คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter IV :: ภารกิจแรก
Chapter IV
:: ภารกิจแรก ::
“นี่ๆ ใจคอไม่คิดจะคุยกันเลยรึไง?”
เสียงเข้มเอ่ยถามขึ้นมาในขณะที่พวกเขากำลังเดินไปยังสถานีรถไฟประจำโรงเรียน เพื่อที่จะออกไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายกันมา ทว่าตั้งแต่ตอนที่เอลซ่ามอบหมายภารกิจให้เมื่อวาน
ลูซี่ก็ไม่ยอมพูดจาอะไรกับเขาและแฮปปี้เลยสักคำเดียว เธอทำเพียงแค่ออกมารอพวกเขาตรงห้องโถงของกิลด์ในตอนเช้า
ทั้งที่เขาและแฮปปี้อุตส่าห์เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม เธอกลับเมินหน้าหนีเสียอย่างนั้น แล้วก็เดินนำทางออกจากกิลด์มาทันที พอถามว่าจะไปไหน
สาวเจ้าก็ยื่นใบภารกิจให้เขาพร้อมชี้ให้เห็นถึงที่อยู่ของผู้ว่าจ้างที่ระบุไว้ในใบภารกิจนั้นแทนการตอบ
ซึ่งมันชวนให้อดรู้สึกโมโหเล็กๆ ไม่ได้ “ถ้าไม่อยากมาทำภารกิจด้วยกัน ทำไมไม่บอกเอลซ่าไปตรงๆ ซะเลยล่ะ”
..โธ่เอ๊ย ถ้าทำแบบนั้นแล้วมันได้ผล
ป่านนี้ฉันคงไม่ได้มาเดินอยู่กับนายแบบนี้หรอก..
“......”
ลูซี่เลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับไปทั้งสิ้น
บอกตามตรงว่าตอนนี้เธอไม่อยากจะพูดคุยอะไรกับเขาเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อวานนัตสึบังเอิญไปได้ยินบทสนทนาระหว่างเธอ
เอลซ่า และเกรย์เข้าแล้วล่ะก็
เธอก็คงไม่ต้องถูกบังคับให้มาทำภารกิจกับผู้ชายที่ไร้มารยาทแบบนี้หรอก
ยิ่งคิดเรื่องที่เขามาแกล้งพลูแล้วไม่ยอมขอโทษเลยสักนิดนั่นแล้ว ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
“......”
นัตสึมองอีกคน
พอจะเดาได้อยู่บ้างว่าเธอน่าจะไม่ชอบหน้าเขาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แต่การที่มาเงียบใส่กันแบบนี้มันช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย
ร่างสูงนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มมุมปาก...อยากจะรู้นักเชียวว่าจะเงียบได้นานสักแค่ไหน
?
“แฮปปี้ นายคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องหม้อไฟที่...”
ได้ผลเกินคาด เพียงแค่เอ่ยถึง ‘หม้อไฟ’ ร่างบางที่เอาแต่เมินเขามาตลอดก็พุ่งพรวดเข้ามาปิดปากเขาเอาไว้อย่างรวดเร็วชนิดที่เขาเองยังอดตกใจน้อยๆ
ไม่ได้ นัยน์ตาสีน้ำตาลสวยคู่นั้นจ้องเขม็งมาที่เขา
หากแต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมากลับเบาหวิวต่างจากสายตาดุดันนั้น
“เมื่อวานนายรับปากกับเอลซ่าแล้วนี่ว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก”
นัตสึเลิกคิ้วขึ้น
มือแกร่งข้างหนึ่งยกขึ้นมาดึงมือขาวที่ปิดปากเขาอยู่ออก “อะไรของเธอ? ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อวานสักหน่อย”
“ก็แล้วที่พูดเมื่อกี้มันหมายความยังไงกันล่ะ?”
ลูซี่สะบัดมือเขาออก
แล้วยกขึ้นมากอดอกเอาไว้ด้วยท่าทีไม่พอใจ ทำผิดแล้วยังจะมาบอกว่าไม่ได้ทำหน้าตาเฉยอีก
“ก็หมายความว่า...ฉันจะชวนแฮปปี้ทำหม้อไฟกินเย็นนี้ต่างหาก”
“หา?”
ลูซี่อ้าปากค้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบจากเขา
รู้สึกเหมือนหน้าแตกอย่างบอกไม่ถูก
แถมจะหาคำพูดไปโต้แย้งเขาก็ไม่ได้
เพราะถือเป็นความผิดของเธอที่ดันร้อนรนจนเข้าใจผิดไปเอง สุดท้ายเมื่อเถียงกลับไม่ได้ เธอจึงสะบัดหน้าหนีจากเขาทันที
นัตสึยิ้มกว้างเมื่อกวนอารมณ์ของอีกฝ่ายได้
แม้ในความเป็นจริงแล้วเขาจะอยากให้พูดคุยกันปกติดีๆ
มากกว่ามาทำหน้าโกรธเคืองกันแบบนี้ก็ตาม “แต่จริงๆ
ฉันก็อยากรู้เรื่องนั้นนะ
เพราะดูท่าว่าสิ่งที่เธอพูดถึงเมื่อวานมันจะเกี่ยวข้องกับฉันซะด้วย”
ลูซี่หันขวับกลับมามองเขา “มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันได้ง่ายๆ หรอกนะ”
“แล้วมันพูดยากถึงขนาดนั้นเลยรึไง?”
