี้...ผมว่าเราไปทานอาหารที่โรงอาหารกันเถอะครับ ชักจะหิวขึ้นมาซะแล้วสิ ไม่แน่ว่าบางทีคุณลัลอาจจะอยู่โรงอาหารก็ได้นะครับ” เรวินเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง พาให้พวกคุณชายคนอื่นๆ ได้พ้องต้องกัน เพราะลองเดินหาตามตึกเรียนแล้วไม่เจอขนาดนี้ ก็ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะอยู่โรงอาหารอย่างที่เรวินว่าก็เป็นได้
ขณะเดียวกันนั้น ทางลัลทริมาที่ตอนนี้กำลังนั่งรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อนสาวอยู่ก็อดที่จะถอนหายใจทิ้งอย่างเสียไม่ได้ เธอนึกไปถึงพวกคุณชาย...และคาดเดาว่าป่านนี้พวกเขาคงจะกำลังตามหาตัวเธอเสียจนวุ่นวายกันไปหมดแน่ๆ ดีไม่ดีจะพาลโกรธเธออีกด้วย และถ้าเจอกันก็คงจะต่อว่าเธอว่า ‘ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง ก็บอกแล้วว่าให้พยายามอยู่ใกล้ๆ พวกเขาเอาไว้’ อะไรทำนองนั้น แต่มันเลือกได้เสียที่ไหนกันเล่า เพราะตอนที่ออดพักเที่ยงดัง เอมิกาก็รีบลากเธอออกมาจากห้องเรียนทันที ไม่รอให้เธอได้บอกกล่าวอะไรเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลยด้วยการยอมมานั่งกินข้าวกับเพื่อนแบบนี้...
“เป็นอะไรลัล สีหน้าไม่ดีเลย” เอมิกาที่เห็นท่าทางของลัลทริมาก็เอ่ยถามขึ้นมา “กับข้าวไม่อร่อยเหรอ?”
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก” คนถูกถามสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะตอบคำถามของเพื่อน “ส่วนกับข้าวก็อร่อยดีแหละ แต่พอดีมีเรื่องอะไรให้คิดนิดหน่อยน่ะ”
“ใช่เรื่องของผู้ชายคนเมื่อเช้ารึเปล่า?” มัณฑินีเอ่ยถามบ้าง ซึ่งเมื่อลัลทริมาพยักหน้ารับ สาวแว่นก็ยิงคำถามต่อทันที “แล้วตกลงว่าเขาเป็นใครเหรอ? ทำไมถึงเรียกเธอว่า ‘ที่รัก’ ล่ะ?”
ลัลทริมามีสีหน้าลังเลเล็กน้อยว่าควรจะกล่าวอธิบายเรื่องของอัลเวนให้เพื่อนฟังอย่างไรดี เพราะกลัวว่าถ้าพูดความจริงออกไป เพื่อนสาวทั้งสองจะพาลเกลียดอัลเวนจนเป็นเรื่องใหญ่โตไปซะเปล่าๆ ไม่แน่ว่าทั้งสองสาวอาจจะพาลไปโทษพวกคุณชายเอาได้เหมือนกัน แต่ถ้าให้โกหกออกไป...เธอก็ไม่อยากจะทำแบบนั้น อย่างไรเสียทั้งเอมิกาและมัณฑินีก็เป็นเพื่อนผู้หญิงที่เธอสนิทด้วย เธอไม่อยากจะทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจและความห่วงใยของเพื่อน แต่ตามสไตล์นางเอกผู้แสนดีแล้ว เธอจำต้องเลือกโกหก เพราะไม่อยากดึงเพื่อนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย (ดูเป็นเรื่องราวใหญ่โตมาก?) “เอ่อ...อันที่จริงแล้วเราเคยเจอกันก่อนหน้านี้มาสองครั้งน่ะ เป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่ว่าครั้งที่สองนั้น...มันมีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย แล้วฉันก็ได้รู้ในตอนนั้นว่า...เขาชื่ออัลเวน และเขาเป็นผู้ชายที่มีสติไม่สมประกอบ”
