ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic punica] ; คุณหนูหน้าใสกับคุณชายอันตรายทั้ง 7

    ลำดับตอนที่ #3 : >>:: Chapter 1

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 57







    CHAPTER 1

     

     
     

    “ไอ้อัลเวน!

     

    เสียงของอคินที่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง  เรียกให้ลัลทริมาต้องหันหน้ากลับไปมองเขา  และอดที่จะแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นว่านัยน์ตาสีออดอายคู่นั้นจ้องมองมาที่ อัลเวนอย่างไร้ซึ่งความเป็นมิตร  เช่นเดียวกับพวกคุณชายคนอื่นๆ ที่วิ่งตามมาและมีทีท่าเช่นเดียวกับอคิน

     

    “ไง  ไม่ได้พบกันนานเลยนะพวกนาย  รู้สึกดีใจยังไงก็ไม่รู้” เจ้าของแขนแกร่งที่โอบลัลทริมาเอาไว้เอ่ยทักพวกคุณชายด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน

     

    “แต่ฝ่ายนี้ไม่ได้รู้สึกยินดีที่ได้พบคุณหรอกนะครับ” ชินะเอ่ยตอบกลับไปด้วยแววตาที่ไร้ไมตรีและแสนจะเชือดเฉือน  อเมทิสต์คู่คมเหลือบมองแขนแกร่งข้างที่โอบเด็กสาวคนสนิทของพวกเขาเอาไว้แน่นนั้น  ราวกับต้องการจะสื่อให้อัลเวนรับรู้ว่า ควรจะปล่อยแขนออกจากเธอได้แล้ว

     

    “หึ  พวกนายนี่มันไม่น่ารักเอาซะเลยนะ” เจ้าของเรือนผมสีเงินว่า  ก่อนจะปล่อยร่างบางที่แนบชิดอยู่ในอ้อมแขนของตนออก

     

    “เอ่อ  ขอบคุณที่ช่วยนะคะ  แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่วิ่งมาแบบไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเลย” เด็กสาวผู้ถูกช่วยเหลือเอ่ยกล่าวคำขอบคุณและขอโทษด้วยน้ำเสียงจริงใจ  “เอ้อ  เรื่องเมื่อคราวก่อนก็เช่นกัน  ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ”  พลางกล่าวถึงเรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าที่เธอและเขาเดินชนกันที่ห้างสรรพสินค้า

     

    คนถูกขอโทษจ้องมองเธอเล็กน้อยด้วยแววตาฉงน  เช่นเดียวกันพวกคุณชายที่ออกอาการงงงวยไปตามๆ กัน

     

    “อะไร?  นี่เธอเคยเจอกับหมอนี่ด้วยเหรอ??” อคินถามด้วยความสงสัย

     

    “ก็...วันที่ฉันหนีพวกคุณไปอ่ะ  ฉันไปเดินห้างกับพี่ลัทธไง  แล้วบังเอิญเดินชนกับคุณคนนี้เข้าพอดี ก็เลย...” ลัลทริมาหันไปชี้แจงกับพวกคุณชาย  หากแต่คนถูกกล่าวถึงกลับเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน

     

    “เห..?  เราเคยเจอกันด้วยงั้นเหรอสาวน้อย?”

     

    ร่างบางหันหน้ามามองเจ้าของเรือนผมสีเงิน “ก็เมื่อวันก่อนไงคะที่เราเดินชนกันน่ะ  คุณจำฉันไม่ได้เหรอคะ??”

     

    “อ่า...ขอโทษทีนะ  พอดีว่าฉันจำไม่ได้หรอก  ก็ผู้หญิงที่ไร้เสน่ห์น่ะ  มันไม่ค่อยเข้าตาและน่าจดจำสักเท่าไหร่”

     

    เกิดความเงียบขึ้นในทันที  ราวกับทุกคนในที่นั้นกำลังอึ้งกับคำพูดตรงไปตรงมาของอัลเวน  จะยกเว้นก็เพียงแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่ยังคงยิ้มระรื่น  ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดของตัวเองสักนิดว่ามันกำลังทำร้ายจิตใจของคนฟังอย่างลัลทริมามากสักแค่ไหน  

     

    ..นอกจากหน้าตาจะเหมือนอคินแล้ว  ยังปาก-มาเหมือนกันอีกนะ..