“นายไม่เข้าใจหรอก”
เธอโบกมือไปมาอย่างปัดรำคาญ
พลางเดินนำเขาไปยังสถานีรถไฟต่อ
แต่ดูท่าว่าอีกคนจะหัวรั้นพอสมควร
“เธอก็อธิบายสิ”
ลูซี่ถอนหายใจ ต่อล้อต่อเถียงกันไปก็รังแต่จะต่อความยาวสาวความยืดไปเสียเปล่าๆ เธอจึงเลือกที่จะเงียบและเดินต่อไปโดยที่ไม่สนใจเขา
“เฮ้”
นัตสึพยายามเรียกเธอเอาไว้อย่างไม่ยอมแพ้
ทำไงได้
พออยากรู้ขึ้นมาแล้ว...มันก็จะต้องรู้ให้ได้เลยนี่นา แต่แม่คนรู้เรื่องกลับไม่ยอมบอกอะไรเลยเสียอย่างนั้น
เสียงเรียกดังมาตลอดทางจนคนที่พยายามอดทนอยู่ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ลูซี่หันกลับมาเผชิญหน้ากับนัตสึ พร้อมยกนิ้วขึ้นมาปิดปากของตัวเองเป็นเชิงบอกให้เขาเงียบเสียงลง
ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดเท่าที่เธอจะสามารถเอ่ยได้ แต่เธอมั่นใจว่าเขาจะต้องได้ยินแน่นอน “ฉันจะเล่าให้ฟังก็ได้ แต่สัญญามาก่อนว่านายจะต้องเงียบๆ เอาไว้ และห้ามไปพูดเรื่องนี้กับใครอื่นเด็ดขาด”
นัตสึมองสบตาเธอ ก่อนจะอ้าปากตอบ “สัญญา”
“ถ้าอย่างนั้น...ออกจากเขตโรงเรียนแล้วจะเล่าให้ฟัง”
เธอว่า
“ทำไมต้องรอให้ออกจากเขตโรงเรียนด้วยล่ะไอล์” แฮปปี้ที่บินตามเธอมาเอ่ยถามด้วยความสงสัย หลังจากที่เขาฟังทั้งสองสนทนา(หรือจะเรียกว่าถกเถียง)มาตั้งนาน
“แหม หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง ตราบใดที่อยู่ในเขตโรงเรียน
การพูดเรื่องต้องห้ามก็เหมือนกับการยื่นไม้เรียวให้อาจารย์เพื่อให้เขาเอามันมาตีเราเองเท่านั้นแหละ”
ลูซี่ว่า
แต่ดูเหมือนเจ้าเหมียวจะไม่เข้าใจที่เธอพูดสักเท่าไหร่ เธอจึงอธิบายเพิ่มเติม
“เพราะทางโรงเรียนกำลังเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับน่ะสิ
ถ้าเกิดพวกอาจารย์มาได้ยินเข้าก็จะถูกลงโทษเอาได้”
“โอ้ ถ้าเราไปพูดนอกเขตโรงเรียน เราก็จะไม่ถูกอาจารย์จับไปลงโทษใช่ไหม? ไอล์”
“ประมาณนั้นมั้ง” ร่างบางตอบ
...แต่อาจจะโดนพวกสภาเวทมนต์จับเอาได้เลยเนี่ยสิ...
ทั้งสามเดินทางมาถึงสถานีรถไฟประจำโรงเรียนแล้ว
ลูซี่จึงเดินนำขึ้นไปเพื่อจับจองตู้รถไฟสำหรับพวกเธอ
แต่พอหาตู้ว่างได้และเข้ามานั่งกันเรียบร้อยแล้ว ลูซี่ถึงเพิ่งได้สังเกตเห็นว่าชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีชมพูอ่อนหวานนั้นกำลังหน้าซีดอยู่ แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ไม่อยากถามอะไรเขามากนักหรอก
แค่บอกว่าจะเล่าเรื่องให้ฟังนี่ก็มากเกินพอแล้ว
นัยน์ตาสีน้ำตาลเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟ มองดูดอกไม้นานาพันธุ์ที่ออกดอกชูช่ออวดความงามของพวกมันอยู่ เธอชื่นชอบโรงเรียนแห่งนี้ ชอบพวกดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมและสวยงาม ชอบธรรมชาติที่ร่มรื่นของที่นี่
มันทำให้เธอคิดถึงบ้านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก...บ้านที่เธอจากมาเมื่อหนึ่งปีก่อน...โดยที่ไม่ได้ร่ำลากับใครทั้งสิ้น
...ป่านนี้ท่านพ่อคงจะโกรธจนไม่อยากเห็นหน้าเราแล้วล่ะมั้ง...
แล้วรถไฟก็เริ่มเคลื่อนขบวนเมื่อถึงกำหนดเวลา
ลูซี่หันกลับมามองเพื่อนร่วมขบวนที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้อย่างสงสัย
แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนัตสึนั้นซีดจนแทบจะเป็นสีเดียวกับกระดาษขาวๆ
ได้เลยทีเดียว
เขากำลังนั่งเอามือปิดปากของตัวเองไว้แน่น
ท่าทางดูไม่ค่อยจะดีมากนัก
“เป็นอะไรรึเปล่า
?” ลูซี่อดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้
แต่เขากลับไม่ตอบเธอ
เอาแต่ก้มหน้าปิดปากแน่นหนา
เธอจึงหันไปถามแฮปปี้ที่กำลังนั่งแทะปลาแทน “แฮปปี้ เพื่อนของนายเป็นอะไรก็ไม่รู้ หน้าซีดใหญ่แล้วนะ เขามีโรคประจำตัวอะไรรึเปล่า???”
“หือ ?” แฮปปี้เงยหน้าจากซากปลาขึ้นมามองลูซี่
ดวงตากลมโตจ้องแป๋วที่เธออย่างประหลาดใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นห่วงคนอื่นเป็นด้วย “ไม่ต้องห่วงหรอกไอล์ นัตสึแค่เมาพวกยานพาหนะเท่านั้นเอง”
“หา..?”
ลูซี่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“เป็นธรรมดาของดราก้อนสเลเยอร์น่ะไอล์”
แฮปปี้ตอบแล้วหันไปคว้าปลาตัวใหม่ออกมาแทะต่อ
ไม่ได้มีท่าทีร้อนรนกับอาการที่ดูจะย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ
ของเพื่อนตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ในเมื่อสัตว์เลี้ยงประจำตัวของตัวเองยังไม่เป็นห่วงแบบนี้ ก็แสดงว่าคงไม่เป็นอะไรมากจริงๆ
ร่างบางจึงปล่อยเลยตามเลย
เธอคว้าหนังสือที่หยิบติดมาด้วยขึ้นมานั่งอ่าน แม้มันอาจจะทำให้เสียสายตาได้ แต่มันก็ช่วยฆ่าเวลาในการเดินทางด้วยรถไฟหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ
นี่ได้เป็นอย่างดีทีเดียว
“อุ๊บ”
“..........”