สองสาวตาโตกับคำพูดของลัลทริมา แน่ล่ะ...เป็นใครก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกว่าผู้ชายรูปร่างสมส่วน หน้าตาดี แถมยังมีเสน่ห์ดึงดูดแบบนั้นจะเป็นคนสติไม่สมประกอบ และอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้สองสาวต้องเบิกตากว้างมากขึ้น ก็คงจะเป็นเพราะหนุ่มหล่อผู้ถูกนินทาคนนั้นกำลังยืนยิ้มเย็นอยู่เบื้องหลังของลัลทริมา
“เห...ไม่ยักกะรู้เลยนะว่าฉันจะเป็นคนสติไม่สมประกอบในสายตาของเธอน่ะ”
เสียงของอัลเวนดังขึ้น ทำให้ลัลทริมาสะดุ้งตกใจหันขวับไปมองเขา ก่อนร่างบางจะขมวดคิ้วมุ่นถามออกไปอย่างไม่พอใจทันที “มายืนทำอะไรตรงนี้ไม่ทราบ”
“ถ้าไม่มายืนอยู่ตรงนี้...ฉันก็คงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเธอกำลังนินทาฉันอยู่น่ะ...ที่รัก” อัลเวนว่าพร้อมยิ้มหวาน พาให้สาวๆ ที่นั่งอยู่บริเวณนี้ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันเป็นแถว ทว่ารอยยิ้มนั้นในสายตาของลัลทริมาแล้ว...มันกลับเป็นรอยยิ้มที่กวนเบื้องบาทาเสียเหลือเกิน
“ฉันไม่ใช่ที่รักของคุณ เลิกเรียกฉันแบบนั้นได้แล้ว” ลัลทริมาโต้กลับ
“ไม่ใช่...?” อัลเวนทวนคำพูดของร่างบางพร้อมเลิกคิ้วสูงแสร้งทำเป็นสงสัย ก่อนจะยิ้มพรายอย่างเจ้าเล่ห์ “แล้วเรื่องจูบเมื่อวันนั้นมันหมายความว่าไงกันล่ะที่รัก ?”
เป็นอีกครั้งที่คำพูดของอัลเวนสามารถเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ ได้ และดูท่าว่ามันจะทำให้เพื่อนสาวทั้งสองของลัลทริมาตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกไปเสียแล้ว
“นี่!!! เลิกพูดเรื่องนั้นไปเลยนะ” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแหว ก่อนจะผ่อนลมหายใจที่กำลังเดือดของตนเองออกมา แล้วเอ่ยกับอัลเวนเสียงเบา “ ฉันขอพูดกับคุณไว้ตรงนี้เลยนะว่าระหว่างฉันกับคุณ เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เรื่องจูบอะไรนั่นฉันจะยอมให้อภัยคุณก็ได้ (จะถือซะว่าโดนหมามันเลียปากละกัน) เพราะฉะนั้นคุณเลิกมายุ่งกับฉันได้แล้ว”
“โฮ่...แต่ฉันคงให้อภัยเรื่องที่เธอตบหน้าฉันไม่ได้หรอกนะ” อัลเวนเองก็ตอบกลับเสียงเบา เพราะเขาไม่อยากจะให้ผู้คนที่รายล้อมอยู่บริเวณนี้ได้ยินว่าผู้ชายที่เสน่ห์ล้นแถมมาดเท่แบบเขาโดนเด็กสาวหน้าตาบ้านๆ ธรรมดาๆ แบบนี้ตบหน้าให้ แบบนั้นมันเสียมาดครับ
“แล้วจะเอาไงล่ะ? ทำยังไงคุณถึงจะเลิกยุ่งกับฉันสักที รู้ไหมว่าฉันชักจะรำคาญเต็มทีแล้วนะ ยิ่งคุณมายุ่งกับฉัน มันก็ยิ่งทำให้ฉันกับพวกคุณชายทะเลาะกันน่ะ” เด็กสาวเอ่ยอย่างพยายามสะกดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ แม้เธอจะเป็นคนที่มีความอดทนมากเนื่องจากผ่านมือผ่านเท้า(?)พวกคุณชายทั้งเจ็ดมามากแล้วก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าจะอดทนได้เสมอไป อย่างว่า...ความอดทนของคนเรามันมีขีดจำกัด และมันก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วย เพราะอันนั้นเป็นพวกคุณชายหรอกเธอถึงยอมอดทน แต่นี่เป็นใครก็ไม่รู้ แถมยังทำตัวลามปามกับเธออีก เรื่องอะไรจะยอมทนเขากันล่ะ ?