     

    “อุ๊บ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

     

    “ไอ้อัลเวน  แกนี่พูดจาได้โดนใจมาก”

     

    “พูดเรื่องจริงแบบนั้นเดี๋ยวคุณลัลก็โกรธเอาหรอกครับ”

     

    เสียงหัวเราะและสารพัดคำพูดถากถางดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ  เด็กสาวกัดฟันเล็กน้อย  ก่อนจะสะบัดหน้าไปมองเจ้าพวกคุณชายที่ยังคงหัวเราะร่วนกับคำพูดของอัลเวน

     

    “ตลกกันมากนักรึไงคะ?” ร่างบางกัดฟันถาม

     

    “ก็ไม่ตลกเท่าไหร่หรอก  เพราะมันก็เป็นเรื่องจริงนี่นะ” การินตอบกลับมา

     

    “แต่ฉันไม่ได้รู้สึกตลกอะไรสักนิดเลยนะคะ” พูดจบก็เดินสะบัดหน้าหนีเข้าบ้านไปทันที  ปล่อยให้พวกคุณชายมองตามด้วยอาการหัวเราะค้าง

     

    “สงสัยจะงอน” แคปเปอร์ว่า “ตามไปง้อดีกว่า”

     

    “เอาไว้ง้อทีหลังก็ได้ครับ  ตอนนี้ผมว่า...จัดการกับเรื่องตรงหน้าก่อนดีกว่า”

     

    คำพูดของเรวิน  ทำให้เหล่าคุณชายหยุดอาการหัวเราะค้างแล้วหันกลับมามองที่ อัลเวนชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีเงินที่ตอนนี้ยืนกอดอกยิ้มให้พวกเขาด้วยท่าทางอารมณ์ดี

     

    “แล้วแกมาที่นี่ทำไม?” อคินเอ่ยถามขึ้นทันที

     

    “ฉันก็แค่คิดถึงพวกนายน่ะ  ก็เลยอยากจะแวะมาเยี่ยมเสียหน่อย  แต่ไม่ยักรู้นะว่าจะมีสาวน้อยท่าทางเปิ่นๆ อยู่ที่นี่ด้วย...เธอเป็นใครกันล่ะ?  แฟนของใครสักคนงั้นเหรอ??”

     

    “เธอจะเป็นใครหรือเป็นอะไรกับพวกเรา  เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับแกหรอกนะ” การินสวนกลับไป  ก่อนจะใช้อำนาจอภิสิทธิ์ของการเป็นลูกชายเจ้าบ้านต่อรองกับอัลเวน  “แล้วก็บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงที่แกมาที่นี่ดีกว่านะ  ไม่งั้นฉันไม่ให้แกเข้าบ้านแน่”

     

    “นี่พวกนายไม่คิดจะเชื่อฉันเลยรึไงว่าฉันมาเพราะคิดถึงพวกนายน่ะ?” ถามไปด้วยใบหน้ากวนอารมณ์  ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากพวกคุณชายเลยแม้แต่น้อย  สิ่งที่ได้กลับมาก็มีเพียงแค่แววตาที่มองมาอย่างไม่เชื่อถือและไม่ชอบใจ  อัลเวนจึงได้แต่ยักไหล่แล้วพูดต่อ “ก็ได้ๆ  ฉันหนีออกจากบ้านมาน่ะ”

     

    “หนีมาไกลดีนี่” ภามว่า  ซึ่งอัลเวนก็เพียงแค่ยิ้มรับคำพูดของเขาเท่านั้น

     

    “แล้วแกหนีออกจากบ้านมาทำไม  แม่แกรู้เรื่องนี้รึเปล่า?” อคินเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัย

     

    “ลูกหายไปทั้งคน  ใครมันจะไม่รู้กันล่ะ” อัลเวนยักไหล่ตอบ “จริงๆ แล้วฉันเดินออกจากบ้านมาต่อหน้าต่อตาแม่ด้วยซ้ำไป” 

     

    เจ้าของเรือนผมสีดำแซมเงินเริ่มไม่พอใจกับท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของอีกฝ่าย  จึงกล่าวเสียงเครียด “เลิกเล่นลิ้นซะทีเถอะ  ถ้าแกทะเลาะกับแม่จริง  แกก็แค่ไปนอนกับเพื่อนก็ได้นี่  แต่นี่แกถึงขั้นหนีมาที่เมืองไทยแบบนี้  มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”

     

    อัลเวนจ้องมาที่นัยน์ตาสีออดอาย  ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังบ้าง “นายจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจนะ  แต่ฉันทะเลาะกับแม่หนักไปหน่อย  เลยว่าจะหนีกลับมาอยู่ที่ไทยสักระยะ แล้วก็เลยติดต่อมาหาคุณนรินทร์”

     

    “แล้วทำไมต้องติดต่อหาพ่อฉัน?” การินที่ยืนฟังอยู่เอ่ยขึ้นมาทันที “ถ้าคิดว่าจะมาขออาศัยอยู่ที่นี่ล่ะก็...ฝันไปเถอะ  บ้านนี้ไม่ยินดีต้อนรับ”

     

    เจ้าของเรือนผมสีเงินแย้มยิ้ม  ก่อนจะปรายตามองพวกคุณชายทั้งเจ็ดคนที่ยืนประจันหน้ากับเขา “พวกนายนี่มันนิสัยไม่ดีกันจริงๆ เลยนะ  แค่ฉันเคยแย่งของเล่นของพวกนายตอนเด็กๆ แล้วพังมันทิ้งต่อหน้าต่อตาพวกนายแค่นั้น...ถึงกับโกรธเกลียดฉันมาจนถึงทุกวันนี้กันเลยเหรอ?  เอ๊ะ หรือว่าที่จริงแล้วพวกนายจะโกรธฉันเพราะเรื่องของยัยพวก...”

