ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Fairy Tail] Fairy Hotter

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter IV :: ภารกิจแรก

    • อัปเดตล่าสุด 5 ธ.ค. 60










    Chapter IV

    :: ภารกิจแรก ::

     

     

     

    “นี่ๆ ใจคอไม่คิดจะคุยกันเลยรึไง?”

     

     

                เสียงเข้มเอ่ยถามขึ้นมาในขณะที่พวกเขากำลังเดินไปยังสถานีรถไฟประจำโรงเรียน  เพื่อที่จะออกไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายกันมา  ทว่าตั้งแต่ตอนที่เอลซ่ามอบหมายภารกิจให้เมื่อวาน  ลูซี่ก็ไม่ยอมพูดจาอะไรกับเขาและแฮปปี้เลยสักคำเดียว  เธอทำเพียงแค่ออกมารอพวกเขาตรงห้องโถงของกิลด์ในตอนเช้า  ทั้งที่เขาและแฮปปี้อุตส่าห์เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม  เธอกลับเมินหน้าหนีเสียอย่างนั้น  แล้วก็เดินนำทางออกจากกิลด์มาทันที  พอถามว่าจะไปไหน  สาวเจ้าก็ยื่นใบภารกิจให้เขาพร้อมชี้ให้เห็นถึงที่อยู่ของผู้ว่าจ้างที่ระบุไว้ในใบภารกิจนั้นแทนการตอบ ซึ่งมันชวนให้อดรู้สึกโมโหเล็กๆ ไม่ได้ “ถ้าไม่อยากมาทำภารกิจด้วยกัน  ทำไมไม่บอกเอลซ่าไปตรงๆ ซะเลยล่ะ”

     

                ..โธ่เอ๊ย  ถ้าทำแบบนั้นแล้วมันได้ผล  ป่านนี้ฉันคงไม่ได้มาเดินอยู่กับนายแบบนี้หรอก..

     

                “......” ลูซี่เลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับไปทั้งสิ้น  บอกตามตรงว่าตอนนี้เธอไม่อยากจะพูดคุยอะไรกับเขาเลย  ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อวานนัตสึบังเอิญไปได้ยินบทสนทนาระหว่างเธอ เอลซ่า และเกรย์เข้าแล้วล่ะก็  เธอก็คงไม่ต้องถูกบังคับให้มาทำภารกิจกับผู้ชายที่ไร้มารยาทแบบนี้หรอก  ยิ่งคิดเรื่องที่เขามาแกล้งพลูแล้วไม่ยอมขอโทษเลยสักนิดนั่นแล้ว  ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก

     

                “......” นัตสึมองอีกคน  พอจะเดาได้อยู่บ้างว่าเธอน่าจะไม่ชอบหน้าเขาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน  แต่การที่มาเงียบใส่กันแบบนี้มันช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย  ร่างสูงนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มมุมปาก...อยากจะรู้นักเชียวว่าจะเงียบได้นานสักแค่ไหน ?

     

                “แฮปปี้  นายคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องหม้อไฟที่...”

     

                ได้ผลเกินคาด  เพียงแค่เอ่ยถึง หม้อไฟ’  ร่างบางที่เอาแต่เมินเขามาตลอดก็พุ่งพรวดเข้ามาปิดปากเขาเอาไว้อย่างรวดเร็วชนิดที่เขาเองยังอดตกใจน้อยๆ ไม่ได้  นัยน์ตาสีน้ำตาลสวยคู่นั้นจ้องเขม็งมาที่เขา  หากแต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมากลับเบาหวิวต่างจากสายตาดุดันนั้น

     

                “เมื่อวานนายรับปากกับเอลซ่าแล้วนี่ว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก”

     

                นัตสึเลิกคิ้วขึ้น  มือแกร่งข้างหนึ่งยกขึ้นมาดึงมือขาวที่ปิดปากเขาอยู่ออก “อะไรของเธอ?  ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อวานสักหน่อย”

     

                “ก็แล้วที่พูดเมื่อกี้มันหมายความยังไงกันล่ะ?” ลูซี่สะบัดมือเขาออก  แล้วยกขึ้นมากอดอกเอาไว้ด้วยท่าทีไม่พอใจ  ทำผิดแล้วยังจะมาบอกว่าไม่ได้ทำหน้าตาเฉยอีก

     

                “ก็หมายความว่า...ฉันจะชวนแฮปปี้ทำหม้อไฟกินเย็นนี้ต่างหาก”

     

                “หา?” ลูซี่อ้าปากค้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบจากเขา  รู้สึกเหมือนหน้าแตกอย่างบอกไม่ถูก  แถมจะหาคำพูดไปโต้แย้งเขาก็ไม่ได้  เพราะถือเป็นความผิดของเธอที่ดันร้อนรนจนเข้าใจผิดไปเอง  สุดท้ายเมื่อเถียงกลับไม่ได้  เธอจึงสะบัดหน้าหนีจากเขาทันที 

     

                นัตสึยิ้มกว้างเมื่อกวนอารมณ์ของอีกฝ่ายได้  แม้ในความเป็นจริงแล้วเขาจะอยากให้พูดคุยกันปกติดีๆ มากกว่ามาทำหน้าโกรธเคืองกันแบบนี้ก็ตาม  “แต่จริงๆ ฉันก็อยากรู้เรื่องนั้นนะ  เพราะดูท่าว่าสิ่งที่เธอพูดถึงเมื่อวานมันจะเกี่ยวข้องกับฉันซะด้วย”

     

                ลูซี่หันขวับกลับมามองเขา  “มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันได้ง่ายๆ หรอกนะ”

     

                “แล้วมันพูดยากถึงขนาดนั้นเลยรึไง?”