คำพูดของลัลทริมายิ่งทำให้อัลเวนเห็นว่าเธอค่อนข้างจะแคร์ไอ้พวกหมาหมู่นั้นมากขนาดไหน และขณะเดียวกัน...ยิ่งเขายุ่งกับเธอ ก็ยิ่งแปลว่ามันจะทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพวกนั้นยิ่งสั่นคลอนมากขึ้นไม่ใช่เหรอ..? ยิ่งรู้แบบนี้แล้ว...เขาก็ยิ่งไม่คิดจะเลิกยุ่งกับเธอเลยแม้แต่น้อย
“ถ้างั้น...” อัลเวนว่ายิ้มๆ ก่อนจะทำในสิ่งที่ทุกคนหรือแม้กระทั่งลัลทริมาไม่คาดคิดมาก่อน...ด้วยการคุกเข่าลงไปต่อหน้าลัลทริมา มือหนาฉวยคว้ามือบางไปกอบกุมไว้ “เราหมั้นกันเถอะนะ”
“........”
ร่างบางที่ถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวนิ่งค้างด้วยความตะลึงงัน เกิดมายังไม่เคยมีใครจะขอหมั้นเธอแบบนี้เลยด้วยซ้ำไป แต่แปลกที่ไม่ยักรู้สึกเขินเลยสักนิด และเดาได้ไม่ยากว่าที่ไม่เขินก็คงจะเป็นเพราะคนตรงหน้านั้นคืออัลเวนเป็นแน่ แต่ไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องตะลึงอยู่นาน ลัลทริมาก็รีบสะบัดมืออัลเวนออกทันที “นี่มันจะเกินไปแล้วนะ!!!”
“เกินไปอะไรกันครับที่รัก..? ที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะว่าผมรักคุณนะ ผมอยากจะผูกมักคุณเอาไว้ เพราะผมทนไม่ได้หรอกที่จะให้คุณไปยุ่มย่ามกับผู้ชายอื่น...โดยเฉพาะ 7 คนนั่น” น้ำเสียงเข้มที่เอ่ยกล่าวแผ่วไปในตอนท้าย...พร้อมๆ กับที่นัยน์ตาสีทองเป็นประกายนั้นเหลือบไปยังร่างสูงทั้งเจ็ดที่ยืนนิ่วหน้าไม่พอใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ “ว่าไง...ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะ” เจ้าของเรือนผมสีเงินยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับพวกคุณชาย “มาได้จังหวะพอดีเลย...ฉันกำลังขอเธอหมั้นอยู่เลยนะ”
นอกจากคำพูดที่จงใจจะยั่วยุอารมณ์พวกคุณชายแล้ว สีหน้าและท่าทางราวกับเป็นผู้เหนือกว่าของอัลเวนก็รบกวนอารมณ์พวกคุณชายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ขนาดว่าคนที่ใจเย็นอย่างเรวินยังถึงกับยิ้มไม่ออก แล้วพวกที่เหลือมีหรือ...ที่จะทนได้
อคินเป็นคนแรกที่เดินพุ่งเข้าไปหาอัลเวน ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากัน นัยน์ตาทั้งสองคู่ต่างจ้องสบกันอย่างไร้ซึ่งความหวั่นเกรง “แกควรจะเลิกยุ่งกับเธอได้แล้ว”
“แกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉันอย่างนั้นเหรอ?” อัลเวนตอกกลับพร้อมยกยิ้มขึ้นที่ริมฝีปาก ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังพวกคุณชายคนอื่นๆ ที่ต่างก็เดินเข้ามาดึงลัลทริมาและเพื่อนๆ ให้ออกห่างจากอัลเวนและอคิน “หึ...พาเธอออกห่างจากฉันแล้วจะได้อะไร? ยังไงซะพวกแกก็ไม่มีทางปกป้องเธอจากฉันได้หรอก”
“หุบปากของนายไปซะเถอะอัลเวน” ชินะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ...ทว่านัยน์ตาสีอเมทิสต์คู่นั้นกลับดูรุ่มร้อนราวกับมีเปลวไฟลุกไหม้อยู่