     

    ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ  เสียงของหัวหน้าพ่อบ้านประจำบ้านจินตเมธรก็ดังขึ้นมาก่อน  “ได้เวลารับประทานอาหารแล้วครับ” พ่อบ้านหนุ่มกล่าวกับพวกคุณชาย  ก่อนจะหันมายิ้มทักทายร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีเงิน “สวัสดีครับคุณอัลเวน  ไม่ได้พบกันนานมากเลยนะครับ”

     

    “สวัสดีครับคุณอธิศ” อัลเวนยิ้มรับคำทักทาย “ไม่ได้พบกันนาน...คุณอธิศเข้าวัยกลางคนแล้วนะครับเนี่ย”

     

    อธิศหัวเราะน้อยๆ  ก่อนจะเอ่ยเชิญอัลเวนให้เข้าไปรับประทานอาหารร่วมกัน  ปล่อยให้พวกคุณชายยืนหน้าบึ้งด้วยความไม่พอใจกับประโยคที่อัลเวนได้เอ่ยออกมา...และที่กำลังจะเอ่ยออกมานั่นก็ด้วย

     

    “หมั่นไส้ขี้หน้ามันจริงๆ  ตีหน้าทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้” เชียรว่า  ก่อนจะเหลือบตามองไปยังชายผู้มีใบหน้าคล้ายกับอัลเวน “ถ้าไม่เกรงใจแก  ฉันต่อยมันหน้าหงายไปละ”

     

    “คราวหน้าแกไม่ต้องเกรงใจฉันก็ได้  อยากทำอะไรมันก็ตามสบายเลย” อคินตอบ  ก่อนจะเข้าบ้านไปทันที

     

    “เอาไงดีล่ะ?  อยู่ๆ ไอ้อัลเวนก็โผล่หน้ามาแบบนี้...มันคงจะไม่ได้มาก่อปัญหาอะไรหรอกนะ” แคปเปอร์เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

     

    “ถ้าหมอนั่นขออนุญาตพ่อนายย้ายมาอยู่ที่นี่...นายห้ามยอมเด็ดขาดนะการิน” ชินะว่า  ซึ่งการินก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย  ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปในบ้านเพื่อรับประทานอาหาร     

     

     

    หลังจากแนะนำครอบครัววิกรานต์วรสริตและอัลเวนให้รู้จักกันแล้ว  บรรยากาศบนโต๊ะก็อาหารอึมครึมอย่างเห็นได้ชัด  นรินทร์ปรายตามองผู้ร่วมโต๊ะที่ตอนนี้คงจะมีเพียงรสวดี  ลัทธพล  และอัลเวนเท่านั้นที่ดูจะยิ้มแย้มอยู่บ้าง  ส่วนที่เหลือกลับนั่งทำหน้ามุ่ยราวกับไม่เต็มใจที่จะนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกันเลยแม้แต่น้อย  ในฐานะเจ้าบ้านแล้ว  นรินทร์จึงต้องการคลี่คลายบรรยากาศแบบนี้ด้วยการเอ่ยชวนทุกคนบนโต๊ะพูดคุยเรื่องต่างๆ นานา 

     

    “ว่าแต่...อัลเวนกลับมาจากอเมริกานานรึยังล่ะ?”

     

    “เพิ่งจะกลับมาได้ 2-3 วันเองครับ” อัลเวนตอบคำถามนรินทร์

     

    รสวดีที่ได้ยินแบบนั้นจึงร่วมบทสนทนาอีกคน “อ้าว  อัลเวนเพิ่งมาจากอเมริกาเหรอจ๊ะ  เหมือนกับพวกน้าเลย  เพิ่งจะกลับมาได้ 2-3 วันนี้เองเหมือนกัน  ไม่แน่นะ...บางทีเราอาจจะมาไฟลท์เดียวกันก็ได้” 

     

    “ไม่หรอกครับ  เพราะถ้ามาไฟลท์เดียวกันจริง  ผมคงจำคนสวยๆ อย่างคุณรสวดีได้แล้ว”  เจ้าของเรือนผมสีเงินเมินหน้าจากนรินทร์แล้วหันมาคุยกับรสวดีอย่างออกรสออกชาติแทน  ปล่อยให้เจ้าบ้านกลายเป็นฝ่ายนั่งเงียบ ส่วนลัลทริมาที่ได้ฟังคำพูดชื่นชมรสวดีของอัลเวนแบบนั้นก็ถึงกับต้องเบะปากใส่อัลเวนอย่างหมั่นไส้  เช่นเดียวกับพวกคุณชายที่ยิ่งเห็นสีหน้าระรื่นของอัลเวนก็ยิ่งพาให้ทานอะไรไม่ลง

     

    “พวกผมอิ่มแล้ว  ขอตัวก่อนนะครับ” การินเอ่ยแทรกขึ้นมา 

     

    “อ้าว  อิ่มแล้วเหรอ?  เพิ่งทานได้นิดเดียวเองนะ” นรินทร์ถามลูกชาย  พลางมองจานข้าวที่เพิ่งลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 