     

                “นายไม่เข้าใจหรอก”  เธอโบกมือไปมาอย่างปัดรำคาญ  พลางเดินนำเขาไปยังสถานีรถไฟต่อ  แต่ดูท่าว่าอีกคนจะหัวรั้นพอสมควร

     

                “เธอก็อธิบายสิ”

     

                ลูซี่ถอนหายใจ  ต่อล้อต่อเถียงกันไปก็รังแต่จะต่อความยาวสาวความยืดไปเสียเปล่าๆ  เธอจึงเลือกที่จะเงียบและเดินต่อไปโดยที่ไม่สนใจเขา 

     

                “เฮ้” นัตสึพยายามเรียกเธอเอาไว้อย่างไม่ยอมแพ้  ทำไงได้  พออยากรู้ขึ้นมาแล้ว...มันก็จะต้องรู้ให้ได้เลยนี่นา  แต่แม่คนรู้เรื่องกลับไม่ยอมบอกอะไรเลยเสียอย่างนั้น

     

                เสียงเรียกดังมาตลอดทางจนคนที่พยายามอดทนอยู่ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป  ลูซี่หันกลับมาเผชิญหน้ากับนัตสึ  พร้อมยกนิ้วขึ้นมาปิดปากของตัวเองเป็นเชิงบอกให้เขาเงียบเสียงลง  ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดเท่าที่เธอจะสามารถเอ่ยได้  แต่เธอมั่นใจว่าเขาจะต้องได้ยินแน่นอน  “ฉันจะเล่าให้ฟังก็ได้  แต่สัญญามาก่อนว่านายจะต้องเงียบๆ เอาไว้  และห้ามไปพูดเรื่องนี้กับใครอื่นเด็ดขาด”

     

                นัตสึมองสบตาเธอ  ก่อนจะอ้าปากตอบ “สัญญา”

     

                “ถ้าอย่างนั้น...ออกจากเขตโรงเรียนแล้วจะเล่าให้ฟัง” เธอว่า

     

                “ทำไมต้องรอให้ออกจากเขตโรงเรียนด้วยล่ะไอล์”  แฮปปี้ที่บินตามเธอมาเอ่ยถามด้วยความสงสัย  หลังจากที่เขาฟังทั้งสองสนทนา(หรือจะเรียกว่าถกเถียง)มาตั้งนาน

     

                “แหม  หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง  ตราบใดที่อยู่ในเขตโรงเรียน  การพูดเรื่องต้องห้ามก็เหมือนกับการยื่นไม้เรียวให้อาจารย์เพื่อให้เขาเอามันมาตีเราเองเท่านั้นแหละ” ลูซี่ว่า  แต่ดูเหมือนเจ้าเหมียวจะไม่เข้าใจที่เธอพูดสักเท่าไหร่  เธอจึงอธิบายเพิ่มเติม  “เพราะทางโรงเรียนกำลังเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับน่ะสิ  ถ้าเกิดพวกอาจารย์มาได้ยินเข้าก็จะถูกลงโทษเอาได้”

     

                “โอ้  ถ้าเราไปพูดนอกเขตโรงเรียน  เราก็จะไม่ถูกอาจารย์จับไปลงโทษใช่ไหม?  ไอล์”

     

                “ประมาณนั้นมั้ง”  ร่างบางตอบ  ...แต่อาจจะโดนพวกสภาเวทมนต์จับเอาได้เลยเนี่ยสิ...

     

                ทั้งสามเดินทางมาถึงสถานีรถไฟประจำโรงเรียนแล้ว  ลูซี่จึงเดินนำขึ้นไปเพื่อจับจองตู้รถไฟสำหรับพวกเธอ  แต่พอหาตู้ว่างได้และเข้ามานั่งกันเรียบร้อยแล้ว  ลูซี่ถึงเพิ่งได้สังเกตเห็นว่าชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีชมพูอ่อนหวานนั้นกำลังหน้าซีดอยู่  แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป  ไม่อยากถามอะไรเขามากนักหรอก  แค่บอกว่าจะเล่าเรื่องให้ฟังนี่ก็มากเกินพอแล้ว 

     

                นัยน์ตาสีน้ำตาลเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟ  มองดูดอกไม้นานาพันธุ์ที่ออกดอกชูช่ออวดความงามของพวกมันอยู่  เธอชื่นชอบโรงเรียนแห่งนี้  ชอบพวกดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมและสวยงาม  ชอบธรรมชาติที่ร่มรื่นของที่นี่  มันทำให้เธอคิดถึงบ้านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก...บ้านที่เธอจากมาเมื่อหนึ่งปีก่อน...โดยที่ไม่ได้ร่ำลากับใครทั้งสิ้น

     

                ...ป่านนี้ท่านพ่อคงจะโกรธจนไม่อยากเห็นหน้าเราแล้วล่ะมั้ง...

     

                แล้วรถไฟก็เริ่มเคลื่อนขบวนเมื่อถึงกำหนดเวลา  ลูซี่หันกลับมามองเพื่อนร่วมขบวนที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้อย่างสงสัย  แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนัตสึนั้นซีดจนแทบจะเป็นสีเดียวกับกระดาษขาวๆ ได้เลยทีเดียว  เขากำลังนั่งเอามือปิดปากของตัวเองไว้แน่น  ท่าทางดูไม่ค่อยจะดีมากนัก

     

                “เป็นอะไรรึเปล่า ?” ลูซี่อดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้  แต่เขากลับไม่ตอบเธอ  เอาแต่ก้มหน้าปิดปากแน่นหนา  เธอจึงหันไปถามแฮปปี้ที่กำลังนั่งแทะปลาแทน “แฮปปี้  เพื่อนของนายเป็นอะไรก็ไม่รู้  หน้าซีดใหญ่แล้วนะ  เขามีโรคประจำตัวอะไรรึเปล่า???”

     

                “หือ ?”  แฮปปี้เงยหน้าจากซากปลาขึ้นมามองลูซี่  ดวงตากลมโตจ้องแป๋วที่เธออย่างประหลาดใจเล็กน้อย  คาดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นห่วงคนอื่นเป็นด้วย  “ไม่ต้องห่วงหรอกไอล์  นัตสึแค่เมาพวกยานพาหนะเท่านั้นเอง”

     

                “หา..?” ลูซี่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ

     

                “เป็นธรรมดาของดราก้อนสเลเยอร์น่ะไอล์” แฮปปี้ตอบแล้วหันไปคว้าปลาตัวใหม่ออกมาแทะต่อ  ไม่ได้มีท่าทีร้อนรนกับอาการที่ดูจะย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ ของเพื่อนตัวเองเลยแม้แต่น้อย

     

                ในเมื่อสัตว์เลี้ยงประจำตัวของตัวเองยังไม่เป็นห่วงแบบนี้  ก็แสดงว่าคงไม่เป็นอะไรมากจริงๆ

     

                ร่างบางจึงปล่อยเลยตามเลย  เธอคว้าหนังสือที่หยิบติดมาด้วยขึ้นมานั่งอ่าน  แม้มันอาจจะทำให้เสียสายตาได้  แต่มันก็ช่วยฆ่าเวลาในการเดินทางด้วยรถไฟหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ นี่ได้เป็นอย่างดีทีเดียว

     

     

     

     

                “อุ๊บ”

     

                “..........”           