“อ้วก..”
“...........”
“อุแหวะ...”
โอเค
ดูท่าการอ่านหนังสือจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเสียแล้ว
เมื่อเพื่อนร่วมตู้รถของเธอแสดงอาการเมายานพาหนะออกมาอย่างหนักหน่วง และมันค่อนข้างรบกวนสมาธิของเธอไม่น้อย ลูซี่ปิดหนังสือและเก็บมันลงกระเป๋า หันมองอีกคนที่ตอนนี้สภาพไม่สู้ดีเลยสักนิด
และดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยุ่งไม่ได้แล้วล่ะ
“เฮ้ ไหวไหม?”
เอ่ยถามคนที่กำลังนั่งหน้าซีดมือปิดปากตัวเองอยู่อีกครั้ง นัยน์ตาคมช้อนขึ้นมามองเธอ
เล่นเอาลูซี่ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านัยน์ตาคู่นั้นคลอไปด้วยน้ำตา ...ท่าทางจะทรมานไม่น้อยเลยนะ...ถึงกับร้องไห้ออกมาแบบนี้... ถึงเธอจะไม่ชอบมารยาทติดลบของเขาก็จริง แต่ลูซี่ก็ไม่ใช่คนใจร้ายมากพอที่จะไม่ช่วยเหลือคนกำลังเดือดร้อนหรอกนะ
“รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันไปซื้อยาแก้เมาจากรถเข็นมาให้”
พูดจบก็ลุกเดินออกจากตู้รถไฟไปโดยไม่ฟังเสียงร้องบอกของแฮปปี้เลยสักนิด
“เอ้อ...เราแค่จะบอกว่ายาแก้เมาน่ะใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ”
ผ่านไปสักพักใหญ่ ลูซี่ก็กลับมาพร้อมด้วยข้าวกล่องสามกล่อง เธอยื่นกล่องหนึ่งให้แฮปปี้ซึ่งบรรจุปลา 2 ตัวเอาไว้ อีกกล่องหนึ่งวางไว้ตรงเบาะของตัวเอง และกล่องสุดท้ายยื่นให้กับนัตสึ “เอ้า
ทานข้าวซะแล้วจะได้กินยา”
นัตสึรับกล่องข้าวไปและเปิดรับประทานด้วยความเร็วชนิดที่ทำเอาคนมองได้แต่สงสัยว่าเขาได้เคี้ยวมันบ้างหรือเปล่า จากนั้นก็จัดการทานยา
ซึ่งก็ทำให้ดูเหมือนว่าจะอาการดีขึ้นมา...เล็กน้อย
ผ่านไปครู่เดียวเขาก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก นั่นคือแสดงอาการเมายานพาหนะอย่างรุนแรงออกมา แต่อย่างน้อยๆ
แล้วสีหน้าของเขาก็ดูดีกว่ารอบที่แล้ว...ล่ะมั้ง
“เป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?”
หญิงสาวเอ่ยถามแฮปปี้หลังจากที่เธอจัดการกับข้าวในกล่องของตัวเองเสร็จเรียบร้อย ซึ่งเจ้าแมวสีฟ้าตัวน้อยก็ร้องตอบเพียงแค่ว่า ‘ไอล์’ โดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเธอเลยด้วยซ้ำ
ทำให้ลูซี่ขมวดคิ้วงงเล็กน้อยว่าเจ้าแมวตัวนี้ใส่ใจนัตสึจริงหรือเปล่าเนี่ย?
แล้วนัยน์ตากลมโตก็หันไปมองเจ้าของเรือนผมสีชมพูที่ดูเหมือนว่าอาการจะเริ่มแย่ลงอีกเรื่อยๆ
...ทำให้สลบไปเลยจะดีกว่าไหมนะ...?
ลูซี่คิดไปมาเล่นๆ (ไม่ได้คิดจะลงมือทำจริงๆ นะ)
ก็ได้ยินเสียงประกาศว่ารถไฟกำลังจะเข้าเทียบท่าสถานีอันเป็นเป้าหมายของพวกเธอ
จึงไม่รอช้า...รีบเก็บข้าวของให้เรียบร้อยและบอกให้อีกหนึ่งคนและหนึ่งตัวเตรียมตัวลงจากรถไฟกันได้
@@@@@@@@@@@@
...น่าหมั่นไส้...
ลูซี่คิดพลางกลอกตาไปมาเมื่อเห็นอาการเริงร่าของนัตสึ
ชนิดที่ว่าถ้าไม่รู้มาก่อนก็ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเมื่อครู่ก่อนหน้าเขาตกอยู่ในสภาพแบบใด เพราะพอลงจากรถไฟได้...ก็เล่นหายเป็นปกติทันที
“แล้วนี่เราจะไปไหนต่อล่ะ?”
นัตสึเอ่ยถามลูซี่ด้วยน้ำเสียงสดใส
ทำเอาคนที่หมั่นไส้อยู่แล้วยิ่งเบะปากใส่
“ตรงไปเรื่อยๆ”
จบคำตอบของลูซี่ ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะความเงียบอีกครั้ง
เหมือนตอนที่เดินออกจากโรงเรียนไม่ผิด
เพราะลูซี่ทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะเสวนากับเขาอีกแล้ว
“ไหนๆ
ก็ออกมานอกโรงเรียนแล้ว
ไอ้ที่สัญญากันไว้น่ะ...จะเล่าให้ฟังตอนไหนล่ะ?”
ร่างบางปรายตามองเขา ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอหันมองรอบๆ ตัว แต่เมื่อไม่พบอะไรที่น่าสงสัยจึงหันกลับมามองหน้านัตสึอีกครั้ง
พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังมากนักเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องได้ยินมันอย่างชัดเจนแน่นอน “เคยได้ยินเรื่องจอมเวทย์ดำใช่ไหม?”