     

    “อิ่มแล้วจริงๆ ครับพ่อ” ลูกชายเจ้าบ้านยิ้มให้พ่อเล็กน้อย  ก่อนจะหันหน้าไปมองพรรคพวกของตนเป็นเชิงบอกว่า ไปกันเถอะแล้วต่างก็ลุกขึ้นยืนกัน

     

    แคปเปอร์ส่งยิ้มให้ทุกคนบนโต๊ะอาหาร  ก่อนจะเดินมากระซิบที่ข้างหูลัลทริมา “คุณลัลครับ  เรื่องเมื่อกี้ต้องขอโทษด้วยนะครับ  และถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป...พวกเราอยากจะขอให้คุณตามพวกเราไปด้วยนะครับ”

     

    ฝ่ายเด็กสาวหันมองหน้าแคปเปอร์น้อยๆ ก่อนกระซิบตอบเสียงเบา “ไปไหนคะ?”  

     

    “ไปห้องหนังสือครับ”

     

    “ตอนนี้เลยเหรอคะ?” เอ่ยถามกลับไปอีก และได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบยืนยัน  “แต่ฉันกำลังทานอาหารอยู่นะคะ  อีกอย่าง....” ลัลทริมาเว้นคำพูดพร้อมปรายตามองไปทางพวกคุณคนอื่นๆ ที่ยืนรอกันอยู่ “ถ้าไปแล้วเกิดพวกคุณข่มขู่ฉันเหมือนเมื่อกี้ล่ะคะ?”

     

    แคปเปอร์ยิ้มบาง “เชื่อใจพวกผมเถอะนะครับ”

     

    “แต่.....”

     

    “ลีลาอยู่ได้  บอกให้มาก็มาสิ” การินที่ยืนมองทั้งคู่กระซิบกระซาบกันอยู่นานอดที่จะรู้สึกรำคาญใจไม่ได้  จึงเดินเข้ามาคว้าข้อมือลัลทริมาให้ลุกออกจากที่นั่งท่ามกลางสายตกตะลึงของนรินทร์  รสวดี  และลัทธพล

     

    “นี่การิน!  ทำแบบนั้นกับหนูลัลต่อหน้าคุณรสวดีกับลัทธพลได้ยังไง”  นรินทร์ลุกพรวดทันทีพร้อมต่อว่าลูกชายตน

     

    “โทษทีละกัน  แต่พวกผมมีธุระด่วนกับเธอ”  การินหันมาบอกกับฝ่ายคนที่อายุมากกว่า  “ส่วนเธอ...รีบตามมาได้แล้ว”  ก่อนจะยื้อยุดร่างบางให้เร่งเดินตามไป  ปล่อยให้คนที่เหลืออยู่มองตามด้วยไม่สามารถทำอะไรได้ จะมีเพียงก็แต่ลัทธพลที่ทำท่าจะลุกตามมา  แต่รสวดีก็ห้ามหลานชายตนเองเอาไว้

     

    “ปล่อยไปเถอะ  พวกคุณชายเค้าไม่ทำอะไรลัลหรอกน่า” รสวดีว่า  พลางแอบยิ้มพรายในใจว่างานนี้หลานสาวของตนคงมีโอกาสได้แฟนแน่ๆ

     

     

    “นี่!!! ปล่อยฉันนะ  พวกคุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับฉันนะ” ลัลทริมาทั้งโวยวาย  ทั้งพยายามสะบัดแขนของตนเองให้หลุดจากมือการินจนทำให้เขารู้สึกรำคาญ  การินจึงยอมปล่อยข้อมือของเธอ  ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกดดัน 

     

    “งั้นก็เดินตามมาดีๆ ซะสิ” 

     

    “มีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน ?” แต่มีหรือที่ลัลทริมาจะยอมทำตาม  เธอจ้องเขาพร้อมเอ่ยคำถามกลับไป

     

    “ทำไมจะไม่มี” การินว่า “ก็ในเมื่อเธอเป็นคนรับใช้ของพวกเรา”

     

    “เคยเป็นตะหาก” ลัลทริมาตอบกลับทันที

     

    “ตอนนี้ก็เป็นนะ” อคินที่เดินตามหลังมาเอ่ยขึ้นมา

     

    “ลืมไปแล้วเหรอว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอยังมาสมัครงานอยู่เลย  แถมยังหาว่าพวกฉันใจร้ายไม่คิดจะยอมรับเธอเข้าทำงาน...ซึ่งที่จริงแล้วพวกฉันตกลงรับเธอเข้าทำงานต่างหาก”  ภามช่วยกล่าวต่อ

     

    “เพราะฉะนั้นสถานะของเธอในตอนนี้ก็คือ...” ชินะกล่าวต่อจากภาม  ก่อนที่ทุกคนจะประสานเสียงกันตอกย้ำคำพูดใส่หน้าลัลทริมา

     

    “คนรับใช้ของพวกฉัน” 

     

    เมื่อเถียงไม่ได้  สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย  ร่างบางยอมเดินตามพวกคุณชายไปแต่โดยดี  แม้จะหวาดหวั่นไม่น้อย  เพราะกลัวว่าจะต้องเจอกับอะไรที่เธอไม่สามารถรับมือได้  อย่างเช่นว่าถ้าพวกนั้นฆ่าเธอหมกห้องหนังสือนี่  เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไง?