     

                “อ้วก..”

     

                “...........”          

     

                “อุแหวะ...”

     

     

                โอเค  ดูท่าการอ่านหนังสือจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเสียแล้ว  เมื่อเพื่อนร่วมตู้รถของเธอแสดงอาการเมายานพาหนะออกมาอย่างหนักหน่วง  และมันค่อนข้างรบกวนสมาธิของเธอไม่น้อย  ลูซี่ปิดหนังสือและเก็บมันลงกระเป๋า  หันมองอีกคนที่ตอนนี้สภาพไม่สู้ดีเลยสักนิด 

     

                และดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยุ่งไม่ได้แล้วล่ะ

     

     

                “เฮ้  ไหวไหม?”  เอ่ยถามคนที่กำลังนั่งหน้าซีดมือปิดปากตัวเองอยู่อีกครั้ง  นัยน์ตาคมช้อนขึ้นมามองเธอ  เล่นเอาลูซี่ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านัยน์ตาคู่นั้นคลอไปด้วยน้ำตา  ...ท่าทางจะทรมานไม่น้อยเลยนะ...ถึงกับร้องไห้ออกมาแบบนี้...  ถึงเธอจะไม่ชอบมารยาทติดลบของเขาก็จริง  แต่ลูซี่ก็ไม่ใช่คนใจร้ายมากพอที่จะไม่ช่วยเหลือคนกำลังเดือดร้อนหรอกนะ  “รอเดี๋ยวนะ  เดี๋ยวฉันไปซื้อยาแก้เมาจากรถเข็นมาให้” 

     

                พูดจบก็ลุกเดินออกจากตู้รถไฟไปโดยไม่ฟังเสียงร้องบอกของแฮปปี้เลยสักนิด  “เอ้อ...เราแค่จะบอกว่ายาแก้เมาน่ะใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ”

     

                ผ่านไปสักพักใหญ่  ลูซี่ก็กลับมาพร้อมด้วยข้าวกล่องสามกล่อง  เธอยื่นกล่องหนึ่งให้แฮปปี้ซึ่งบรรจุปลา 2 ตัวเอาไว้  อีกกล่องหนึ่งวางไว้ตรงเบาะของตัวเอง  และกล่องสุดท้ายยื่นให้กับนัตสึ  “เอ้า  ทานข้าวซะแล้วจะได้กินยา”

     

                นัตสึรับกล่องข้าวไปและเปิดรับประทานด้วยความเร็วชนิดที่ทำเอาคนมองได้แต่สงสัยว่าเขาได้เคี้ยวมันบ้างหรือเปล่า  จากนั้นก็จัดการทานยา  ซึ่งก็ทำให้ดูเหมือนว่าจะอาการดีขึ้นมา...เล็กน้อย  ผ่านไปครู่เดียวเขาก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก  นั่นคือแสดงอาการเมายานพาหนะอย่างรุนแรงออกมา  แต่อย่างน้อยๆ แล้วสีหน้าของเขาก็ดูดีกว่ารอบที่แล้ว...ล่ะมั้ง

     

                “เป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?” หญิงสาวเอ่ยถามแฮปปี้หลังจากที่เธอจัดการกับข้าวในกล่องของตัวเองเสร็จเรียบร้อย  ซึ่งเจ้าแมวสีฟ้าตัวน้อยก็ร้องตอบเพียงแค่ว่า ไอล์’  โดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเธอเลยด้วยซ้ำ  ทำให้ลูซี่ขมวดคิ้วงงเล็กน้อยว่าเจ้าแมวตัวนี้ใส่ใจนัตสึจริงหรือเปล่าเนี่ย?   แล้วนัยน์ตากลมโตก็หันไปมองเจ้าของเรือนผมสีชมพูที่ดูเหมือนว่าอาการจะเริ่มแย่ลงอีกเรื่อยๆ

     

                ...ทำให้สลบไปเลยจะดีกว่าไหมนะ...? ลูซี่คิดไปมาเล่นๆ (ไม่ได้คิดจะลงมือทำจริงๆ นะ) ก็ได้ยินเสียงประกาศว่ารถไฟกำลังจะเข้าเทียบท่าสถานีอันเป็นเป้าหมายของพวกเธอ  จึงไม่รอช้า...รีบเก็บข้าวของให้เรียบร้อยและบอกให้อีกหนึ่งคนและหนึ่งตัวเตรียมตัวลงจากรถไฟกันได้

     

     

                @@@@@@@@@@@@

     

     

     

                ...น่าหมั่นไส้... 

     

                ลูซี่คิดพลางกลอกตาไปมาเมื่อเห็นอาการเริงร่าของนัตสึ  ชนิดที่ว่าถ้าไม่รู้มาก่อนก็ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเมื่อครู่ก่อนหน้าเขาตกอยู่ในสภาพแบบใด  เพราะพอลงจากรถไฟได้...ก็เล่นหายเป็นปกติทันที

     

                “แล้วนี่เราจะไปไหนต่อล่ะ?” นัตสึเอ่ยถามลูซี่ด้วยน้ำเสียงสดใส  ทำเอาคนที่หมั่นไส้อยู่แล้วยิ่งเบะปากใส่

     

                “ตรงไปเรื่อยๆ”

     

                จบคำตอบของลูซี่  ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะความเงียบอีกครั้ง  เหมือนตอนที่เดินออกจากโรงเรียนไม่ผิด  เพราะลูซี่ทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะเสวนากับเขาอีกแล้ว

     

                “ไหนๆ ก็ออกมานอกโรงเรียนแล้ว  ไอ้ที่สัญญากันไว้น่ะ...จะเล่าให้ฟังตอนไหนล่ะ?” 

     

                ร่างบางปรายตามองเขา  ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้  เธอหันมองรอบๆ ตัว  แต่เมื่อไม่พบอะไรที่น่าสงสัยจึงหันกลับมามองหน้านัตสึอีกครั้ง  พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังมากนักเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องได้ยินมันอย่างชัดเจนแน่นอน  “เคยได้ยินเรื่องจอมเวทย์ดำใช่ไหม?”