นัตสึพยักหน้ารับ จะไม่เคยได้ยินได้อย่างไรกัน ก็เจ้านั่น...เป็นคนฝากรอยแผลเป็นเอาไว้บนคอเขานี่นะ
ลูซี่จึงเล่าต่อ
“จอมเวทย์ดำ...เขามีหม้อไฟที่ใช้เก็บสะสมพลังงานของตัวเองอยู่ มันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดที่สามารถทำลายโลกใบนี้ให้สิ้นซากลงได้โดยง่าย แต่มันหายไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่มีผู้ใดพบเห็นมานานมากแล้ว ฉันบังเอิญอ่านเจอในหนังสือซึ่งเขียนเอาไว้ว่าจะต้องทำลายหม้อไฟนั่นก่อนที่จอมเวทย์ดำจะหามันพบและได้มันกลับไปครอบครองอีกครั้ง
และสิ่งที่จะทำลายมันได้ก็คือ...ลมหายใจมังกรเพลิงของเด็กชายผู้รอดชีวิตไงล่ะ”
นัตสึตาโตเมื่อได้ฟังเรื่องที่หญิงสาวเล่าโดยสรุป
ก่อน ริมฝีปากจะแย้มยิ้มกวน “ว้าว นี่ฉันเป็นคนสำคัญขนาดนั้นเลยสินะ”
“ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่มันก็เป็นความจริง”
“แสดงว่าโลกเวทมนตร์จะเป็นยังไงต่อไป...ก็ขึ้นอยู่กับฉันแล้วสิเนี่ย”
ลูซี่ถอนหายใจแรง “ก็ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นทั้งเธอและคนอื่นๆ
ก็ต้องตามใจฉันเข้าไว้สิ
เพราะฉันเป็นคนสำคัญสำหรับโลกใบนี้เชียวนะ
ถ้าไม่มีฉัน...โลกนี้คงต้องลำบากแน่ๆ”
ว่าพลางหัวเราะร่าไปมา
ไม่ได้รู้สึกเครียดกับเรื่องที่กำลังพูดอยู่เลยสักนิด
เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์เบะปากใส่นัตสึอีกรอบ ไม่รู้ว่าที่พูดไปนั่นเขาจะเข้าใจความหมายของมันบ้างหรือเปล่าถึงยังทำหน้าระรื่นอยู่ได้ ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายในโลกเวทมนตร์เลยก็ว่าได้ สงสัยว่านัตสึคงจะไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ
นั่นล่ะ คิดแล้วก็เดินนำหน้าไปอย่างไม่สนใจเขาอีก
@@@@@@@@@@@@@@
“สวัสดีค่ะ พวกเรามาจากกิลด์แฟรี่เทลนะคะ จะมารับรายละเอียดของภารกิจตามหาของหายที่ว่า...”
ลูซี่แย้มรอยยิ้มจริงใจทักทายเมื่อมาถึงที่อยู่ของผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นหญิงสาววัยกลางคน แต่อีกฝ่ายกลับตอบรับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“เอ่อ...”
ท่าทางลังเลที่แสดงออกผ่านทางสายตาของผู้ว่าจ้าง ทำให้นัตสึกับแฮปปี้ได้มองกันอย่างงงๆ
ส่วนลูซี่เองก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสงสัย
“มีอะไรรึเปล่าคะ?”
เงียบอยู่นาน
จนสุดท้ายผู้ว่าจ้างก็ถอนหายใจและอธิบายว่าภารกิจตามหาของหายที่ว่านั้น แท้จริงแล้วสิ่งของชิ้นนั้นมิได้หายไป แต่กลับถูกรีดไถไปโดยพวกกลุ่มอันธพาลที่ชอบทำตัวเหมือนโจร ซึ่งอาศัยอยู่แถบทางเหนือของเมือง อาจเรียกได้ว่าเป็นถิ่นของพวกนั้นเลยก็ว่าได้ และที่ไม่กล้าเขียนลงไปในใบว่าจ้างภารกิจว่าถูกรีดไถ...ก็เพราะกลัวว่าทางกิลด์จะไม่รับภารกิจให้ ถึงจะเป็นจอมเวทย์ แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงเด็กนักเรียนเท่านั้น จะให้ไปสู้รบปรบมือกับพวกอันธพาลก็ใช่ที่ จึงต้องส่งใบภารกิจไปว่าของหายแทน
และตบท้ายด้วยการขอร้องให้ลูซี่กับนัตสึช่วยนำของชิ้นที่ว่ามาคืน เพราะเป็นแหวนแต่งงานซึ่งเป็นของที่สำคัญมาก
ลูซี่ที่รับฟังเรื่องราวก็ได้ยิ้มบางให้ผู้ว่าจ้าง “อันที่จริงบอกมาตามตรงก็ได้นะคะ ยังไงพวกเราแฟรี่เทลก็รับภารกิจแน่นอนอยู่แล้ว
อีกอย่างการที่คุณทำแบบนี้มันจะยิ่งอันตรายมากกว่า...เพราะถ้าเกิดว่าคนที่มารับภารกิจเป็นคนอ่อนแอหรือไม่ถนัดการต่อสู้แล้วล่ะก็...คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยล่ะค่ะ”
“อืม ฉันขอโทษนะ”
ผู้ว่าจ้างรับด้วยสีหน้าสำนึกผิด
และขอร้องมาอีกครั้ง “แต่ยังไงก็ช่วยนำแหวนแต่งงานมาคืนฉันทีนะ แล้วฉันจะมอบค่าจ้างเพิ่มให้อีก ของชิ้นนั้นสำคัญกับฉันมากจริงๆ”
“เชื่อใจแฟรี่เทลได้เลยค่ะ”
แล้วลูซี่ก็ลากนัตสึกับแฮปปี้ออกมาจากบ้าน
แล้วเดินทางขึ้นไปทางเหนือของหมู่บ้านเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมานี้ให้สำเร็จลุล่วง
@@@@@@@@@@@@@@
“ใจดีกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย”
เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์เด่นเหลือบตามองแมวสีฟ้าที่กำลังบินอยู่ข้างๆ
เธอ “ฉันก็ไม่ได้ใจร้ายซะหน่อยนี่”
“แต่ก็เล่นตีมือนัตสึซะเต็มแรงเลยนะเมื่อวานน่ะ”
แฮปปี้ว่าพลางหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นหญิงสาวกลอกตาไปมา ก่อนจะต้องเงียบเสียงของตนเองเมื่อเห็นนัตสึที่หยุดชะงัก “มีอะไรรึเปล่านัตสึ?”