     

    เพราะมัวแต่คิดหาแผนรับมือ  ทำให้ลัลทริมาไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อยว่าตอนนี้ตนเองได้เดินมาถึงหน้าห้องหนังสือแล้ว  แถมยังเดินชนแผ่นหลังของเรวินที่หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเธออีกตะหาก “โอ๊ะ!!

     

    เรวินหันมายิ้มหวานให้ลัลทริมา  “คุณลัลมองหน้าผมไว้นะครับ”

     

    ลัลทริมามองหน้าคนพูด...ไม่ได้มองเพราะที่เขาสั่ง  แต่มองเขาเพราะความสงสัยต่างหาก “ให้มองทำไมคะ?”

     

    “เพราะผมจะให้ภามที่อยู่ข้างหลังคุณเอามือปิดตาคุณไว้ไงครับ” ตอบพร้อมยิ้มกว้างกว่าเดิม  ทำให้ลัลทริมาที่ได้ยินแบบนั้นก็เริ่มจะใจหาย  แต่ยังไม่ทันจะได้หันหลังกลับไปมองภาม...มืออบอุ่นคู่หนึ่งก็ยื่นมาปิดบังดวงตากลมโตของเธอเอาไว้เสียแล้ว

     

    “นี่!! ปิดตาทำไมคะ?” มือบางยกขึ้นมาปัดมือของภามออก

     

    “อยู่นิ่งๆ เถอะนะ” ภามว่า “ไม่มีอะไรที่เธอต้องกลัวทั้งนั้นแหละ”

     

    ..กล้าพูดเนอะว่าไม่มีอะไรที่ฉันต้องกลัว..  เด็กสาวยอมอยู่นิ่งๆ ให้  แต่ก็อดที่จะคิดแบบนี้ในใจตนไม่ได้

     

    เสียงเปิดประตูห้องหนังสือดังขึ้น  พร้อมๆ กับที่ภามบอกให้ลัลทริมาก้าวเดินไปข้างหน้า  ร่างบางคิดว่าตอนนี้เธอคงจะเดินเข้ามาในห้องหนังสือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  มือที่ปิดตาเธอไว้ก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ คลายออกช้าๆ  ปรากฏให้เห็นสิ่งที่พวกคุณชายเตรียมเอาไว้รอเธอ...

     

    ลูกโป่งหลากสีสันหลายลูกลอยติดเพดาน  พร้อมทั้งบนโต๊ะตัวใหญ่ต่างก็ถูกวางประดับด้วยจานผลไม้นานาชนิด  อีกทั้งยังขนมหวานมากมาย  และเครื่องดื่มมากรส  แต่ที่สะดุดตาลัลทริมาที่สุดคงจะเป็นกล่องของขวัญทั้ง 7 กล่องที่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะตัวนั้น

     

    “นี่มัน....”

     

    “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน!!

     

    น้ำเสียงของทั้งเจ็ดคนกล่าวขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน  ก่อนที่มืออบอุ่นของชินะจะวางลงบนศีรษะของลัลทริมา “ดีใจที่เธอกลับมานะ  วันนั้นพวกเราอุตส่าห์วางแผนเลี้ยงฉลองให้  แต่เธอกลับผิดนัดพวกเราเสียได้  ก็เลยเลื่อนให้มาเป็นวันนี้แทน” 

     

    “อาจจะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตสักเท่าไหร่  แต่พวกฉันก็ทำกันเต็มที่เลยล่ะ” ภามกล่าวและยิ้มให้กับเธอ

     

    “นี่พวกคุณ...ทำเองทั้งหมดเลยเหรอคะ?” เอ่ยถามออกมาด้วยไม่อยากจะเชื่อ

     

    “เค้กกับขนมน่ะ  พวกแม่บ้านเค้าทำให้ครับ  ส่วนพวกเราก็นำจานมาจัดวางกันเอง (ซึ่งก็ค่อนข้างจะวุ่นวายไม่น้อยทีเดียว) แล้วก็พวกลูกโป่งที่ลอยอยู่บนหัวพวกเราน่ะ...อคินเป็นคนเป่าทั้งหมดเลยล่ะครับ” เรวินว่า

     

    “เออสิ  เมื่อยแก้มจะตาย” อคินบ่นอุบอิบ  แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มจากลัลทริมา  เขาก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้

     

    ลัลทริมายิ้มให้พวกเขาด้วยรอยยิ้มจากใจจริง  หากแต่ดวงตากลมโตกลับฉายแววรู้สึกผิดขึ้นมาเสียได้

     

    ..บ้าจริงลัล  ทำไมเธอชอบคิดอะไรในแง่ร้ายต่อพวกคุณชายจังเลยนะ  ทั้งๆ ที่ผ่านมาพวกเขาก็ทำอะไรดีๆ ให้เธอตั้งหลายอย่าง ..