     

                นัตสึพยักหน้ารับ  จะไม่เคยได้ยินได้อย่างไรกัน  ก็เจ้านั่น...เป็นคนฝากรอยแผลเป็นเอาไว้บนคอเขานี่นะ 

     

                ลูซี่จึงเล่าต่อ “จอมเวทย์ดำ...เขามีหม้อไฟที่ใช้เก็บสะสมพลังงานของตัวเองอยู่  มันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดที่สามารถทำลายโลกใบนี้ให้สิ้นซากลงได้โดยง่าย  แต่มันหายไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่มีผู้ใดพบเห็นมานานมากแล้ว  ฉันบังเอิญอ่านเจอในหนังสือซึ่งเขียนเอาไว้ว่าจะต้องทำลายหม้อไฟนั่นก่อนที่จอมเวทย์ดำจะหามันพบและได้มันกลับไปครอบครองอีกครั้ง  และสิ่งที่จะทำลายมันได้ก็คือ...ลมหายใจมังกรเพลิงของเด็กชายผู้รอดชีวิตไงล่ะ”

     

                นัตสึตาโตเมื่อได้ฟังเรื่องที่หญิงสาวเล่าโดยสรุป ก่อน ริมฝีปากจะแย้มยิ้มกวน  “ว้าว  นี่ฉันเป็นคนสำคัญขนาดนั้นเลยสินะ”

     

                “ถึงจะไม่อยากยอมรับ  แต่มันก็เป็นความจริง”

     

                “แสดงว่าโลกเวทมนตร์จะเป็นยังไงต่อไป...ก็ขึ้นอยู่กับฉันแล้วสิเนี่ย”

     

                ลูซี่ถอนหายใจแรง  “ก็ใช่”

     

                “ถ้าอย่างนั้นทั้งเธอและคนอื่นๆ ก็ต้องตามใจฉันเข้าไว้สิ  เพราะฉันเป็นคนสำคัญสำหรับโลกใบนี้เชียวนะ  ถ้าไม่มีฉัน...โลกนี้คงต้องลำบากแน่ๆ”  ว่าพลางหัวเราะร่าไปมา  ไม่ได้รู้สึกเครียดกับเรื่องที่กำลังพูดอยู่เลยสักนิด

     

                เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์เบะปากใส่นัตสึอีกรอบ  ไม่รู้ว่าที่พูดไปนั่นเขาจะเข้าใจความหมายของมันบ้างหรือเปล่าถึงยังทำหน้าระรื่นอยู่ได้  ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายในโลกเวทมนตร์เลยก็ว่าได้  สงสัยว่านัตสึคงจะไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ นั่นล่ะ  คิดแล้วก็เดินนำหน้าไปอย่างไม่สนใจเขาอีก

     

     

                @@@@@@@@@@@@@@

     

     

                “สวัสดีค่ะ  พวกเรามาจากกิลด์แฟรี่เทลนะคะ  จะมารับรายละเอียดของภารกิจตามหาของหายที่ว่า...”  ลูซี่แย้มรอยยิ้มจริงใจทักทายเมื่อมาถึงที่อยู่ของผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นหญิงสาววัยกลางคน  แต่อีกฝ่ายกลับตอบรับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

     

                “เอ่อ...”  ท่าทางลังเลที่แสดงออกผ่านทางสายตาของผู้ว่าจ้าง  ทำให้นัตสึกับแฮปปี้ได้มองกันอย่างงงๆ ส่วนลูซี่เองก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสงสัย

     

                “มีอะไรรึเปล่าคะ?”

     

                เงียบอยู่นาน  จนสุดท้ายผู้ว่าจ้างก็ถอนหายใจและอธิบายว่าภารกิจตามหาของหายที่ว่านั้น  แท้จริงแล้วสิ่งของชิ้นนั้นมิได้หายไป  แต่กลับถูกรีดไถไปโดยพวกกลุ่มอันธพาลที่ชอบทำตัวเหมือนโจร  ซึ่งอาศัยอยู่แถบทางเหนือของเมือง  อาจเรียกได้ว่าเป็นถิ่นของพวกนั้นเลยก็ว่าได้  และที่ไม่กล้าเขียนลงไปในใบว่าจ้างภารกิจว่าถูกรีดไถ...ก็เพราะกลัวว่าทางกิลด์จะไม่รับภารกิจให้  ถึงจะเป็นจอมเวทย์  แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงเด็กนักเรียนเท่านั้น  จะให้ไปสู้รบปรบมือกับพวกอันธพาลก็ใช่ที่  จึงต้องส่งใบภารกิจไปว่าของหายแทน  และตบท้ายด้วยการขอร้องให้ลูซี่กับนัตสึช่วยนำของชิ้นที่ว่ามาคืน  เพราะเป็นแหวนแต่งงานซึ่งเป็นของที่สำคัญมาก

     

                ลูซี่ที่รับฟังเรื่องราวก็ได้ยิ้มบางให้ผู้ว่าจ้าง  “อันที่จริงบอกมาตามตรงก็ได้นะคะ  ยังไงพวกเราแฟรี่เทลก็รับภารกิจแน่นอนอยู่แล้ว  อีกอย่างการที่คุณทำแบบนี้มันจะยิ่งอันตรายมากกว่า...เพราะถ้าเกิดว่าคนที่มารับภารกิจเป็นคนอ่อนแอหรือไม่ถนัดการต่อสู้แล้วล่ะก็...คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยล่ะค่ะ”

     

                “อืม  ฉันขอโทษนะ”  ผู้ว่าจ้างรับด้วยสีหน้าสำนึกผิด  และขอร้องมาอีกครั้ง  “แต่ยังไงก็ช่วยนำแหวนแต่งงานมาคืนฉันทีนะ  แล้วฉันจะมอบค่าจ้างเพิ่มให้อีก  ของชิ้นนั้นสำคัญกับฉันมากจริงๆ”

     

                “เชื่อใจแฟรี่เทลได้เลยค่ะ”

     

                แล้วลูซี่ก็ลากนัตสึกับแฮปปี้ออกมาจากบ้าน  แล้วเดินทางขึ้นไปทางเหนือของหมู่บ้านเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมานี้ให้สำเร็จลุล่วง

     

     

                @@@@@@@@@@@@@@

     

     

     

                “ใจดีกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย” 

     

                เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์เด่นเหลือบตามองแมวสีฟ้าที่กำลังบินอยู่ข้างๆ เธอ “ฉันก็ไม่ได้ใจร้ายซะหน่อยนี่”

     

                “แต่ก็เล่นตีมือนัตสึซะเต็มแรงเลยนะเมื่อวานน่ะ” แฮปปี้ว่าพลางหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นหญิงสาวกลอกตาไปมา  ก่อนจะต้องเงียบเสียงของตนเองเมื่อเห็นนัตสึที่หยุดชะงัก  “มีอะไรรึเปล่านัตสึ?”