“โฮ่...อย่าบอกนะว่าพวกนายกำลังกลัวว่าฉันจะพรากเธอไปจากพวกนาย...” อัลเวนเว้นจังหวะพูดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันของผู้ชนะ “เหมือนกับที่ฉันเคยพรากแม่พวกนั้นมาจากพวกนายน่ะ”
จบคำพูดของอัลเวน...อคินก็ไม่รอช้าที่จะส่งหมัดเข้าที่มุมปากของ ‘พี่ชายต่างมารดา’ ของตนเอง ฝ่ายอัลเวนเองก็ใช่ว่าจะยอมโดนทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียวเสียเมื่อไหร่กัน ทันทีที่ร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีเงินตั้งหลักได้ เขาก็โต้ตอบอคินกลับด้วยหมัดเช่นกัน จนเป็นเหตุให้ความชลมุนวุ่นวายเกิดขึ้น ทั้งที่โดยปกติแล้วจะมีแคปเปอร์คอยห้ามไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่คราวนี้คุณชายเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลกลับนิ่งเฉย ปล่อยให้อคินทำตามใจชอบ และถ้าการินกับเชียร หรือแม้แต่ชินะกับภามอยากจะเข้าไปร่วมวงด้วย เขาเองก็คงจะไม่ห้ามเพื่อนเอาไว้เป็นแน่แท้
ท่ามกลางความโกลาหลที่เกิดขึ้น ลัลทริมากลับทำเพียงยืนมองเหตุการณ์นิ่งๆ ราวกับว่าภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าไม่ได้อยู่ในความสนใจของเธอเลย แต่สิ่งที่เธอกำลังให้ความสนใจนั้น...คงจะเป็นคำพูดของอัลเวนเสียมากกว่า
“เหมือนกับที่ฉันเคยพรากแม่พวกนั้นมาจากพวกนายน่ะ”
...คำพูดนั้นมันหมายความว่าไงกันแน่นะ..?
ก่อนที่จะเกิดเหตุวุ่นวายมากไปกว่านี้ เหล่าคณะกรรมการนักเรียนก็รีบเข้ามายุติสถานการณ์ พร้อมสั่งให้เหล่าผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดไปยังห้องปกครองเพื่อที่จะสอบสวนหาสาเหตุที่ก่อให้เกิดเรื่องราวการทะเลาะวิวาทนี้ขึ้นมา
ภายในห้องปกครองที่เปิดเครื่องปรับอากาศเสียเย็นฉ่ำราวกับว่าจะช่วยให้ความเย็นเหล่านั้นทำให้ผู้คนที่กำลังใจร้อนทั้งหลายได้ใจเย็นขึ้นบ้าง แต่ดูท่าทางเหมือนมันจะไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด เมื่อพวกคุณชายกับอัลเวนกลับนั่งเขม่นมองหน้ากันอย่างไม่ยอมลดราวาศอก ส่วนลัลทริมาที่นั่งอยู่ระหว่างกลางทั้งสองฝ่ายก็ทำเพียงก้มหน้าขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ ไม่มีใครให้ความสนใจกับคณะกรรมการนักเรียนทั้งสิ้น นั่นทำให้เหล่าคณะกรรมการนักเรียนต้องเชิญอาจารย์มาช่วยสอบสวนเรื่องราว และก็ยิ่งดูเหมือนว่าการสบตาของพวกคุณชายกับอัลเวนจะกลายเป็นการทะเลาะวิวาทขึ้นมาอีกหนเพราะต่างฝ่ายต่างก็โทษกันไปมา ลำบากอาจารย์ต้องช่วยห้ามและไกล่เกลี่ยให้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครยอมรับผิดเลยสักคนเดียว เลยกลายเป็นว่าทุกคนจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ร่วมกัน เพราะปัญหาการทะเลาะวิวาทถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำในสถานศึกษาหรือสถานที่ใดๆ ก็ตาม...และนั่นมันทำให้ทั้งพวกคุณชาย ลัลทริมา และอัลเวนโดนลงทัณฑ์บนและพักการเรียนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์...