     

    “ขอบคุณมากนะคะคุณชาย” เอ่ยกล่าวขอบคุณทั้งๆ ที่ดวงตากลมโตคู่นั้นเริ่มปริ่มไปด้วยน้ำตา “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่ชอบคิดร้ายกับพวกคุณ  ทั้งที่ความจริงแล้วพวกคุณปรารถนาดีต่อฉัน  อยากจัดงานเลี้ยงให้กับฉัน  แต่เพราะเรื่องเมื่อวันก่อน  ทำให้ฉันกลัวว่าพวกคุณจะเอาคืนฉัน  แต่จริงๆ แล้วฉันคิดผิดมากเลยค่ะ  ขอโทษด้วยนะคะ”

     

    “อันที่จริงก็อยากจะเอาคืนนั่นแหละนะ  แต่ก็นะ...ถ้าทำแบบนั้นเธอก็ไม่มีความสุขน่ะสิ”  เชียรว่า

     

    “ใช่  ยังไงซะพวกฉันก็อยากเห็นรอยยิ้มของเธอซะมากกว่า” อคินช่วยเสริม

     

    ยิ่งฟังก็ยิ่งพาให้น้ำตาไหล  ลัลทริมาแย้มยิ้มให้กับพวกคุณชาย  พลางเอ่ยขอบคุณไม่หยุดปาก

     

    “พอแล้วน่า  ฉันว่าตัดเค้กเหอะ  อยากกินแล้ว”  การินตัดบทขึ้นมา  ทำให้ทุกคนยิ้มกันออกมาอีกครั้ง

     

    “ค่ะ”   

     

    ปาร์ตี้ที่กำลังสนุกสนานและเต็มไปด้วยความสุขเริ่มต้นไปได้ไม่นาน  ก็เป็นอันต้องจบลง...เมื่อจู่ๆ เสียงประตูห้องก็ถูกเปิดออก  พร้อมกับการมาเยือนของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินประกาย

     

    “โฮ่  ถึงว่าสิหายไปไหนกันตั้งนานสองนาน  ที่แท้ก็พาสาวมาปาร์ตี้นี่เอง...แถมดูแล้วพวกนายยังทำอะไรที่ไม่สมกับเป็นพวกนายเลยนะ” อัลเวนเอ่ยพร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง  

     

    “แกเข้ามาทำไม  ไม่มีใครเชิญเสียหน่อย”  เป็นอคินที่เอ่ยถามกลับไปทันที

     

    “ก็มาเอง  ไม่ต้องเชิญหรอก” ผู้มาใหม่ตอบ “พอดีได้กลิ่นความสนุกเข้า  ก็เลยเดินตามมาน่ะ”

     

    “ถ้างั้นก็ออกไปซะสิ” ชินะส่งสายตาไม่ต้อนรับมาให้พร้อมออกปากไล่อย่างสุภาพ

     

    “แล้วถ้าปฏิเสธล่ะ” อัลเวนตอบกลับพร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างกวนอารมณ์

     

    “แก” อคินทำท่าจะพุ่งเข้าใส่ชายหน้าคล้ายตน  หากแต่แคปเปอร์ดึงเขาเอาไว้ก่อน

     

    “อย่าใจร้อนสิ” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเอ่ยเตือนเพื่อน  ก่อนจะเหลือบสายตามาทางแขกที่ดูท่าทางเหมือนจะไม่มีใครต้อนรับ “แล้วนายมาห้องนี้ทำไม คงไม่ใช่ว่ามาเพราะคิดว่าพวกเรากำลังสนุกอยู่แค่นี้หรอกนะ”

     

    “เปล่า  ฉันมาเพราะเหตุผลแบบนั้นจริงๆ” อัลเวนตอบพร้อมก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรื่อยๆ  สายตากวาดมองใบหน้าของพวกคุณชายแต่ละคนที่ต่างก็ดูไม่สบอารมณ์กับการมาร่วมวงของเขา  ก่อนร่างสูงจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าลัลทริมา  นัยน์ตาคมสีทองจ้องมองเด็กสาวไม่วางตา

     

    ลัลทริมาเงยหน้ามองสบตาตอบ “มองหน้าฉันเนี่ย  มีธุระอะไรรึเปล่าคะ?”

     

    “ถามไรหน่อยสิ”

     

    “อะไรคะ?”

     

    “นี่เป็นจูบครั้งที่เท่าไหร่”

     

    “ห๊ะ?” ลัลทริมาขมวดคิ้วงงกับคำถาม  อัลเวนจึงอาศัยจังหวะที่เธอเผลอ...ก้มหน้าลงมาประทับริมฝีปากของร่างบางอย่างรวดเร็ว  ก่อนจะผละออกมาถามอีกครั้งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์

     

    “นี่เป็นจูบครั้งที่เท่าไหร่?”