     

                “ได้ยินเสียงคน...จำนวนไม่น้อยซะด้วย” นัตสึว่า  เขายืนนิ่ง  ใช้สมาธิไปกับการฟังเสียงที่ลอยมาตามสายลมให้ได้ยิน  ทำให้ลูซี่เลิกคิ้วมองเขา  ก่อนที่เธอจะเอ่ยออกมาอย่างเข้าใจ

     

                “คงจะเป็นกลุ่มอันธพาลพวกนั้น  เพราะนี่เราก็เดินทางมาถึงถิ่นของมันแล้วด้วย”  ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ บริเวณ  หลังจากเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำสายเชี่ยวเข้ามาก็พบกับบ้านหลายหลังที่ดูเก่าคร่ำครึ  เสมือนสถานที่แห่งนี้ไร้ซึ่งคนอาศัย แต่จากการที่ดราก้อนสเลเยอร์อย่างนัตสึบอกว่าได้ยินเสียงคนจำนวนมาก  นั่นก็ยืนยันได้แล้วว่าจะต้องมีคนอยู่ที่นี่แน่ๆ  แค่กำลังซ่อนตัวกันอยู่เท่านั้นเอง  แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้มีความกังกลหรือหวาดหวั่นอะไรทั้งสิ้น  นั่นเป็นเพราะลูซี่มั่นใจดีว่าเธอและคน(บวกตัว)ที่เธอพามาทำภารกิจด้วยสามารถรับมือได้สบายอยู่แล้ว  จะกลัวก็แต่ลงมือหนักเกินไปน่ะสิ...เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์เสียด้วย

     

                ร่างบางหันมาเผชิญหน้ากับผู้ร่วมงานของตน  สบตาเขาอย่างจริงจัง  “ตอนแรกฉันคิดว่าภารกิจนี้เป็นภารกิจตามหาของหายธรรมดา  แต่มันไม่ใช่...กลับกลายเป็นว่าเราจะต้องชิงของสิ่งนั้นมาจากพวกกลุ่มอันธพาลให้ได้  เพราะฉะนั้น...เราคงจะต้องลงไม้ลงมือกับเจ้าพวกนั้นสักหน่อย  แต่พวกนั้นไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์  เพราะฉะนั้นนายเองก็อย่าลงมือเกินความจำเป็นล่ะ”

     

                “รู้แล้วน่า” นัตสึตอบรับอย่างขอไปที  พลางบิดตัวไปมาอย่างเตรียมพร้อมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้  “แบบนี้สิค่อยน่าสนุกกว่าตามหาของหายตั้งเยอะ  ชักจะเครื่องร้อนซะแล้วสิ”

     

                ยังไม่ทันที่นัตสึกับลูซี่จะได้วางแผนหรือเตรียมการอะไร  ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมาเล่นงานพวกเธอ  ทำให้ต่างคนต่างกระโดดหลบไปคนละทาง  ก่อนจะแยกย้ายไปจัดการกลุ่มคนพวกนั้น  ซึ่งทางฝ่ายนัตสึนั้นไม่ลำบากอะไรมาก  เขาเคยผ่านเรื่องวิวาทมาบ้างตามประสาเด็กผู้ชายใจร้อน จึงนึกห่วงอีกคนขึ้นมาเล็กน้อย  ถึงจะเก่ง...(มั้ง)  แต่อย่างไรเสียเธอก็เป็นผู้หญิง ไม่น่าจะสู้แรงผู้ชายได้  เขาจึงรีบจัดการเจ้าพวกนั้นเพื่อจะได้ไปช่วยเธอเร็วๆ  หากแต่พอเล่นงานจนสลบเหมือดไปหลายราย  ก็ยิ่งมีคนโผล่เข้ามาอีก  เอาสิ... นัตสึยิ้มให้กับอีกฝ่ายที่ดาหน้ากันเข้ามาอีกกว่า 10 คน  จำนวนของพวกนั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวแต่อย่างใด  ยังไงซะก็ไม่ครณามือเขาหรอก...

     

     

     

                “กรี๊ดดดดดดด” 

     

                เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยกรีดร้องดังขึ้นมาให้ได้ยิน  นัตสึชะงักไปเล็กน้อย  สายตาพยายามสอดส่องหาที่มาของเสียงด้วยห่วงว่าบางทีอีกคนอาจจะโดนเล่นงานไปแล้วก็เป็นได้

     

                ...ถึงจะไม่ได้สนิทหรือชอบขี้หน้ากันมากนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความจริงแล้วลูซี่เป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง  เธออาจจะขี้บ่นไปหน่อย (จนถึงขั้นมากๆ)  แต่เธอก็มีน้ำใจไม่น้อยเลยทีเดียว... เขายังคงจำเรื่องบนรถไฟได้ดี

     

                หมัดที่ล้อมรอบไปด้วยเปลวไฟจัดการเล่นงานเสียจนผู้ชายกลุ่มนั้นล้มหงายกันระนาว  นัตสึจึงใช้จังหวะนั้นรุดวิ่งไปยังต้นตอของเสียงร้องอย่างรวดเร็ว  ก่อนจะชะงักค้างเมื่อเห็นตัวประหลาดตัวหนึ่งยืนอยู่เคียงข้างลูซี่

     

                ตัวสีขาวรูปร่างสูงใหญ่...ใส่กางเกงในเพียงตัวเดียว

     

                “เกิดอะไรขึ้นน่ะ  ฉันได้ยินเธอร้องเสียงดังเลย”  นัตสึวิ่งเข้ามาสมทบแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย สายตาก็สำรวจดูร่างบางที่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติตรงไหนเลยสักนิด  “แล้วนี่มันใคร...เอ่อ...ตัวอะไรอ่ะ ?”