“ได้ยินเสียงคน...จำนวนไม่น้อยซะด้วย”
นัตสึว่า เขายืนนิ่ง
ใช้สมาธิไปกับการฟังเสียงที่ลอยมาตามสายลมให้ได้ยิน ทำให้ลูซี่เลิกคิ้วมองเขา ก่อนที่เธอจะเอ่ยออกมาอย่างเข้าใจ
“คงจะเป็นกลุ่มอันธพาลพวกนั้น
เพราะนี่เราก็เดินทางมาถึงถิ่นของมันแล้วด้วย” ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ บริเวณ
หลังจากเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำสายเชี่ยวเข้ามาก็พบกับบ้านหลายหลังที่ดูเก่าคร่ำครึ เสมือนสถานที่แห่งนี้ไร้ซึ่งคนอาศัย
แต่จากการที่ดราก้อนสเลเยอร์อย่างนัตสึบอกว่าได้ยินเสียงคนจำนวนมาก
นั่นก็ยืนยันได้แล้วว่าจะต้องมีคนอยู่ที่นี่แน่ๆ แค่กำลังซ่อนตัวกันอยู่เท่านั้นเอง
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้มีความกังกลหรือหวาดหวั่นอะไรทั้งสิ้น
นั่นเป็นเพราะลูซี่มั่นใจดีว่าเธอและคน(บวกตัว)ที่เธอพามาทำภารกิจด้วยสามารถรับมือได้สบายอยู่แล้ว
จะกลัวก็แต่ลงมือหนักเกินไปน่ะสิ...เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์เสียด้วย
ร่างบางหันมาเผชิญหน้ากับผู้ร่วมงานของตน สบตาเขาอย่างจริงจัง
“ตอนแรกฉันคิดว่าภารกิจนี้เป็นภารกิจตามหาของหายธรรมดา แต่มันไม่ใช่...กลับกลายเป็นว่าเราจะต้องชิงของสิ่งนั้นมาจากพวกกลุ่มอันธพาลให้ได้
เพราะฉะนั้น...เราคงจะต้องลงไม้ลงมือกับเจ้าพวกนั้นสักหน่อย แต่พวกนั้นไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์
เพราะฉะนั้นนายเองก็อย่าลงมือเกินความจำเป็นล่ะ”
“รู้แล้วน่า”
นัตสึตอบรับอย่างขอไปที
พลางบิดตัวไปมาอย่างเตรียมพร้อมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้ “แบบนี้สิค่อยน่าสนุกกว่าตามหาของหายตั้งเยอะ ชักจะเครื่องร้อนซะแล้วสิ”
ยังไม่ทันที่นัตสึกับลูซี่จะได้วางแผนหรือเตรียมการอะไร
ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมาเล่นงานพวกเธอ ทำให้ต่างคนต่างกระโดดหลบไปคนละทาง ก่อนจะแยกย้ายไปจัดการกลุ่มคนพวกนั้น ซึ่งทางฝ่ายนัตสึนั้นไม่ลำบากอะไรมาก เขาเคยผ่านเรื่องวิวาทมาบ้างตามประสาเด็กผู้ชายใจร้อน
จึงนึกห่วงอีกคนขึ้นมาเล็กน้อย
ถึงจะเก่ง...(มั้ง)
แต่อย่างไรเสียเธอก็เป็นผู้หญิง ไม่น่าจะสู้แรงผู้ชายได้
เขาจึงรีบจัดการเจ้าพวกนั้นเพื่อจะได้ไปช่วยเธอเร็วๆ หากแต่พอเล่นงานจนสลบเหมือดไปหลายราย ก็ยิ่งมีคนโผล่เข้ามาอีก เอาสิ... นัตสึยิ้มให้กับอีกฝ่ายที่ดาหน้ากันเข้ามาอีกกว่า
10 คน
จำนวนของพวกนั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวแต่อย่างใด ยังไงซะก็ไม่ครณามือเขาหรอก...
“กรี๊ดดดดดดด”
เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยกรีดร้องดังขึ้นมาให้ได้ยิน นัตสึชะงักไปเล็กน้อย
สายตาพยายามสอดส่องหาที่มาของเสียงด้วยห่วงว่าบางทีอีกคนอาจจะโดนเล่นงานไปแล้วก็เป็นได้
...ถึงจะไม่ได้สนิทหรือชอบขี้หน้ากันมากนัก
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความจริงแล้วลูซี่เป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง เธออาจจะขี้บ่นไปหน่อย (จนถึงขั้นมากๆ) แต่เธอก็มีน้ำใจไม่น้อยเลยทีเดียว...
เขายังคงจำเรื่องบนรถไฟได้ดี
หมัดที่ล้อมรอบไปด้วยเปลวไฟจัดการเล่นงานเสียจนผู้ชายกลุ่มนั้นล้มหงายกันระนาว
นัตสึจึงใช้จังหวะนั้นรุดวิ่งไปยังต้นตอของเสียงร้องอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะชะงักค้างเมื่อเห็นตัวประหลาดตัวหนึ่งยืนอยู่เคียงข้างลูซี่
ตัวสีขาวรูปร่างสูงใหญ่...ใส่กางเกงในเพียงตัวเดียว
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ ฉันได้ยินเธอร้องเสียงดังเลย” นัตสึวิ่งเข้ามาสมทบแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
สายตาก็สำรวจดูร่างบางที่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติตรงไหนเลยสักนิด “แล้วนี่มันใคร...เอ่อ...ตัวอะไรอ่ะ ?”