     

    การกระทำของอัลเวนพาให้ทั้งลัลทริมาและพวกคุณชายตะลึงงันไม่แพ้กัน  ต่างคนต่างก็พูดอะไรไม่ออก  ราวกับถูกสะกดให้อยู่นิ่งด้วยภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่  นั่นยิ่งทำให้อัลเวนได้ใจ  ร่างสูงก้มหน้าลงมาใกล้กับใบหน้าหวาดของลัลทริมา  “ทำหน้าแบบนี้...แสดงว่าจูบแรกสินะ??”

     

    เพียะ!

     

    ...

     

    ครานี้กลับเป็นอัลเวนที่เป็นฝ่ายอึ้งเสียเอง  เมื่อมือขาวบางของลัลทริมาตบเข้าที่แก้มของเขาอย่างแรงจนหน้าของเขาสะบัดไปตามแรงตบของเธอ  เขาหันหน้ากลับมามองเธอด้วยความตะลึง  แต่กลับโดนเธอตบเข้าที่แก้มข้างเดิมอีกฉาดหนึ่งเสียจนหน้าหันอีกครั้ง   

     

    “ฉันว่าพวกคุณชายนิสัยแย่แล้วนะ  แต่คุณน่ะ...มันนิสัยแย่กว่าพวกเขาเยอะเลย” ลัลทริมาตะโกนใส่หน้าอัลเวน   ส่วนฝ่ายร่างสูงที่ได้แต่ยืนอึ้งที่ตนถูกตบก็ค่อยๆ หันมามองเธออีกครั้ง  หากแต่ครั้งนี้ดวงตาสีทองคู่นั้นกลับวาวโรจน์ด้วยความโกรธเคือง  มือหนายื่นมาบีบแก้มของลัลทริมาเอาไว้  แต่ก่อนที่อัลเวนจะทันได้ทำอะไรเธอ  พวกคุณชายที่เห็นฉากบาดตาต่อหน้าต่อตาที่เอาแต่ช็อคค้างก็ได้สติ  “หนอย ไอ้อัลเวนนน”

     

    อคินพุ่งเข้ามาต่อยที่หน้าของอัลเวนเต็มแรงจนอีกฝ่ายที่ไม่ทันตั้งตัวล้มหงายหลังไปกองที่พื้น 

     

    “ภาม  พาลัลทริมาออกไปก่อน” ชินะหันมาบอกภาม

     

    “อืม” ตอบรับและพาร่างบางออกมาจากห้องที่ตอนนี้เริ่มจะวุ่นวายขึ้นมา  ร่างสูงหันมองหน้าลัลทริมาที่ตอนนี้แดงก่ำด้วยความโกรธ...ก็ยิ่งเป็นห่วงความรู้สึกของเธอ  มือหนาคว้ามือบางของเด็กสาวมากุมไว้หลวมๆ ราวกับปลอบประโลม  “เดี๋ยวเราขึ้นไปรอพวกนั้นที่ห้องดูหนังชั้น 3 ก็แล้วกันนะ”

     

    เด็กสาวมองหน้าภามด้วย  ก่อนจะพยักหน้ารับและเดินไปกับเขา

     

     

     

    “กล้าดียังไงถึงทำแบบนั้นกับเธอวะ?” อคินเอ่ยถามหลังจากซัดหมัดใส่หน้าอัลเวนไป

     

    “ก็แค่แกล้งเล่นๆ เท่านั้นเอง” อัลเวนว่าพลางยกมือขึ้นมาเช็ดเลือดที่มุมปากของตน  ...เจ้าอคินมันต่อยเขาเสียจนปากแตกเลยเหรอเนี่ย 

     

    “กับสิ่งที่แกทำลงไป...แกเรียกมันว่า แค่เล่นๆแค่นั้นเองเหรอ?” เชียรเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

     

    อัลเวนยักไหล่เล็กน้อย  ก่อนจะส่งรอยยิ้มท้าทายให้กับพวกชาย “แล้วพวกนายจะเป็นเดือดเป็นร้อนกันไปทำไม?  ถ้าห่วงยัยนั่นนัก ทำไมไม่มาขวางฉันไว้ตั้งแต่แรกล่ะ??”

     

    “ก็เพราะพวกผมไม่คิดว่าคุณจะทำแบบนั้นน่ะสิ” เรวินเป็นคนเอ่ยตอบคำถามนั้น  “ปกติคุณไม่สนใจผู้หญิงแบบนี้ไม่ใช่เหรอครับ  แล้วทำไมถึงได้ทำแบบนั้นกัน?”