     

                “เอ้อ  ขอโทษที  ฉันคงกรี๊ดดังไปหน่อย  พอดีตกใจเจ้านี่น่ะสิ”  ว่าพลางปรายตามองเจ้าหน้าวัวตัวใหญ่ด้วยสายตารังเกียจเล็กน้อย  “อ้อ  นี่ทอรัส  เป็นเทพแห่งดวงดาวประจำราศีพฤษภ”

     

                นัตสึทำหน้าไม่เข้าใจอย่างเปิดเผย “เป็นเวทมนตร์ของลูซี่น่ะไอล์”  แฮปปี้ที่บินมาอยู่บริเวณนี้ก่อนหน้านัตสึจึงอธิบายให้เขาฟัง 

     

                ดราก้อนสเลเยอร์แห่งไฟห่อปากเป็นรูปตัวโอ  “โหวว  อัญเชิญตัวประหลาดออกมาได้ด้วย”

     

                “ไม่ใช่ตัวประหลาดสักหน่อยครับ  มอออ”  เจ้าตัวประหลาดที่ว่าร้องตอบ

     

                “เอาล่ะๆ  รีบจัดการเจ้านั่นกันก่อนเถอะ”  ลูซี่รีบปรามก่อนจะออกนอกเรื่องไปกันใหญ่  เธอว่าพร้อมชี้ไปยังชายร่างใหญ่ที่ดูท่าจะเป็นผู้นำของกลุ่มอันธพาลนี้ซึ่งกำลังวิ่งไปทางสะพานเพื่อหนีเอาตัวรอดจากพวกเธอ

     

     

                “เฮ้ยแก!!” 

     

                นัตสึรีบพุ่งตามไปหาเป้าหมาย  ทำให้เจ้าหัวโจกนั่นหยุดชะงักและหันมาเผชิญหน้ากับเขา  “แหวนของคุณป้าคนนั้นอยู่กับแกใช่ไหม?”

     

                เจ้านั่นพยักหน้าหงึกหงัก  ท่าทางดูหวาดหวั่นไม่น้อย อาจเพราะเห็นฝีมือนัตสึที่จัดการกับลูกน้องของตนไปอย่างง่ายดายจนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาก็เป็นได้

     

                “ถ้าอย่างนั้นก็เอาคืนมา  ไม่อย่างนั้น...แกโดนฉันเล่นงานหนักแน่”

     

                อีกฝ่ายนิ่งไปเล็กน้อย  จะคืนให้ง่ายๆ ก็กลัวว่าจะเสียศักดิ์ศรีความเป็นอันธพาลครองเมือง  แต่ถ้าไม่คืนให้ก็คงจะถูกย่างสดจนเกรียมแน่  ร่างสูงใหญ่อึกอัก  สายตาเหลือบมองทั่วๆ ไปว่าพอจะมีทางไหนช่วยให้ตนรอดพ้นจากสถานการณ์แบบนี้ได้บ้าง

     

                “อยากได้ก็เอาไปเซ่!!”  ตะโกนออกมาพร้อมปาแหวนในมือทิ้งลงจากสะพาน  หวังให้ผู้ชายผมชมพูหันเหความสนใจไปทางนั้น  ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว

     

                ผู้ใช้เวทไฟละความสนใจจากชายที่กำลังหันหลังวิ่ง  รีบพุ่งตัวเข้าไปคว้าเอาแหวนวงสำคัญของผู้ว่าจ้างเอาไว้โดยลืมไปว่าไอ้จุดที่กระโดดออกไปเนี่ย...มันไม่มีพื้นรองรับอยู่  แต่ก่อนที่เขาจะตกลงสู่ผืนน้ำอันเชี่ยวกรากเบื้องล่าง  มือข้างหนึ่งก็ถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน

     

                หมับ!

     

                “จับมือฉันไว้แน่นๆ นะ”  ร่างบางเจ้าของเรือนผมสีสว่างพูดพลางยึดมือเขาไว้แน่น  “ข้างล่างน้ำเชี่ยวเกินไป  ถ้าตกลงไปจะเป็นอันตราย”

     

                นัตสึจ้องเธอตาแป๋ว  ส่วนฝ่ายลูซี่นั้นละสายตาออกไปตะโกนสั่งทอรัสที่กำลังจัดการชายผู้นั้นให้รีบเข้ามาช่วยดึงเขาขึ้นไปอีกแรง  แต่เขากลับได้ยินเสียงของแมวน้อยที่เขาซื้อมาจากตรอกไดแอกอนร้องบอกว่าอย่าลืมสิว่าเราบินได้  เดี๋ยวเราช่วยนัตสึเอง  แล้วเจ้าแฮปปี้ก็พุ่งเข้ามาเกาะไหล่ของนัตสึ  พาเขาบินขึ้นไปที่พื้นสะพานอีกครั้ง  เขาจึงหันไปขอบคุณเจ้าแมวเหมียว  ก่อนจะหันมาหาลูซี่ที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น

     

                “ทำอะไรของนายน่ะ  แบบนี้มันอันตรายเกินไปแล้วนะ”

     

                “ก็นี่มันเป็นแหวนชิ้นสำคัญของผู้ว่าจ้างนี่  อีกอย่างก็รับปากเอาไว้แล้วว่าจะต้องเอาไปคืนให้ได้  จะได้ไม่เสียชื่อแฟรี่เทลใช่ไหมล่ะ”  นัตสึยิ้มกว้างพร้อมโชว์แหวนที่อยู่ในมือของเขา  ทำให้ลูซี่ได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าไปมา

     

                “จริงๆ เลยนะนายเนี่ย”

     

     

                @@@@@@@@@

     

     

     

                หลังจากนำแหวนมาส่งคืนให้ผู้ว่าจ้าง  พวกเธอก็ได้รับคำขอบคุณเป็นการใหญ่  พร้อมทั้งกระดาษใบหนึ่งที่มีลายเซ็นของผู้ว่าจ้าง  รวมทั้งเงินค่าทำภารกิจที่อีกฝ่ายยัดเยียดให้อีกสามหมื่นจีเวล  ซึ่งลูซี่ก็รับมาอย่างเต็มใจ

     

                ทั้งสามแวะรับประทานมื้อเที่ยงกันเพราะเสียงท้องของนัตสึร้องดัง  ซึ่งค่าอาหารมื้อนี้ก็คือเงินที่มาจากการทำภารกิจนั่นเอง 

     

                “ฉันจะอธิบายให้ฟังนะ  ตั้งใจฟังด้วย”  เธอว่า  หยิบกระดาษใบที่มีลายเซ็นขึ้นมา  “หลังทำภารกิจเสร็จ  เราจะต้องได้รับใบนี้มา  เพื่อที่จะได้นำไปขึ้นแต้มเป็นคะแนนให้กับกิลด์ของเรา  อย่าลืมเด็ดขาดนะ!  ไม่อย่างนั้นเราจะเสียคะแนนในการทำภารกิจไปฟรีๆ เลย  ส่วนเงินก็แล้วแต่ผู้ว่าจ้างว่าจะจ่ายหรือไม่  แล้วก็ภารกิจในวันนี้...นายทำได้ดีมาก”