“เอ้อ ขอโทษที
ฉันคงกรี๊ดดังไปหน่อย
พอดีตกใจเจ้านี่น่ะสิ” ว่าพลางปรายตามองเจ้าหน้าวัวตัวใหญ่ด้วยสายตารังเกียจเล็กน้อย “อ้อ
นี่ทอรัส
เป็นเทพแห่งดวงดาวประจำราศีพฤษภ”
นัตสึทำหน้าไม่เข้าใจอย่างเปิดเผย
“เป็นเวทมนตร์ของลูซี่น่ะไอล์”
แฮปปี้ที่บินมาอยู่บริเวณนี้ก่อนหน้านัตสึจึงอธิบายให้เขาฟัง
ดราก้อนสเลเยอร์แห่งไฟห่อปากเป็นรูปตัวโอ “โหวว
อัญเชิญตัวประหลาดออกมาได้ด้วย”
“ไม่ใช่ตัวประหลาดสักหน่อยครับ มอออ”
เจ้าตัวประหลาดที่ว่าร้องตอบ
“เอาล่ะๆ รีบจัดการเจ้านั่นกันก่อนเถอะ” ลูซี่รีบปรามก่อนจะออกนอกเรื่องไปกันใหญ่
เธอว่าพร้อมชี้ไปยังชายร่างใหญ่ที่ดูท่าจะเป็นผู้นำของกลุ่มอันธพาลนี้ซึ่งกำลังวิ่งไปทางสะพานเพื่อหนีเอาตัวรอดจากพวกเธอ
“เฮ้ยแก!!”
นัตสึรีบพุ่งตามไปหาเป้าหมาย
ทำให้เจ้าหัวโจกนั่นหยุดชะงักและหันมาเผชิญหน้ากับเขา “แหวนของคุณป้าคนนั้นอยู่กับแกใช่ไหม?”
เจ้านั่นพยักหน้าหงึกหงัก ท่าทางดูหวาดหวั่นไม่น้อย อาจเพราะเห็นฝีมือนัตสึที่จัดการกับลูกน้องของตนไปอย่างง่ายดายจนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาก็เป็นได้
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาคืนมา ไม่อย่างนั้น...แกโดนฉันเล่นงานหนักแน่”
อีกฝ่ายนิ่งไปเล็กน้อย จะคืนให้ง่ายๆ
ก็กลัวว่าจะเสียศักดิ์ศรีความเป็นอันธพาลครองเมือง แต่ถ้าไม่คืนให้ก็คงจะถูกย่างสดจนเกรียมแน่ ร่างสูงใหญ่อึกอัก สายตาเหลือบมองทั่วๆ
ไปว่าพอจะมีทางไหนช่วยให้ตนรอดพ้นจากสถานการณ์แบบนี้ได้บ้าง
“อยากได้ก็เอาไปเซ่!!” ตะโกนออกมาพร้อมปาแหวนในมือทิ้งลงจากสะพาน
หวังให้ผู้ชายผมชมพูหันเหความสนใจไปทางนั้น ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว
ผู้ใช้เวทไฟละความสนใจจากชายที่กำลังหันหลังวิ่ง
รีบพุ่งตัวเข้าไปคว้าเอาแหวนวงสำคัญของผู้ว่าจ้างเอาไว้โดยลืมไปว่าไอ้จุดที่กระโดดออกไปเนี่ย...มันไม่มีพื้นรองรับอยู่ แต่ก่อนที่เขาจะตกลงสู่ผืนน้ำอันเชี่ยวกรากเบื้องล่าง มือข้างหนึ่งก็ถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน
หมับ!
“จับมือฉันไว้แน่นๆ
นะ”
ร่างบางเจ้าของเรือนผมสีสว่างพูดพลางยึดมือเขาไว้แน่น “ข้างล่างน้ำเชี่ยวเกินไป ถ้าตกลงไปจะเป็นอันตราย”
นัตสึจ้องเธอตาแป๋ว
ส่วนฝ่ายลูซี่นั้นละสายตาออกไปตะโกนสั่งทอรัสที่กำลังจัดการชายผู้นั้นให้รีบเข้ามาช่วยดึงเขาขึ้นไปอีกแรง แต่เขากลับได้ยินเสียงของแมวน้อยที่เขาซื้อมาจากตรอกไดแอกอนร้องบอกว่าอย่าลืมสิว่าเราบินได้ เดี๋ยวเราช่วยนัตสึเอง แล้วเจ้าแฮปปี้ก็พุ่งเข้ามาเกาะไหล่ของนัตสึ พาเขาบินขึ้นไปที่พื้นสะพานอีกครั้ง เขาจึงหันไปขอบคุณเจ้าแมวเหมียว ก่อนจะหันมาหาลูซี่ที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น
“ทำอะไรของนายน่ะ แบบนี้มันอันตรายเกินไปแล้วนะ”
“ก็นี่มันเป็นแหวนชิ้นสำคัญของผู้ว่าจ้างนี่
อีกอย่างก็รับปากเอาไว้แล้วว่าจะต้องเอาไปคืนให้ได้ จะได้ไม่เสียชื่อแฟรี่เทลใช่ไหมล่ะ” นัตสึยิ้มกว้างพร้อมโชว์แหวนที่อยู่ในมือของเขา ทำให้ลูซี่ได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าไปมา
“จริงๆ
เลยนะนายเนี่ย”
@@@@@@@@@
หลังจากนำแหวนมาส่งคืนให้ผู้ว่าจ้าง พวกเธอก็ได้รับคำขอบคุณเป็นการใหญ่ พร้อมทั้งกระดาษใบหนึ่งที่มีลายเซ็นของผู้ว่าจ้าง
รวมทั้งเงินค่าทำภารกิจที่อีกฝ่ายยัดเยียดให้อีกสามหมื่นจีเวล ซึ่งลูซี่ก็รับมาอย่างเต็มใจ
ทั้งสามแวะรับประทานมื้อเที่ยงกันเพราะเสียงท้องของนัตสึร้องดัง
ซึ่งค่าอาหารมื้อนี้ก็คือเงินที่มาจากการทำภารกิจนั่นเอง
“ฉันจะอธิบายให้ฟังนะ ตั้งใจฟังด้วย” เธอว่า
หยิบกระดาษใบที่มีลายเซ็นขึ้นมา
“หลังทำภารกิจเสร็จ
เราจะต้องได้รับใบนี้มา เพื่อที่จะได้นำไปขึ้นแต้มเป็นคะแนนให้กับกิลด์ของเรา อย่าลืมเด็ดขาดนะ! ไม่อย่างนั้นเราจะเสียคะแนนในการทำภารกิจไปฟรีๆ
เลย
ส่วนเงินก็แล้วแต่ผู้ว่าจ้างว่าจะจ่ายหรือไม่ แล้วก็ภารกิจในวันนี้...นายทำได้ดีมาก”
ลูซี่พูดแล้วยิ้มให้เขา ภาพตอนที่นัตสึกระโดดไปคว้าแหวนอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังพร้อมคำพูดที่บอกว่ามันเป็นสิ่งสำคัญ
สัญญาแล้วว่าจะนำไปคืนในตอนนั้นมันค่อนข้างสร้างความประทับใจให้เธอไม่น้อย
นัตสึ ดรากูนีล
...ก็ไม่ใช้คนเลวร้ายอะไรขนาดนั้นเสียหน่อย
นัตสึจ้องใบหน้าของเธอ นึกถึงตอนที่เธอช่วยเขาเอาไว้หลายๆ เรื่อง
ไม่ว่าจะเรื่องตอนที่อยู่บนรถไฟที่เธออุตส่าห์เป็นห่วง หาข้าวหายามาให้เขาและแฮปปี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เธอวิ่งเข้ามาคว้ามือเขาไว้ในตอนที่กำลังจะตกลงไปในแม่น้ำ
สายตาคู่นั้นแสดงความห่วงใยออกมาอย่างจริงใจไม่เสแสร้ง...