...ทั้งๆ ที่ลัลทริมาเพิ่งจะเปิดเทอมได้แค่วันเดียวแท้ๆ
จะว่าแย่ก็แย่ มีเรื่องให้ต้องคิดไม่พอ...ยังต้องมาโดนพักการเรียนทั้งๆ ที่ตัวเองก็แทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการทะเลาะวิวาทของพวกคุณชายและอัลเวนเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ทางโรงเรียนทำงานกันยังไงถึงได้ทำโทษกันอย่างถ้วนทั่วแบบนี้ พวกไม่เห็นจะรับฟังความเห็นจากเธอเลยสักนิด แต่อันที่จริงคงเป็นเพราะเธอเองที่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ก็เลยโดนเข้าใจผิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องไปด้วย อันที่จริงน่าจะเรียกพบผู้ปกครองเพื่อมาพูดคุยกัน แต่นี่ไม่เห็นจะเรียกเลย...หรือเพราะเห็นว่าฝ่ายหนึ่งมีผู้ปกครองเป็น ผอ. ของโรงเรียนนี้ ก็เลยทำเพียงไกล่เกลี่ยกันแค่เด็กๆ แล้วก็ทำทัณฑ์บนไว้พร้อมสั่งพักการเรียน แล้วที่สำคัญคือเธอจะเพิ่งเปิดเทอมได้แค่วันเดียว ยังไม่ทันได้สนุกกับเพื่อนอย่างเต็มที่ก็มีอันต้องโดนพักการเรียนไปตั้งหนึ่งสัปดาห์ แบบนี้จะอธิบายกับที่บ้านยังไงดี ?
“กลับบ้านเลยละกัน”
หลังจากที่เดินออกมาจากห้องของฝ่ายปกครอง การินก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเซ็งสุดขีด “ไปหาอะไรน่าสนุกๆ ที่บ้านทำกันดีกว่า อยู่นี่ต่อก็เบื่อขี้หน้าไอ้เจ้านั่น”
ลัลทริมาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมมองตามสายตาของพวกคุณชายที่ส่งไปให้กับอัลเวนที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องปกครอง
“เอาไว้เจอกันคราวหน้าก็แล้วกันนะ” อัลเวนว่าพร้อมยกยิ้มอย่างน่าหมั่นไส้ให้กับพวกคุณชาย ก่อนจะส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับลัลทริมา “ไปล่ะ”
“เหอะ ทำหน้าตาน่าหมั่นไส้จริงๆ” เชียรว่าอย่างไม่พอใจ
“สงสัยที่โดนไปจะยังไม่เข็ดล่ะมั้ง” ภามยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ปล่อยๆ เขาไปเถอะครับ ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” เรวินเอ่ยขึ้นดึงความสนใจของทุกคน “ผมว่าตอนนี้เรากลับบ้านกันเลยดีกว่านะครับ”
“นั่นสิ” แคปเปอร์ว่า ก่อนจะหันมาทางลัลทริมา “คุณลัล...เดี๋ยวให้พวกผมไปส่งนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พอดีว่าวันนี้ฉันให้พี่ลัทธมารับน่ะค่ะ”
“กว่าหมอนั่นจะมาก็คงจะตอนเย็นโน่นแหละ ถ้ายังไงให้พวกฉันไปส่งดีกว่านะ” ชินะว่า
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ” ลัลทริมายิ้มให้พวกคุณชาย “ตอนที่นั่งอยู่ในห้องปกครองฉันไลน์ไปบอกพี่ลัทธแล้วว่าช่วยมารับตอนนี้ที เพราะเกิดเรื่องขึ้นที่โรงเรียนนิดหน่อย แล้วป่านนี้พี่ลัทธก็คงจะมาแล้วด้วย”
“ไลน์...?” เจ้าของเรือนผมสีเพลิงทวนคำของลัลทริมาอย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามเธอ “เธอมีโทรศัพท์ใช้แล้วอย่างนั้นเหรอ?”