     

                ลูซี่พูดแล้วยิ้มให้เขา  ภาพตอนที่นัตสึกระโดดไปคว้าแหวนอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังพร้อมคำพูดที่บอกว่ามันเป็นสิ่งสำคัญ  สัญญาแล้วว่าจะนำไปคืนในตอนนั้นมันค่อนข้างสร้างความประทับใจให้เธอไม่น้อย

     

                นัตสึ  ดรากูนีล  ...ก็ไม่ใช้คนเลวร้ายอะไรขนาดนั้นเสียหน่อย

               

     

     

                นัตสึจ้องใบหน้าของเธอ  นึกถึงตอนที่เธอช่วยเขาเอาไว้หลายๆ เรื่อง  ไม่ว่าจะเรื่องตอนที่อยู่บนรถไฟที่เธออุตส่าห์เป็นห่วง  หาข้าวหายามาให้เขาและแฮปปี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เธอวิ่งเข้ามาคว้ามือเขาไว้ในตอนที่กำลังจะตกลงไปในแม่น้ำ  สายตาคู่นั้นแสดงความห่วงใยออกมาอย่างจริงใจไม่เสแสร้ง...

     

                ลูซี่  ฮาร์ทฟิเลีย  ถึงจะขี้บ่นไปหน่อยก็เถอะ  แต่ก็เป็นคนใจดีกว่าที่คิดซะอีก

     

                ร่างสูงจ้องหน้าเธอนิ่ง  ก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่างออกไป

     

     

                “นี่  เรื่องรวมทีมที่เลวี่เล่าให้ฟังเมื่อวานน่ะ  เธอมีทีมรึยัง?”

     

                คิ้วเรียวบางเลิกคิ้วเล็กน้อย  “ฉันรวมทีมเฉพาะกิจกับเพื่อนคนอื่นเป็นบางครั้งน่ะ  แต่ปกติก็ทำคนเดียว...”

     

                “งั้นเรามารวมทีมกันไหมล่ะ?  วันนี้เราก็ทำได้ไม่เลวเลยนี่”  แฮปปี้โพล่งขึ้นมา  ซึ่งก็ทำให้ลูซี่นิ่งคิดไปเล็กน้อย  ก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้าง 

     

                “ก็เอาสิ”

     

                นัตสึและแฮปปี้หันไปแท็กมือกัน  แล้วหันมามองเธอ

     

                “กระผมแฮปปี้ขอรับ  ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”

     

                “ส่วนฉันนัตสึ  ดรากูนีล  ใช้เวทไฟ”  นัตสึแนะนำตัวอีกครั้งพลางยื่นมือข้างขวาไปด้านหน้า  ลูซี่จึงยื่นมือของตนมาจับมือกับเขา

     

                “ลูซี่  ฮาร์ทฟิเลีย  ฝากตัวด้วยเช่นกันนะ :D

     

     

                @@@@@@@@@@

     

     

     

                “เอ๋?  รวมทีมกันแล้ว??”

     

                เลวี่ร้องเสียงดังเมื่อรู้ว่าตอนนี้เพื่อนสาวของตัวเองยอมจับมือรวมทีมกับเด็กที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาใหม่  ทั้งๆ ที่ผ่านมาเธอพยายามตะล่อมเพื่อนมาเข้าทีมชาโดว์เกียร์ตั้งหลายครั้ง  แต่ลูซี่ก็เอาแต่ปฏิเสธ  แล้วดันไปจับทีมกับเด็กใหม่ที่ไม่ได้มีทีท่าสนิทสนมกันเลยเนี่ยนะ

     

                “นั่นสิ  วันก่อนยังเห็นว่าไม่อยากไปทำภารกิจด้วยกันอยู่เลย  มาวันนี้ดันจับทีมกันซะแล้ว”  เกรย์จ้องหน้าหญิงสาวผู้เป็นประเด็นของเรื่อง  ซึ่งเธอก็ได้แต่ยิ้มแหยกลับมา

     

                “ก็...มันเกิดเรื่องหลายอย่างขึ้นน่ะ  อีกอย่างนัตสึก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรสักหน่อย  เลยคิดว่าน่าจะจับทีมกันไว้ดีกว่า  เนอะ..?”  นัตสึกับแฮปปี้พยักหน้ารับพร้อมยิ้มกว้างให้เพื่อนๆ

     

                “แบบนี้คุณนัตสึก็ได้ทีมแล้วสินะคะเนี่ย  หนูยังไม่ได้เลย”  เวนดี้ว่าพลางทำหน้าเศร้า  ทำให้พวกพี่ๆ ที่นั่งล้อมอยู่ลูบหัวปลอบใจไปมาในความน่ารักน่าเอ็นดู

     

                “เอาล่ะพวกเธอ  ไปที่ห้องโถงโรงเรียนกันได้แล้ว”  หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงที่เปิดประตูกิลด์เข้ามาตะโกนบอกคนในกิลด์ให้รีบไปที่ห้องโถง  เพราะใกล้จะได้เวลาอาหารเย็นแล้ว  ทุกคนจึงทยอยลุกขึ้น  ยกเว้นลัคซัสที่ยังคงนอนเอกเขนกไม่สนใจจะลุกเลยสักนิด  เอลซ่ามองอีกคนที่มองสบตาเธอนิ่งๆ “ลุกขึ้นสิ  วันนี้มีประกาศสำคัญจากอาจารย์ใหญ่นะ  อีกอย่างพรุ่งนี้ก็เปิดเทอมแล้ว  ดังนั้นนักเรียนทุกคนต้องเข้าห้องโถง”

     

                พอบอกไปแบบนั้นลัคซัสถึงยอมลุกขึ้นและเดินออกไปแต่โดยดี

     

     

                @@@@@@@@@

               

     

                เสียงจอแจดังสนั่นห้องโถงเสมอเมื่อนักเรียนทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ในห้องนี้  อาหารเย็นถูกวางไว้เรียงรายตามโต๊ะประจำของแต่ละกิลด์  และเด็กๆ ทั้งหมดก็นั่งประทานอาหารพลางพูดคุยกันไปอย่างสนุกสนาน  จนกระทั่งได้ยินเสียงช้อนโลหะเคาะกับแก้ว  อันเป็นเสียงสัญญาณบอกให้รู้ว่าต้องเงียบเสียงลง  เสียงที่เคยจอแจจึงเงียบกริบ  ทุกคนหันมองไปทางด้านหน้าห้องที่มีอาจารย์ใหญ่ยืนอยู่