ลูซี่ ฮาร์ทฟิเลีย
ถึงจะขี้บ่นไปหน่อยก็เถอะ
แต่ก็เป็นคนใจดีกว่าที่คิดซะอีก
ร่างสูงจ้องหน้าเธอนิ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่างออกไป
“นี่ เรื่องรวมทีมที่เลวี่เล่าให้ฟังเมื่อวานน่ะ เธอมีทีมรึยัง?”
คิ้วเรียวบางเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ฉันรวมทีมเฉพาะกิจกับเพื่อนคนอื่นเป็นบางครั้งน่ะ แต่ปกติก็ทำคนเดียว...”
“งั้นเรามารวมทีมกันไหมล่ะ? วันนี้เราก็ทำได้ไม่เลวเลยนี่” แฮปปี้โพล่งขึ้นมา ซึ่งก็ทำให้ลูซี่นิ่งคิดไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้าง
“ก็เอาสิ”
นัตสึและแฮปปี้หันไปแท็กมือกัน แล้วหันมามองเธอ
“กระผมแฮปปี้ขอรับ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
“ส่วนฉันนัตสึ ดรากูนีล
ใช้เวทไฟ”
นัตสึแนะนำตัวอีกครั้งพลางยื่นมือข้างขวาไปด้านหน้า ลูซี่จึงยื่นมือของตนมาจับมือกับเขา
“ลูซี่ ฮาร์ทฟิเลีย
ฝากตัวด้วยเช่นกันนะ :D”
@@@@@@@@@@
“เอ๋? รวมทีมกันแล้ว??”
เลวี่ร้องเสียงดังเมื่อรู้ว่าตอนนี้เพื่อนสาวของตัวเองยอมจับมือรวมทีมกับเด็กที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาใหม่ ทั้งๆ
ที่ผ่านมาเธอพยายามตะล่อมเพื่อนมาเข้าทีมชาโดว์เกียร์ตั้งหลายครั้ง แต่ลูซี่ก็เอาแต่ปฏิเสธ
แล้วดันไปจับทีมกับเด็กใหม่ที่ไม่ได้มีทีท่าสนิทสนมกันเลยเนี่ยนะ
“นั่นสิ วันก่อนยังเห็นว่าไม่อยากไปทำภารกิจด้วยกันอยู่เลย มาวันนี้ดันจับทีมกันซะแล้ว” เกรย์จ้องหน้าหญิงสาวผู้เป็นประเด็นของเรื่อง ซึ่งเธอก็ได้แต่ยิ้มแหยกลับมา
“ก็...มันเกิดเรื่องหลายอย่างขึ้นน่ะ
อีกอย่างนัตสึก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรสักหน่อย เลยคิดว่าน่าจะจับทีมกันไว้ดีกว่า เนอะ..?”
นัตสึกับแฮปปี้พยักหน้ารับพร้อมยิ้มกว้างให้เพื่อนๆ
“แบบนี้คุณนัตสึก็ได้ทีมแล้วสินะคะเนี่ย หนูยังไม่ได้เลย” เวนดี้ว่าพลางทำหน้าเศร้า ทำให้พวกพี่ๆ ที่นั่งล้อมอยู่ลูบหัวปลอบใจไปมาในความน่ารักน่าเอ็นดู
“เอาล่ะพวกเธอ ไปที่ห้องโถงโรงเรียนกันได้แล้ว” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงที่เปิดประตูกิลด์เข้ามาตะโกนบอกคนในกิลด์ให้รีบไปที่ห้องโถง เพราะใกล้จะได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ทุกคนจึงทยอยลุกขึ้น ยกเว้นลัคซัสที่ยังคงนอนเอกเขนกไม่สนใจจะลุกเลยสักนิด เอลซ่ามองอีกคนที่มองสบตาเธอนิ่งๆ
“ลุกขึ้นสิ วันนี้มีประกาศสำคัญจากอาจารย์ใหญ่นะ อีกอย่างพรุ่งนี้ก็เปิดเทอมแล้ว ดังนั้นนักเรียนทุกคนต้องเข้าห้องโถง”
พอบอกไปแบบนั้นลัคซัสถึงยอมลุกขึ้นและเดินออกไปแต่โดยดี
@@@@@@@@@
เสียงจอแจดังสนั่นห้องโถงเสมอเมื่อนักเรียนทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ในห้องนี้ อาหารเย็นถูกวางไว้เรียงรายตามโต๊ะประจำของแต่ละกิลด์ และเด็กๆ
ทั้งหมดก็นั่งประทานอาหารพลางพูดคุยกันไปอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งได้ยินเสียงช้อนโลหะเคาะกับแก้ว อันเป็นเสียงสัญญาณบอกให้รู้ว่าต้องเงียบเสียงลง เสียงที่เคยจอแจจึงเงียบกริบ ทุกคนหันมองไปทางด้านหน้าห้องที่มีอาจารย์ใหญ่ยืนอยู่
อาจารย์ร่างเล็กที่บางครั้งก็ชอบแต่งตัวใส่หัวฟักทองฮาโลวีนกระแอมเล็กน้อย “อะแฮ่ม..