เด็กสาวพยักหน้ารับน้อยๆ นั่นทำให้พวกคุณชายถึงกับมีสีหน้าฉงนไปตามๆ กัน
“ปกติใช้โทรศัพท์ไม่เป็นไม่ใช่รึไง?” ภามถาม
“นั่นสิ โลว์เทคฯ แบบเธอ...ใช้เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เชียรเองก็กล่าวอย่างเห็นด้วยกับเรื่องที่ภามว่า เพราะตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับลัลทริมามา เขาก็รู้ดีว่าเธอค่อนข้างจะไม่ถูกโรคกับพวกเทคโนโลยีนัก โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือเนี่ย เคยบอกว่าจะซื้อให้เด็กสาวก็ไม่เอา เพราะตอนนั้นเธอบอกว่ามันไม่จำเป็น
ลัลทริมายิ้มแหย ก่อนจะเอ่ยตอบ “ก็ใช้เป็นตอนที่ไปอยู่อเมริกาน่ะค่ะ พอดีว่ามันค่อนข้างจะลำบากในการใช้ชีวิตเสียหน่อย น้าโรสก็เลยซื้อและสอนวิธีการใช้ให้ จะได้ใช้ติดต่อกันได้สะดวกสบาย เพราะแบบนั้น...ฉันก็เลยเล่นเป็นไงคะ”
“หืม...มีโทรศัพท์ใช้ตั้งแต่ตอนอยู่อเมริกา” พวกคุณชายว่าพร้อมยิ้มน้อยๆ ให้ลัลทริมา ก่อนที่ทุกคนๆ จะพูดเป็นเสียงเดียวกันใส่หน้าเธอ “แล้วทำไมถึงไม่เคยติดต่อกลับมาเลย!!”
“ไม่เอาน่า...อย่าโกรธกันเลยนะคะ” เด็กสาวยิ้มอ่อน “เดี๋ยวค่อยคุยเรื่องนั้นกันทีหลังก็แล้วกัน วันนี้ฉันว่าพวกคุณกลับบ้านกันเถอะค่ะ ฉันเองก็จะกลับแล้วเหมือนกัน เหนื่อยมากแล้วจริงๆ กับวันนี้”
“ไม่ต้องนอกเรื่องเลย” อคินว่าพร้อมดึงปลายผมของลัลทริมาที่กำลังจะเดินหนีไปให้ต้องหยุดชะงักเอาไว้
แล้วเชียรก็ออกคำสั่งกับเธอทันที “ใช่! เอาเบอร์โทรฯ ของเธอมาเดี๋ยวนี้!!”
ก็นะ...ยังไงก็คงปฏิเสธพวกคุณชายไม่ได้อยู่แล้ว ลัลทริมาเลยให้เบอร์โทรฯ กับพวกเขาไป และเมมเบอร์โทรฯ ของพวกเขาทุกคนเก็บเอาไว้เช่นกัน “ถ้ายังไงฉันไปแล้วดีกว่า พี่ลัทธไลน์มาบอกว่ารออยู่หน้าโรงเรียนแล้ว”
“อือๆ” และพวกคุณชายก็ยอมปล่อยให้ลัลทริมากลับบ้านได้ แต่ก่อนที่จะเดินแยกออกมาจากพวกคุณชาย แคปเปอร์ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใย “ให้พวกผมเดินไปส่งที่รถไหมครับ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดินไปเองได้” ลัลทริมาว่าพร้อมยักคิ้วให้พวกเขา และไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณพวกเขาด้วยสำหรับเรื่องวันนี้ ถึงแม้ว่ามันจะวุ่นวายและจบด้วยการถูกหางเลขไปกับพวกเขาด้วย แต่มันก็ทำให้เห็นถึงความห่วงใยที่พวกเขามีต่อเธอ...ถึงแม้หลายๆ อย่างและหลายๆ คำพูดของพวกเขาจะดูเป็นการออกคำสั่งหรือบังคับกันไปหน่อยก็ตามที แต่เธอก็เข้าใจถึงเหตุผลของการกระทำเหล่านั้นดี “งั้น...ฉันไปก่อนนะคะ บาย”
“อืมๆ กลับดีๆ ละกัน”
“ค่า” เด็กสาวตอบรับขณะที่ห่างออกมาจากพวกคุณชาย แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าหวานก็หายไป...เหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอยของความสงสัยเท่านั้น สงสัยกับคำพูดในตอนนั้นของอัลเวน...ทว่าเธอกลับไม่กล้าพอที่จะเอ่ยถามมันกับพวกคุณชาย
“อ้าวๆ ไอ้พวกอัศวินไม่ไปส่งเธอที่บ้านงั้นเหรอ?”