     

    “ก็บอกแล้วไงว่าแค่แกล้งเล่นๆ น่ะ” อัลเวนยืนยันคำตอบเดิม  และคำตอบนั้นมันยิ่งทำให้พวกคุณชายโกรธมากขึ้น  แต่แคปเปอร์ที่อยู่ด้วยก็คอยห้ามไม่ให้ใครลงมือกับอัลเวนมากไปกว่านี้แล้ว  เพราะเดี๋ยวมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียเปล่าๆ

     

    “แกไสหัวกลับไปได้แล้ว!!!” การินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “แล้วก็ไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีกนะ”

     

    “รีบไปกลับเถอะ  ก่อนที่ใครสักคนในที่นี้จะโมโหจนถึงขั้นลงมือฆ่าคุณ” ชินะกล่าวอย่างพยายามใจเย็น  นัยน์ตาสีอเมทิสต์ฉายแววจริงจังว่าหากอัลเวนไม่รีบกลับ  พวกเขาก็พร้อมที่จะทำตามที่พูดไว้

     

    “หึ ก็ได้” อัลเวนว่า “ครั้งนี้ฉันจะยอมกลับไปก็ได้  แต่คราวหน้าอย่าหวังนะว่าฉันจะยอมทำตามคำพูดของพวกนายอีก” กล่าวจบร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน  แล้วเดินเดินออกมาจากห้องหนังสือนั้นด้วยแววตาหงุดหงิด  มือเรียวยกขึ้นมาแตะที่มุมปากของตนเองอีกครั้ง  ก่อนจะสบถด้วยความเจ็บใจที่ครั้งนี้เขาทำอะไรพวกนั้นกลับไม่ได้เลย 

     

    “พวกหมาหมู่เอ๊ย”  ว่าพร้อมหันหน้ากลับไปมองยังห้องหนังสือที่ตนเพิ่งเดินจากมาด้วยความแววตาอาฆาต “ดูจะหวงกันเหลือเกินนะผู้หญิงคนนั้นน่ะ  สำคัญกับพวกนายขนาดนั้นเชียว”

     

    “คุณอัลเวนเกิดอะไรขึ้นครับ?”  เสียงของอธิศดังขึ้น  อัลเวนหันหน้ากลับมามองยังต้นเสียง  นั่นทำให้อธิศเห็นใบหน้าฟกช้ำของอัลเวนเข้า “เกิดอะไรขึ้นครับ?  มีเรื่องกับพวกคุณชายอย่างนั้นเหรอครับ?”

     

    “นิดหน่อยครับ” อัลเวนฝืนยิ้มให้อธิศทำราวกับว่าไม่มีอะไรมากมาย “วันนี้ผมต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ  ฝากบอกคุณนรินทร์ด้วยนะครับว่าเดี๋ยวผมจะโทรศัพท์มาคุยเรื่องธุระที่ว่าทีหลัง”

     

    เพราะเห็นว่าอัลเวนมีท่าทางเหมือนไม่อยากจะพูดถึงเรื่องแผลบนใบหน้าสักเท่าไหร่  ทำให้อธิศต้องปล่อยผ่านเรื่องนั้นไปแม้จะอดเป็นห่วงไม่ได้ก็ตาม  “ได้ครับ  แล้วผมจะเรียนคุณผู้ชายให้  ขอให้เดินทางปลอดภัยนะครับ”

     

    “ครับ” อัลเวนยิ้มให้ชายหนุ่ม  ก่อนจะเดินมาขึ้นรถที่ตนจอดเอาไว้บริเวณใกล้ประตูบ้าน  แต่ก่อนที่จะขึ้นไปนั่งบนรถ  อัลเวนก็ไม่ลืมที่จะเหลียวหลังกลับไปมองตัวบ้าน  พร้อมกับคิดถึงเหตุการณ์ในตอนที่ลัลทริมาตบหน้าเขา

     

    “หึ  ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าตบหน้าฉันสักคนเลยนะ  แต่เธอกลับทำแบบนี้...น่าสนใจไม่เลวเลยนี้แม่สาวน้อย  ไม่สิ...ลัลทริมา”












    -TBC-



    -------------------------------------------------


    Talking

    ก่อนอื่นต้องขออภัย  ทั้งๆ ที่บอกว่าจะหายไปสองสัปดาห์  ปรากฏว่าดันยาวกว่านั้น

    ต้องขอโทษมากๆ เลนะคะ

    พอดีช่วงที่ผ่านมาติดงานเร่งด่วน  ต้องนำเสนองานถึง ๔ วิชาในสัปดาห์เดียวกัน

    แถมหนักสุดคือมีวิชาหนึ่งที่ต้องอ่านทีสิสทั้งเล่มแล้วสรุป  แล้วเขียนเป็นรายงานเล่ม (เน้นว่าเขียนทั้งเล่ม)

    ซึ่งมันต้องส่งพร้อมตอนนำเสนอ  แล้วด้วยความโชคดีหรืออะไรก็ไม่รู้  ดันจับฉลากได้คนที่ ๒ ของห้อง

    ทำให้ต้องโหมงานหนัก  นอนวันละ ๑-๒ ชม. ทั้งสัปดาห์  T^T 

    บวกกับเรื่องชีวิตส่วนตัวอีกเล็กน้อย  

    ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ  




    ส่วนเนื้อหาตอนนี้  หากทำให้งงก็ต้องขออภัยค่ะ
    เพราะขนาดตัวไรต์เตอร์เองอ่านแล้วยังรู้สึกมึนๆ  

    แต่หากสงสัยอะไรสอบถามได้นะคะ  ๕๕.


    พบกันตอนหน้านะ.






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×