เนื่องด้วยวันพรุ่งนี้เป็นวันเปิดภาคการศึกษา หวังว่าหลายวันที่ผ่านมานี้เหล่านักเรียนใหม่จะได้เรียนรู้อะไรจากกิลด์ของตัวเองไม่มากก็น้อยนะ สำหรับในเทอมนี้นักเรียนทุกคนจะต้องลงเรียนตามรายวิชาที่ทางโรงเรียนได้กำหนดให้ ก็ขอให้เรียนกันอย่างมีความสุขนะ” เขากล่าว
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเด็กๆ ทำหน้าเบื่อหน่ายขนาดไหนเมื่อพูดถึงเรื่องการเรียน จึงเปลี่ยนเป็นหัวข้ออื่น “อ้อ
เรื่องสำคัญที่อยากจะประกาศวันนี้ก็คือ...เราจะเลือกประธานนักเรียนกัน”
จบคำพูดเสียงฮือฮาจากพวกเด็กนักเรียนก็ดังขึ้นมา
ต่างฝ่ายต่างตะโกนเชียร์เด็กในบ้านของตัวเองกันยกใหญ่
จนต้องเงียบเสียงลงอีกครั้งเมื่อได้ยินสัญญาณเตือน
“ทางคณาจารย์เราเล็งเห็นแล้วว่าประธานนักเรียนคู่ที่เลือกมานั้นสามารถรับผิดชอบหน้าที่ ดูแลและเป็นที่ปรึกษาให้กับนักเรียนคนอื่นๆ
ได้
ซึ่งประธานนักเรียนฝ่ายหญิงที่เราเลือกก็คือ...” เว้นจังหวะไว้ให้เหล่าเด็กๆ ได้ลุ้นกันไป
เสียงเชียร์ชื่อเอลซ่าจึงดังมาจากฝั่งบ้านแฟรี่เทล ขณะที่บ้านเซเบอร์ทูธก็เชียร์มิเนอร์ว่า และเมอร์เมดที่ส่งเสียงเชียร์คางุระกันยกใหญ่
“คือ...เอลซ่า สการ์เล็ต”
เสียงปรบมือพร้อมโห่ร้องอย่างดีใจดังมาจากบ้านแฟรี่เทล
เอลซ่าลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปยังบริเวณหน้าห้องโถงอย่างรู้งานว่าหลังจากนี้จะมีการมอบเข็มกลัดตำแหน่งประธานนักเรียนให้ ส่วนทางด้านเซเบอร์ทูธก็ได้แต่เงียบกริบ โดยเฉพาะมิเนอร์ว่าที่นั่งเบะปากอย่างไม่พอใจ
นัยน์ตาสีดำมองตามหญิงสาวผมแดงที่เดินออกไปแล้วก็ได้แต่เก็บความอิจฉาไว้ในใจตนเอง
ตำแหน่งประธานนักเรียนเหมาะกับเธอมากกว่าเอลซ่าเป็นไหนๆ เพราะเธอทั้งแข็งแกร่ง ดุดัน
สวย สง่า และมีแต่คนให้ความเคารพ
นั่งทำตาขวางอย่างไม่พอใจใส่อีกฝ่ายจนกระทั่งได้ยินเสียงอาจารย์ใหญ่ประกาศชื่อของประธานนักเรียนฝ่ายชาย
ซึ่งก็ทำให้มิเนอร์ว่าทิ้งความอิจฉาแทบไม่ทัน
และคิดว่าโชคดีแล้วที่เธอไม่ได้รับตำแหน่งประธานนักเรียน เพราะไม่อย่างนั้น...
“แมนนนน”
...เธอคงได้ทำงานคู่กับเจ้าอิจิยะแน่ๆ
คนตัวเล็กหุ่นถึกที่ผมฟูราวสิงโตเดินออกมายืนเคียงคู่กับเอลซ่าที่กำลังทำหน้าแขยงอย่างไม่ปิดบัง
แล้วอาจารย์ใหญ่จึงทำพิธีมอบเข็มกลัดประธานให้กับตัวแทนผู้ถูกเลือกทั้งสอง ท่ามกลางยินดีปรีดาของเด็กบ้านบลู
เพกาซัสและบ้านแฟรี่เทล
“ยินดีที่ได้เป็นประธานนักเรียนคู่กันนะครับคุณเอลซ่า”
“เอ้อ เช่นกัน”
เอลซ่ายิ้มแหยให้อีกฝ่าย
“เอาล่ะ
พวกเธอจะย้ายเข้าไปอยู่ในหอประธานนักเรียนกันเลยไหม? จะได้สะดวกในการทำงาน” ทางอาจารย์เอ่ยถาม ซึ่งอิจิยะก็ทำหน้าเขินใส่ แต่เอลซ่ากลับส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน
“เอ่อ ฉันต้องรับผิดชอบงานและดูแลพวกเด็กๆ
ในกิลด์ตัวเองด้วย
เพราะฉะนั้นขออนุญาตอยู่หอนอนตัวเองต่อดีกว่า ส่วนเรื่องงานค่อยประสานกันเอาทีหลังแล้วกัน”
เห็นเอลซ่าปฏิเสธสุดชีวิตแบบนั้นจึงให้เป็นไปตามความต้องการของเธอเอง
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น อาจารย์ใหญ่ก็ปล่อยให้เหล่านักเรียนฉลองกันต่อไป
-TBC-
มาต่อแล้วค่ะ หลังจากหายไปนานมากกกกกก แถมมาแบบงงๆ แต่ยังไงจะพยายามอัพเรื่อยๆ นะคะ
ยังไงก็ขอโทษด้วยนะ เพราะช่วงชีวิตที่ผ่านมามีอะไรหลายๆ อย่าง เลยไม่ค่อยสะดวก
น่าเสียดายที่การ์ตูนเรื่องนี้จบไปซะแล้ว T^T
เอ้อ ทำไมบีจีตอนเก่าๆ มันไม่ขึ้นอ่ะ แก้ไม่เป็นด้วย ขอปล่อยผ่านเลยนะคะ
ความคิดเห็น