น้ำเสียงแกมประชดประชันเอ่ยขึ้นหลังจากที่ลัลทริมาเดินพ้นมุมตึกมาแล้ว เด็กสาวหันหน้ากลับไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ แล้วใบหน้าหวานก็แสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจทันที ก่อนจะตอบเขากลับไป
“เลิกมายุ่งกับฉันซะทีเถอะ” เธอว่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
“ทำไม? กลัวว่าจะทะเลาะกับไอ้พวกนั้นเพราะมีฉันเป็นต้นเหตุงั้นเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“ไม่เกี่ยวกับพวกคุณชายหรอก” ลัลทริมาตอบปัด เพราะไม่อยากจะให้อัลเวนโยงเรื่องไปถึงพวกคุณชาย เดี๋ยวจะได้กลายเป็นเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้อีก “ฉันแค่คิดว่าผู้ชายอย่างคุณน่ะ...ไม่น่าจะชอบผู้หญิงไร้เสน่ห์แบบฉัน เพราะฉะนั้นก็เลิกมายุ่งกับฉันได้แล้ว”
“ก็ไม่ชอบนั่นแหละ” อัลเวนสวนกลับมา “แต่เห็นไอ้พวกนั้นมันชอบเธอ พูดตรงๆ เลยนะว่าหมั่นไส้ว่ะ ฉันน่ะ...ต้องการจะเอาชนะพวกมันให้ได้ เพราะงั้นฉันถึงได้มายุ่งกับเธอไง และฉันจะทำให้พวกมันแพ้...โดยการทำให้เธอหันมาชอบฉัน”
ลัลทริมาอึ้งไปเล็กน้อยกับคำพูดของอัลเวน...ที่บอกว่าเขาเห็นว่าพวกคุณชายชอบเธอ ใบหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อน้อยๆ ก่อนที่เธอจะรีบเก็บอาการแล้วพูดตอบโต้เขา “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณแค้นเคืองอะไรพวกคุณชายเขานักหนา แต่บอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าถ้าคุณคิดจะเอาชนะพวกคุณชายด้วยการทำให้ฉันหันไปชอบคุณล่ะก็...คุณเตรียมตัวแพ้ได้เลย เพราะฉัน...ชอบพวกคุณชาย”
“เหอะ เดี๋ยวเธอก็หลงเสน่ห์ฉันเองแหละ” อัลเวนว่าอย่างมั่นใจในตนเอง “ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ถูกฉันหยอดใส่แล้วจะไม่หลงเสน่ห์ฉันหรอก”
“กับผู้ชายหยาบคายแบบคุณน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ” ร่างบางพูดพร้อมแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา แล้วก็รีบวิ่งหนีจากเขาไปทันที ปล่อยให้ร่างสูงได้แต่มองตามอย่างนึกขัดใจ ทว่าเพียงครู่เดียวใบหน้าคมนั้นกลับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว
“หึ ถ้าเธอจะไม่มีวันหลงเสน่ห์ฉันอย่างที่พูดจริงล่ะก็...งั้นฉันก็คงต้องเลือกใช้วิธีสกปรกที่จะทำให้เธอกับไอ้พวกนั้นแตกหักกันให้ดู”
-TBC-
ความคิดเห็น