     

                อาจารย์ร่างเล็กที่บางครั้งก็ชอบแต่งตัวใส่หัวฟักทองฮาโลวีนกระแอมเล็กน้อย  “อะแฮ่ม..  เนื่องด้วยวันพรุ่งนี้เป็นวันเปิดภาคการศึกษา  หวังว่าหลายวันที่ผ่านมานี้เหล่านักเรียนใหม่จะได้เรียนรู้อะไรจากกิลด์ของตัวเองไม่มากก็น้อยนะ  สำหรับในเทอมนี้นักเรียนทุกคนจะต้องลงเรียนตามรายวิชาที่ทางโรงเรียนได้กำหนดให้  ก็ขอให้เรียนกันอย่างมีความสุขนะ”  เขากล่าว  แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเด็กๆ ทำหน้าเบื่อหน่ายขนาดไหนเมื่อพูดถึงเรื่องการเรียน  จึงเปลี่ยนเป็นหัวข้ออื่น  “อ้อ  เรื่องสำคัญที่อยากจะประกาศวันนี้ก็คือ...เราจะเลือกประธานนักเรียนกัน”

     

                จบคำพูดเสียงฮือฮาจากพวกเด็กนักเรียนก็ดังขึ้นมา  ต่างฝ่ายต่างตะโกนเชียร์เด็กในบ้านของตัวเองกันยกใหญ่  จนต้องเงียบเสียงลงอีกครั้งเมื่อได้ยินสัญญาณเตือน

     

                “ทางคณาจารย์เราเล็งเห็นแล้วว่าประธานนักเรียนคู่ที่เลือกมานั้นสามารถรับผิดชอบหน้าที่  ดูแลและเป็นที่ปรึกษาให้กับนักเรียนคนอื่นๆ ได้  ซึ่งประธานนักเรียนฝ่ายหญิงที่เราเลือกก็คือ...”  เว้นจังหวะไว้ให้เหล่าเด็กๆ ได้ลุ้นกันไป 

     

                เสียงเชียร์ชื่อเอลซ่าจึงดังมาจากฝั่งบ้านแฟรี่เทล  ขณะที่บ้านเซเบอร์ทูธก็เชียร์มิเนอร์ว่า  และเมอร์เมดที่ส่งเสียงเชียร์คางุระกันยกใหญ่

     

                “คือ...เอลซ่า  สการ์เล็ต”

     

                เสียงปรบมือพร้อมโห่ร้องอย่างดีใจดังมาจากบ้านแฟรี่เทล  เอลซ่าลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปยังบริเวณหน้าห้องโถงอย่างรู้งานว่าหลังจากนี้จะมีการมอบเข็มกลัดตำแหน่งประธานนักเรียนให้  ส่วนทางด้านเซเบอร์ทูธก็ได้แต่เงียบกริบ  โดยเฉพาะมิเนอร์ว่าที่นั่งเบะปากอย่างไม่พอใจ  นัยน์ตาสีดำมองตามหญิงสาวผมแดงที่เดินออกไปแล้วก็ได้แต่เก็บความอิจฉาไว้ในใจตนเอง  ตำแหน่งประธานนักเรียนเหมาะกับเธอมากกว่าเอลซ่าเป็นไหนๆ  เพราะเธอทั้งแข็งแกร่ง  ดุดัน  สวย  สง่า  และมีแต่คนให้ความเคารพ

     

                นั่งทำตาขวางอย่างไม่พอใจใส่อีกฝ่ายจนกระทั่งได้ยินเสียงอาจารย์ใหญ่ประกาศชื่อของประธานนักเรียนฝ่ายชาย  ซึ่งก็ทำให้มิเนอร์ว่าทิ้งความอิจฉาแทบไม่ทัน  และคิดว่าโชคดีแล้วที่เธอไม่ได้รับตำแหน่งประธานนักเรียน  เพราะไม่อย่างนั้น...

     

                “แมนนนน”

     

                ...เธอคงได้ทำงานคู่กับเจ้าอิจิยะแน่ๆ

     

     

     

                คนตัวเล็กหุ่นถึกที่ผมฟูราวสิงโตเดินออกมายืนเคียงคู่กับเอลซ่าที่กำลังทำหน้าแขยงอย่างไม่ปิดบัง  แล้วอาจารย์ใหญ่จึงทำพิธีมอบเข็มกลัดประธานให้กับตัวแทนผู้ถูกเลือกทั้งสอง  ท่ามกลางยินดีปรีดาของเด็กบ้านบลู เพกาซัสและบ้านแฟรี่เทล

     

                “ยินดีที่ได้เป็นประธานนักเรียนคู่กันนะครับคุณเอลซ่า”

     

                “เอ้อ  เช่นกัน”  เอลซ่ายิ้มแหยให้อีกฝ่าย

     

                “เอาล่ะ  พวกเธอจะย้ายเข้าไปอยู่ในหอประธานนักเรียนกันเลยไหม?  จะได้สะดวกในการทำงาน”  ทางอาจารย์เอ่ยถาม  ซึ่งอิจิยะก็ทำหน้าเขินใส่  แต่เอลซ่ากลับส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน

     

                “เอ่อ  ฉันต้องรับผิดชอบงานและดูแลพวกเด็กๆ ในกิลด์ตัวเองด้วย  เพราะฉะนั้นขออนุญาตอยู่หอนอนตัวเองต่อดีกว่า  ส่วนเรื่องงานค่อยประสานกันเอาทีหลังแล้วกัน”

     

                เห็นเอลซ่าปฏิเสธสุดชีวิตแบบนั้นจึงให้เป็นไปตามความต้องการของเธอเอง

     

                เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น  อาจารย์ใหญ่ก็ปล่อยให้เหล่านักเรียนฉลองกันต่อไป

     

     

     

     

                -TBC-





    มาต่อแล้วค่ะ หลังจากหายไปนานมากกกกกก แถมมาแบบงงๆ แต่ยังไงจะพยายามอัพเรื่อยๆ นะคะ

    ยังไงก็ขอโทษด้วยนะ เพราะช่วงชีวิตที่ผ่านมามีอะไรหลายๆ อย่าง เลยไม่ค่อยสะดวก

    น่าเสียดายที่การ์ตูนเรื่องนี้จบไปซะแล้ว T^T


    เอ้อ ทำไมบีจีตอนเก่าๆ มันไม่ขึ้นอ่ะ แก้ไม่เป็นด้วย ขอปล่อยผ่านเลยนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×